วิบากกรรมโดยคุณดังตฤณ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย กลอง, 16 พฤศจิกายน 2010.

แท็ก: แก้ไข
  1. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    ถาม – วิบากกรรมมีจริงหรือ?

    ตอบ
    หลายท่านที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟทะยานแรงอ่านกรรมพยากรณ์แล้วเกิดความรู้สึก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็มักส่งคำถามนี้มาเสมอ ถ้าผมตอบแค่ ‘จริง’ ไปเฉยๆ ก็มักมีข้อสงสัยอื่นตามมาอีกเป็นพรวน เช่นทำไมคนทำชั่วยังเห็นได้ดีลอยนวลอยู่ นี่เป็นความกังขาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ และบางครั้งคำตอบที่เป็นคำพูดช่วยเหลืออะไรไม่ได้

    เช่นต่อข้อกังขาข้างต้นนั้น ผมมักอุปมาอุปไมยว่าถ้าเขาสร้างเรือมาเป็นลำใหญ่แข็งแรง เขาต้องใช้เวลาเจาะ ใช้เวลาทุบ ใช้เวลารื้อเรือของตัวเองเนิ่นนานกว่าที่มันจะจม เราไปหวังเห็นเรือล่มทันทีที่เขาเอาค้อนปอนด์ทุบพื้นเรือแรงๆโป้งเดียวมัน ไม่ได้ แต่การเปรียบเปรยก็เป็นแค่โวหาร สะกิดใจเดี๋ยวเดียวก็ลืม ไม่ช่วยคลายกังขาในระยะยาวแต่ประการใด

    สิ่งที่ผมนิยมมากกว่าการพูดตอบจึงมักเป็นคำแนะนำให้ทำกรรมอะไรสักอย่าง ที่เห็นผลชัดเจนทันตาทันใจที่สุด เอาให้รู้สึกเหมือนนักทดลองในห้องวิจัยพิสูจน์ถูกผิดทางวิทยาศาสตร์ ใส่เหตุเข้าไปอย่างนี้ ดูซิจะได้ผลออกมาอย่างนั้นๆตามทฤษฎีหรือไม่ เมื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นให้รู้ประจักษ์กับตัว ก็จะได้ทำลายความสงสัยลงได้มากระดับหนึ่ง เพียงพอให้เต็มใจพากเพียรก่อร่างสร้างกรรมดีเพื่อเห็นผลชัดยิ่งๆขึ้นไป สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้สั่งสมบุญย่อมเป็นสุข และนั่นก็หมายถึงการได้มีเสบียงชั้นดีไว้ติดตัวในยามต้องเดินทางไกลกันต่อไป

    วันนี้ผมก็อยากเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจทำอะไรอย่าง หนึ่ง อันอาจเป็นความประทับใจ ทำให้ทรงจำไปตลอดชีวิตของพวกท่าน!

    ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลเป็นการปูพื้นเบื้องต้นสักนิดหนึ่ง นับตั้งแต่นิตยสารบางกอกฉบับนี้วางจำหน่าย จะมีคนอ่านเฉลี่ยวันละประมาณแสนคนไปจนถึงอาทิตย์หน้า โดยมีกระจุกคนอ่านมากเป็นพิเศษในช่วงเช้าตรู่และช่วงเย็นหลังเลิกงาน

    โดยการประมาณอย่างคร่าวที่สุด ชั่วโมงเดียวกับที่คุณกำลังอ่านคอลัมน์นี้ จะมีเพื่อนชาวบางกอกอื่นๆอ่านเนื้อความเดียวกันอยู่เป็นหลักหมื่น เพียงคุณนึกสบายๆถึงความจริงที่เกิดขึ้นรอบด้านดังกล่าว ก็น่าจะเกิด ‘ความรู้สึกร่วม’ ขึ้นมาได้วูบหนึ่ง อาจเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นอาการขนลุกแผ่ว หรืออาจรู้สึกเป็นจริงเป็นจังคล้ายกำลังร่วมประชุมใหญ่กับเพื่อนร่วมชมรม

    ความรู้สึกร่วมมีพลังในตัวเอง คุณเคยเห็นหนังสือพิมพ์ที่มาส่งเหมือนเค้กร้อนๆก้อนใหม่ น่าให้บริโภคข่าวสารไหม? เคยรู้สึกไหมว่าถ้าเห็นหนังสือพิมพ์เก่าไปแม้แต่เพียงวันเดียวจะน่าเหม็น เบื่อ ทำให้เราไม่อยากหยิบขึ้นอ่าน?

