ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อาคารถล่มในกรุงนิวเดลี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คน

    [​IMG]

    นิวเดลี 16 พ.ย.-มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คนจากเหตุอาคารถล่มทางตะวันออกของกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และคาดว่ายังมีผู้เคราะห์ร้ายอีกประมาณ 20-25 คนที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

    นางไชลา ดิคชีท นายกเทศมนตรีกรุงนิวเดลี กล่าวว่า อาคารดังกล่าวซึ่งมีความสูงประมาณ 4 หรือ 5 ชั้นอาจก่อสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่น้ำท่วมหนักเมื่อ 1 เดือนที่แล้วทำให้โครงสร้างของอาคารอ่อนแอ น้ำท่วมเกิดจากฝนตกหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีทำให้น้ำในแม่น้ำยมุนาเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมกรุงนิวเดลี

    ตำรวจ กล่าวว่ามีผู้บาดเจ็บ 83 คนถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล 3 แห่ง และว่าขณะนี้ตำรวจกำลังตามหาเจ้าของอาคารเพื่อนำตัวมาสอบสวน ทั้งนี้เป็นที่เชื่อว่าอาคารดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยใช้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย แต่รายงานบางกระแสระบุว่าเป็นที่ตั้งของบริษัทส่งออกเสื้อผ้าและกลุ่มบริษัทผลิตอาหารว่าง

    เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกจากสถานที่เกิดเหตุเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากเส้นทางเข้าไปสู่อาคารคับแคบทำให้ยากต่อการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ขนาดหนักเข้าไปช่วยกู้ภัย.-สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 16 พ.ย. 2553

    ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟไหม้ตึกสูงในเซี่ยงไฮ้เพิ่มเป็น 42 คน

    [​IMG]

    จีน 16 พ.ย. - เหตุเพลิงไหม้อพาร์ตเมนต์ความสูงหลายชั้นที่อยู่ระหว่างต่อเติมในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีผู้เสียชีวิตถึง 42 คน

    ภาพที่บันทึกได้จากช่างภาพสมัครเล่น เผยให้เห็นเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อาคารอพาร์ตเมนต์ ความสูง 28 ชั้น ในนครเซี่ยงไฮ้ และกลุ่มควันปกคลุมหนาทึบ สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิงหลายร้อยนาย เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และเร่งดับเพลิง รวมถึงอพยพผู้คนที่อยู่ในอาคาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครูอาจารย์ที่เกษียณอายุราชการแล้ว ออกนอกอาคาร โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

    ตรวจสอบภายในอาคารพบผู้เสียชีวิต 42 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยกว่า 20 คน บาดเจ็บสาหัส ขณะที่ผู้คนอีกกว่า 100 คน ได้รับการช่วยเหลือออกจากตัวอาคารได้ ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้ยังอยู่ระหว่างสืบสวน. - สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 16 พ.ย. 2553

    ผู้นำไต้หวันเตือนจีนอย่าทำให้ไต้หวันอับอาย

    [​IMG]

    ไทเป 15 พ.ย.- ประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ของไต้หวัน เตือนจีนอย่าทำให้ไต้หวันอับอายบนเวทีระหว่างประเทศและอย่าทำให้ความไว้วางใจรวมทั้งมิตรภาพที่บ่มเพาะมาตลอด 2 ปีต้องตกอยู่ในความเสี่ยง

    ประธานาธิบดีหม่า เตือนในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวกลางไต้หวันของทางการ เป็นการแสดงปฏิกิริยาแข็งกร้าวที่สุดต่อกรณีที่จีนและไต้หวันขัดแย้งกันบนเวทีเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว ที่ญี่ปุ่น เมื่อเดือนก่อน สืบเนื่องจากนายเจียง ผิง หัวหน้าคณะผู้แทนจีนระบุว่าไต้หวันควรเข้าร่วมเทศกาลนี้ภายใต้ชื่อจีนไต้หวัน หรือจีนไทเป ประธานาธิบดีหม่า กล่าวว่า ไต้หวันและจีนใช้เวลา 1 ปี 6 เดือน ในการทำข้อตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจและได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง

    แต่ความสำเร็จนี้อาจสลายไปทันทีหากเกิดกรณีอย่างนายเจียง ผิง ขึ้นมาอีกครั้งหรือสองครั้ง แม้ความสัมพันธ์ของไต้หวันและจีนดีขึ้นนับตั้งแต่เขาขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2551 แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความแตกต่างกันอยู่ กรณีเจียง ผิง เป็นเพียงส่วนย่อยของปัญหาทั้งหมด ขอให้ทั้งสองฝ่ายวางปัญหาเรื่องอธิปไตยในขณะนี้ไว้ก่อนแล้วสร้างความไว้วางใจร่วมกัน

    ด้านหนังสือพิมพ์ยูไนเต็ดเดลีนิวส์ในไต้หวันรายงานว่า นายเหลียน จ้าน อดีตรองประธานาธิบดีไต้หวันได้หยิบยกกรณีเจียง ผิง ขึ้นหารือกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีน นอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) นายหู ไม่ได้ให้การรับรองใด ๆ และกล่าวเพียงว่าควรหาทางเจรจากันเกี่ยวกับเรื่องไต้หวันเข้าร่วมเวทีระหว่างประเทศเพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหา.-สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 16 พ.ย. 2553

    ที่มา http://www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nut_20036

    nut_20036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +1,776
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • B1.JPG
      B1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      1,342
    • B2.JPG
      B2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53.3 KB
      เปิดดู:
      1,379
  3. 1535

    1535 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +2,105
    ภาพภัยพิบัติที่ไต้หวัน ที่ได้รับมาทางฟอร์เวิร์ดเมล์ เอามาแบ่งปันกันค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image001.jpg
      image001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.2 KB
      เปิดดู:
      1,239
    • image002.jpg
      image002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.6 KB
      เปิดดู:
      1,250
    • image003.jpg
      image003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.1 KB
      เปิดดู:
      1,241
    • image004.jpg
      image004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      159.6 KB
      เปิดดู:
      1,247
    • image005.jpg
      image005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.6 KB
      เปิดดู:
      1,204
    • image006.jpg
      image006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.6 KB
      เปิดดู:
      1,207
    • image007.jpg
      image007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      163.9 KB
      เปิดดู:
      1,241
    • image008.jpg
      image008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.1 KB
      เปิดดู:
      1,221
    • image009.jpg
      image009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.2 KB
      เปิดดู:
      1,216
    • image010.jpg
      image010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51 KB
      เปิดดู:
      1,197
    • image011.jpg
      image011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.7 KB
      เปิดดู:
      1,194
    • image012.jpg
      image012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.1 KB
      เปิดดู:
      1,192
    • image013.jpg
      image013.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.5 KB
      เปิดดู:
      1,189
    • image014.jpg
      image014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      1,198
    • image015.jpg
      image015.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.4 KB
      เปิดดู:
      1,179
    • image016.jpg
      image016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.3 KB
      เปิดดู:
      1,183
    • image017.jpg
      image017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69 KB
      เปิดดู:
      1,184
    • image018.jpg
      image018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.4 KB
      เปิดดู:
      1,182
    • image019.jpg
      image019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.9 KB
      เปิดดู:
      1,167
    • image020.jpg
      image020.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.1 KB
      เปิดดู:
      1,172
    • image021.jpg
      image021.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.5 KB
      เปิดดู:
      1,170
    • image022.jpg
      image022.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.7 KB
      เปิดดู:
      1,122
    • image023.jpg
      image023.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      1,175
    • image024.jpg
      image024.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.7 KB
      เปิดดู:
      1,163
    • image025.jpg
      image025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.5 KB
      เปิดดู:
      1,160
    • image026.jpg
      image026.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.1 KB
      เปิดดู:
      1,179
    • image027.jpg
      image027.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.1 KB
      เปิดดู:
      1,134
    • image028.jpg
      image028.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.8 KB
      เปิดดู:
      1,138
    • image029.jpg
      image029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.7 KB
      เปิดดู:
      1,130
    • image030.jpg
      image030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.3 KB
      เปิดดู:
      1,167
    • image031.jpg
      image031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      109.1 KB
      เปิดดู:
      1,111
    • image032.jpg
      image032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.5 KB
      เปิดดู:
      1,148
    • image033.jpg
      image033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.2 KB
      เปิดดู:
      1,133
    • image034.jpg
      image034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.7 KB
      เปิดดู:
      1,103
    • image035.jpg
      image035.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.5 KB
      เปิดดู:
      1,116
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010
  4. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    ทำใจและพัฒนาจิต..สะสมบุญคิดดีๆทำดีๆ ละเว้นชั่ว เพราะเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น...หากเกิดจริงๆจะได้ไม่ทุกข์มาก
     
  5. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    ภัยพิบัติของไต้หวัน นับว่าเลวร้ายกว่าบ้านเรามาก

    เค้าก็ยังทนกันอยู่ได้ ทรหดจริงๆ

    นี่เค้าจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า....วันหนึ่ง
    แผ่นดินของเค้า อาจจะจมลงใต้มหาสมุทรทั้งหมด
    แล้วพวกเค้าจะไปอยู่ที่ไหนกัน....
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ในขณะที่หลายท่านที่เป็นพี่น้องชาวไทยของเรา ได้ประสพภัยพิบัติกันด้วยตัวเองแล้ว ย่อมรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นแน่นอน

    การประกาศเตือนภัยให้ผู้คนตระหนักรู้และเตรียมตัว เตรียมใจ มีความสำคัญมาก

    แต่การลงมือ เตรียมตัว เตรียมความพร้อมเพื่อรับภัยพิบัติ ระลอกต่อไปนั้น หากเราทุกคนเสียสละกัน ด้วยแรงกาย แรงสติปัญญา แรงใจกัน

    มาสานความสามัคคี สานความคิด ร่วมกันทำอย่างที่ขณะนี้มีหลายองค์กร หลายหน่วยงานที่มองออกและร่วมใจกัน วางงานแล้ว

