เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

แท็ก: เพิ่มแท็ก

หน้า 52 ของ 159

จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

115

ค่าพลัง:

+3,098
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

ao.angsila said: ↑

9. วัดบ้านเด่นสหลีศรีเมืองแกน
ถวายปัจจัยทำบุญทุกอย่างกับพระฯ ร่วมสร้างพระ ,พระบรมธาตุ 13 องค์ ,หอไตรฯ,หอระฆังและร่วมทำบุญทุกอย่างกับวัดบ้านเด่นฯ น้อมถวายเป็นพุทธบูชาฯ
รูปที่1.พระวิหารในปี48
2.รูปหอไตรในปัจจุบันนี้ กำลังสร้างบันไดนาคครับ
3.วิหารที่อยู่ข้างพระบรมธาตุกำลังสร้างอยู่
4.วิหาร,โบสถ์,พระบรมธาตุ
5.กำลังก่อสร้างอะไรบางอย่าง(ไม่ทราบแน่)
6.พระนอนในวิหารหลังหนึ่ง
7.พระนอนในมุมใกล้ ผมได้ถวายลูกแก้วพร้อมปัจจัยในมือท่านด้วยครับ
8.ปัจจุบันพระบรมธาตุเกือบเสร็จแล้ว
9.พระบรมธาตุที่ผมไปปี48ครับ
10.วิหาร,หอไตรในปัจจุบัน
11.หน้าวิหาร
12.พระภายในวิหาร
13.รอยพระหัตถ์,พระบาทของครูบาเทืองในพระวิหาร
14.ภาพต้นกฐิน(ไม่ทราบว่าปีไหนแต่อยู่ในวิหาร)แต่ต้นกฐินใหญ่และสวยงามมากขอโมทนาบุญทั้งหมดครับ
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอบารมีพระทุกพระองค์ให้ทุกๆท่านที่ได้ร่วมสร้าง ร่วมโมทนาพระบรมธาตุ 12 ราศรี นี้จงเป็นผู้หมดเคราะห์วัน เคราะห์เดือน เคราะห์ปี ตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ
ปล.ใกล้เสร็จแล้วค่ะ ช่วยๆกันค่ะ
(f) (verygood) (f) (verygood) (f) (verygood)
จิตว่าง, 29 พฤศจิกายน 2006

#1021
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

115

ค่าพลัง:

+3,098
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

seyasa said: ↑

(f) เปิดดูไฟล์ 120099 (f)

พระธาตุพนม

(i) ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ในคราวนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูทรงพิจารณาเห็นโบราณประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ คือ สมเด็จพระกุกกุสันโธ พระโกนาคม และพระพุทธกัสสป ก็ได้เคยมาประดิษฐานไว้ที่ "ภูกำพร้า" อันมีอยู่ใกล้เมืองศรีโคตบุรีนี้

ครั้นพระองค์ทรงดำริเช่นนี้แล้ว จึงเสด็จออกจากพระเชตวันพร้อมด้วยพระอานนท์ตามพุทธลีลามาทางอากาศ ได้เสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่ "โพนฉัน" และ "เวินปลา" จากนั้นจึงประทับค้างคืนที่นี้ ซึ่งมีพระอินทร์ และวิษณุกรรมเทพบุตร เป็นผู้คอยอุปัฎฐาก

(i) ในตอนเช้าจึงเสด็จไปบิณฑบาตเพื่อทรงโปรด พระยาศรีโคตบูร ให้ได้รับทราบภารกิจของพระองค์ว่ การเสด็จมาครั้งนี้ เพราะทรงอาศัยเหตุอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ เมื่อทรงเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้วนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้น มาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้านี้ เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของท้าวพระยา เหล่าเทพเทวา และมนุษย์ทั้งหลายในภายภาคหน้า อันนี้เป็นประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายสืบ ๆ กันมามิได้ขาด

(i) ในตอนนี้ พระอินทร์ จึงกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์ทั้งหลาย และเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย เรียกว่า "เมืองโคตโม" เพราะเหตุพระองค์ทรงพระนามว่า "โคตโม" เพื่อให้เป็นศิริมงคลแก่พระยาศรีโคตบูร ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงเรียกดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า..."

ในขณะนั้นเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เทพเจ้าผู้มีมเหศักดิ์ทั้หลาย อันสิงสถิตในราวป่าบริเวณนั้น จึงได้เปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน แล้วพระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า

(i) "ดูก่อนอานนท์ พระยาศรีโคตบูรองค์นี้ จะจุติไปเกิดในเมืองสาเกตุนคร (ร้อยเอ็ด) มีนามว่า "สุริยกุมาร" เมืองศรีโคตบูรนี้ จักย้ายไปตั้งที่ป่าไม้รวกมีนามว่า "มรุกขนคร" จุติจากชาตินั้นแล้ว จะได้มาเกิดเป็น พระยาสุมิตธรรมวงศา ครองมรุกขนครแล้ว จะได้ปฏิสังขรณ์อุรังคธาตุของตถาคตไว้ที่ภูกำพร้านี้"

ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้เสด็จไปประทับรอยพระบาทที่เมืองหนองหารหลวง (พระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร) แล้วได้เสด็จไปประทับที่ ดอยแท่น (พระธาตุภูเพ็ก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) ทรงระลึกถึงพระมหากัสสป เมื่อพระเถระทราบพระปริวิตกดังนั้นแล้ว จึงมาเฝ้าตามพุทธประสงค์ทันที

(i) องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

(i) "ดูก่อนกัสสป ตถาคตนิพพานไปแล้วเธอจงนำอุรังคธาตุของตถาคตมาไว้ที่ภูกำพร้านี้"

เพราะฉนั้น ในคราวถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระอุรังคธาตุ ที่หุ้มห่อด้วยผ้ากัมพลก็ปาฏิหารย์เสด็จออกจากพระหีบทองมาประดิษฐานอยู่เหนือฝ่ามือเบื้องขวาของพระมหากัสสปะเถระ

(i) ครั้งนั้นท้าวพระยาทั้งหลาย อันมี พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง และ พระยานันทเสน (เมื่อพระยาศรีโคตบูตสวรรคต พระยานันทเสนน้องชายได้ครองต่อมาอีก 13 ปี พระศาสดาจึงปรินิพพาน)

เมื่อพระยาทั้ง 5 นคร รู้ข่าวพระมหากัสสปเถระจะนำพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า ดังนั้น พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน ทั้ง 3 พระองค์ พร้อมด้วยไพร่พลโยธา เสด็จมาประทับและพักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงใต้ปากเซ ตรัสสั่งไพร่พลช่วยกันสกัด "หินมุก" มาสร้างอารามไว้คอยท่าพระมหากัสสปเถระ

(i) ส่วน พระยาสุวรณภิงคาร และ พระยาคำแดง ตรัสสั่งให้ไพร่พลโยธาสกัด "หินมุกหินแลง" มากองไว้เป็นกอง ๆ สำหรับก่ออุโมงค์บนยอด "ดอยแท่น" ที่พระศาสดาเสด็จมาประทับแต่ครั้งโน้น

ต่อมา พระมหากัสสป พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ อัญเชิญพระอุรังคธาตุมาถึงเมืองหนองหารหลวง แล้วไนขึ้นไปประดิษฐานไว้บนแท่นอุโมงค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จนั้นก่อน แล้วเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ท้าวพระยาทั้งสองพร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลายพากันใส่บาตร แล้วได้จัดเครื่องสักการะบูชา ขึ้นไปบนเขานมัสการและทรงน้ำพระอุรังคธาตุ

(i) ขณะนั้น พระยาสุวรรณภิงคารทอดพระเนตรอุดมงนั้น เห็นยังไม่เสร็จจึงทรงพระพิโรธโกรธจัด พระมหากัสสปจึงคิดที่จะเตือนสติพระราชา จึงได้ถามปัญหาธรรมว่า

(i) "อะไรร้อนยิ่งกว่าไฟ อะไรใสยิ่งกว่าแก้วมณี อะไรบ่มีแข้ว (เขี่ยว) รู้กัดคนกินได้ อะไรบ่มีตนตัว รู้เดินเที่ยวไปมาได้นั้นเล่า...พระมหาบพิตร...?"

(i) เมื่อพระยาสุวรรณภิงคารไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ พระเถระจึงอธิบายต่อไปว่าสิ่งที่ร้อนกว่าไฟนั้นได้แก่ "ราคะ ตัณหา" สิ่งที่สว่างยิ่งกว่าแก้วมณีนั้น ได้แก่ สติ และ ปัญญา สิ่งที่บ่มีแข้ว รู้กัดกินคนได้นั้น ได้แก่ "ความแก่เฒ่า" สิ่งที่บ่อมีตัวตน รู้เดินเที่ยวไปมานั้น ได้แก่ "จิต"

ครั้นพระยาสุวรรณภิงคารได้สดับพุทธภาษิตก็มีจิตใจหายขุนมัว จึงขอสถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ ณ ที่นี้ แต่มหาเถระได้ทูลห้ามว่า พระองค์อย่าได้ฝ่าฝืนพระพุทธบัญชาเลย แล้วพระยาทั้งสองจึงอัญเชิญพระอุรังคธาตุขึ้นสู่ปราสาท พร้อมขบวนพสกนิการใส่ชุดขาวแห่พระอุรังคธาตุไปสู่ภูกำพร้า พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย

(i) เมื่อมาถึงแล้ว พระมหาเถระจึงแนะนำให้พระยาทั้ง 5 ได้รู้จักกัน และแนะนำให้ปั้นดินดิบเอาไฟเผาก่อเป็นอุโมงค์ พระยาทั้ง 5 ได้สดับคำดังนี้แล้ว จึงตกลงสั่งให้คนทั้งหลายปั้นดินดิบ ส่วนแม่พิมพ์นดินนั้น เอาฝ่าเมือพระมหาเถระเป็นแบบกว้างยาว

ต่อจากนั้นพระยาทั้ง 5 และเสนาข้าราชบริพานพร้อมด้วยประชาราษฎร์ทั้งหลาย จึงได้ทำการขุดหลุมและก่อเป็นอุโมงค์ เพื่อเป็นที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ขณะอัญเชิญพระอุรังคธาตุนั้น พระอุรังคธาตุที่หุ้มด้วยผ้ากัมพลก็กระทำปาฏิหาริย์เสด็จออกมาประดิษฐานอยู่บนฝ่ามือข้างขวาพระมหากัสสป

(i) พระอรหันต์ทั้งหลายพร้อมด้วยพระยาทั้ง 5 กับทั้งเสนาอำมาตย์ประชาราษฎร์ทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงเปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ปาฏิหารย์เสด็จกลับเข้าไปที่เดิม

หลังจาพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุไว้ในอุโมงค์แล้ว พระยาทั้ง 5 ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ต่าง ๆ เป็นอันมาก เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นต้น แล้วช่วยกันสร้างบานประตูคนละด้าน แล้วให้คนนำเอาหินจากอินเดียและลังกามาฝังไว้ทั้งสี่มุม ในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่

(i) เมื่อเสร็จแล้วจึงทำพิธีสักการบูชาเวียนรอบองค์พระธาตุ พระยาทั้ง 5 อธิฐานขอให้ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลนั้นเทอญ พระอรหันต์ทั้ง 500 มีพระมหากัสสปเป็นประธานจึงพร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาของพระยาทั้ง 5 นั้นว่า

(i) "ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ ของมหาราชเจ้าทั้งมวล จงสำเร็จบริบูรณ์ตามพระราชประสงค์ทุกประการเทอญ..."

หลังจากนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายและพระยาทั้ง 5 ต่าง แยกย้ายกลับไปแล้ว ท้าวสักกะพร้อมด้วยเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายได้ทรงเครื่องชุดขาว เสด็จลงมากระทำการสักการะบูชาพระอุรังคธาตุ ด้วยการจัดเป็นขบวนแห่เครื่องบูชาทั้งหลายแล้ววิษณุกรรมเทพบุตรได้แกะสลักเป็นรูปเทวดาเป็นรูปม้า และรูปพระพทธเจ้าไว้อย่างสวยงาม แล้วจัดให้เทวดารักษาพระอุรังคธาตุ พร้อมด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านั้น

(i) ครั้งนั้น พระอุรังคธาตุเสด็จออกกระทำปาฏิหารย์ แต่ละด้านเสด็จออกมาถึง 6 องค์วกเวียนเสด็จขึ้นมารวมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ตั้งอยู่บนอากาศเสมอยอดอุโมงค์ระยะ 100 วา แล้วเสด็จออกจากยอดอุโมงค์ 2 องค์ เสด็จขึ้นไปเบื้องบน แล้วเสด็จลงมารวมกันเป็นองค์เดียว โตเท่าลูกมะพร้าว แล้วประทักษิณไปทางขวา 3 รอบ ประดิษฐานอยู่ มี่ประตูทิศตะวันออก เฉาพะพระพักตร์ของท้าวสักกเทวราช

(i) เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทังหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงได้เปล่งเสียงสาธุการขึ้นตลอดไปทั่วบริเวณ คนธรรพ์ทั้งปวงประโคมด้วยดุริยดนตรี เหล่าเทพอัปสรท้งหลายต่างก็ฟ้อนรำขับร้องถวายบูชา พระอุรังคธาตุเสด็จเข้าไปประดิษฐานภายในอุโมงค์ทางประตูด้านทิศตะวันออก ประตูก็ปิดเข้าไปพร้อมกัน เหล่าเทพเจ้าทั้งหลายจึงเสด็จกลับ

เมื่อพระมหากัสสปกลับไปแล้ว ก็ได้เลือกสามเณรมา 3 รูป ชื่อว่า พุทธรักขิตตะ ธรรมรักขิตะ และ สังฆรักขิตตะ สามเณรทั้ง 3 องค์นี้ ต่อมาภายหลังเมื่อายุครบบวชเป็นภิกษุแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

(i) กาลเวลาผ่านไป ฝ่ายพระยาสุวรรณภิงคารเมืองหนองหารหลวง จุติมาถือกำเนิดในครรถ์แห่งพระนางเทวี เมืองอินทปัฐนคร มีนามว่า มหารัตนกุมาร ต่อมาพระยาคำแดงเมืองหนองหารน้อย ก็จุติมาถือกำเนิดร่วมบิดา มารดา เดียวกันอีก มีนามว่า จุลรัตนกุมาร

ครั้นเมื่อ 2 กุมารประสูติมาได้ขวบหนึ่งนั้น พระยาจุลณีพรหมทัตและพระยาอนิทปัฐนครจุติพร้อมกัน มาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางปัจฉิมกุมารี พระมเหสีของเจ้าราชบุตรผู้เป็นโอรสพระยาจุลณีพรหมทัต

(i) ครั้นนางปัจฉิมราชกุมารีทรงครรถ์ถ้วนทศมาส ก็ประสูติราชกุมารฝาแฝดพร้อมกันในวันเดียว พระราชบิดาจึงขนานนามกุมารผู้พี่มีชื่อว่า มหาสุวรรณปราสาท ผู้น้องชื่อว่า จุลสุวรรรณปราสาท

ส่วนพระยานันทเสนแห่งเมืองศรีโคตบูรก็จุติไปถือกำเนิดในครรห์แห่ง พระนางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีของ พระยาสุริวงศา เมืองร้อยเอ็ดประตู ครั้นพระนางประสูติราชโอรสได้ 4 วัน ก็สวรรคตไป ส่วนพระราชกุมารที่เป็นโอรสนั้น นางสนมเอาไปเลี้ยงไว้เมื่อพระชนมายุได้ขวบหนึ่งจึงได้ขนามนามว่า เจ้าสังขวิชชากุมาร

(i) หลังจากถวายพระเพลิงพระยานัทเสนแล้วเสนาอำมาตย์พร้อมด้วยชาวเมืองศรีโคตบูรจึงพร้อมกันย้ายเมืองไปที่ป่าไม้รวก และได้ราชาภิเษก พระอนุชา ของพระยานันทเสน ให้ขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่า พระยามรุกขนคร

ต่อมา พระยาสุริยวงศา เมืองร้อยเอ็ดประตู จุติถือกำเนิดในครรภ์แห่งพระราชเทวี เมืองมรุกขนคร พระราชบิดาจึงขนานนามว่า เจ้าสุมิตวงศากุมาร เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยได้ 13 พรรษา พระชนกชนนีก็สวรรคตไปทั้งสองพระองค์ จึงได้เสวยราชสมบัติแทน พระราชบิดา มีพระนามว่า พระยาสุมตวงศาราชามรุกยนคร

(i) ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเป็นครั้งแรก ตามพระพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ได้ตรัสทำนายไว้กับ พระยาศรีโคตบูร ซี่งจุติจากพระยาสุริยวงศาก็มาเป็น พระยาสุมิตวงศา

ในคราวนั้น พระอรหันต์ทั้ง 3 ที่เป็นศิษย์ของพระมหากัสสป คือ พระพุทธรักขติ พระธรรมรักขิตะ และพระสังฆรักขิตะ ซึ่งบรรพชามาตั้งแต่เป็นสามเณร ได้มาแต่เมืองราชคฤห์ แล้วได้นำราชกุมารทั้ง 5 นั้นมาบวชในพระพุทธศาสนา

(i) ครั้นราชกุมารทั้ง 5 ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ฝึกฝนพระกรรมฐานจากพระอาจารย์ทั้ง 3 จนกระทั้งได้บวชเป็นภิกษุแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ โดยลำดับสมกับความปรารถนาที่ได้ตั้งจิตอธิฐานไว้ในชาติก่อน ตอนที่เป็นท้าวพระยาทั้ง 5 โน้น

(i) ครั้นต่อมาพระอรหันต์ทั้ง 5 ทรงระลึก "คาถา 4 บาท" ที่พระมหากัสสปเคยแสดงไว้แต่ชาติปางก่อนนั้นว่า "คจฉันติ นรคัจฉันติ" เป็นต้น (ตอนที่พระยาทั้ง 5 จะพบกัน ต่างก็ใคร่จะได้เป็นผู้สร้างพระธาตุพนม จนพระมหากัสสปต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยหลักธรรม จึงได้ร่วมกันสร้างจนสำเร็จ) ดังมีใจความว่า

(i) ผู้ประเสริฐต่อผู้ประเสริฐ เดินทางมาพบกันเข้า ซ้ำประเสริฐยิ่งกว่า(i)
(i) ผู้ฉลาดต่อผู้ฉลาด เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งฉลาดกว่าแต่ก่อน(i)
(i) ผู้รู้ต่อผู้รู้ เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งรู้หลักนักปราชญ์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม(i)
(i) ผู้รักกันต่อผู้รักกัน เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำรักกันกว่าแต่ก่อน ....ดังนี้(i)

พระเถระทั้ง 5 หวลนึกถึงคติธรรมทั้ง 4 บาทนี้ ก็มีความซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก จึงใคร่จะบูรณะพระอุรังคธาตุที่ภูกำพร้าอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ปรึกษาหารือกันที่จะไปสู่เมืองมรุขนคร เพื่อถวายพระพรแก่ พระยาสุมิตธรรมวงศา ให้ช่วยทรงอุปถัมภ์ แล้วจึงแยกย้ายกันไปบิณฑบาตในเมืองของตน เพื่อชักชวนพระบิดาและพระมารดา มาร่วมกันปฏิสังขรณ์พระอุรังคธาตุร่วมกับพระยาสุมิตธรรมวงศา โดยเฉพาะ พระสังขวิชชา ท่านได้เล่าถึงความเป็นมาในชาติปางหลังให้พระยาสุมิตธรรมวงศาทราบ แล้วพระราชาและพระราชเทวีจึงตรัสถามว่า

(i) "ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ"

เมื่อพระเถระถวาพระพรว่า "ถูกแล้ว" ดังนี้ ก็มีอัศจรรย์บังเกิดขึ้น คือ เทพยดาที่รักษาเศวตฉัตของพระองค์ และเทวดาที่รักษาภูกำพร้าทั้งสิ้น ต่างพากันเป่าหอยสังข์ขึ้นประโคมทั่วในพระราชฐานแลในที่นัน ๆ เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก คนทั้งหลายได้ยินแต่เสียงสังข์ หาได้เห็นเทวดาไม่ จึงพร้อมกันให้เสียงสาธุการเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระนคร แล้วพระเถระจึงถวายพระพรต่อไปว่า

(i) เมื่อชาติก่อนโน้น มหาราชได้เป็น พระยาศรีโคตบูต ครั้งเมื่อพระศาสดายังมีพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาในเมืองศรีโคตบูร มหาราชได้ถวายบิณบาตแล้ว ปรารถนาค้ำชูพระศาสนาครั้งนั้น อาตมาเป็น พระยานันทเสน น้องของมหาบิตร

เมื่อมหาบพิตรจุติจากชาตินั้น จึงได้ไปเกิดในเมืองร้อยเอ็ดประตู ส่วนอาตมาภาพได้เสวยราชสมบัติ 13 ปี พระศาสดาจึงเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน แล้วพระอรหันต์ท้ง 500 มี พระมหากัสสปเถระ เป็นประน นำเอาพระบรมธาตุส่วนหัวอกของพระพุทธเจ้ามาประดิษบานไว้ทีภูกำพร้า

