ผู้ที่ถึงพระนิพพานแล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 16 พฤศจิกายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ผู้ที่ถึงพระนิพพานแล้ว(แบบแท้ๆ) มี 4 ระดับ คือ

    1.พระโสดาบัน

    จิตยอมรับเต็มหัวใจ(100%)ว่า “ กายนี้ต้องตาย “
    ยังมีความรักทางเพศ ความอยากรวย ความโกรธ(แต่หายโกรธง่าย)
    แต่ก็กระทำอยู่ในขอบเขตของศีล ไม่ล่วงละเมิดศีลเด็ดขาด
    รักษาศีล (อย่างน้อยศีล 5) ตลอดเวลา
    ยอมตายดีกว่าศีลขาด
    รักพระรัตนตรัยยิ่งกว่าชีวิต
    ปรารถนาว่า ตายแล้ว ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว
    (แต่ก็ยังมีความพอใจในการเกิดอยู่)

    2.พระสกิทาคามี

    มีลักษณะเหมือนพระโสดาบัน
    แต่ดีกว่าพระโสดาบัน คือ แทบไม่มีความรักทางเพศ แทบไม่มีความโกรธ (ยังไม่100%)
    เพราะ บางขณะอาจฟุ้งคิดขึ้นมาบ้างว่า “ความรักนี่ก็ดีนะ”
    แต่พอคิดเช่นนี้ปั๊บ ไม่เกิน 2 นาที ก็จะสลัดความคิดนี้ทิ้งไปจากใจได้ทันที

    3.พระอนาคามี

    มีลักษณะเหมือนพระสกิทาคามี
    แต่ดีกว่าพระสกิทาคามี คือ ไม่มีความรักทางเพศ ไม่มีความโกรธ (100%)
    แต่ก็ยังมีความฟุ้งซ่านไปบ้าง (ไม่ใช่ในเรื่องอกุศล)
    เป็นความฟุ้งซ่านที่แสดงถึงว่า ยังมีความพอใจในการเกิดอยู่
    เช่น บางครั้งอาจฟุ้งซ่านคิดไปว่า
    “เราปฏิบัติมาได้ถึงระดับนี้ก็พอแล้ว พักไว้ก่อนดีกว่า
    ถ้าตายตอนนี้ ก็ไปเกิดเป็นพระพรหม แล้วค่อยปฏิบัติต่อที่ข้างบนพรหมโลกก็ได้”

    4. พระอรหันต์

    มีลักษณะเหมือนพระอนาคามี
    แต่ดีกว่าพระอนาคามี คือ
    จิตยอมรับเต็มหัวใจอย่างละเอียดถึงที่สุด(100%)ว่า
    “ กายนี้ต้องตาย โลกนี้ต้องสลายพังไป , กายนี้เป็นทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ ,
    กายนี้ไม่มีในเรา เราไม่มีในกายนี้ และ การเกิดเป็นทุกข์ “
    ไม่ปรารถนาการเกิดในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกใดๆทั้งสิ้น
    ไม่มีความพอใจในการเกิดอีกต่อไป
    จิตจึงปราศจากกิเลสทั้งปวง
    จิตปรารถนาอย่างเดียว คือ ตายแล้วไปพระนิพพาน เท่านั้น

    หมายเหตุ :

    พระโสดาบัน เป็นฆราวาสได้ สามารถแต่งงานมีลูก มีผัว มีเมียได้
    พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นฆราวาสได้ แต่จะเฉยๆกับคู่ครองของตน
    พระอรหันต์ ต้องออกบวชเท่านั้น (เป็นฆราวาสไม่ได้)

    ********

    ที่ตอบมาทั้งหมดข้างต้นนี้ ไม่ใช่ผมรู้เอง

    แต่เคยฟังเทปคำสอนเรื่อง”หมวดพระอริยะเจ้า”
    ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    จึงนำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ ครับ

    ด้วยเหตุผล คือ
    หลวงพ่อฤาษี ได้สอนให้พวกเรารู้ว่า การถึงนิพพานนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก


    โดย หมั่นทรงอารมณ์สำคัญ 3 ข้อต่อไปนี้ ไว้ในใจตลอดเวลา คือ

    1.ยอมรับว่า กายนี้ต้องตาย กายนี้เป็นทุกข์

    2.ไม่ปรารถนาการเกิดในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกใดๆทั้งสิ้น (เพราะเป็นโลกที่ยังมีทุกข์)