    เวลามีอีกไม่นานมากครับ

    เร่งทำก่อนที่จะสายเกินไป

    บทภัยจะมา ของที่หลายคนคิดว่าเตรียมตัวไว้ดีแล้ว ยัง เอาไปไม่ได้ กันหลายท่านครับ
     
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    งานในส่วนสายบุญสายกุศลที่เราร่วมใจกันทำก็ปรากฏผลจริงครับ

    อย่างน้ำท่วมใหญ่ที่ลพบุรีครั้งนี้ บ้านดินมดแดงที่พวกเราไปเรียนทำบ้านดิน ไปฝึกสมาธิกันก็ปลอดภัยชนิดไม่มีอะไรกล้ำกลาย

    ศูนย์พุทธศรัทธาก็ปลอดภัยดี

    เป็นผลแห่งพุทธานุภาพอันหาประมาณไม่ได้ครับ

    <table id="post4040333" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">๑กุหว่าใจ๋๑
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2006
    อายุ: 36
    ข้อความ: 378
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,147
    ได้รับอนุโมทนา 4,949 ครั้ง ใน 378 โพส
    พลังการให้คะแนน: 344 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4040333" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> เรื่อง การหย่อนเหรียญขอบารมีพระรัตนตรัยและสิ่งศักด์สิทธิ์ เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครอง สร้างอาณาเขตสัมมาทิฐินั้น ผมได้ทำในพื้นที่จ.พัทลุงไปแล้วประมาณ 40 % จากที่ได้สังเกตุจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ สังเกตุได้ว่าพื้นที่ที่ได้ทำการหย่อนเหรียญไปแล้วนั้น ได้รับผลกระทบไม่มากนัก ผิดกับพื้นที่ที่ไม่ได้ไปหย่อนซึ่งได้รับผลกระทบมากกว่าหลายเท่า

    ใน บางครอบครัวที่ผมพอทราบว่าเค้าประกอบมิจฉาอาชีพ แม้จะอยู่ในเขตที่ได้ทำการหย่อนเหรียญไปแล้ว แต่ก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก ทราบว่าสวนยางที่ปลูกมา 7 ปีกำลังจะได้ตัดก็หมดเกลี้ยง หากเป็นไปได้ที่ทุกๆคนจะพยายามตั้งอยู่ในความดี ตั้งอยู่ในมรรคทั้ง8 คงช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เยอะครับ
    </td></tr></tbody></table>
    และของคุณอนุวัฒน์ครับ
    ---------------------------------------------

    .......................

    ยืนยันข้อธรรมของน้องครับ บางสถานที่ที่มีกรรมมากพี่กับคณะก็เข้าไปหย่อยลูกแก้วและเหรียญทำน้ำมนต์ไม่ ได้ เพราะบางสถานที่กรรมหนักมากต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม งานที่ทำอยู่ขณะนี้ก็คือช่วยแผ่นดินกับคนดีที่มีศีลธรรม เพราะต่อไปพวกนี้จะเป็นกลุ่มที่ช่วยพระศาสนาต่อไป ส่วนนอกนั้นต้องเป็นไปตามกรรม ตามวาระของแต่ละคน พายุฝนที่เกิดทุกครั้ง ทุกคนคิดว่าเป็นพายุตามฤดูกาลเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเป็นทั้งพายุตามฤดูกาลและเรื่องของกรรมของประเทศ กรรมของบุคคลที่คอยทำร้ายธรรมชาติกัน และมีอีกมายมายที่บางท่านยังไม่ทราบ เรื่องของโรคระบาดแต่ละชุดที่เกิดมาหลังภัยพิบัติด้วย ถ้ารับรู้สิ่งเหล่านี้ บอกได้อย่างเดียวว่าหน้ากลัวมาก เป็นเรื่องของอจิตไตย นั่งพูดเล่าเรื่อง ๓ วันก็ไม่หมด ตั้งแต่นี้ไปช่วยกันสวดมนต์ที่บ้าน นั่งสมาธิแผ่เมตตาขอความปราถนาให้แผ่นดินปลอดภัยจากภัยพิบัติ ให้คนมีศีลธรรม อยู่รอดปลอดภัย เพื่อช่วยพระศาสนาต่อไป ช่วยกันหย่อยลูกแก้วเหรียญทำน้ำมนต์ให้ได้มากที่สุดตลอดชายฝั่ง ตลอดเกาะต่าง ๆ ในแผ่นดินทุกสถานที่ที่เป็น ห้วย หนอง คอลอง บึง ทะเล

    เมื่อวันที่ ๑๓ ได้เดินทางไปหย่อนลูกแก้วและเหรียญทำน้ำมนต์ ที่ อ.สิชล และ อ.ทาศาลา ที่แนวชายทะเล และคลองสะพานต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว พอตี ๔ ของวันที่ ๑๔ พ.ย.๕๓ ได้เดินทางไปร่วมกับคณะบวงสรวงท้าวมหาราชช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติและสาม จังหวัดชายแดนใต้ ที่วิหารน้ำน้อย ให้ปลอดภัย จากหนักเป็นเบา

    ชายทะเลด้านจังหวัดพังงา หน้าจะมีอาสาสมัครมาช่วยกันวางลูกแก้วกันนะครับ
    วางให้เสร็จก่อน ๓๐ พ.ย.๕๓ ยิ่งดีมากครับ

    โมทนาสาธุกับทุกดวงจิตที่ช่วยกัน สาธุ
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ประกาศ ****

    ขอให้สัตว์โลกทั้งหลาย
    หยุดยั้งการรบราฆ่าฟัน ล้างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์
    จงสงบศึกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    เราวิงวอนขอให้ท่านเลิก
    ถ้าใครไม่เลิก ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม จะพบแต่ความวิบัติ
    นี่คือ คำปรารถนาของเราและเจตนาของโลกุตตระ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2010
  9. kontamma

    kontamma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +56
    หวังว่าประกาศของท่าน จะส่งไปถึงผู้มีอำนาจที่จะหยุดยั้งสิ่งเลวร้ายได้ครับ:cool:
     
  10. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    ภัยธรรมชาติปีนี้ออกมาเตือนแรงมาก.....ทั่วโลก

    สัญญานแบบนี้ ทำให้คิดว่าเวลาคงใกล้เข้ามามากเหมือนกับที่มีคำพยากรณ์
    ดูแล้ว กรุงเทพฯและภาคกลางทั้งหมดคงไม่พ้นภัยพิบัติที่จะมีตามมาแน่นอน

    ในเมื่อจะอยู่กันไม่ได้แล้ว ทำไมเราไม่เตรียมหาสถานที่ใหม่เพื่อเตรียมการอพยพแบบถาวร เพราะยังงัยก็ต้องไปแน่นอนแล้ว

    การไปอยู่กันแบบโดดเดี่ยวมีโอกาสรอดพ้นภัยพิบัติได้ยาก
    แต่ถ้าอพยพกันไปสร้าง "หมู่บ้าน ศีล ๕" อย่างนี้มีทางไปได้สบาย

    ยังงัยรบกวนคุณเล็กช่วยพิจารณาเป็นต้นธาตุ ต้นธรรม ต้นแบบ ต้นความคิดด้วย นะครับ ขออนุโมทนา......
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระอาจารย์หลายท่านเน้นหนักเรื่องศีลห้า ที่พึงเป็นพื้นฐานจิตใจของผู้มีศีลมีธรรมพึงรอดจากภัยพิบัติครับ

    หากมีพรหมวิหารสี่และมั่นคงในไตรสรณะคมม์ด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่

    ดังนั้นหากเราเตรียมวัดและร่วมกันสร้างชุมชนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองรอบวัด โอกาสที่จะรอดหรือบรรเทาเบาจากภัยพิบัติก็จะมากขึ้นครับ

    ถึงแม้หลายท่านจะเตรียมสถานที่หลบภัยของครอบครัวเราเองแล้ว

    หากเราเสริมเราเชื่อมประสานกับวัดและชุมชนโดยรอบให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีศีล มีธรรม ก็ยิ่งเสริมเพิ่มความปลอดภัยให้ส่วนรวมไปด้วย

    แต่หากเราคิดว่า บ้านเราพร้อม มีเสบียง มีอาหาร มีน้ำครบ แต่ ชุมชนรอบบ้าน อดอยากหิวโหยจนกลายเป็นโจรผู้ร้ายปล้นชิงฆ่ายื้อแย่งอาหารกัน ักดกินเนื้อกันเพราะอด เราจะอยู่ได้ไหม

    เหตุนี้ผมจึงเน้นหนักเรื่อง งานภาพรวมที่จะช่วยทุกคนให้มากที่สุด โดยมุ่งเน้น เรื่องวัดเป็นจุดศูนย์กลางชุมชน หรือ โครงการ บ ว ร

    ผู้ที่จะรอด ไม่ใช่เพราะเตรียมที่พัก อาหาร น้ำครบ แต่

    รอดเพราะ

    มีเมตตาต่อกัน เอื้อเฟื้อกัน มีศีล มีธรรม จึงจะผ่านพ้นยุคสมัยแห่งภัยพิบัติไปได้
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ถึงคุณพี่เกษมครับ

    wellrider<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT> สมาชิก

    [​IMG]


    http://www.payakorn.com/webboard_ans...lag=1&mypage=1

    เรื่องภัยพิบัติในกระทู้นี้น่าสนใจครับ ผมเลยเอามาบอกต่อ :cool:
    __________________
    ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
    "
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
     
  13. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    ======================================


    17 พ.ย. 53


    จิ๊บครับ อาจะนัดเรื่อง นัดพบแนวร่วมที่หน้าสถานีรถไฟดอนเมืองในวันที่
    28 พ.ย. 4 ธ.ค. หรือ 5 ธ.ค. เวลา 11.00น.-12.00น. วันใดวันหนึ่ง
    จิ๊บว่างวันไหนครับ?

    สองวันนี้อาเข้าไปหาจิ๊บในซอยปิ่น 3 วนอยู่วันละรอบก็หาไม่เจอ บ้านใหม่
    จิ๊บบ้านเลขที่เท่าไรครับ?