(i) พระยาทั้ง 4 ได้พร้อมกันก่ออุโมงค์ไว้เป็นที่บรรจุ ครั้งนั้นได้พร้อมกันอธิฐานให้ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้วให้ได้สำเร็จพระอรหันต์ เฉพาะหน้าพระอรหันต์ทั้ง 500 นั้น พระเถระทั้งหลายพร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาทุกองค์ อาตมาจึงได้มาบวลและได้สำเร็จพระอรหันต์ในชาตินี้

เมื่ออาตมาจุติจากชาติอันเป็นพระยานันทเสน ได้ไปเกิดในท้องแห่ง นางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีพระยาร้อยเอ็ดประตู ก็คือ มหาราชเจ้ากับพระนางเทวีแก้วบัดนี้แล เมื่อพระนางประสูติอาตมภาพได้ 7 วัน นางก็จะติมาเกิดในวงศ์พระยามรุขนคร ส่วนมหาราชเจ้าจุติมาบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระยามรุกขนครแต่ชาติก่อนนั้น มหาราชเจ้าและพระนางเทวีแก้วเป็นพระบิดาและพระมารดาของอาตมาภาพอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ อาตมาภาพจึงได้เรียกมหาราชเจ้าทั้งสองว่า เป็นพระบิดาและเป็นพระมารดาหลงมาอยู่ในที่นี้ทั้งสองพระองค์

(i) เมื่อได้ทรงสดับพระธราเทศนาเรื่องอดีตชาติจากพระเถระแล้ว จึงมีพระทัยประดุจดังว่า ระลึกได้ยังพระชาติหนหลัง มีน้ำพระเนตรตกลงมาเฉพาะหน้าพระเถระ ขณะนั้นอำมาตย์และข้าทาศบริวารทั้งหลาย ได้เห็นน้ำพระเนตรของหมหาราชเจ้าทั้งสองหยดย้อยตกลงมามาได้ขาด ก็บังเกิดโสมนัสร่ำร้องไห้ไปด้วยกัน

(i) นางเทวีแก้วจึงไว้พระเถระแล้วถามว่เมื่อโยมจุติทิ้งท่านไปเสียแต่เมื่อยังเยาว์อยู่นั้นใครเล่าเป็นผู้เลี้ยงดูท่านเล่า พระเถระจึงทูลว่าน้าเลี้ยงพ่อนมพร้อมทั้งนางสนมทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงสืบต่อมา เมื่อบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญขึ้น ครั้งนั้นนางทั้งหลายบางคนก็ตาย บางคนก็หนีกลับคืนสู่บานเมืองเดิม น้าเลี้ยงพ่อนมจึงได้นำเอาอาตมาภาพอพยพหนีมาอยู่ที เมืองสุวรรณภูมิ แต่ยังเล็กอยู่ แล้ว พระสังฆรักขิตเถระ จึงได้นำเอาอาตมาไปบวช แล้วสั่งสอนจนได้สำเร็จพระอรหันต์

ในขณะที่พระเถระกำลังกล่าวอยู่นั้นเอง พระเถระอีก 4 องค์ที่มาจากเมืองอินทปัฐนครและเมืองจุลณีพรหมทัต ก็เข้ามาสู่ปราค์ปราสาทกับด้วยพระสังฆวิชชานั้น แล้วจึงทูลว่ามหาบพิตรทรงปรารถนาค้ำชูพระศาสนาตราบเท่า 5000 พระวรรษา และพระยาทั้ง 5 ก็คือ อาตมาภาพทั้ง 5 ในบัดนี้

(i) ดังนี้แล้ว ทั้งพระเถระทั้ง 5 และพระยาทั้ง 3 คือ พระยาสุมิตธรรมวงศา พระยาปุตตจุลณีพรหมทัต พระยาจุลอินทปัฐนคร ได้พากันไปบูรณะพระอุรังคธาตุที่ภูกำพร้านั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้แสดงปาฏิหารย์ เหมือนเมื่อครั้งท้าวสักกเทวราชลงมาบูชากระนั้น

ในครั้งนั้น ได้มีการบรรจุพระอุรังคธาตุใหม่ จึงมีเหตุอัศจรรย์ฝนตกลงมาถูกต้องบุคคลนั้น บุคคลจำพวกใดที่ไม่ชอบฝน ก็ไม่ตกลงมาถูกต้อง ส่วนบุคคลที่เป็นโรคหูหนวก ตาบอด ทูต ขี้เรื้อน เมื่อได้ข่าวร่วมในการกุศลนั้น ๆ โรคร้ายต่าง ๆก็หายสิ้น เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายต่างก็เริ่มโปรยปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ลงมา สักการบูชาทั่วบริเวณภูกำพร้าทั้งสิ้นแล

(i) ฝ่ายพระยาสุมิตธรรมบรมโพธิสัตว์ จึงได้ตั้งความปรารถนาให้ได้เสวยราชสมบัติทั่วทุกพระนคร ที่มีในชมพูทวีปทั้งสิ้น และให้ได้เป็นผู้ค้ำชูพระพุทธศาสนาตลอด 5000 พระวรรษา ครั้นจุติให้ได้เสวยสุขในสวรค์ชั้นดุสิต จะลงมาพร้อมด้วย พระศรีอริยเมตรไตรยโพธิสัตว์ ส่วนพระยาปุตตจุลณีพรหมทัตและพรยาจุลอินทปัฐนคร ปรารถนาเป็นพระอัครสาวก

(i) ส่วนพระราชเทวีและเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารทั้งหลาย ต่างก็ปรารถนาเป็นพระสาวกในตำแหน่งต่าง ๆต่อไป ในสมัยที่พระยาสุมิตธรรมวงศาจะได้ตรัสรุ้เป็นพระพุทธเจ้าครั้งนั้น พระอรหันต์ทั้ง 5 จึงได้พร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนา และก็ขอให้ได้สำเร็จตามความประสงค์ทุกประการเทอญ

เป็นอันว่า หลังจากท้าวพระยาทั้ง 3 ได้ร่วมกันบูรณะเมื่อประมาณ พ.ศ 500 และสิ้นพระชนม์ไปแล้ว บรรดาพระโอรสต่าง ๆก็ขึ้นครองเมืองแทน แล้วได้มีการปฏิสังขรณ์ต่อ ๆ กันมาจนตราบเท่าถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2518 พระธาตุพนมก็ได้โค่นล้มลงมา จึงได้สร้างขึ้นมาใหม่อีก เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2522

(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ได้ร่วมทำบุญบูรณปฏสังขรณ์องค์พระธาตุพนม,พระวิหารฯ ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอเชิญทุกๆท่านร่วมโมทนานะค่ะ ขอบารมีพระทุกพระองค์ให้เป็นสุขสมหวังทุกอย่าง รวย รวย รวย นิพพานชาตินี้ค่ะ
(f) (verygood) (f) (verygood) (f) (verygood)

จิตว่าง, 29 พฤศจิกายน 2006

#1022
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กรกฎาคม 2005

โพสต์:

695

ค่าพลัง:

+17,914
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

ao.angsila said: ↑

9. วัดบ้านเด่นสหลีศรีเมืองแกน
ถวายปัจจัยทำบุญทุกอย่างกับพระฯ ร่วมสร้างพระ ,พระบรมธาตุ 13 องค์ ,หอไตรฯ,หอระฆังและร่วมทำบุญทุกอย่างกับวัดบ้านเด่นฯ น้อมถวายเป็นพุทธบูชาฯ
รูปที่1.พระวิหารในปี48
2.รูปหอไตรในปัจจุบันนี้ กำลังสร้างบันไดนาคครับ
3.วิหารที่อยู่ข้างพระบรมธาตุกำลังสร้างอยู่
4.วิหาร,โบสถ์,พระบรมธาตุ
5.กำลังก่อสร้างอะไรบางอย่าง(ไม่ทราบแน่)
6.พระนอนในวิหารหลังหนึ่ง
7.พระนอนในมุมใกล้ ผมได้ถวายลูกแก้วพร้อมปัจจัยในมือท่านด้วยครับ
8.ปัจจุบันพระบรมธาตุเกือบเสร็จแล้ว
9.พระบรมธาตุที่ผมไปปี48ครับ
10.วิหาร,หอไตรในปัจจุบัน
11.หน้าวิหาร
12.พระภายในวิหาร
13.รอยพระหัตถ์,พระบาทของครูบาเทืองในพระวิหาร
14.ภาพต้นกฐิน(ไม่ทราบว่าปีไหนแต่อยู่ในวิหาร)แต่ต้นกฐินใหญ่และสวยงามมากขอโมทนาบุญทั้งหมดครับ
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอบารมีพระทุกพระองค์จงสัมปจิตฉามิในดวงจิตของทุกๆท่าน ให้เป็นเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เป็นสุขสมหวังทุกอย่างตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วย เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ เทอญฯ
ปล.ภาพถ่ายงานทอดกฐินสามัคคีวัดบ้านเด่น
[b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]

sravnane, 29 พฤศจิกายน 2006

#1023
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กรกฎาคม 2005

โพสต์:

695

ค่าพลัง:

+17,914
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

อานนท said: ↑

(i) ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ รู้สึกภาพพระชัดขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ ไม่ค่อยกังวลกับการมองเห็น แต่ยังไม่เห็นอะไรมากเลยครับ มีแสงสว่างพุ่งลงมา และเห็นภาพพระปรากฏขึ้นครับ แต่ตั้งอยู่ไม่นาน จะลองพยามยามดูอีกนะครับ ถ้าติดขัดอย่างไร จะแจ้งให้ทราบและช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ
ตอนนี้ขอพักก่อนครับ ขอบคุณมากครับ
(verygood) (verygood) (verygood) (verygood)
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอให้ขยันหมั่นเพียรในการทำสมาธิให้สม่ำเสมอ และพยายามทรงอารมณ์พระโสดาบันให้ได้ในไม่ช้าสมาธิก็จะมีความก้าวหน้าขึ้นครับ ขอบารมีพระทุกพระองค์คุ้มครองท่านให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ

sravnane, 29 พฤศจิกายน 2006

#1024
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
อานนท เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

72

ค่าพลัง:

+1,748
sravnane said: ↑

[b-wai] วันเพ็ญเดือน12 บวงสรวงถวายปัจจัยร่วมกับกรมศิลปากรฯ ซ่อมพระพุทธรูป,พระบรมธาตุ,พระวิหาร ฯลฯ รวมวัดทั้งหมด ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เสร็จพิธีแล้วปล่อยโคมแก้วถวายเป็นพุทธบูชาฯ (นโมฯ3จบ) ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายโคมแก้วฯบูชาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ พรหมเทพเทวาที่ได้ปกปักรักษาพระศาสนาและคุณงามความดีของทุกท่านฯ ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอพระทุกพระองค์ตลอดจนทุกท่านได้โปรดรับโคมแก้วฯอันข้าพเจ้าทั้งหลายผู้มีจิตตั้งมั่นเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยได้ถวายเป็นพุทธบูชาฯนี้ เพื่อประโยชน์และความสุข(พระนิพพาน)แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญฯ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้โคมแก้วฯปรากฏขึ้นในวิมานของพระทุกพระองค์และทุกท่าน ขอแสงสว่างของโคมแก้วฯจงปรากฏขึ้นในดวงจิตทุกดวง ได้ส่องสว่างนำทางดวงจิตทุกดวงเข้าสู่พระนิพพานโดยสวัสดีเถิดฯ (อุทิศส่วนกุศล,กราบพระ,แผ่เมตตา)
ปล.รู้สึกว่าจะได้ทำบุญวันเกิดคุณสมชายในวันนี้ด้วย ขอร่วมโมทนาเป็นอย่างสูง
[b-wai] (bb-flower
Click to expand...