    3.ปรารถนาอย่างเดียว คือ ตายแล้วไปพระนิพพาน เท่านั้น


    เพราะ การพิจารณาธรรม

    เพื่อเป็น พระโสดาบัน ท่านก็ตัดที่กาย (คือ พิจารณาว่า กายต้องตาย กายเป็นทุกข์)

    เพื่อเป็น พระสกิทาคามี ท่านก็ตัดที่กาย ซ้ำอีก แต่ตัดได้ละเอียดยิ่งขึ้น

    เพื่อเป็น พระอนาคามี ท่านก็ตัดที่กาย ซ้ำอีก แต่ตัดได้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก

    เพื่อเป็น พระอรหันต์ ท่านก็ตัดที่กาย ซ้ำอีก แต่ตัดได้ละเอียดถึงที่สุด

    ที่มาค่ะ...http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8243
    <!-- End main-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
  2. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    พระโสดาบันคือ ผู้ปฏิบัติ จนเห็นการดับอย่างสิ้นเชิงของรูปนาม แจ้งซึ่งมรรคญาณ ผลญาณ เป็นครั้งแรก ละสังโยชน์ได้สามอย่าง
    พระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติ จนเห็นการดับลงอย่างสิ้นเชิงแจ้งซึ่งมรรคญาณ ผลญาณ เป็นครั้งแรก หรือไม่เกินครั้งที่สี่ ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด จิตถึงความหลุดพ้นโดยสมบูรย์
     
  3. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    มาเสริมให้ครับ

    พระอรหันต์คือผู้ที่ละสังโยชน์ 10 ได้ขาดแล้ว
    โดยเฉพาะอวิชชาคือความรู้แจ้งในพระนิพพาน
     
  4. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไม่ปฏิบัติ ไม่รู้ ไม่ควรกล่าว
    ที่พูดมาไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก

    ควรจะพูดว่า
    1. ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป(ย้ำว่าขึ้นไป) ไม่มีความต้องการเกิดอีกแล้ว(เข้าใจเสียใหม่นะ ! แม้สักชาติเดียวก็ไม่มีความต้องการเกิด คำว่าความพอใจ หรือความต้องการ กับ คำว่าปราถนา นั้นคืออันเดียวกัน ความหมายเดียวกัน รู้หรือเปล่า ส่วนเหตุที่ยังต้องเกิด 7 ชาติ 3 ชาตินั้น เป็นเพราะยังไม่ถึงอรหันต์ ยังไม่สิ้นสังโยชน์10) ถึงได้เรียกว่าโลกุตตระ คือเหนือโลก เพราะหยั่งลงสู่กระแสพระนิพพาน (แต่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพานนะ ยังไม่นิพพาน เพราะยังไม่ถึงอรหันต์)

    2. พระโสดาบัน ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม ย่อมมีเมตตา เอาชนะความโกรธได้ ย่อมมีเมตตา เอาชนะความโลภอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน ย่อมเอาชนะความหลงได้ เพราะมีปัญญาเข้าใจในความจริงของโลกและวัฏฏะสงสาร กฏแห่งกรรม ฯ เพราะได้สัมมาทิฏฐิ (คำว่าเอาชนะ หมายความว่า เมื่อมีอารมณ์อันเป็นอกุศลมูลเกิดขึ้น สามารถสงบระงับลงได้ อย่างรวดเร็ว)

    3. พระสกิทาคามี เมื่อมีอกุศลจิตเกิดขึ้น สามารถสลัดทิ้งได้โดยงาย ในเรื่องการครองเรือนนั้น หากมีความจำเป็นต้องครองเรือนอยู่ก็ทำต่อไป เพียงแต่เบาบางมาก จนแทบจะเรียกว่า เกือบจะไม่มีอะไรล่วงเกินกันเลย

    4. พระอนาคามี ตัดขาดจากความโกรธ ความโลภในทรัพย์สมบัติ ความหลงรักในรูปโฉมโนมพันธ์ แล้วอย่างสิ้นเชิง