    อาฝากขนมไว้กับคุณเยื้อมมา 4วันแล้ว จิ๊บไปสถานธรรมอย่าลืมนำไปทาน
    ที่บ้านด้วย

    วันนี้อาได้ไปบ้านคู่เขยคนกลาง จะให้ลูกน้องเขาช่วยทำขาตั้งปั้มโยกกับปั้ม
    ซับเมิช เที่ยวหน้าถ้ามีแนวร่วมสนใจจะขึ้นไปฐานผาแบ่นก็จะนำไปติดตั้งแทน
    ขาไม้พร้อมกับก่ออิฐฉาบปูนให้แข็งแรงกว่าปัจจุบัน

    อาได้ขออนุญาตใช้พื้นที่บ้านของเขาจัดสร้างบ้านน็อคดาว์นพร้อมกับขอแรง
    ให้ลูกน้องเขาช่วยเชื่อมเหล็กให้อาด้วย คงอีก 4-5วันก็จะเริ่มทำ ทำเสร็จก็จะ
    นำขึ้นฐานฯพร้อมกับแนวร่วมใหม่ที่สนใจจะไปดูพื้นที่ฐาน

    อาเค






    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน


    ======================================
    ภาพฐานผาแบ่นบางส่วนค่ะ
    ภาพความคืบหน้าฐานผาแบ่น1
    ภาพความคืบหน้าฐานผาแบ่น2
    ที่มา นาม "องค์อินทร์ ๙๗"







    ---------------------------------------------------------------------
    หลงทางเสียเวลา แต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่เรื่องทุกข์ และการพ้นทุกข์เท่านั้น<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ยอดผู้เสียชีวิตจากภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียเพิ่มเป็น 273 คน

    [​IMG]

    จาการ์ตา 17 พ.ย. – เจ้าหน้าที่อินโดนีเซีย เปิดเผยวันนี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียปะทุขึ้นเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เพิ่มเป็น 273 คนแล้ว ขณะที่ประชาชนกว่า 300,000 คน ยังคงต้องอาศัยอยู่ในค่ายบรรเทาทุกข์ชั่วคราว

    เจ้าหน้าที่จัดการภัยพิบัติ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยพบศพของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมจากบริเวณรอบภูเขาไฟลูกดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดชวากลาง และนับตั้งแต่เมื่อวานนี้ มีประชาชนราว 50,000 คน เดินทางกลับบ้านเรือนของตนเอง หลังรัฐบาลประกาศปรับพื้นที่อันตรายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา.- สำนักข่าวไทย

    วันพุธ ที่ 17 พ.ย. 2553

    อินเดียระดมรื้อซากอพาร์ตเมนต์ถล่ม ขณะยอดเสียชีวิตเพิ่มเป็น 67 คน

    [​IMG]

    นิวเดลี 17 พ.ย. – ยอดผู้เสียชีวิตจากอพาร์ตเมนต์ 5 ชั้นในกรุงนิวเดลีของอินเดียพังถล่มลงมาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 67 คนแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดมรถแทรกเตอร์รื้อซากอาคาร ส่วนความหวังในการพบผู้รอดชีวิตริบหรี่ลงทุกขณะ

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากอาคารหลังดังกล่าวนับตั้งแต่เกิดเหตุถล่มเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทมส์รายงานว่า มีประชาชน 20 คนยังคงติดอยู่ใต้ซากอาคาร ทั้งนี้ สาเหตุของโศกนาฏกรรมดังกล่าวถูกพุ่งเป้าไปยังการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน น้ำจากแม่น้ำยมุนาซึ่งเข้าท่วมขังฐานอาคาร รวมทั้งคาดว่า อาจเกิดจากการต่อเติมอาคารชั้นที่ 5 อย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทางการกรุงนิวเดลีเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบอพาร์ตเมนต์หลังอื่น ๆ ในเขตดังกล่าว เพื่อประเมินว่า มีอาคารที่อาจถล่มลงมาอีกหรือไม่ เนื่องจากอาคารหลายหลังสร้างขึ้นโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย

    โฆษกตำรวจเปิดเผยว่า นับจนถึงขณะนี้ มีการยืนยันยอดผู้เสียชีวิตแล้ว 67 คน แต่ยังไม่ทราบจำนวนผู้สูญหายที่แน่ชัด ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวนราว 100 คน เจ้าหน้าที่กำลังเร่งระดมรื้อซากอาคาร และยังไม่สามารถสรุปยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด เพราะงานกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป ส่วนเจ้าของอพาร์ตเมนต์ถูกจับกุมได้ที่บ้านญาติ -สำนักข่าวไทย

    วันพุธ ที่ 17 พ.ย. 2553

    มีผู้เสียชีวิต 12 คนจากน้ำท่วมระลอกใหม่ในเวียดนาม

    [​IMG]

    ฮานอย 17 พ.ย.- เจ้าหน้าที่เวียดนามกล่าวว่า เกิดเหตุน้ำท่วมอีกระลอกในเวียดนาม มีผู้เสียชีวิต 12 คน และสูญหาย 2 คน ทำให้ผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในเวียดนามนับตั้งแต่เดือนตุลาคมมีจำนวนรวม 179 คนแล้ว

    สำนักงานควบคุมอุทกภัยและวาตภัยแห่งชาติในเวียดนาม รายงานว่า เหตุน้ำท่วมระลอก 3 ในรอบ 6 สัปดาห์ ทำให้บ้านเรือนจำนวน 37,000 แห่งเต็มไปด้วยน้ำท่วมขังและได้รับความเสียหาย ประชาชนเกือบ 10,000 คนต้องอพยพออกในใจกลางเวียดนาม ก่อนหน้านี้ น้ำท่วม 2ระลอกเมื่อเดือนตุลาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 167 คนทั่วจังหวัดภาคกลางของเวียดนาม ซึ่งนับเป็นพื้นที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ทั้งนี้เวียดนามมักเผชิญกับพายุโซนร้อนและน้ำท่วมในช่วงเวลานี้ทุกปี.-สำนักข่าวไทย

    วันพุธ ที่ 17 พ.ย. 2553

    ที่มา http://www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    มารู้จักการรักษาศีล ๕
    (แบบอธิบายความกันอย่างละเอียดครับ)

    [​IMG]

    วิชาเบญจศีล เบญจธรรม

    ศีล แปลว่า เย็น ปกติ ได้แก่ กิริยาที่เป็นข้อห้าม, กัลยาณธรรม ได้แก่ ความประพฤติดีงาม ชอบธรรม,
    สิกขาบท หมายถึง องค์แห่งศีลแต่ละข้อ (องค์แห่งศีลอย่างหนึ่งๆ)

    ศีลหรือวินัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมมิให้แตกร้าวจากข้อระเบียบ ให้ประโยชน์คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนในการดำรงชีพ ถือเป็นข้อบัญญัติที่เป็นบรรทัดฐานสำหรับให้บุคคลประพฤติดีงาม การล่วงละเมิดสิกขาบท กระทำได้ทางกาย วาจา หรือ ทั้งกายและวาจา ปรับโทษมากน้อยตาม วัตถุ เจตนา และประโยค(ความพยายาม)

    เบญจศีล แปลว่า ศีล ๕ ประการ (๕ สิกขาบท) มีเบญจธรรม หรือ เบญจกัลยาณธรรมคู่กันดังนี้

    เบญจศีล

    ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการฆ่าสัตว์
    ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์
    ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ
    ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มน้ำเมา

    เบญจธรรม

    ๑. เมตตา กรุณา
    ๒. สัมมาอาชีวะ
    ๓. กามสังวร
    ๔. สัจจะ
    ๕. สติ

    สิกขาบทที่ ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี (เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง)

    สัตว์ ในที่นี้ หมายเอาทั้งมนุษย์และดิรัจฉานที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งในครรภ์และนอกครรภ์ บัญญัติขึ้นเพื่อหวังจะให้รู้จักปลูกจิตเมตตาในสัตว์ทุกจำพวก สิกขาบทนี้ ห้าม ๓ อย่างคือ ๑ ห้ามฆ่า ๒ ห้ามทำร้ายร่างกาย ๓ ห้ามทรกรรม

    ๑. การฆ่า ได้แก่ การทำให้ตาย มี ๒ คือ ๑ ฆ่ามนุษย์ ๒ ฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน โดยเจตนาแบ่งได้ ๒ คือ จงใจและไม่จงใจ

    ๒. การทำร้ายร่างกาย มี ๓ สถาน คือ ๑ ทำให้พิการ ๒ ทำให้เสียโฉม ๓ ทำให้เจ็บทรมาน

    ๓. การทรกรรม หมายถึงการประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์ไม่ปราณีมี ๕ ลักษณะ ได้แก่

    ๓.๑ การใช้งานสัตว์ ปล่อยให้อดไม่ให้พักผ่อน
    ๓.๒ กักขัง (ในกรง)
    ๓.๓ นำไป(ผูกมัดสัตว์ขณะขนย้าย)
    ๓.๔ เล่นสนุก เช่น ยิงนก จุดประทัดผูกหางสุนัข เป็นต้น
    ๓.๕ ผจญสัตว์ ให้สัตว์ต่อสู้กัน เช่น ปลากัด ไก่ชน

    สิกขาบทที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี (เว้นจากกการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้)

    สิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ ได้แก่ ๑ ของมีเจ้าของ ๒ ของสงฆ์หรือของสาธารณะ

    ทรัพย์แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ

    ๑. สวิญญาณกทรัพย์ ทรัพย์มีวิญญาณ เช่น วัว ควาย ไก่
    ๒. อวิญญาณกทรัพย์ ทรัพย์ไม่มีวิญญาณ เช่น บ้าน รถ เงินทอง

    แบ่งตามลักษณะการเคลื่อนที่ ได้แก่

    เคลื่อนที่ได้ เรียก สังหาริมทรัพย์ มีโต๊ะ เก้าอี้ เงินทอง สัตว์เลี้ยง เป็นต้น
    เคลื่อนที่ไม่ได้ เรียก อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน เป็นต้น