(i) ขอร่วมโมทนาครับ(f)

อานนท, 29 พฤศจิกายน 2006

#1025
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
อานนท เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

72

ค่าพลัง:

+1,748
chutikanont said: ↑

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน และขอทุกท่านโมทนาบุญกับพระพุทธไสยยาสน์ที่วัดพระธาตุสุโทน ฯ จังหวัดแพร่ ตัดกังวลและระลึกถึงบุญฯ ที่ทุกคนได้ไปร่วมกันสร้าง ฯ ขอบุญที่สร้างมา จงช่วยสงเคราะห์ให้ท่านทั้งหลายพบสุขในความสงบเทอญ[b-wai]
Click to expand...

(i) ขอร่วมโมทนาครับ(f)

อานนท, 29 พฤศจิกายน 2006

#1026
- ถูกใจ x 27
- ดูรายการ
อานนท เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

72

ค่าพลัง:

+1,748
sravnane said: ↑

[b-wai]
หม่อมฉันหมดหน้าที่แล้ว กิจทุกอย่างจบแล้วกิจที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว มีความสุขมีความอิ่มเอิบใจเป็นอันมาก นั่งมองดูพระแม่ฯองค์ใหม่กำลังจะจุติ และมองไปที่แผ่นหินเหนือผาจุติฯ จึงได้อธิษฐานสลักคำขอขมาพระฯบทสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย ถวายเป็นพุทธบูชาฯบนมหาศิลาพระแม่ฯ พร้อมคำอธิษฐาน"ในภัทรกัปล์ สมัยพระศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูไตรโลกนาถฯ หม่อมฉันพระแม่ธรณีศรีสังวาลย์ฯได้อธิษฐานจิตถวายแผ่นดินในทุกพื้นภิภพให้เป็นที่ประดิษฐานแห่งพระพุทธศาสนาตราบชั่วกาลนาน เพื่อบูชาคุณพระทั้งหมดฯ นับจากนี้ไปทุกอณูธุลีดินจะเป็นกำลังให้พระโปรดโลก พระธรรม พระอริยเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ตลอดจนพรหมเทพเทวาและทุกท่านๆทั้งหมดในการปฏิบัติ,เผยแผ่ธรรมและปกป้องคุ้มครองรักษาจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน ได้ช่วยผู้ประพฤติธรรมทั้งหลายให้มี ดวงตาเห็นธรรม ได้ช่วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลายให้ได้บำเพ็ญเพียรสำเร็จสมความปรารถนา ได้ช่วยท่านทั้งหลายและสรรพชีวิตทั้งหลายให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศโรคภัยไข้เจ็บทุกข์ภัยอันตรายใดๆตราบจนเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ หม่อมฉันขอกราบโมทนาและร่วมยินดีกับพระฯทุกพระองค์พระแม่ธรณีและทุกท่านฯด้วยเป็นอย่างสูง แต่มิอาจ อยู่ช่วยได้เพราะได้ตามพระพุทธเจ้าและพระมหาวีระฯไปนิพพานแล้ว
[b-wai] (bb-flower [b-wai]
ปล.กราบขอขมาพระรัตนตรัยและทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ ขอร่วมโมทนาบุญพระฯและทุกๆท่านเป็นอย่างสูง (กำลังพิมพ์ตอนอวสานนี้ฝนตกลงมาพอดี เลยกราบพระฯอุทิศส่วนกุศลฯขอให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนานเทอญ,แผ่เมตตา)
Click to expand...

(i) ขอร่วมโมทนาครับ อ่านแล้วจะร้องไห้ครับ บุญเยอะจริงๆครับ สาธุ สาธุ สาธุ(f)

อานนท, 29 พฤศจิกายน 2006

#1027
- ถูกใจ x 26
- ดูรายการ
อานนท เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

72

ค่าพลัง:

+1,748
jaggrit said: ↑

(bb-flower
พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
ขอโมทนาบุญกุศลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ให้พระพุทธศาสนาเจริญร่งเรืองตั้งมั่นและคุณพระรัตนตรัยและฉัพพรรณรังษีโปรดสถิตย์ภายในกายและจิตของข้าพเจ้าและทุกๆท่านตลอดไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

[b-wai] [b-wai] [b-wai]
Click to expand...

(i) ขอโมทนาครับ งามมากเลยครับ ถ้าไปแจ้งในกระทู้ด้วยนะครับ อยากไปมากครับ ขอไปด้วยคนนะครับ ขอบคุณมากครับ(f)

อานนท, 29 พฤศจิกายน 2006

#1028
- ถูกใจ x 24
- ดูรายการ
อานนท เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

72

ค่าพลัง:

+1,748
(i)

sravnane said: ↑

[b-wai]
Click to expand...

sravnane said: ↑

[b-wai] ยอดเขาหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุและรอยพระพุทธบาท 4 รอยฯ นโมฯ3จบ ขอขมาพระรัตนตรัย ขออารธนาบารมีพระฯสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย (อธิษฐาน) "ขอเธอจงจำไว้ทุกครั้งที่เธอนึกถึงพระฯฉัพพรรณรังษีของพระองค์ได้ต้องกายและจิตเธอแล้ว ขอเธอจงเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย พระองค์จักเสด็จคุ้มครองป้องกันเธอทุกสถานที่ ทุกเวลา" ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบไหว้บูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันประมาณไม่ได้ อันเป็นที่พึ่งสูงสุดของข้าพเจ้า ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงรับซึ่งความนอบน้อมด้วยจิตเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยของข้าพเจ้า ขอพระฯทุกพระองค์โปรดแผ่พระบารมีมารักษาข้าพเจ้าให้ได้เข้าถึงพระนิพพานโดยสวัสดิภาพด้วยเถิด
(bb-flower ขอบารมีพระฯคุ้มครองทุกคนให้สมหวังสมความปรารถนาทุกอย่างนะครับ
Click to expand...

(i) ขอโมทนาครับ ดีมากเลยครับ คำอธิษฐานสมกับเป็นกระทู้พุทธบารมีจริงๆครับ สาธุ สาะ สาธุ(f)
อานนท, 29 พฤศจิกายน 2006

#1029
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กรกฎาคม 2005

โพสต์:

695

ค่าพลัง:

+17,914
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

seyasa said: ↑

(f) เปิดดูไฟล์ 120099 (f)

พระธาตุพนม

(i) ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ในคราวนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูทรงพิจารณาเห็นโบราณประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ คือ สมเด็จพระกุกกุสันโธ พระโกนาคม และพระพุทธกัสสป ก็ได้เคยมาประดิษฐานไว้ที่ "ภูกำพร้า" อันมีอยู่ใกล้เมืองศรีโคตบุรีนี้

ครั้นพระองค์ทรงดำริเช่นนี้แล้ว จึงเสด็จออกจากพระเชตวันพร้อมด้วยพระอานนท์ตามพุทธลีลามาทางอากาศ ได้เสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่ "โพนฉัน" และ "เวินปลา" จากนั้นจึงประทับค้างคืนที่นี้ ซึ่งมีพระอินทร์ และวิษณุกรรมเทพบุตร เป็นผู้คอยอุปัฎฐาก

(i) ในตอนเช้าจึงเสด็จไปบิณฑบาตเพื่อทรงโปรด พระยาศรีโคตบูร ให้ได้รับทราบภารกิจของพระองค์ว่ การเสด็จมาครั้งนี้ เพราะทรงอาศัยเหตุอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ เมื่อทรงเข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้วนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้น มาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้านี้ เพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาของท้าวพระยา เหล่าเทพเทวา และมนุษย์ทั้งหลายในภายภาคหน้า อันนี้เป็นประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายสืบ ๆ กันมามิได้ขาด

(i) ในตอนนี้ พระอินทร์ จึงกราบทูลว่า
"ข้าพระองค์ทั้งหลาย และเหล่าเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย เรียกว่า "เมืองโคตโม" เพราะเหตุพระองค์ทรงพระนามว่า "โคตโม" เพื่อให้เป็นศิริมงคลแก่พระยาศรีโคตบูร ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงเรียกดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า..."

ในขณะนั้นเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เทพเจ้าผู้มีมเหศักดิ์ทั้หลาย อันสิงสถิตในราวป่าบริเวณนั้น จึงได้เปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน แล้วพระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า

(i) "ดูก่อนอานนท์ พระยาศรีโคตบูรองค์นี้ จะจุติไปเกิดในเมืองสาเกตุนคร (ร้อยเอ็ด) มีนามว่า "สุริยกุมาร" เมืองศรีโคตบูรนี้ จักย้ายไปตั้งที่ป่าไม้รวกมีนามว่า "มรุกขนคร" จุติจากชาตินั้นแล้ว จะได้มาเกิดเป็น พระยาสุมิตธรรมวงศา ครองมรุกขนครแล้ว จะได้ปฏิสังขรณ์อุรังคธาตุของตถาคตไว้ที่ภูกำพร้านี้"

ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้เสด็จไปประทับรอยพระบาทที่เมืองหนองหารหลวง (พระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร) แล้วได้เสด็จไปประทับที่ ดอยแท่น (พระธาตุภูเพ็ก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) ทรงระลึกถึงพระมหากัสสป เมื่อพระเถระทราบพระปริวิตกดังนั้นแล้ว จึงมาเฝ้าตามพุทธประสงค์ทันที

(i) องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

(i) "ดูก่อนกัสสป ตถาคตนิพพานไปแล้วเธอจงนำอุรังคธาตุของตถาคตมาไว้ที่ภูกำพร้านี้"

เพราะฉนั้น ในคราวถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระอุรังคธาตุ ที่หุ้มห่อด้วยผ้ากัมพลก็ปาฏิหารย์เสด็จออกจากพระหีบทองมาประดิษฐานอยู่เหนือฝ่ามือเบื้องขวาของพระมหากัสสปะเถระ