    ตอนดูทีวีเชียร์บอลหรือเชียร์กีฬาใดๆ แม้ไม่ได้ดูแบบติดปลายนวม คุณก็อยากชมการถ่ายทอดสดมากกว่าแบบบันทึกเทป โดยเฉพาะถ้าเป็นประเภทมวยคู่หยุดโลก ชนิดที่ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่ากำลังมีเพื่อนร่วมโลกปักเก้าอี้ตั้งตาดูด้วย ความระทึกใจในเวลาเดียวกับเรา ใครเอาช้างมาฉุดก็ไม่มีทางได้ตัวเราไปไหนอื่นแน่ แม้เกมจบอารมณ์ก็ยังไม่จบ อยากพูดคุยแลกเปลี่ยนอภิมหาความมันเข้าไส้กับใครต่อใครไปทั้งวัน

    นี่เป็นความจริงที่ทุกคนสัมผัสได้อยู่ในส่วนลึกมาตลอด แต่ไม่มีใครพูดออกมา และไม่มีใครเห็นว่ามีสาระสำคัญอย่างไร จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่วันนี้ถ้าทุกคนมีใจสมัครสมานพร้อมกันปรารถนาจะพิสูจน์วิบากกรรม คุณๆอาจจำไว้บอกต่อกับญาติๆว่าปาฏิหาริย์มีจริง!

    คอลัมน์ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ฉบับนี้จะบอกคุณว่า เมื่อใด ที่คิดรักษาศีลให้ได้เพียง ๑ ข้อด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยว เมื่อนั้นคุณจะได้รับผลกรรมทันที เป็นความสุขใจ สุขเบา สุขเย็น และถ้าหากรับรู้ว่ากำลังมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากกำหนดจิต ตั้งเจตนาเช่นเดียวกันด้วยความซื่อสัตย์ คุณจะยิ่งบังเกิดความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณ เพราะได้รับผลกรรมจากการร่วมยินดีอนุโมทนาบุญของกลุ่มชนจำนวนมหาศาล

    ถึงแม้ว่าหลายคนที่กำลังอ่านอยู่จะไปที่วัดเป็นประจำ และมีประสบการณ์ขอถือศีลพร้อมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ประชาชีชาวพุทธ ก็ไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อะไรนัก เพราะจิตแต่ละคนไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลเป็นข้อๆอย่างแท้จริง หรือแม้ขณะกล่าว ก็อาจไม่รับทราบด้วยซ้ำว่าตนกำลังตั้งสัจจะต่อหน้าพระ จะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง!

    ถ้าเรามาตกลงร่วมกัน เมื่ออ่านคอลัมน์นี้อยู่พร้อมกับแฟนบางกอกท่านอื่น ขอแค่ศีลข้อแรกข้อเดียว เพียง ตั้งเจตนาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะงดฆ่าสัตว์ งดเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลกรรมที่จะเกิดขึ้นประจักษ์จิตทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยบอก คือปีติสุขโปร่งเบาอย่างใหญ่ หรืออย่างน้อยที่สุดคือความเบากายเบาใจต่างจากปกติ แม้ผู้ที่ รู้สึกว่าตนไม่ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว ถ้าลองตั้งใจสำทับลงไปเพื่อให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ก็จะรู้สึกถึงกระแสสุขร่วมกันได้เช่นกัน

    แต่เท่านี้เห็นจะยังไม่ทำให้เกิดศรัทธาในกรรมดีสักเพียงใด ลองมองไกลไปกว่านั้นอีกหน่อย ขออัญเชิญพระพุทธพจน์อันเป็นสัจจะมาแสดง คือ

    หญิงชายใดก็ตาม เบียดเบียนสัตว์เป็นประจำด้วยฝ่ามือ หรือด้วยก้อนดิน หรือด้วยท่อนไม้ หรือด้วยอาวุธ เมื่อเขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะตั้งจิตคิดก่อกรรมไว้อย่างนั้น แม้เมื่อมาเป็นมนุษย์ในภายหลัง เขาก็จะเป็นคนมีโรคมาก

    สรุปคือแม้ตบยุง บี้มด ฆ่าแมลง ถึงเห็นเป็นสัตว์เล็กที่ไม่น่าจะบาปหนักพอส่งเราไปลงนรก อย่างน้อยก็ย่อมทำให้เป็นโรคกวนใจเรื้อรังไม่หายขาด แต่หากเป็นตรง ข้าม คือแม้โดนแมลงรบกวนอย่างไรก็ข่มใจไม่ฆ่าด้วยมือ ไม่ฆ่าด้วยสารพิษ ทำอย่างมากเพียงหาวิธีขับไล่มันไปพ้นๆ เช่นนี้จะมีวิบากเป็นผู้มีโรคน้อย