    บัญญัติขึ้นเพื่อหวังจะให้เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ เว้นจากการเบียดเบียนกันและกัน สิกขาบทนี้ห้าม ๓ อย่างคือ ๑ โจรกรรม ๒ เลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม ๓ กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม

    โจรกรรม คือ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่ไม่มีผู้ให้ด้วยอาการเป็นโจร มีหลายประเภท

    ๑.๑ ลัก ได้แก่ กิริยาถือเอาสิ่งของด้วยอาการเป็นโจร แบ่งเป็นขโมย,ตัดช่อง,ย่องเบา
    ๑.๒ ฉก ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของในเวลาที่เจ้าของเผลอ เช่นตีชิง,วิ่งราว
    ๑.๓ กรรโชก ได้แก่ กิริยาข่มขู่ให้ยอมมอบทรัพย์
    ๑.๔ ปล้น ได้แก่ กิริยาที่ยกพวกไปเอาสิ่งของผู้อื่นด้วยอำนาจ
    ๑.๕ ตู่ ได้แก่ กิริยาฟ้องร้องเอาของผู้อื่น
    ๑.๖ ฉ้อ ได้แก่ กิริยาถือเอาของผู้อื่นอันตกอยู่ในมือตน เช่นรับฝากของเขาไว้แล้วปฏิเสธ
    ๑.๗ หลอก ได้แก่ กิริยาพูดปดเพื่อเอาของผู้อื่น
    ๑.๘ ลวง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของผู้อื่นโดยการทำให้เข้าใจผิด เช่น แม่ค้าโกงตาชั่ง
    ๑.๙ ปลอม ได้แก่ กิริยาทำของไม่แท้ให้เป็นของแท้
    ๑.๑๐ ตระบัด ได้แก่ กิริยา ยืมของท่านแล้วยึดของเป็นของตนเอง
    ๑.๑๑ เบียดบัง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาเศษ เช่น เก็บค่าเช่าได้มากให้ท่านน้อย
    ๑.๑๒ สับเปลี่ยน ได้แก่ กิริยาเอาของไม่ดีของตน ไปเปลี่ยนแทนของดี
    ๑.๑๓ ลักลอบ ได้แก่ กิริยาของหลบหนีภาษี
    ๑.๑๔ ยักยอก ได้แก่ กิริยานำเอาทรัพย์ของหลวงหรือเจ้าหนี้ไปไว้เสียที่อื่น

    ๒. การเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม หมายถึง กิริยาที่แสวงหาทรัพย์ในทางไม่บริสุทธิ์ มี ๓ ประการ

    ๒.๑ สมโจร คือ กิริยาที่อุดหนุนส่งเสริมพฤติกรรมของโจร เช่น รับซื้อของโจร
    ๒.๒ ปอกลอก คือ กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์เพื่อจะเอาทรัพย์เขา
    ๒.๓ รับสินบน

    ๓. กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่ทำทรัพย์ของผู้อื่นให้สูญหายและเป็นสินใช้ตกอยู่แก่ตน

    ๓.๑ ผลาญ ได้แก่ กิริยาที่ทำอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น
    ๓.๒ หยิบฉวย ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นด้วยความมักง่าย

    สิกขาบทที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี ( เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย)

    กามในที่นี้ได้แก่ กิริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี สิกขาบทนี้บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะป้องกันความแตกร้าวในสังคม ทำให้ไว้วางใจกันได้

    หญิงต้องห้าม มี ๓ จำพวก

    ๑. ภรรยาท่าน ได้แก่ หญิง ๔ จำพวก คือ

    ๑.๑. หญิงแต่งงานกับชายแล้ว
    ๑.๒. หญิงไม่แต่งงานแต่อยู่กินกับชายโดยเปิดเผย
    ๑.๓ หญิงผู้รับสิ่งของมีทรัพย์เป็นต้นของชายแล้ว ยอมอยู่กับเขา
    ๑.๔ หญิงที่ชายเลี้ยงเป็นภรรยา

    ๒. หญิงที่อยู่ในปกครองของท่าน ได้แก่หญิงที่มารดาบิดา หรือญาติ หรือผู้ปกครองพิทักษ์รักษาอยู่

    ๓. หญิงที่จารีตห้าม ได้แก่หญิง ๓ จำพวก

    ๓.๑ หญิงในพิทักษ์ของตนเช่น เทือกเถาของตน ได้แก่ แม่ ย่ายาย และเหล่ากอของตน ได้แก่ ลูก หลาน เหลน
    ๓.๒ หญิงภายใต้บทบัญญัติทางศาสนา เช่น แม่ชี
    ๓.๓ หญิงที่กฎหมายบ้านเมืองห้าม และลงโทษแก่ชายผู้สมสู่ด้วย

    ชายต้องห้าม มี ๒ จำพวก คือ ๑ ชายอื่นนอกจากสามีเป็นวัตถุต้องห้ามของหญิงมีสามี ๒ ชายที่จารีตห้าม เช่น ภิกษุ สามเณร นักบวชศาสนาอื่น สามีผู้อื่น

    สิกขาบทที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี ( เว้นจากการพูดเท็จ )

    ความเท็จชื่อว่า มุสา กิริยาที่พูดหรือแสดงอาการมุสา ชื่อว่า มุสาวาท สิกขาบทนี้บัญญัติขึ้นด้วยหวังจะห้ามการตัดประโยชน์ทางวาจา

    มีข้อห้าม ๓ อย่างคือ ๑. มุสา ๒. อนุโลมมุสา ๓. ปฏิสสวะ

    ๑. มุสา มีทั้งทางกาย และวาจา เช่น เขียนหนังสือโกหกเป็นมุสาทางกาย พูดโกหกเป็นมุสาทางวาจา มุสา มี ๗ ประเภทได้แก่

    ๑.๑ ปด มุสาตรงๆ ไม่มีมูล เช่น เห็นว่าไม่เห็น มี ๔ ลักษณะได้แก่ ส่อเสียด พูดให้แตกแยก, มารยาหรือหลอก พูดเพื่อจะโกงเขา, ยอ พูดเพื่อยกย่อง, กลับคำ พูดแล้วไม่รับ
    ๑.๒ ทนสาบาน เช่น การสาบานในศาลว่าจะพูดความจริง ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าตนโกหก
    ๑.๓ ทำเล่ห์กระเท่ห์ เช่นอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาลาภ เช่น อ้างว่าคงกระพันชาตรี
    ๑.๔ มารยา กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง เช่นพวก มือถือสากปากถือศีล
    ๑.๕ ทำเลศ พูดมุสาเล่นสำนวน เช่นเห็นมีคนวิ่งเข้าบ้านตอนตนเองอยู่หน้าประตู เมื่อถูกถามก็ตอบว่า ตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นใครวิ่งเข้าบ้าน ผู้ถามก็เข้าใจว่าไม่เห็นจริงๆ เป็นต้น
    ๑.๖ เสริมความ เช่น พรรณนาสรรพคุณยาเกินจริง
    ๑.๗ อำความ พูดความจริงแต่ตัดข้อความออก

    ๒. อนุโลมมุสา คือเรื่องที่กล่าวนั้นไม่เป็นจริงและผู้กล่าวไม่ได้จงใจจะกล่าวให้ผู้ฟังเข้าใจผิดมี ๒ ลักษณะ คือ

    ๒.๑ เสียดแทง กิริยาที่ว่าผู้อื่นให้เจ็บใจได้แก่ ด่า,ประชด
    ๒.๒ สับปลับ พูดปดด้วยความคะนองวาจา แต่ก็มีเจตนามุสา

    ๓. ปฏิสสวะ เดิมรับคำท่าน แต่ภายหลังไม่ทำ มี ๓ ลักษณะ คือ

    ๓.๑ ผิดสัญญา ( บุคคล ๒ ฝ่ายให้สัญญาต่อกันว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่กลับทำตรงข้าม )
    ๓.๒ เสียสัตย์ ( ให้คำมั่นว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับบุคคลคนหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง แต่กลับทำตรงข้าม )
    ๓.๓ คืนคำ ( รับปากกับบุคคลใดไว้ว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วทำตรงข้าม )

    มุสาวาท ไม่มีโทษ หมายถึงคำที่เรียกว่า ยถาสัญญา มี ๔ ประเภท ได้แก่

    ๑ โวหาร คือ คำหรือสำนวนที่ใช้เป็นธรรมเนียม เช่นลงท้ายจดหมายว่าด้วยความเค่รพอย่างสูง
    ๒ นวนิยาย คือ เรื่อง ที่แต่งขึ้นมา แล้วผู้ฟังผู้อ่านก็รู้ว่าเป็นเรื่องแต่ง
    ๓ สำคัญผิด คือ พูดมุสาเพราะเข้าใจผิด เชื่อว่าสิ่งที่พูดนั้นถูกต้องแล้ว ไม่มีเจตนามุสา
    ๔ พลั้ง คือ เผลอพูดออกไปด้วยความเคยปาก ไม่มีเจตนามุสา

    สิกขาบทที่ ๕ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี (เว้นจากกการดื่มน้ำเมาและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท)

    น้ำเมาที่เป็นแต่เพียงของดอง ชื่อว่า เมรัย, เมรัยถูกกลั่นเพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้นขึ้น ชื่อว่าสุรา สิกขาบทนี้บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ละเมิดข้อห้าม ๔ สิกขาบทข้างต้น

    วิรัติ แปลว่า เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น มี ๓ ประการ คือ

    ๑. สัมปัตตวิรัติ คือเว้นจากวัตถุอันมาถึงเฉพาะหน้า เว้นจากความชั่วโดยไม่ได้ปฏิญาณไว้ล่วงหน้า เพราะพิจารณาเห็นว่าไม่สมควรแก่ ชาติ ตระกูล ยศศักดิ์ บริวาร ความรู้ ละอายบาป เกรงกลัวบาป เช่น เพื่อนชวนดื่มสุรา แต่ไม่ดื่ม เพราะคิดว่าจะขับรถกลับบ้านไม่ได้ หรือกลัวถูกตำรวจจับเพราะเมาแล้วขับ เป็นต้น