(i) ครั้งนั้นท้าวพระยาทั้งหลาย อันมี พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร พระยาสุวรรณภิงคาร พระยาคำแดง และ พระยานันทเสน (เมื่อพระยาศรีโคตบูตสวรรคต พระยานันทเสนน้องชายได้ครองต่อมาอีก 13 ปี พระศาสดาจึงปรินิพพาน)

เมื่อพระยาทั้ง 5 นคร รู้ข่าวพระมหากัสสปเถระจะนำพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า ดังนั้น พระยาจุลณีพรหมทัต พระยาอินทปัฐนคร และพระยานันทเสน ทั้ง 3 พระองค์ พร้อมด้วยไพร่พลโยธา เสด็จมาประทับและพักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงใต้ปากเซ ตรัสสั่งไพร่พลช่วยกันสกัด "หินมุก" มาสร้างอารามไว้คอยท่าพระมหากัสสปเถระ

(i) ส่วน พระยาสุวรณภิงคาร และ พระยาคำแดง ตรัสสั่งให้ไพร่พลโยธาสกัด "หินมุกหินแลง" มากองไว้เป็นกอง ๆ สำหรับก่ออุโมงค์บนยอด "ดอยแท่น" ที่พระศาสดาเสด็จมาประทับแต่ครั้งโน้น

ต่อมา พระมหากัสสป พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ อัญเชิญพระอุรังคธาตุมาถึงเมืองหนองหารหลวง แล้วไนขึ้นไปประดิษฐานไว้บนแท่นอุโมงค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จนั้นก่อน แล้วเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ท้าวพระยาทั้งสองพร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลายพากันใส่บาตร แล้วได้จัดเครื่องสักการะบูชา ขึ้นไปบนเขานมัสการและทรงน้ำพระอุรังคธาตุ

(i) ขณะนั้น พระยาสุวรรณภิงคารทอดพระเนตรอุดมงนั้น เห็นยังไม่เสร็จจึงทรงพระพิโรธโกรธจัด พระมหากัสสปจึงคิดที่จะเตือนสติพระราชา จึงได้ถามปัญหาธรรมว่า

(i) "อะไรร้อนยิ่งกว่าไฟ อะไรใสยิ่งกว่าแก้วมณี อะไรบ่มีแข้ว (เขี่ยว) รู้กัดคนกินได้ อะไรบ่มีตนตัว รู้เดินเที่ยวไปมาได้นั้นเล่า...พระมหาบพิตร...?"

(i) เมื่อพระยาสุวรรณภิงคารไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ พระเถระจึงอธิบายต่อไปว่าสิ่งที่ร้อนกว่าไฟนั้นได้แก่ "ราคะ ตัณหา" สิ่งที่สว่างยิ่งกว่าแก้วมณีนั้น ได้แก่ สติ และ ปัญญา สิ่งที่บ่มีแข้ว รู้กัดกินคนได้นั้น ได้แก่ "ความแก่เฒ่า" สิ่งที่บ่อมีตัวตน รู้เดินเที่ยวไปมานั้น ได้แก่ "จิต"

ครั้นพระยาสุวรรณภิงคารได้สดับพุทธภาษิตก็มีจิตใจหายขุนมัว จึงขอสถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ ณ ที่นี้ แต่มหาเถระได้ทูลห้ามว่า พระองค์อย่าได้ฝ่าฝืนพระพุทธบัญชาเลย แล้วพระยาทั้งสองจึงอัญเชิญพระอุรังคธาตุขึ้นสู่ปราสาท พร้อมขบวนพสกนิการใส่ชุดขาวแห่พระอุรังคธาตุไปสู่ภูกำพร้า พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย

(i) เมื่อมาถึงแล้ว พระมหาเถระจึงแนะนำให้พระยาทั้ง 5 ได้รู้จักกัน และแนะนำให้ปั้นดินดิบเอาไฟเผาก่อเป็นอุโมงค์ พระยาทั้ง 5 ได้สดับคำดังนี้แล้ว จึงตกลงสั่งให้คนทั้งหลายปั้นดินดิบ ส่วนแม่พิมพ์นดินนั้น เอาฝ่าเมือพระมหาเถระเป็นแบบกว้างยาว

ต่อจากนั้นพระยาทั้ง 5 และเสนาข้าราชบริพานพร้อมด้วยประชาราษฎร์ทั้งหลาย จึงได้ทำการขุดหลุมและก่อเป็นอุโมงค์ เพื่อเป็นที่บรรจุพระอุรังคธาตุ ขณะอัญเชิญพระอุรังคธาตุนั้น พระอุรังคธาตุที่หุ้มด้วยผ้ากัมพลก็กระทำปาฏิหาริย์เสด็จออกมาประดิษฐานอยู่บนฝ่ามือข้างขวาพระมหากัสสป

(i) พระอรหันต์ทั้งหลายพร้อมด้วยพระยาทั้ง 5 กับทั้งเสนาอำมาตย์ประชาราษฎร์ทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงเปล่งเสียงสาธุการขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ปาฏิหารย์เสด็จกลับเข้าไปที่เดิม

หลังจาพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุไว้ในอุโมงค์แล้ว พระยาทั้ง 5 ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ต่าง ๆ เป็นอันมาก เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นต้น แล้วช่วยกันสร้างบานประตูคนละด้าน แล้วให้คนนำเอาหินจากอินเดียและลังกามาฝังไว้ทั้งสี่มุม ในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่

(i) เมื่อเสร็จแล้วจึงทำพิธีสักการบูชาเวียนรอบองค์พระธาตุ พระยาทั้ง 5 อธิฐานขอให้ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในอนาคตกาลนั้นเทอญ พระอรหันต์ทั้ง 500 มีพระมหากัสสปเป็นประธานจึงพร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาของพระยาทั้ง 5 นั้นว่า

(i) "ขอให้ความปรารถนานั้น ๆ ของมหาราชเจ้าทั้งมวล จงสำเร็จบริบูรณ์ตามพระราชประสงค์ทุกประการเทอญ..."

หลังจากนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายและพระยาทั้ง 5 ต่าง แยกย้ายกลับไปแล้ว ท้าวสักกะพร้อมด้วยเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายได้ทรงเครื่องชุดขาว เสด็จลงมากระทำการสักการะบูชาพระอุรังคธาตุ ด้วยการจัดเป็นขบวนแห่เครื่องบูชาทั้งหลายแล้ววิษณุกรรมเทพบุตรได้แกะสลักเป็นรูปเทวดาเป็นรูปม้า และรูปพระพทธเจ้าไว้อย่างสวยงาม แล้วจัดให้เทวดารักษาพระอุรังคธาตุ พร้อมด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านั้น

(i) ครั้งนั้น พระอุรังคธาตุเสด็จออกกระทำปาฏิหารย์ แต่ละด้านเสด็จออกมาถึง 6 องค์วกเวียนเสด็จขึ้นมารวมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ตั้งอยู่บนอากาศเสมอยอดอุโมงค์ระยะ 100 วา แล้วเสด็จออกจากยอดอุโมงค์ 2 องค์ เสด็จขึ้นไปเบื้องบน แล้วเสด็จลงมารวมกันเป็นองค์เดียว โตเท่าลูกมะพร้าว แล้วประทักษิณไปทางขวา 3 รอบ ประดิษฐานอยู่ มี่ประตูทิศตะวันออก เฉาพะพระพักตร์ของท้าวสักกเทวราช

(i) เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทังหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงได้เปล่งเสียงสาธุการขึ้นตลอดไปทั่วบริเวณ คนธรรพ์ทั้งปวงประโคมด้วยดุริยดนตรี เหล่าเทพอัปสรท้งหลายต่างก็ฟ้อนรำขับร้องถวายบูชา พระอุรังคธาตุเสด็จเข้าไปประดิษฐานภายในอุโมงค์ทางประตูด้านทิศตะวันออก ประตูก็ปิดเข้าไปพร้อมกัน เหล่าเทพเจ้าทั้งหลายจึงเสด็จกลับ

เมื่อพระมหากัสสปกลับไปแล้ว ก็ได้เลือกสามเณรมา 3 รูป ชื่อว่า พุทธรักขิตตะ ธรรมรักขิตะ และ สังฆรักขิตตะ สามเณรทั้ง 3 องค์นี้ ต่อมาภายหลังเมื่อายุครบบวชเป็นภิกษุแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

(i) กาลเวลาผ่านไป ฝ่ายพระยาสุวรรณภิงคารเมืองหนองหารหลวง จุติมาถือกำเนิดในครรถ์แห่งพระนางเทวี เมืองอินทปัฐนคร มีนามว่า มหารัตนกุมาร ต่อมาพระยาคำแดงเมืองหนองหารน้อย ก็จุติมาถือกำเนิดร่วมบิดา มารดา เดียวกันอีก มีนามว่า จุลรัตนกุมาร

ครั้นเมื่อ 2 กุมารประสูติมาได้ขวบหนึ่งนั้น พระยาจุลณีพรหมทัตและพระยาอนิทปัฐนครจุติพร้อมกัน มาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางปัจฉิมกุมารี พระมเหสีของเจ้าราชบุตรผู้เป็นโอรสพระยาจุลณีพรหมทัต

(i) ครั้นนางปัจฉิมราชกุมารีทรงครรถ์ถ้วนทศมาส ก็ประสูติราชกุมารฝาแฝดพร้อมกันในวันเดียว พระราชบิดาจึงขนานนามกุมารผู้พี่มีชื่อว่า มหาสุวรรณปราสาท ผู้น้องชื่อว่า จุลสุวรรรณปราสาท

ส่วนพระยานันทเสนแห่งเมืองศรีโคตบูรก็จุติไปถือกำเนิดในครรห์แห่ง พระนางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีของ พระยาสุริวงศา เมืองร้อยเอ็ดประตู ครั้นพระนางประสูติราชโอรสได้ 4 วัน ก็สวรรคตไป ส่วนพระราชกุมารที่เป็นโอรสนั้น นางสนมเอาไปเลี้ยงไว้เมื่อพระชนมายุได้ขวบหนึ่งจึงได้ขนามนามว่า เจ้าสังขวิชชากุมาร

(i) หลังจากถวายพระเพลิงพระยานัทเสนแล้วเสนาอำมาตย์พร้อมด้วยชาวเมืองศรีโคตบูรจึงพร้อมกันย้ายเมืองไปที่ป่าไม้รวก และได้ราชาภิเษก พระอนุชา ของพระยานันทเสน ให้ขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่า พระยามรุกขนคร