    พูดง่ายๆ ขอแค่วันที่คุณอ่านนี้ ตั้งใจจะไม่ตบแม้แต่ยุงสักตัวเดียว ก็มีสิทธิ์เห็นผลได้ อย่าประหลาดใจถ้ากำหนดเจตนาแน่วแน่แล้วรู้สึกถึงน้ำจิตที่หลั่งกระแสเมตตา ออกมาไพศาล เพราะเมื่อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระแสย่อมรู้สึกสัมผัสชัดถึงกระแสใหญ่นั้นไป ด้วย

    อาศัยความจริงเกี่ยวกับผลกรรมข้อนี้เป็นตัวตั้ง อนุโมทนาร่วมกันว่าจะมีสัตว์รอดจากการถูกฆ่าจำนวนมากในวันที่กำลังอ่านนี้ คุณจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนก่อกรรมประเภทไม่เบียดเบียน เมื่อร่วมก่อกรรมก็ต้องได้ร่วมเสวยผลกรรม ยอมทดลองเพื่อพิสูจน์ผล ไม่เสียอะไรมากไปกว่าการตั้งใจจริงเพียงวันเดียวเท่านั้น

    ปริมาณสัตว์ที่รอดเพราะการอธิษฐานร่วมกัน จะก่อตัวเป็นพลังใหญ่ ใช้อ้างในการทดลองอธิษฐานพิสูจน์กรรมได้ โดย คิดว่าถ้าผลของการให้อภัยสัตว์เป็นทานร่วมกันนี้มีความไพบูลย์จริง ขอให้โรคภัยไข้เจ็บเล็กใหญ่ที่เป็นอยู่ทุเลาลง ทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเร็วที่สุด

    อย่าอธิษฐานแบบที่จะทำให้เสียกำลังใจ เช่นขอให้หายขาด ขอให้ไม่เป็นโรคอีกเลย เพราะกำลังบุญที่คุณทำนั้นมีกำหนดชั่วระยะวันเดียว ยังอาจสู้กับกรรมเก่าที่ทำมาเป็นปีๆเป็นชาติๆไม่ได้ อีกอย่างแม้พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกไว้ ว่าความป่วยไข้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งลมฟ้าอากาศ ทั้งการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ทั้งการทำงานหนักเกินกำลัง และทั้งการเสวยวิบากแห่งกรรม ฉะนั้นถ้าคุณเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเฉื่อยชาไม่ออกกำลังกาย วิธีแก้ตรงๆคือออกกำลังกายให้มากขึ้น

    แต่อย่างน้อยการเป็นหนึ่งในผู้เข้าโครงการอธิษฐานงดปลงชีวิตสัตว์หนึ่ง วันนี้ จะมีผลให้สุขภาพของคุณดีขึ้นกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะถูกโรคใดโรคหนึ่งรบกวนอยู่ เพราะวิบากของการงดปลงชีวิตสัตว์แม้ถูกกวนใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย (คือแข็งแรงนั่นเอง) ในที่นี้เราทำกันแบบมีตัวคูณ ไม่ได้แยกทำเดี่ยวๆ ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเห็นผลทันตา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010
  2. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    ถาม – ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือมาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นก็ขาดความมั่นใจ ทั้งที่พยายามสร้างความมั่นใจด้วยวิธีต่างๆ บางทีก็ดีขึ้น แต่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก อาชีพการงานก็ไม่ก้าวหน้าเพราะเจ้านายไม่เชื่อมือเป็นหลัก อย่างนี้เพราะกรรมเก่าหรือเปล่า?

    ตอบ
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าทานที่ถวายพระสงฆ์หรือนักบวชด้วยความเคารพ คือทั้งเคารพในบุคคลผู้รับซึ่งอยู่ในฐานะเหนือกว่า และเคารพในบุญกิริยาของตน จะทำให้ลูกเมีย เจ้านาย และคนตอบตัวทั้งหลายให้ความยำเกรง เป็นคนพูดจาน่าเชื่อถือ ใครต่อใครยินดีเงี่ยหูฟังอย่างเต็มใจ