    ๒. สมาทานวิรัติ คือ งดเว้นด้วยการสมาทานของผู้รักษาศีล เช่น ภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา เว้นจากการล่วงละเมิดสิกขาบทด้วยการสมาทานเป็นกิจวัตร เช่น นักเรียนสมาทานศีล๕ ไว้แล้ว ก็เลยไม่ฆ่าสัตว์เพราะเป็นการละเมิดศีล

    สมาทาน หมายถึง กิริยาที่รับข้อปฏิบัติมาถือเป็นหรือปฏิบัติตาม เช่น สมาทานศีล

    ๓.สมุทเฉทวิรัติ คือ การงดเว้นด้วยการตัดขาดเป็นคุณธรรมของพระอริยเจ้าที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป จนถึงพระอรหันตเจ้า จะไม่ละเมิดศีล หรือวินัยอีกเด็ดขาด

    เมตตากรุณา กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๑

    เมตตา ความคิดปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข เช่น พ่อ แม่เลี้ยงดู ครูสั่งสอน ด้วยเมตตา

    กรุณา ความปรารถนาให้สัตว์อื่นปราศจากทุกข์ สงสารคิดช่วยให้พ้นทุกข์ ตรงข้ามกับ วิหิงสา ความเบียดเบียน

    สัมมาอาชีวะ กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๒

    สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ต้องประกอบด้วยกิริยาที่ประพฤติเป็นธรรมอีก ๓ อย่างคือ

    ๑ ประพฤติเป็นธรรมในหน้าที่การงาน ทำงานสุจริต ทำงานด้วยความตั้งใจ ตรงต่อเวลา หนักเอาเบาสู้

    ๒ ประพฤติเป็นธรรมในบุคคล ซื่อตรงต่อบุคคล ทุกชนชั้น โดยไม่เกี่ยงว่า จน รวย สวย ขี้เหร่ ฉลาด โง่

    ๓ ประพฤติเป็นธรรมในวัตถุ ถ้าค้าขายก็ขายสินค้าคุณภาพดี สมราคา ไม่ขายเกินราคาเหมาะสม

    กามสังวร กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๓

    กามสังวร คือการระวังควบคุมตนไม่ให้ประพฤติผิด จำแนกได้ตามประเภทบุคคล ๒ คือ

    ๑. สทารสันโดษ ชายมีภรรยาแล้วยินดีเฉพาะภรรยาของตนไม่ผูกรักใคร่ในหญิงอื่น ช่วยกันหาเลี้ยงชีพ

    ๒. ปติวัตร หญิงมีสามีแล้วต้องปฏิบัติสามี จงรักภักดีในสามีของตนเท่านั้น แม้สามีเสียชีวิตแล้วก็ไม่ผูกใคร่ในชายอื่น

    สัจจะ กัลยาณธรรมในสิกขาบทที่ ๔

    ความสัตย์ คือ ความจริง มี ๔ ลักษณะ คือ

    ๑. ความเที่ยงธรรม เที่ยงตรงในหน้าที่ ไม่ให้ผิดพลาดด้วยอคติ ๔ เช่น การทำหน้าที่ของผู้พิพากษา

    ๒. ความซื่อตรง ต่อมิตร ไม่ขายเพื่อนหรือหลอกเพื่อนกิน

    ๓. สวามิภักดิ์ จงรักภักดีในเจ้านายตน เช่นทหารจงรักภักดีต่อชาติ พระมหากษัตริย์

    ๔ ความกตัญญู รู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้วแก่ตน เช่น บุตร รู้คุณบิดรมารดา เป็นต้น

    สติ กัลยาธรรมในสิกขาบทที่ ๕

    ความมีสติรอบคอบ คือ ความระลึกนึกคิดได้ ประกอบกับสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ตรงข้ามกับความประมาท มี ๔ ประการคือ

    ๑. รู้จักประมาณในอาหารที่จะพึงบริโภค คือรู้จักพอเพียง ไม่สุรุ่ยสุร่าย

    ๒. ไม่เลินเล่อในการงาน รู้วิธีการ กาลเทศะ ทำงานมีประสิทธิภาพ

    ๓. มีสัมปชัญญะในการประพฤติตัว มีมารยาทเรียบร้อย เหมาะสม ไม่เผลอทำกิริยาไม่งาม

    ๔. ความไม่ประมาทในธรรม รู้จักโลกธรรม ๘ ไม่ยินดียินร้ายจนเกินไปในสิ่งที่ต้องประสบพบเจอ อีกทั้งยังไม่ประมาทในวัยว่าเรายังเด็กหนุ่มสาวอยู่ ไม่ต้องรีบสร้างกุศล หรือ การวางอุเบกขาในสังขาร ของมนุษยที่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา เป็นต้น

    *จะรักษาศีลให้มั่นคงต้องมีหลักธรรม คือ หิริ(ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ(เกรงกลัวต่อผลของบาป)

    เรียบเรียงโดย พระอาจารย์สฤษดิ์ สุทฺธิจิตฺโต

    ที่มา สรุปเนื้อหาวิชาเบญจศีลเบญจธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2010
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** คำว่าสัตว์ ****

    ในทางธรรมมีความจริงอยู่อย่าง เกี่ยวกับสัตว์โลก
    คือ สัตว์โลก ที่มีขนาดใหญ่ แบบไดโนเสาร์
    จนไปถึงขนาดเล็กกว่าปลายขนตา ที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    การเอ่ยวาจาว่า ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    วาจาคำพูดที่ออกมาจากปาก จึงเป็นการพูดแบบกว้างรวม
    แต่ใจ คนเราส่วนใหญ่ มักคิดถึงสัตว์ใหญ่ๆที่มองเห็น
    การกระทำที่เกิดขึ้นจริง ดูๆกัน ก็เห็นว่า ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใครเลย
    แต่ในทางธรรม เมื่อขยายการกระทำออกมา
    ก็พบว่าบางขณะ ไปเหยียบมดแมลงตาย ยืนเดินนั่งนอนทับสัตว์ตัวเล็กบาดเจ็บล้มตายไปมาก ในแต่ละวัน
    ถึงแม้จะทำโดยไม่ตั้งใจให้เกิด แต่มันเกิดตัวกระทำขึ้นมาแล้ว
    ตัวกระทำนี้ ก็จะส่งผลตอบแทนแบบ ไม่ตั้งใจให้เกิด
    เช่น เจ็บป่วย เป็นโรค ติดเชื้อ ทำให้ไม่แข็งแรงทรุดโทรม เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น
    หากคิดจะทำสิ่งใด ก็ขอให้พิจารณาในสิ่งที่ทำได้จริง
    ระบุขอบเขตในสิ่งที่จะทำ ให้ความชัดเจนกับตัวเอง
    แล้วค่อยทำให้ได้จริง จะได้เกิดการกระทำเที่ยงที่ทำได้จริง
    ผลตอบแทนเที่ยง ก็จะพาให้รอดพ้นกรรมไปได้

    สรุปได้ว่า สัจจะเป็นแก่นสารทุกการกระทำ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ทำนายโลกร้อนเหตุกรุงเทพฯจมน้ำ(แบบถาวร)
    ในอนาคต 7 ปี

    [​IMG]

    นักวิทย์นาซาระบุไม่เกิน 10 ปีหมีขั้วโลกสูญพันธ์ ทำนายเปลือกโลกเคลื่อนตัวเร็วขึ้นทำไทยเกิดแผ่นดินไหว-สึนามิถี่ ไม่เกิน 7 ปีกรุงเทพจมน้ำ

    ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่า เปิดเผยในงานสัมมนาโลกร้อน:ผลกระทบของชาวเชียงใหม่ วันนี้ (17 กันยายน 2553) ที่โรงเรียนพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ว่า ขณะนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เป็นสาเหตุหลัก ทั้งการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างไม่คำนึงถึงอนาคต การตัดไม้ทำลายป่า การปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก

    ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงเป็นอันดับ 1 ของโลกจำนวน 30.3% จีน รองลงมาจำนวน 30% และประเทศอินเดียผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 23% และประเทศไทยเองก็อยู่ในลำดับที่ 22-23 จาก 200 ประเทศทั่วโลก ถือว่าอยู่ในอันดับที่สูง

    อย่างไรก็ตาม ในอนาคตแนวโน้มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมก๊าซคาร์บอนไดออกซด์เคยมี 300 ส่วนใน 1 ล้านส่วน แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 395 ส่วนใน 1 ล้านส่วน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    "ความเปลี่ยนแปลงกับโลกที่เกิดขึ้นตอนนี้หากทุกคนช่วยกันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข แต่ตอนนี้ทุกคนทุกประเทศทั่วโลกต่างเกี่ยงกัน ทะเลาะกัน ไม่ช่วยกันแก้ไขหรือยับยั้งการทำลายโลก บางทีเราก็ต้องรอให้เกิดภัยพิบัติขึ้นก่อนถึงจะค่อยร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติและชิลี ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ทุกประเทศไม่ได้เดือดร้อน ใส่ใจมากนัก เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นที่ประเทศชิลี แกนโลกมีการเปลี่ยนแปลง 8 เซนติเมตร แต่ก็ไม่มีใครสนใจ" ดร.อาจอง กล่าว

    นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงมากมายทั้งอุณหภูมิช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โลกร้อนขึ้น เกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกสี หมายถึงปะการังเสียชีวิตซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น พายุมีระดับความรุนแรงมากขึ้นจากเดิมเคยเกิดที่ระดับ 3 ริกเตอร์ถือว่ามีความรุนแรง พายุโลกใหญ่