ต่อมา พระยาสุริยวงศา เมืองร้อยเอ็ดประตู จุติถือกำเนิดในครรภ์แห่งพระราชเทวี เมืองมรุกขนคร พระราชบิดาจึงขนานนามว่า เจ้าสุมิตวงศากุมาร เมื่อพระราชกุมารทรงเจริญวัยได้ 13 พรรษา พระชนกชนนีก็สวรรคตไปทั้งสองพระองค์ จึงได้เสวยราชสมบัติแทน พระราชบิดา มีพระนามว่า พระยาสุมตวงศาราชามรุกยนคร

(i) ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมเป็นครั้งแรก ตามพระพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ได้ตรัสทำนายไว้กับ พระยาศรีโคตบูร ซี่งจุติจากพระยาสุริยวงศาก็มาเป็น พระยาสุมิตวงศา

ในคราวนั้น พระอรหันต์ทั้ง 3 ที่เป็นศิษย์ของพระมหากัสสป คือ พระพุทธรักขติ พระธรรมรักขิตะ และพระสังฆรักขิตะ ซึ่งบรรพชามาตั้งแต่เป็นสามเณร ได้มาแต่เมืองราชคฤห์ แล้วได้นำราชกุมารทั้ง 5 นั้นมาบวชในพระพุทธศาสนา

(i) ครั้นราชกุมารทั้ง 5 ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ฝึกฝนพระกรรมฐานจากพระอาจารย์ทั้ง 3 จนกระทั้งได้บวชเป็นภิกษุแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง 5 องค์ โดยลำดับสมกับความปรารถนาที่ได้ตั้งจิตอธิฐานไว้ในชาติก่อน ตอนที่เป็นท้าวพระยาทั้ง 5 โน้น

(i) ครั้นต่อมาพระอรหันต์ทั้ง 5 ทรงระลึก "คาถา 4 บาท" ที่พระมหากัสสปเคยแสดงไว้แต่ชาติปางก่อนนั้นว่า "คจฉันติ นรคัจฉันติ" เป็นต้น (ตอนที่พระยาทั้ง 5 จะพบกัน ต่างก็ใคร่จะได้เป็นผู้สร้างพระธาตุพนม จนพระมหากัสสปต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยหลักธรรม จึงได้ร่วมกันสร้างจนสำเร็จ) ดังมีใจความว่า

(i) ผู้ประเสริฐต่อผู้ประเสริฐ เดินทางมาพบกันเข้า ซ้ำประเสริฐยิ่งกว่า(i)
(i) ผู้ฉลาดต่อผู้ฉลาด เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งฉลาดกว่าแต่ก่อน(i)
(i) ผู้รู้ต่อผู้รู้ เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งรู้หลักนักปราชญ์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม(i)
(i) ผู้รักกันต่อผู้รักกัน เดินทางมาพบกันเข้า ก็ยิ่งซ้ำรักกันกว่าแต่ก่อน ....ดังนี้(i)

พระเถระทั้ง 5 หวลนึกถึงคติธรรมทั้ง 4 บาทนี้ ก็มีความซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก จึงใคร่จะบูรณะพระอุรังคธาตุที่ภูกำพร้าอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ปรึกษาหารือกันที่จะไปสู่เมืองมรุขนคร เพื่อถวายพระพรแก่ พระยาสุมิตธรรมวงศา ให้ช่วยทรงอุปถัมภ์ แล้วจึงแยกย้ายกันไปบิณฑบาตในเมืองของตน เพื่อชักชวนพระบิดาและพระมารดา มาร่วมกันปฏิสังขรณ์พระอุรังคธาตุร่วมกับพระยาสุมิตธรรมวงศา โดยเฉพาะ พระสังขวิชชา ท่านได้เล่าถึงความเป็นมาในชาติปางหลังให้พระยาสุมิตธรรมวงศาทราบ แล้วพระราชาและพระราชเทวีจึงตรัสถามว่า

(i) "ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ"

เมื่อพระเถระถวาพระพรว่า "ถูกแล้ว" ดังนี้ ก็มีอัศจรรย์บังเกิดขึ้น คือ เทพยดาที่รักษาเศวตฉัตของพระองค์ และเทวดาที่รักษาภูกำพร้าทั้งสิ้น ต่างพากันเป่าหอยสังข์ขึ้นประโคมทั่วในพระราชฐานแลในที่นัน ๆ เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก คนทั้งหลายได้ยินแต่เสียงสังข์ หาได้เห็นเทวดาไม่ จึงพร้อมกันให้เสียงสาธุการเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระนคร แล้วพระเถระจึงถวายพระพรต่อไปว่า

(i) เมื่อชาติก่อนโน้น มหาราชได้เป็น พระยาศรีโคตบูต ครั้งเมื่อพระศาสดายังมีพระชนม์อยู่ ได้เสด็จมาในเมืองศรีโคตบูร มหาราชได้ถวายบิณบาตแล้ว ปรารถนาค้ำชูพระศาสนาครั้งนั้น อาตมาเป็น พระยานันทเสน น้องของมหาบิตร

เมื่อมหาบพิตรจุติจากชาตินั้น จึงได้ไปเกิดในเมืองร้อยเอ็ดประตู ส่วนอาตมาภาพได้เสวยราชสมบัติ 13 ปี พระศาสดาจึงเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน แล้วพระอรหันต์ท้ง 500 มี พระมหากัสสปเถระ เป็นประน นำเอาพระบรมธาตุส่วนหัวอกของพระพุทธเจ้ามาประดิษบานไว้ทีภูกำพร้า

(i) พระยาทั้ง 4 ได้พร้อมกันก่ออุโมงค์ไว้เป็นที่บรรจุ ครั้งนั้นได้พร้อมกันอธิฐานให้ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้วให้ได้สำเร็จพระอรหันต์ เฉพาะหน้าพระอรหันต์ทั้ง 500 นั้น พระเถระทั้งหลายพร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนาทุกองค์ อาตมาจึงได้มาบวลและได้สำเร็จพระอรหันต์ในชาตินี้

เมื่ออาตมาจุติจากชาติอันเป็นพระยานันทเสน ได้ไปเกิดในท้องแห่ง นางศรีรัตนเทวี พระราชเทวีพระยาร้อยเอ็ดประตู ก็คือ มหาราชเจ้ากับพระนางเทวีแก้วบัดนี้แล เมื่อพระนางประสูติอาตมภาพได้ 7 วัน นางก็จะติมาเกิดในวงศ์พระยามรุขนคร ส่วนมหาราชเจ้าจุติมาบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระยามรุกขนครแต่ชาติก่อนนั้น มหาราชเจ้าและพระนางเทวีแก้วเป็นพระบิดาและพระมารดาของอาตมาภาพอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ อาตมาภาพจึงได้เรียกมหาราชเจ้าทั้งสองว่า เป็นพระบิดาและเป็นพระมารดาหลงมาอยู่ในที่นี้ทั้งสองพระองค์

(i) เมื่อได้ทรงสดับพระธราเทศนาเรื่องอดีตชาติจากพระเถระแล้ว จึงมีพระทัยประดุจดังว่า ระลึกได้ยังพระชาติหนหลัง มีน้ำพระเนตรตกลงมาเฉพาะหน้าพระเถระ ขณะนั้นอำมาตย์และข้าทาศบริวารทั้งหลาย ได้เห็นน้ำพระเนตรของหมหาราชเจ้าทั้งสองหยดย้อยตกลงมามาได้ขาด ก็บังเกิดโสมนัสร่ำร้องไห้ไปด้วยกัน

(i) นางเทวีแก้วจึงไว้พระเถระแล้วถามว่เมื่อโยมจุติทิ้งท่านไปเสียแต่เมื่อยังเยาว์อยู่นั้นใครเล่าเป็นผู้เลี้ยงดูท่านเล่า พระเถระจึงทูลว่าน้าเลี้ยงพ่อนมพร้อมทั้งนางสนมทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงสืบต่อมา เมื่อบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญขึ้น ครั้งนั้นนางทั้งหลายบางคนก็ตาย บางคนก็หนีกลับคืนสู่บานเมืองเดิม น้าเลี้ยงพ่อนมจึงได้นำเอาอาตมาภาพอพยพหนีมาอยู่ที เมืองสุวรรณภูมิ แต่ยังเล็กอยู่ แล้ว พระสังฆรักขิตเถระ จึงได้นำเอาอาตมาไปบวช แล้วสั่งสอนจนได้สำเร็จพระอรหันต์

ในขณะที่พระเถระกำลังกล่าวอยู่นั้นเอง พระเถระอีก 4 องค์ที่มาจากเมืองอินทปัฐนครและเมืองจุลณีพรหมทัต ก็เข้ามาสู่ปราค์ปราสาทกับด้วยพระสังฆวิชชานั้น แล้วจึงทูลว่ามหาบพิตรทรงปรารถนาค้ำชูพระศาสนาตราบเท่า 5000 พระวรรษา และพระยาทั้ง 5 ก็คือ อาตมาภาพทั้ง 5 ในบัดนี้

(i) ดังนี้แล้ว ทั้งพระเถระทั้ง 5 และพระยาทั้ง 3 คือ พระยาสุมิตธรรมวงศา พระยาปุตตจุลณีพรหมทัต พระยาจุลอินทปัฐนคร ได้พากันไปบูรณะพระอุรังคธาตุที่ภูกำพร้านั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุก็ได้แสดงปาฏิหารย์ เหมือนเมื่อครั้งท้าวสักกเทวราชลงมาบูชากระนั้น

ในครั้งนั้น ได้มีการบรรจุพระอุรังคธาตุใหม่ จึงมีเหตุอัศจรรย์ฝนตกลงมาถูกต้องบุคคลนั้น บุคคลจำพวกใดที่ไม่ชอบฝน ก็ไม่ตกลงมาถูกต้อง ส่วนบุคคลที่เป็นโรคหูหนวก ตาบอด ทูต ขี้เรื้อน เมื่อได้ข่าวร่วมในการกุศลนั้น ๆ โรคร้ายต่าง ๆก็หายสิ้น เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายต่างก็เริ่มโปรยปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ลงมา สักการบูชาทั่วบริเวณภูกำพร้าทั้งสิ้นแล

(i) ฝ่ายพระยาสุมิตธรรมบรมโพธิสัตว์ จึงได้ตั้งความปรารถนาให้ได้เสวยราชสมบัติทั่วทุกพระนคร ที่มีในชมพูทวีปทั้งสิ้น และให้ได้เป็นผู้ค้ำชูพระพุทธศาสนาตลอด 5000 พระวรรษา ครั้นจุติให้ได้เสวยสุขในสวรค์ชั้นดุสิต จะลงมาพร้อมด้วย พระศรีอริยเมตรไตรยโพธิสัตว์ ส่วนพระยาปุตตจุลณีพรหมทัตและพรยาจุลอินทปัฐนคร ปรารถนาเป็นพระอัครสาวก