    ฉะนั้นในทางตรงข้าม หากเราเคยเป็นผู้ให้ทานด้วยใจกระด้าง ขาดความเคารพ ถวายของพระแบบเสือกๆส่งๆ ให้ของใครต่อใครเหมือนเห็นเขาเป็นขี้ข้ารับส่วนบุญ แม้โยนกระดูกให้หมาก็แกล้งขว้างใส่ตัวมันด้วยจิตคิดดูถูก อย่างนี้เรียกว่าเป็นกรรมกึ่งขาวกึ่งดำ คือขาวเพราะให้ แต่ดำเพราะใจหยาบ ผลกรรมคือกลายเป็นผู้ไม่มีคนเคารพยำเกรง หรือไม่เชื่อถือเอาเสียเลย

    หากสำรวจตัวเอง ไม่พบว่ามีใจเช่นนั้น คือเป็นผู้เห็นการให้ว่าน่าจะทำด้วยความเคารพกัน แม้จะหย่อนเศษสตางค์ลงขันขอทานก็โน้มตัวลงไปใส่ดีๆด้วยน้ำใจอ่อนโยน อย่างนี้ก็ขอให้ลองสำรวจศีล โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยการพูดจา

    พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนพูดพล่ามเพ้อเจ้อเก่งๆจะทำให้ไม่มีคนเชื่อถือ การก่อวจีทุจริตข้ออื่นๆก็เช่นกัน ทั้งในแง่โกหก นินทา และพูดหยาบคายเป็นนิตย์ ต่างมีส่วนเป็นเหตุแห่งความไม่น่าเชื่อถือ แต่ต้องว่าการพล่ามเพ้อเจ้อนั้นส่งผลตรงและแรงสุด เพราะพิสูจน์ได้ตั้งแต่ในชาติปัจจุบันทีเดียว

    ในแง่ของจิต คนพล่ามเพ้อเจ้อ หรือเป็นผู้มักพร่ำเพ้อรำพันง้องแง้งนั้น จะมีลักษณะจิตที่ปั่นป่วน คนอยู่ใกล้แล้วรู้สึกสับสน วิงเวียน หรือพร่ามัวตาม คลื่นจิตดังกล่าวที่มารบกวนความรู้สึกคนเห็นหรือคนฟังให้พลอยมัวมน จะทำให้ใครต่อใครรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่มีหลัก ไม่มีความชัดเจน ไม่ให้ความรู้สึกด้านดี แม้การประพฤติตัวโดยทั่วไปจะอยู่ในศีลในธรรมอย่างไรก็ตาม

    และจิตที่ปั่นป่วนมัวมนดังกล่าวนี้ก็เป็นของติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงต้นๆวัยจะมีคลื่นสมองที่ทำงานไม่เป็นระเบียบ คิดแบบกระโดดไปกระโดดมา ทำให้จับเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นสาระ แล้วก็ดลใจให้ฝักใฝ่ไปในทางเพ้อเจ้ออีก

    หากสำรวจทั้งในแง่ของทานและศีลแล้ว ก็ไม่พบว่าเรามีความเป็นเช่นนั้น นั่นไม่ใช่นิสัยติดตัวของเรา คราวนี้ก็คงต้องดูความมีวินัย เราพูดแล้วทำได้ตามที่พูดไหม รับปากแล้วเป็นไปตามที่รับปากไหม ความสามารถรักษาสัญญากับตนเองก็สำคัญ คนที่ไม่อาจนับถือตนเอง ไม่อาจเชื่อใจตัวเองว่าจะทำงานเสร็จตามกำหนดเวลา ไม่สามารถเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ไม่แน่ใจว่าจะทำตามปณิธานได้แค่ไหน ก็จะมีบุคลิกลักษณะเก้ๆกังๆ ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกน่าเชื่อถือขึ้นมาได้เช่นกัน

    อีกประการหนึ่ง คนในโลกนั้นถือเครดิตก็เป็นเรื่องสำคัญ คุณต้องประสบความสำเร็จในเรื่องหนึ่งๆ มีผลงานเป็นรูปธรรมที่คนอื่นแลเห็น หรืออย่างน้อยมีความพากเพียรทำกิจอย่างสม่ำเสมอ จึงจะมีแรงส่งไปกระทบความรู้สึกของคนอื่น

    คนมีประสบการณ์มากจะมีรายละเอียดข้อมูลในหัวอยู่มาก คิดได้มาก พูดได้มาก และลงมือทำให้กิจการงานลุล่วงเป็นรูปเป็นร่างได้มาก ถ้าเป็นเช่นนี้แค่ขยับตัว ยังไม่ทันพูดอะไร ก็พร้อมจะมีคนเงี่ยหูฟังเราแล้วครับ สรุปในแง่ทางโลกคือขยันทำงานให้มากเข้าไว้ เดี๋ยวข้อมูลเต็มกระบะสมองแล้วดีเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...