    แต่ตอนนี้เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นเป็นที่ระดับ 4-5 ริกเตอร์ น้ำในทะเลสาปเริ่มแห้ง น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย อุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 4 องศาเซลเซียส และภายในไม่ถึง 10 ปีหมีขั้วโลกจะสูญพันธ์ไปจากโลก รวมถึงระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 6 เมตร เป็นต้น

    ดร.อาจอง กล่าวต่ออีกว่า หลังจากนี้ไปโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง อย่างแรกโลกเปลี่ยนแกน ขั้วโลกเหนือจะย้ายมาอยู่ในพื้นที่ประเทศสเปน ตอนใต้ของยุโรปปัจจุบัน อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็วแต่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวเร็วขึ้นตามรอยเลื่อน รอยแยกต่างๆ โดยจะมีความเร็วในการเคลื่อนตัวไม่เท่ากัน ซึ่งจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว สึนามีจำนวนครั้งและความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น

    ในส่วนของประเทศไทยที่อยู่บนรอยเลื่อนยูเรเชียน เพลท (Eurasian Plate) ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยคาดว่าจะเกิดสึนามิขึ้นบริเวณอ่าวไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภาคใต้จะได้รับผลกระทบหนักสุด

    ส่วนพื้นที่ภาคเหนือบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียวราย พะเยา น่าน ลำปาง อุตรดิตถ์ จะเกิดรอยร้าวขึ้น เกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น แต่ความแรงไม่น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์ ทั้งนี้ จะเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากเพิ่มมากขึ้น แต่ถือว่ามีความปลอดภัย

    ส่วนภาคกลางทั้งกรุงเทพ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ นนทบุรี อยุธยา ฯลฯ จะจมใต้ทะเล และเชื่อว่าอีก 7 ปีข้างหน้ากรุงเทพจะไม่สามารถอยู่ได้เพราะถูกน้ำท่วม

    โดย : วรัทยา ไชยลังกา

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 24 กันยายน 2553

    ที่มาhttp://www.bangkokbiznews.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2010
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เฮติ-เหยื่ออหิวาต์เพิ่มเป็น 1,034 คน

    [​IMG]

    [​IMG]

    ยอดผู้เสียชีวิตจากการระบาดของอหิวาตกโรคในเฮติ เพิ่มขึ้นไปกว่า 1,000 คนแล้ว และผู้ติดเชื้อกว่า 16,700 คน ต้องนอนโรงพยาบาล

    กระทรวงสาธารณสุขเฮติ ประกาศเมื่อวานนี้ว่ายอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 1,034 คน และประชาชนกว่า 16,700 คน นอนพักรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ องค์กรการกุศล "แพทย์ไร้พรมแดน" ของฝรั่งเศส รายงานว่า เฉพาะคลินิกของขององค์การการกุศลแพทย์ไรพรมแดน รับผู้ป่วยไว้รักษาถึงกว่า 12,000 คน

    ขณะเดียวกัน การชุมนุมที่เกิดจากความกลัวการระบาดของอหิวาตกโรคยังคงดำเนินไปทางภาคเหนือของเฮติ การประท้วงพุ่งเป้าทหารรักษาสันติภาพสหประชาชาติ ที่ต้องสงสัยว่าแพร่เชื้ออหิวาต์มาให้กับเฮติ แต่สหประชาชาติปฏิเสธความรับผิดชอบ

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    ชาวเฮติโทษทหารยูเอ็นแพร่เชื้ออหิวาต์

    [​IMG]

    [​IMG]

    ชาวเฮติซึ่งกำลังเผชิญกับการระบาดของอหิวาต์ ได้ปะทะกับทหารสหประชาชาติหลังจากที่มีการปล่อยข่าวว่า ทหารสหประชาชาติเป็นผู้นำโรคอหิวาต์เข้ามายังเฮติ

    การระบาดของอหิวาตกโรคในประเทศเฮติ นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากโรคได้แพร่ระบาดเข้ามายังกรุงปอร์โตแปร็งซ์ซึ่งเป็นเมืองหลวง ล่าสุด จำนวนผู้เสียชีวิตมีกว่า 1,000 คนแล้ว ทั้งยังมีผู้ป่วยด้วยโรคอหิวาต์อีกเกือบ 15,000 คน ทำให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งแออัดไปด้วยผู้ป่วยด้วยโรคอหิวาต์ ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างชาวเฮติตามเมืองต่างๆกับทหารรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ เนื่องจากมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่า โรคอหิวาต์ที่แพร่ระบาดในเฮตินั้นติดมากับทหารรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ นอกจากนั้นยังได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ยูเอ็นว่า ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีทั้งในด้านการแพทย์ และการให้ความรู้แก่ชาวเฮติในช่วงที่โรคเริ่มระบาด

    กระทรวงสาธารณสุขเฮติ ประกาศเมื่อวานนี้ว่ายอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 1,034 คน และประชาชนกว่า 16,700 คน นอนพักรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ องค์กรการกุศล "แพทย์ไร้พรมแดน" ของฝรั่งเศส รายงานว่า เฉพาะคลินิกของขององค์การการกุศลแพทย์ไรพรมแดน รับผู้ป่วยไว้รักษาถึงกว่า 12,000 คน

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    ที่มา www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2010
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ** ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง **
    [​IMG]
    พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ

    ....โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติ เป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้วเมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่ภัยธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนักเมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้น ในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด ​

    ....ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภัยธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ เมื่อโลกนี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นในสถานที่มีมนุษย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก

    ....ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป จะทำให้มนูษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซนต์ ของประชากรโลก แล้วเริ่มตันชีวิตใหม่ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน​

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องต่อกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไปเจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
    ๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
    ๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
    ๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า
    ....ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น
    ๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
    ๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
    ๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
    ๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย

    ....ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้น อยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว ทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิดขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆ เป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร จากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบ อย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

    ....นี้เป็นส่วนหนึ่งที่วาตภัยทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน ต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบ จากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ

    ....วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเลไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่างๆของตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆจะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น ทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัย จะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

    ....ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง จะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะมีความทุกข์เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก เพราะบ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้ ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

    ....วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรง ลมก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สินทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆพอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้

    ....ความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกันหรือได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้องให้ใครๆมาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์อย่างนี้นับแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัยธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป

    ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุกมุมโลก ทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน เครื่องบินที่เคยเหาะเหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย รถเรือที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อกันไม่ได้เลย

    ..... วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย .....

    ....วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากา
    ศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้งเครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความแปรปรวน

    ....ถ้าเครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้วหมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน

    ....ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็กก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง ถึงเครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแสจนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบินในโลกนี้ก็ต้องหยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

    ....ดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับ สัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมากที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสารจะทำงานไม่ได้

    ....ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ จะไม่มีใครๆขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียมก็จะมีปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้ เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

    ....กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสาร จากภัยธรรมชาติต่างๆก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

    ....ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง เมื่อครบวงจรของเปลือกโลกเสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้ ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความทุกข์เดือดร้อนไปตามๆกัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ....๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นพิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่าลมประทุให้หินในพื้นพิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว จะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็นอย่างมาก อาคารต่างๆก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆช่วยกันได้

    ....การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่อง อย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป ในเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้ ความเป็นไปในลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นพิภพต้องเป็นอย่างนี้

    ....ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นพิภพเสื่อมอยู่ในท่าม กลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่าแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิดระเบิดอย่างกว้างขวาง หลายๆประเทศจะได้รับผลกระทบ ตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยกออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นพิภพเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัยในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง

    ....ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นพิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้น ในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหากมีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นพิภพ น้ำทะเล
    เดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร เครื่องเตือนภัยสื่อสารกับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิดความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่างๆก็จะเกิดตามมา เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มีหมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้ ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร

    ***** อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย *****

    .... อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้
    อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง เพราะฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัย เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความอดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดความแปรปรวนไปทั่วหนแห่งทุกมุมโลก

    ....ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผลแต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกินจะขาดแคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน

    ....อัคคีภัยที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้ อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหนก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้
    ในยุคสมัยที่ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก มนุษย์จะได้รับผลกระทบล้มตายไปเพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก ความร้อนจากแสงแดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไปความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนที่เกิดขึ้น จากดวงอาทิตย์บนโลกและความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหนแห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่างๆหาได้ยาก

    ....ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้
    ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้เกิด อาหารภัย คือ ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค จะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่างๆก็จะเกิดตามมา ในปัจจุบันมีโรคระบาดหลายชนิดที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่างรุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยาก

    ....เมื่อประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะ
    เกิดโจรภัยการจี้ปล้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะเบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน ญาติมิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลาค่ำคืนก็ไม่มี ฟืนที่จะหามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่มก็ขาดแคลน เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว

    ....เหตุการณ์อย่างนี้จะมีเกิดขึ้นในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็รู้สึกว่าเฉยๆ เหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องของเราและไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคึนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว

    ....อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบันก็เริ่มมีผลกระทบ
    อยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในตัวของมันเอง หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้เพิ่มพูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนในพื้นพิภพจะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิ
    ดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับวาตภัยลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่อากาศและตกลงมา มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ

    ....มนุษย์จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะ
    ถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัยจะทำให้ภูเขาไฟ เกิดปะทุขึ้นหลายๆจุดต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัยจากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอดเวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใดไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยังได้รับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอยู่นั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อคลังแสง ห
    มายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลายๆประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้ในสถานที่ต่างๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะกระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้เกิดเป็นโรคภัยก็จะพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา เรื่องอัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้นอาจจคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น

    ....ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก
    มนุษย์ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่ส่วนใหญ่ความร้อนเกืดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุกๆปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้าหวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และจะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุกๆปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไปจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง

    ....มลพิษภัยที่เกิดขึ้นตามมา คือ มลพิษทางน้ำ
    น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่งสกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้าไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตายเป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย

    ....มลพิษเหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่
    มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่างๆตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่ แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง

    ....มลพิษภัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุดหงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เมื่อสังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษ จากภัยธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน นี้เรียกว่าถึงยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    ....คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ....๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง

    ....๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง

    ....๓. อากาศ

    ทั้ง ๓ อย่างนี้รวมกันจึงเรียกว่า
    "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น ก็เพราะธรรมชาติมีความเสื่อมไปตามอายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป

    *จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี*

    ....ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมี
    ปัญญาชนที่มีความรู้ดีในหลักวิทยาศาสตร์ มีความฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้นโคจรในอวกาศ เพื่อเป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องตัวฉับไวในการทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมีความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้มองโลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้นคือภัยธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป

    ....หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชี
    วิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบายก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่เป็นอย่างมาก ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใครๆช่วยเหลือกันได้

    ....ทางฝ่ายบริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือ
    นได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงานต่างๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำงานสื่อสารลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือเครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย ผู้มีความรู้ในทางคอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีต่างๆ ก็จะสิ้นสุดจบลงตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มตันใหม่ตามธรรมชาติเอง

    ....มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญ
    า ค้นคิดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดี คิดประดิษฐ์สื่ออุปกรณ์ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วงที่มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้ในหลักการข้อมูลต่างๆทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    ....ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศา
    ตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลข หรือหรือเทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด เมื่อสัญญาณของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการ และเอกชนจะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัยสัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว หลักการวิธีการแผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร การพัฒนาหรือธุรกิจต่างๆเหมือนกับว่า ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย คำว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้ ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไปจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงาน การปกครองอย่างใหญ่หลวง

    ....ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลกมี
    มากมายหลายอาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้งดาวเทียมการใช้สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจตามที่ต้องการ เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัยขับขี่ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมา ก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้ ตัวภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และเป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั้นๆ

    ....เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่างๆ ได้ทำล
    ายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อยและอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากันอยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนา ความเจริญในทางโลก ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่างสถานที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่าวสารต่อกันด้วยวิธีใด ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไรอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใครเป็นญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน

    ....แม้แต่การศึกษาหาความรู้ในหลักวิธีการต่างๆ ก็ไม่
    มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้งภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตายก็เกาะกัยเป็นกลุ่ม นานๆเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้
    ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความ แตกต่างกัน เรื่องภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัยธรรมชาติในยุคนั้นผ่านมาอีกยาวนานจนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้างประเทศเล็กบ้างตามประชากรของแต่ละประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศจะมีภาษากลางของแต่ละประเทศในการสื่อสารกัน แต่ละประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มีภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลายๆชนเผ่าที่เล็กๆ ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละประเทศจะพูดไม่เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกันแต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษากลางของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก

    ...........***** บทสรุป *****..........

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายประวัติศาสตร์ในพุทธวงศ์
    คือวงศ์ของพระพุทธเจ้า และประวัติอายุขัยของมนุษย์ มีขาขึ้นขาลงดังที่อธิบายไว้แล้ว และเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกัน ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามากและมีการศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้หลายๆท่าน ต้องคิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอเชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็เป็นได้

    ....เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อ
    เลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่าจะเกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไปอีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหา เป็นเชื้อพาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิดเป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอต่อภัยธรรมชาตินี้อีกมิใช่หรือ เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติในการเกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความจริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง

    ....ความเห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแ
    ตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคตภายภาคหน้า ความเห็นของมนุษย์ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิดใครจะมีความเห็นถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้ามาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใครเชื่อในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เรื่องบาปบุญคุณโทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้

    ....ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญ
    ให้เราทำดีเอาไว้ในชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการทำดีการพูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหากที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะต้องได้รับผลในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและสังคมส่วนรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุดความก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็นหลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

    ....การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่
    าจบในระดับนั้นระดับนี้มาจึงจะเชื่อถือได้ ที่จริงใบประกาศนียบัตรเป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มากมีความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้นๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่วดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น

    ....ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมาก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้ยังเป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการในภาคการศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจคนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัวเอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้เอาวุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

    ....คำสอนของพระพุทธเจ้าหลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่
    อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เราสังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีตจนถึงปัจจุบันภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

    ....ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ให้รับฟังจา
    กกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนภัยไว้บ้าง เฉพาะต่างประเทศ หลายๆประเทศที่ได้ประสบภัยธรรมชาตินับแต่จะมีความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะได้รบผลกระทบอย่างมาก

    ....มนุษย์มีส่วนทำให้ภัยธรรมชาติเกิดอยู่บ้าง เช่น อ
    าหารภัย ภัยที่ใช้สารเคมีมาเป็นปุ๋ยในพืชผล และปรุงอาหารชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง จะมีผลกระทบต่อร่างกายและมีผลกระทบเข้าหาใจได้ ถ้าร่างกายเกิดวิบัติจากสิ่งต่างๆ มีความเจ็บไข้อย่างไร ใจก็จะได้รับความทุกข์ไปด้วย เป็นอันว่ามนุษย์ทั้งหลายมาเกิดท่ามกลางภัยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังคำว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ แล้วแตกสลายตายไป เรียกว่าเวียนเกิดเวียนตายในภพทั้งสาม

    ....การเกิดมาในโลกนี้ ผู้ที่ไม่ทำกรรมไม่มีในโลก แต่ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่วมากกว่ากันเท่านั้น โลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์กลาง เป็นสถานที่สร้างกรรม เมื่อตายแล้วกรรมจะเป็นตัวนำพาให้ไปเกิดในภพอื่น หมุนเวียนไปมาเป็นวัฏจักรไม่มีที่จบสิ้น เมื่อผลกรรมหมดลง ก็จะได้มาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อสร้างกรรมอีกต่อไป และได้เจอต่อภัยธรรมชาติของโลกนี้อีก จะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

    ....เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี
    ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทันในความเป็นอยู่ของโลกนี้ให้ได้ในยุคต่อไป ในช่วง ๖ พันกว่าปีข้างหน้า จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทางที่ดีเราควรหาวิธีเว้นวรรคในการเกิดชั่วขณะหนึ่ง เมื่อหมดยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมยุคใหม่ ภัยธรรมชาติจะสิ้นสุดลงในยุคนั้น สภาพความเป็นอยู่จะมีความสมบูรณ์ มนูษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เราจะเกิดมาเกิดใหม่ในยุคนั้น สมควรที่จะมาเกิดได้ เพราะในยุคนั้นเป็นยุคของผู้มีบุญจะลงมาเกิดร่วมกัน ชีวิตความเป็นอยู่จะมีความสุข ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

    ....ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็
    นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามาและได้สังเกตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้นมีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัวแล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่างๆก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องไกลตัว หลายๆประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์มากทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด พวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้

    ....ในเหตุการณ์หนึ่ง ที่คนทั่วโลกเริ่มตระหนักและพู
    ดถึงกันอยู่มาก นั่นคือ "โลกร้อน" ก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะละลาย ทำให้เพิ่มปริมาณของน้ำทะเลมากขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมในสถานที่ต่างๆ ตามชายฝั่ง อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก นี้เป็นส่วนหนึ่ง ให้เราพากันรับฟังข่าวสารของโลกเอาไว้

    ....ข้าพเจ้าได้รับฟังข่าวเรื่องโลกร้อนและก้อนน้ำแข็ง
    ที่ขั้วโลกเหนือละลายเช่นกัน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีเวลาได้ไปดูก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือในเขตอล้าสก้า นั่งเรือไปหลายชั่วโมงกว่าจะถึงก้อนน้ำแข็งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ข้อคิดว่า อันน้ำแข็งนี้จะละลายจริงหรือไม่ ก้อนหิมะขนาดใหญ่เท่าภูเขาหลายลูกขาวโพลนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เรียกว่า ภูเขาหิมะ ที่สะสมกันมาหลายพันปี มีอากาศหนาวเย็น จึงมีหิมะตกลงมาเป็นกลุ่มก้อน เมื่อความร้อนของโลกเพิ่มขึ้นจึงทำให้ก้อนภูเขาหิมะเกิดพังทลายเสียงดังสนั่นท่ามกลางมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งลอยพันเป็นแพขาวโพลนในสถานที่แห่งนั้น

    ....ข้าพเจ้าได้สังเกตดูว่า ที่ว่าก้อนน้ำแข็งจะกร
    ะทบความร้อนแล้วละลายทำให้น้ำทะเลเอ่อท่วมโลกนั้น เมื่อสังเกตดูเหตุการณ์แล้ว คงไม่ถึงขั้นที่จะเกิดน้ำท่วมโลกแต่อย่างใด ถึงจะมีอยู่บ้างก็จะท่วมเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งนั้นจะถูกความร้อนแผดเผา ไอของน้ำแข็งก็จะแห้งหายไปตามความร้อนนั้น มีส่วนหนึ่งก็จะทำให้น้ำทะเลเพิ่มขึ้น แต่จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกตามที่ฝรั่งได้คำนวนเอาไว้ ข้าพเจ้าได้ไปดูด้วยตาตัวเอง จึงได้นำมาบอกกล่าวให้ท่านรับรู้เอาไว้เท่านั้น

    ....ในเหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดมีว
    าตภัยเกิดลมแปรปรวนอย่างรุนแรง อุทกภัยมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทั้งลมทั้งฝนได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างรุนแรง ก้อนน้ำแข็งที่ถูกความร้อนแผดเผาจะละลายกลายเป็นน้ำมากขึ้น ก็จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติ ถ้าลมได้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง มีฝนตกในหลายพื้นที่ ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรง

    ....อล้าสก้าเดิมเป็นพื้นแผ่นดินของรัสเซีย
    มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ ส่วนมากเป็นภูเขา มีชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ชื่อว่า เผ่าเอสกิโม มีอาชีพชาวประมง เป็นเกาะขนาดใหญ่มีต้นไม้ภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาที่เป็นหยกเขียว หยกสีชมพู หยกแดงมากมาย และมีแร่ทองคำ มีน้ำมัน และมีแร่ธาตุอย่างอื่นอีก เรียกว่าเป็นพื้นที่มีทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย ๓ เท่า อากาศจะมีร้อนกับหนาว จะมีร้อนอยู่ ๔ เดือน มีหนาวอยู่ ๘ เดือน จะปลูกพืชผักไม่ได้เพราะมีอากาศหนาวติดต่อกันนาน อาหารจึงมีราคาสูง เพราะมาจากหสหรัฐอเมริกา แคนาดา มีหลายประเทศที่ส่งเข้ามาขาย ระยะเวลานั่งเครื่องบินจากเมืองซีแอตเติ้ลไปอล้าสก้า ใช้เวลาบิน ๓ ชั่วโมง เครื่องบินจะมีรูปคนเผ่าเอสกิโมในหางเครื่องบินทุกลำเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชนเผ่า

    ....อล้าสก้าเป็นพื้นที่ของรัสเซียมาก่อน ทางรัสเซี
    ยมีปัญหาทางบริหารในการพัฒนา ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๒ ของรัสเซีย ได้ขายที่ดินนี้ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน (Andrew Johnson) ค.ศ. ๑๘๖๗ โดยนายวิลเลี่ยม เอช ซูเวิร์ด(William H. Seward) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อดินแดนอล้าสก้า ราคาซื้อขายกันในสมัยนั้น ๗.๒ ล้านเหรียญสหรัฐ อล้าสก้าถึงเวลาหน้าหนาวจะมีความหนาวเย็นมาก เมื่อถึงฤดูร้อนก็มีความร้อนมากเช่นกัน ตะวันขึ้นลงที่อลาสก้าจะขึ้นและตกมีความแตกตื่นในที่อื่นๆ ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม จะมีความสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาค่ำมืดเปิดไฟฟ้าแต่อย่างใดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะมีความมืดเปิดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

    จะดูเวลากลางวันกลางคืนก็ต้องดูนาฬิกา AM - PM เท่านั้น จึงจะรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนได้ ในคืนหนึ่งมีคณะญาติโยมพาข้าพเจ้าไปชมภูเขาสูง ขณะนั้นเวลา ตี ๒ ความสว่างเท่ากับก้อนเมฆปิดบังตะวันวิ่งรถไม่ต้องเปิดไฟ สถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาสูง นั่งรถไป ๒ ชั่วโมง ตะวันตกที่เรียกว่าแสงออร่า เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่หมุนตัวกลับที่เดิม คนที่พาข้าพเจ้าไปพูดว่าไม่เคยมาในที่แห่งนี้ ที่มาได้ก็เพราะดูแผนที่ เขาพูดว่า มีพระองค์เดียวคือหลวงพ่อทูลเท่านั้น ที่ได้ขึ้นมาจุดสูงสุดของขั้วโลกเหนือ ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังเพียงบางส่วนเท่านั้น และมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ขอให้ท่านไปดูด้วยตนเองก็แล้วกัน

    ....เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปที่เมืองแฟร์แบ้งค์ รัฐอลาสก้า ซึ่งคุณละอองดาวและครอบครัว ได้เปิดร้านอาหารชื่อ ไทยเฮ้าส์ (Thai House Restaurant) เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีคนเข้าไปรับประทานอาหารแต่ละวันเป็นจำนวนมาก เพราะอาหารอร่อย นี้เป็นจุดแรกที่ไปพักที่เมืองนี้ ซึ่งมีคณะลูกศิษย์และคณะศรัทธาเป็นจำนวนมากให้การต้อนรับ พาไปเที่ยวชมดูสถานที่ต่างๆ

    ....จากนั้นได้บินต่อไปที่เมืองแองโคเร้จ คณะลูกศิษย์ได้พาไปเที่ยวดูก้อนหิมะที่ขาวโพลนปกคลุมอยู่บนภูเขา ในช่วงนี้ก้อนหิมะกำลังพังทลายลงสู่ทะเล จากนั้ได้ลงเรือขนาดใหญ่บรรจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน ใช้เวลาเดินทาง ๕ ชั่วโมง นี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีก้อนหิมะกำลังละลาย ในอีกส่วนหนึ่งเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ฝรั่งพูดว่ากำลังพังทลายจะทำให้น้ำทะเลเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดน้ำท่วม ก้อนหิมะนี้ได้เกาะกันอยู่มายาวนานหลายพันปี เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่าภูเขา

    ....ข้าพเจ้าอยากไปดูว่าจะละลายกลายเป็นน้ำท่วมโลกหรือไม่ ทางฝรั่งเขาว่ามีอันตรายในการเดินทาง เรือใหญ่ธรรมดาไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะก้อนหิมะแตกกระจัดกระจายไปทั่วตามน้ำทะเลเต็มไปหมด เรือจะเดินผ่านลำบาก และเข้าไปใกล้ไม่ได้ เพราะก้อนน้ำแข็งกำลังพังทลาย และเกิดลมแปรปรวนที่รุนแรง ไม่มีสถานที่ปลอดภัย ระยะทางก็ไกล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๑๖ ชั่วโมง
    เมื่อดูหนังที่เขาฉาย ให้ดูภูเขาน้ำแข็งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัว เมื่อพิจารณาดูด้วยเหตุผลว่าจะมีน้ำท่วมโลกจริงหรือไม่ ให้คำตอบได้เลยว่า "น้ำจะไม่ท่วมโลกตามคำฝรั่งที่พูดกัน" เพราะก้อนน้ำแข็งถูกอากาศร้อนแผดเผาละลายออกจากกัน ส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็จะเกิดไอระเหยตามความร้อนไป จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกได้

    ข้าพเจ้าได้ไปอเมริกาครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ไ
    ด้ไปศึกษาดูภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เฉพาะวาตภัยในอดีตที่ผ่านมา มีลมทอร์นาโดได้เกิดขึ้นแต่ละปีไม่กี่ครั้ง ลมเกิดขึ้นแต่ละครั้งทำความเสียหายให้แก่บ้านเรือนเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าไปทุกปี แต่ละปีมีลมทอร์นาโดเกิดขึ้นปีละหลายๆครั้งและจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอันตรายในความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งหลาย

    ....หลายๆประเทศที่ถูกลมทำลายอย่างมากมาย ใ
    นสมัยก่อนเกิดลมขึ้นปีละ ๓ - ๔ ครั้ง ต่อมามีลมเกิดขึ้นปีละ ๒๐ - ๓๐ ครั้ง ในบางปีเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง นี้เรียกว่าอากาศของโลกกำลังแปรปรวน ทั้งลมก็เกิดมากขึ้น น้ำก็ท่วมในหลายพื้นที่ จึงเป็นแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้ท่านได้ศึกษาเอาไว้ จะอธิบายไว้ไม่ละเอียด และทั้งหมดคิดว่าท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจ เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดมีในโลกอย่างแน่นอน หลายๆประเทศกำลังคิดหาวิธีป้องกันลมป้องกันน้ำท่วม และป้องกันโลกร้อน การจะอาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัยในหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั้น จึงเป็นของยากที่จะป้องกันได้ เพราะภัยธรรมชาตินี้ไม่มีสิ่งใดห้ามได้

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือมาเกิดในยุคเปลือกโลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัยธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดในในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะโลกเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง อย่าไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลักวิชาการต่างๆก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ....ข้าพเจ้าขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ใน
    ที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่าท่านคงไม่ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย


    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">ทั้งหมดนี้ คือหนังสือ "ภัยธรรมชาติ" ที่หลวงพ่อทูล ได้เขียนขึ้น ในปี 2550 และได้มอบให้กระผมนำมาลงในอินเตอร์เน็ต หวังว่าคงเป็นคติธรรมเตือนใจท่านทั้งหลายให้ได้รับประโยชน์โดยทั่วกันนะครับ

    นำมาลงโดย หมอบัญชา ทิพย์อักษร

    ที่มา http://www.watsanfran.com/library/lu...isaster_th.pdf<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %CB%C5~1.JPG
      %CB%C5~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      30.4 KB
      เปิดดู:
      3,656
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2010
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อัฐิของหลวงพ่อทูล..เป็นพระธาตุแล้ว<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    <!--sizeo:3--><!--/sizeo--><!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->อัฐิของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ กลายเป็นพระธาตุ<!--colorc--><!--/colorc--><!--sizec--><!--/sizec-->

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เดือนธันวาคม ๒๕๕๐ หลวงพ่อทูล เริ่มมีอาการเจ็บปวดตามตัว เบื่ออาหาร เหนื่อย พูดเสียงเบา แพทย์ รพ.ศิริราช ตรวจพบก้อนเนื้อที่ปอดด้านขวา เดือนเมษายน ๒๕๕๑ ก้อนเนื้อโตขึ้น และได้แพร่กระจายไปที่กระดูก <!--colorc--><!--/colorc-->จึงเข้ารับการฉายรังสี เพื่อบรรเทาอาการปวด กลางเดือนตุลาคม ๒๕๕๑ ได้เข้ารักษาตัวที่ รพ.วัฒนา จ.อุดรธานี <!--colorc--><!--/colorc-->เนื่องจากปอดติดเชื้อ ก่อนจะกลับมารักษาตัวที่วัด โดยมีแพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด กระทั่งเย็นวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หลวงพ่อทูลหลับสนิท ไม่มีอาการปวด ความดันโลหิตเริ่มลดลง แพทย์ได้ให้น้ำเกลือและยาปรับความดันทางเส้นเลือด หลังจากนั้น หลวงพ่อทูลก็มีความดันไม่สม่ำเสมอ ชีพจรเต้นช้าลง จนกระทั่งหัวใจหยุดเต้น และละสังขารไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี ๕ เดือน พรรษา ๔๘

    ที่มา http://forum.ampoljane.com/index.php?showtopic=57
     

แชร์หน้านี้

Loading...