    5. พระอรหันต์ ตัดสังโยชน์ได้ครบ 10 ประการ ถึงฝั่งพระนิพพาน มีชาตินั้นเป็นชาติสุดท้าย

    6. ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จะไม่ทำผิดศีล ผิดธรรม , นับตั้งแต่การช่วยตัวเอง(ทำให้อสุจิเคลื่อน) , การเที่ยวซ่องประเวณี แม้จะไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรม ก็ไม่ทำ แต่พระโสดาบัน-พระสกิทาคามี ก็ยังครองเรือนมีครอบครัวได้ดังกล่าวมาแล้ว แต่จะไม่มีคำว่าชิงสุกก่อนห่าม อันเป็นกิริยาของปุถุชนอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดทั้งปวงเนื่องมาจากเป็นผู้เบาบางจากกิเลส มากขึ้นตามลำดับ หากถึงขั้นอรหันต์ก็หมดกิเลส หมดภพ หมดชาติกัน

    7. หากถึงขั้นโกรธจัดมากที่สุด เป็นบุคคลธรรมดา ก็จะฆ่าเสียให้ตายลงบัดนั้นทันที แต่พระโสดาบัน จะตบเบาๆ เสียทีหนึ่ง, พระสกิทาคามี จะกล่าวแต่โดยดี หรือเดินหลีกไป แต่ยังมีสีหน้าไม่พอใจ, ตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไปจะยิ้ม ด้วยความเมตตา ไม่โต้ตอบ หากแต่บางทีท่านจะสอนธรรมะให้ด้วยความเมตตานั้นอีกต่างหาก(ไม่โกรธ ไม่โต้ตอบ ยิ้มรับ แถมเทศนาธรรมอันดีงามให้ฟังอีก)

    8. พึงเข้าใจว่า ตราบใดที่ยังไม่ถึงอรหัตผล ก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่ มากน้อย ตามลำดับ(เพราะความทุกข์เกิดจากกิเลสที่ยังมีอยู่ในใจ) คนธรรมดามีความทุกข์ 100%(บางคนมีกิเลสมากยิ่งทุกข์มาก) พระโสดาบันมีความทุกข์ร้อนใจ 75% พระสกิทาคามี 50 % พระอนาคามี 25% พระอรหันต์ ขึ้นชื่อว่า พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง

    9. แล้วเลิกพูดเสียทีเถอะ เรื่อง โสฬสญาณ น่ะ ผมได้อ่านหนังสือที่มาแห่งสำนักนี้แล้ว เป็นของแม่ชีท่านหนึ่ง ไม่ขอเอ่ยนาม(ลืม) ไม่พบว่ามีประโยคใดเลยที่กล่าวว่า ผ่านโสฬสญาณ 1 ครั้งเป็นพระโสดาบัน 2 ครั้งเป็นพระสกิทาคามี 3 ครั้งเป็นพระอนาคามี 4 ครั้งเป็นพระอรหันต์ ตีความกันไปเองแท้ๆ จะบอกให้ว่าหากผ่านโสฬสญาณน่ะ จะสำเร็จอรหันต์ในทีเดียว ไม่ต้องผ่าน 2 3 4 รอบหรอก

    มีสติปัญญาหัดคิดบ้างนะ ก่อนจะเชื่ออะไร ทบทวนดู เพราะเห็นหลายรอบแล้ว เปลี่ยนความคิดซะนะ

    ในเว็บบอร์ด ก็เหมือนที่สาธารณะ มีถูก มีผิด ที่ผิดเพราะไม่รู้ว่าตนเข้าใจผิด แล้วนำมาพูด ก่อให้เกิดความเสียหายในที่สาธารณะ เพราะฉะนั้นไม่รู้อย่าพูด ไม่มีที่มาอย่าพูดไป

    อย่าคิดว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าแค่คิด แล้วจะเข้าใจได้ แล้วจะตีความได้ถูก จะต้องปฏิบัติ จึงจะรู้ เข้าใจใหม ?

    จะเสนอ ธรรมะ ควรกล่าวที่มา และควรรักษาเนื้อหาไว้ให้ตรงตามที่มานั้น ไม่ควรนำความคิดของตนมาแทรก มาปรุง มาแต่ง แล้วเขียนขึ้นมาอย่างผิดๆ ถูกๆ มันจะเป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
     
  5. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ยายทองประสา ไยท่านจึงกล่าวเล่า แสดงว่าท่านบรรลุแล้ว
     
  6. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ความเห็นผมเอนมาทางยายทองประสานะคือ แม้นดวงจิตสุดท้ายจะพุ่งตรงสู่
    พระนิพพานแต่รากเหง้าขจองอวิชชาหมักหมมเป็นแรงหนุนดังนี้ ดวงจิตไม่มี
    แรงส่งพอถึงนิพพานได้ ตราบใดที่รากเหง้าอวิชชาไม่ถูกขจัดได้หมดไป วิชชา
    มโนมยิทธิ แม้นได้เห็นสวรรค์แดนนิพพานฯลฯ แล้วยังคงต้องหมั่นฝึกจิตเพื่อ
    ขจัดกิเลสและรากเหง้าแห่งอวิชชา เพื่อแต่ถ้าเห็นนรกสวรรค์เร็ว จะได้ตั้งใจเดิน
    ตรงสู่นิพพานเร็วขึ้น


    เป็นเพียงความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ใช่ความถูกผิด ขอแลกเปลี่ยนด้วยคนครับ
     
  7. พลังแห่งเมตตา

    พลังแห่งเมตตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +52
    มาอ่านครับ
     
  8. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน
    ขอบอกว่า จำเค้ามา อิอิอิ...
    ครูบาอาจารย์ที่เราพอทราบว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า
    เราก็ไปแหย่ถามว่า พระอย่างนี้มีความรู้สึกอย่างไร มีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร..
    เท่านั้นเอง หากผมถึงแล้วผมก็คงไม่มาพูด อยู่อย่างนี้หรอก
    บวชเข้าป่าไปแว้วววววว
     
  9. toya

    toya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,010
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่โพสท์ ขอให้เข้าถึงพระนิพพานทุกท่านนะครับ
     
  10. ส้มฟัก

    ส้มฟัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,393
    ค่าพลัง:
    +2,164
    ผมปฏิบัติธรรม มิได้หวังทางบรรลุหรือมรรคผลนิพพานอันใดเลยครับผม ขอเพียงพ้นทุกข์ได้และเผื่อแผ่ความสุขให้คนและสัตว์อันเป็นที่รักได้ก็นับว่าเป็นการสำเร็จกิจแห่งพระศาสนาอย่างหนึ่งแล้ว

    การที่คนอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ร้อน มิใช่ว่าอยู่โดยไม่มีความทุกข์ แต่รู้จักแบ่งแยกวางฉยไม่ให้ความทุกข์นั้นแสดงผลกับชีวิต เท่านั้นเอง
     
  11. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    เก่งๆกันทั้งนั้นเลย
    ผู้บรรลุธรรมในเว็บนี้เยอะจริงๆ
     
  12. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    บุคคลที่เข้าถึงกระแสแห่งนิพพาน เป็นธรรมอันละเอียดอ่อนนั้น ไม่มานั่งพูดกันว่า นิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยกเว้นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่กล่าวถึงพระนิพพานได้ ว่าเป็นอย่างไร อันนี้เป็นวิสัยของพระสัพพัญญูดดยแท้ ถึงแม้สาวกจะกล่าว ก็กล่าวถึงเฉพาะทางไปสู่พระนิพพาน และไม่พยากรย์ความเป็นอริยะของบุคคลอื่น ถ้ากล่าวความเป็นอริยะของบุคคลอื่นถือว่าขัดพระธรรมวินัยพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสหลักพยากรณ์ตนเองไว้ให้ รู้เฉพาะตน เป็นปัจจัตตัง บอกกล่าวคนอื่นทราบไม่ได้ ต้องรู้เองเห็นเอง บอกกล่าวได้แค่ทางสู่ธรรมอันปราณีตคือพระนิพพานเท่านั้น

    การดำเนินของจิตไปสู่พระนิพพาน จำดำเนินไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้นตอนเด็ดขาด ขึ้นอยู่กับความแก่กล้าของอินทรีย์ทั้ง 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    ดังที่พระพุทองค์ตรัสไว้ว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตผล ด้วยการไปครั้งแรกเท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...