(i) ส่วนพระราชเทวีและเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารทั้งหลาย ต่างก็ปรารถนาเป็นพระสาวกในตำแหน่งต่าง ๆต่อไป ในสมัยที่พระยาสุมิตธรรมวงศาจะได้ตรัสรุ้เป็นพระพุทธเจ้าครั้งนั้น พระอรหันต์ทั้ง 5 จึงได้พร้อมกันอนุโมทนาในความปรารถนา และก็ขอให้ได้สำเร็จตามความประสงค์ทุกประการเทอญ

เป็นอันว่า หลังจากท้าวพระยาทั้ง 3 ได้ร่วมกันบูรณะเมื่อประมาณ พ.ศ 500 และสิ้นพระชนม์ไปแล้ว บรรดาพระโอรสต่าง ๆก็ขึ้นครองเมืองแทน แล้วได้มีการปฏิสังขรณ์ต่อ ๆ กันมาจนตราบเท่าถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2518 พระธาตุพนมก็ได้โค่นล้มลงมา จึงได้สร้างขึ้นมาใหม่อีก เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2522

(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม (ภูกำพร้า) เป็นสถานที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ(พระบรมธาตุส่วนหน้าอก)ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปล์นี้ ตามอดีตนิทานพื้นบ้านได้กล่าวถึงแม่กาเผือกมีไข่อยู่ห้าฟอง ต่อมามีเหตุอันต้องทำให้ลูกๆพลักพรากจากอุทร(อก)ของตน และลูกน้อยทั้งห้าก็กลายเป็นลูกกำพร้า จากการสัณนิฐานคาดว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะมีความเกี่ยวพันกับนิทานพื้นบ้านดังกล่าวก็ได้
สมัยพระพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้เสด็จมาทางนี้(ไทย,ลาว,เขมร,ญวณ)หลายครั้งด้วยกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าจะทรงประทานเส้นพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ด้วย หลังจากทรงปรินิพพานแล้ว ทรงให้นำพระอุรังคธาตุมาประดิษฐานที่ภูกำพร้า ตามพุทธประเพณีของพระทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปล์นี้
เพื่อให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นตลอดไปจนครบห้าพันปี
ขอกราบขมาคุณพระรัตนตรัย และขอบูชาคุณของพระพุทธเจ้าอันประมาณไม่ได้ ที่ทรงเสียสละอย่างใหญ่หลวงครั้งแล้วครั้งเล่าในการสั่งสมบำเพ็ญบารมี เพื่อพระโพธิญาณ เพื่อจะนำพาหมู่สัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นจากห้วงทุกข์ทั้งปวงฯ ขอบารมีพระทุกพระองค์และพระธาตุพนม จงปกป้องคุ้มครองทุกท่านให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขึ้นชื่อว่าการพลัดพรากเป็นของธรรมดาในโลก ดังนั้นด้วยพุทธบารมีอันประมาณไม่ได้ ก็ขอให้ทุกท่านพลัดพรากจากความทุกข์โศกทั้งปวง พลัดพรากจากวัฏฏสังสารอันไม่มีสิ้นสุด ได้ตามรอยพระบาทพระทุกพระองค์เข้าสู่พระนิพพานไปด้วยเทอญฯ
[b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]

แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2006

sravnane, 29 พฤศจิกายน 2006

#1030
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
เอกา เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

59

ค่าพลัง:

+1,412
ขอโมทนาบุญทุกอย่างครับ

ลิงเขาผลไม้ said: ↑

(^_^)เอาบุญมาฝาก(^_^)

++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดดูไฟล์ 67645
ถวายพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
เปิดดูไฟล์ 67646 เปิดดูไฟล์ 67647
ถวายดอกบัวขาวสระพระบาท
เปิดดูไฟล์ 67648
ปิดทองถวายปัจจัยณ.พระธาตุดอยสุเทพ
เปิดดูไฟล์ 67650
ร่วมสร้างพระฯ
เปิดดูไฟล์ 67651
บูชารอยพระบาทถ้ำพระธาตุ
===============================
"ด้วยบุญทั้งหลายทั้งหมดนี้ที่ทุกท่านได้ทำมาขอถวายความดีและบุญทั้งหมดนี้แก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นและด้วยบุญบารมีนี้ขอแสงสว่างไสวของพระฯที่ยิ่งกว่าดวงตะวันนั้นได้โปรดคุมกายวาจาใจของข้าพทั้งหลายให้อยู่ในศีลธรรมและได้ส่วางไสวทั้งทางโลกและทางธรรมโดยฉับผลันและเข้าสู่ซึ่งพระนิพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ"
[b-wai] ++++++++++++++++++++++[b-wai]
Click to expand...

ขอโมทนาครับ รบกวนถามคุณลิงเขาผลไม้หน่อยครับ รอยพระบาทที่ถ้ำพระธาตุหรือที่ไหนครับ ผมเคยไปมาที่ถ้ำพระธาตุ เมืองกาญฯไม่เห็นมีรอยพระบาท
ครับ
(f)

เอกา, 29 พฤศจิกายน 2006

#1031
- ถูกใจ x 23
- ดูรายการ
เอกา เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

13 พฤศจิกายน 2006

โพสต์:

59

ค่าพลัง:

+1,412
ขอโมทนาครับ

sravnane said: ↑

[b-wai]
หม่อมฉันนั่งอยู่บนยอดเขาพระแม่ฯที่หน้าผาจุติฯ อันเป็นสถานที่จุติของพระแม่ฯที่หน้าผานี้จะสามารถมองเห็นทุกแห่งบนพื้นภิภพฯซึ่งเป็นสถานที่ๆพระแม่ฯต้องดูแลตามหน้าที่ฯ หม่อมฉันเห็นพระบรมธาตุ,พระพุทธบาท,พระฉาย,พระพุทธรูป,พระธรรม,พระสงฆ์,พระโพธิสัตว์ตลอดจนผู้ประพฤติธรรมและวิหารทั้งหลายฯเปล่งแสงสว่างเป็นประกายงดงามมาก มีความอิ่มเอิบใจจนบอกไม่ถูกฯ หม่อมฉันพนมมือขึ้นตั้ง นโมฯ3จบ ขอขมาพระรัตนตรัย ขออารธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ตลอดจนพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่ได้ปกปักรักษาพระศาสนาโดยเฉพาะพระแม่ธรณีทุกองค์ตั้งอดีตจนถึงปัจจุบันและที่รอเป็นพระแม่ฯในอนาคตกาลข้างหน้า นโมฯ3จบ สวดอิติปิโสฯถวายพระฯ แล้วตั้งจิตอธิษฐานกล่าวคาถาว่า"หม่อมฉันเป็นพระแม่ธรณีได้ยังทุกชีวิตในพื้นโลกให้เป็นไป มีคุณแก่โลกนี้เป็นอันมากเสมือนเป็นแม่ของทุกชีวิต จริงแล้วหม่อมฉันให้ได้แต่ชีวิต ไม่อาจให้ที่สุดของชีวิตที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทนทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบจักสิ้นเหมือนพระองค์ได้ หม่อมฉันอาศัยพระองค์จึงมีชีวิตใหม่อันพ้นจากทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว พระองค์จึงเป็นยิ่งกว่าแม่หรือมารดาของทุกชีวิตอย่างแท้จริง หม่อมฉันขอกราบพระบาทน้อมถวายบุญทั้งหมดบูชาพระพุทธเจ้าทุกองค์ พระปัจเจกพุธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ฯ ขออาราธนาบารมีพระทุกพระองค์ฯและบุญทั้งหมดของหม่อมฉันที่ได้บำเพ็ญมาจารึกสถิตย์อยู่ในทุกอณูธุลีดินเป็นกำลังให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่น มีส่วนช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ตลอดพรหมเทพเทวาและทุกๆท่านที่ประสงค์ติดตามพระฯไปพระนิพพานฯ ให้ทุกพระองค์สามารถยังกิจทั้งหลายตามพุทธประสงค์ฯโดยง่ายอย่าได้มีอุปสรรคอันใดมาขวางกั้น ให้บาปเคราะห์กรรมและสิ่งเลวร้ายจงหลีกสลายไป นับแต่บัดนี้ตราบชั่วกาลนานเทอญ" แสงสว่างจากจิตหม่อมฉันจักสถิตย์และยังกิจทั้งปวงตามคำอธิษฐานด้วยพุทธบารมีฯอันประมาณไม่ได้นั้น วันนี้เป็นวันที่หม่อมฉันดีใจมากนับแต่วันที่หม่อมฉันเลื่อมใสในพระฯได้ประกาศตนเข้าถึงไตรสรณคมณ์(ขอพระฯได้จดจำหม่อมฉันไว้ว่าหม่อมฉันเป็นสาวกของพระองค์) เพลานี้หม่อมฉันได้เป็นสาวกของพระองค์โดยสมบูรณ์แล้ว
[b-wai] (bb-flower [b-wai](ต่อ ภาคอวสาน )
Click to expand...

ขอโมทนาครับ ไม่มีอะไรจะบรรยายครับ อยากร้องไห้เหมือนกันครับ
(f)

เอกา, 29 พฤศจิกายน 2006

#1032
- ถูกใจ x 23
- ดูรายการ
sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

17 กรกฎาคม 2005

โพสต์:

695

ค่าพลัง:

+17,914
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

ao.angsila said: ↑

ขอร่วมโมทนาบุญทั้งหมดถวายเป็นพุทธบูชา

เอารูปพระบรมธาตุนาคปรกมาให้ทุกท่านโมทนาบุญกันครับ

ขอทุกท่านจงมีจิตใจที่ผ่องใส และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป....
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ พระบรมธาตุเจดีย์นาคปรก วัดถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ งดงามแปลกตามากครับ เชิญทุกท่านร่วมกันโมทนาครับ นานๆจะได้เห็นแบบนี้กันครับ
(verygood) (verygood) (verygood) (verygood)

sravnane, 30 พฤศจิกายน 2006

#1033
- ถูกใจ x 22
- ดูรายการ
chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

16 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

131

ค่าพลัง:

+2,770
ขออนุโมทนาถวายเป็นพุทธบูชาฯ

นำธรรม said: ↑

ข้าพระพุทธเจ้าได้ร่วมเดินทางสร้างบุญบารมีให้เกิดกับใจ กับคณะพระธาตุแก้วมณีโชติ

เมื่อเดินทางไปถึงวัดท่าซุง อุทัยธานี เป็นแห่งแรก เพื่อร่วมในการเป่ายันต์เกราะเพชร เสาร์ 5 โดยอธิฐานขอให้พระ และหลวงพ่อฤาษีเป็นบารมีในครั้งนี้ ยังได้ร่วมสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์พุฒตาล สร้างสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระปัจเจกพุทธเจ้า และสร้างวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน บุญทุกอย่าง ตลอดจนร่วมบูรณะวิหารสมเด็จพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยการนำของท่านผู้มีคุณ อธิฐานขอให้วิหารที่พวกเราทั้งหลายได้สร้าง ขอน้อมถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตลอดจนพระอริยสงฆ์ พรหม เทวาทุก ๆ พระองค์
ขอให้ วิหารนี้จงเป็นวิมาณแก้ว ปรากฎให้ทุกสรรพวิญญาน ทุกรูปนาม ที่ไม่มีวิมาณอยู่ ให้ได้อยู่ในวิมาณแก้วเพื่อความสุขตลอดไป
ได้เดินทางไปกราบรอยพระบาท 4 รอย ที่เขาสังกัส อันเป็นที่ ๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปนี้ได้ประทานไว้ เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพุทธมารดาในสวรรด์ชั้นดาวดึง ตามพุทธประเพณี แลยังได้ร่วมสร้างฉัตรแก้ว ตุงมหาจักรพรรดิ์ และร่วมทำบุญทุกอย่างกับทางคณะท่าน อ. ศุภรัตน พร้อมทำบุญทุกอย่างกับทางวัด เป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่ง ดังมีประเพณีตักบาตรเทโว ทุกๆ ปี
ได้เดินทางไปที่เขาหน่อ เขาแก้ว อันเป็นที่พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระสังข์ ได้เสด็จหนีแม่ เลี้ยงที่เป็นยักต์คือนางพันธุรัตนมาที่เขาแห่งนี้ เมื่อนางได้ตามมาแต่พระองค์ไม่เสด็จกลับ นางจึงเสียใจอกแตกตาย
ที่แห่งนี้ยัง มีความเชื่อว่าได้ถวายพระเพลิงนางด้วย เป็นสถานที่สำคัญเมื่อพระองค์ตรัสรู้ได้มาประทานรอยพระบาท ไว้ในถ้ำในปัจจุบันมีพระนอนประดิษฐานอยู่ ทางคณะได้สำรวจรอยพระบาท พบอีกหลายรอยบนยอดเขา และได้ร่วมทำบุญสร้างพระบรมธาตุ 8 เหลี่ยมที่ได้ชำรุดไปตามกาลเวลาบนยอดเขาด้วย

และเป็นสถานที่ๆ พระองค์สำคัญแห่งยุค คือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี เดินธุดงค์มากราบรอยพระบาท และท่านรัชกาลที่ 5 ก็เคยเสด็จ

เดินทางไปกราบรอยพระบาทอีกแห่งอันเป็นเมืองเก่า ขึ้นเขาไปกราบพระบาทที่สวยงามมาก และได้สวดมนด์บูชา ทำบุญทุกอย่างกับทางวัด(จำชื่อวัดไม่ได้ หากท่านในคณะทราบช่วยบอกด้วยครับ)

ได้เดินทางต่อไป ที่อุทยานแห่งชาติไทรทองเขาบังเหยชัยภูมิ การเดินทางไปเพื่อพักค้างคืน และได้ร่วมอุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่ทางคณะฯ ได้สร้างให้กับชาวเมืองลับแล และเทพเทวาบริเวณนั้น ยังเดินทางไปสำรวจรอยพระบาทที่น้ำตกไทรทอง ได้พบรอยพระบาทหลายรอย และได้พบกับเรื่องราวบำเพ็ญบุญบารมีอันอัศจรรย์ยิ่ง ของเจ้าแม่ไทรทองที่น้อมถวายหัวใจที่มีความรักอันเป็นทุกข์ เพื่อค้ำจุนแท่นพระนั่งอันเป็นสิ่งที่ยังความศัทธาให้บังเกิดแก่หมู่คณะ โดยการบอกเล่าจากท่านผู้มีคุณ และได้พบใบไม้บางชนิดมีรูปหัวใจด้วย
มีท่านบางคน ได้อธิฐานขอใบไม้นั้น ก็ได้ร่วงลงมาดังคำอธิฐาน
ได้เดินทางต่อไปที่วัดแห่งหนึ่งที่มีรอยพระบาท(จำชื่อไม่ได้) ทางขึ้นไปยากมากเป็นพระบาทที่อยู่บนเขา เป็นที่หน้าเสียดายที่รอยพระบาทถูกแกะสลักเพิ่มเติม จึงทำให้วัดไม่มีความเจริญ ทางคณะได้อธิฐานบวงสรวงโดยการนำของหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ กล่าวทางเทป เพื่อขอบารมีปิดทองสร้างรอยพระบาทขึ้นใหม่โดยการอธิฐานนำแผ่นทองขึ้นไปถวายพระทุก พระองค์บนนิพพานให้ท่านอธิฐาน และนำกลับมาปิดสร้างรอยพระบาทขึ้นใหม่ และขอขมาแก่ท่านผู้ล่วงเกิน ให้พ้นจากเคราะห์กรรมทั้งปวง

ได้ร่วมเดินทางไปที่ภูแฝด อันเป็นที่ประดิษฐานรอยพระบาท 4 รอย เป็นที่น่าสังเกตว่าตอนนี้มีพระอยู่รูปเดียว คงเป็นสถานที่หากผู้ไม่บำเพ็ญความดีอยู่ได้ยาก และได้พบรอยพระบาทใหม่ พระฉาย คงจะปรากฎได้ไม่นานจากคำอธิฐานของท่านผู้มีคุณ เพราะพระบาทเดิมอยู่ในวิหารเข้าไปกราบได้ยาก
ในภายภาคหน้าพระศรีอารยะเมตตรัยจะมาประทับรอยพระบาทนั้น ข้าพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีคุณและคณะได้อธิฐานมารับพระในภายภาคหน้า
ได้เดินทางต่อไปที่พระบาทหลักศิลา เพื่อร่วมโมทนาสร้างพระใหญ่ที่ท่านอาจารย์ชัยวัตร ได้สร้างไว้ และกราบรอยพระบาทที่งามมาก
ร่วมทำบุญทุกอย่างกับทางวัด จุดประทีปธูปเทียนบูชาพระให้สว่างไสวด้วย

ขอบุญทั้งหลายที่ท่านผู้เจริญได้ร่วมสร้าง และท่านผู้เจริญทั้งหลายร่วมโมทนา ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ตลอดจนเทพพรหมขอให้ท่านเป็นผู้พ้นจากทุกข์ และมีสุขถึงแดนธรรมนิพพานเทอญฯ

นำธรรม อนันตชัย

(หากท่าน ในคณะช่วยลงรูปประกอบจักเป็นธรรมทานยิ่ง)
Click to expand...

ได้นำภาพบานส่วนมาลงให้แล้วนะครับ ถ้าท่านใดที่มีภาพเพิ่มเติมในการทำบุญครั้งขอให้ลงเพิ่มด้วยนะครับ จะได้โมทนากัน

วัดท่าซุง

(f) (f)

(f) (f)

(f) (f)

เขาสังกัตคีรี

(f) (f)

วัดเขาหน่อเขาแก้ว

(f) (f)

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2006

chai9club, 30 พฤศจิกายน 2006

#1034
- ถูกใจ x 25
- ดูรายการ
nisau เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

21 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

111

ค่าพลัง:

+2,878
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

seyasa said: ↑

ในตัวเมืองเชียงใหม่นี้นอกจากมีพระเกศาธาตุ 8 เส้น อยู่รายรอบเมืองแล้ว ยังมีนอกเมืองที่บรรจุไว้ในพระนอน อีก 4 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง ด้วยกัน ทั้งนี้ยังไม่รวมรอยพระพุทธบาทและพระธาตุอีกหลายแห่ง

<O(f) เปิดดูไฟล์ 118401 เปิดดูไฟล์ 118402 (f) <O</O
ประวัติพระนอนขอนม่วง<O</O
(i) สมัยนั้น พระยากุมภมิตราช เจ้าเมืองกุมภมิตรนคร ได้รับมะม่วงคำ (ทอง) 8 ลูก จากพระสหายมีนามว่า พระยาอังครัฐ เจ้าผู้ครองนคร อัครัฐนคร (อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่) ครั้นพระองค์เสวยมะม่วงแล้วรู้สึกว่าอร่อยพอพระทัยในรสชาตอันหอมหวานนั้น
<O</O
<O</O
(i) พระองค์จึงให้นำเม็ดมะม่วงทั้ง 8 ลูก ไปเพาะในพระราชอุทายาน แล้งตั้งให้นายเสวตวกะ เป็นจ่าสวนเฝ้าอยู่ ต่อมาเม็ดมะม่วงพี่เพาะไว้ได้งอกขึ้นมาเพียงลูกเดียว จึงได้นำมะม่วงคำไปถวายแก่พระยากุมภมิตร ส่วนที่เหลือก็นำไปขายพร้อมกับผลไม้ ทำให้ได้เงินทองมากมาย
<O</O
<O</O
(i) ต่อมาภายหลังพระยาและคนเฝ้าสวนถึงแก่กรรมไปตามอายุขัย แต่ต้นมะม่วงคำยังคงอยู่ แผ่กิ่งก้านสาขาต้นสูงใหญ่ยิ่งนัก อยู่ต่อมาอีกหลายร้อยปี กาลเวลาผ่านไปนาน จนเมืองกุมภมิตรล่มสลายลง
<O</O
<O</O
(i) ขณะนั้น ยังมีชาวลัวะกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ดอยคำ (พระธาตุดอยคำ จ.เชียบใหม่) ได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่ชื่อว่า กุรุรัฐ มีเจ้าเมืองชื่อพระยากุรุรัฐราชา ต่อมามีสมทณชีพารหมณ์ในเมืองนี้ ได้ขอให้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองอิตาสังเกต ประชาชนอาศัยในเมืองนี้อย่างผาสุกตลอดมาและได้จัดพิธีเลี้ยงผีปู่และย่าแสะเป็นประจำทุกปี
<O</O
<O</O
(i) อยู่มาวันหนึ่งพระมหาเถระ 4 รูป เดินทางมาจาก เมืองหงสาวดี ได้นำเอาขึ้เถ้าและพระเกศาของพระพุทธเจ้ามาถวายเจ้าเมือง แล้วท่านก็ได้เดินธุดงค์ออกจากเมืองมาทางทิศเหนือไปพบขอนไม้ม่วงต้นใหญ่ต้นหนึ่งล้มอยู่ มีบางส่วนผุพังไปบ้าง
<O</O
<O</O
(i) แต่ลำต้นส่วนใหญ่ยังคงมีรากเหง้าเหลืออยู่เป็นก้อนใหญ่ มีรากแก้วชี้ออกจากเหง้าดุจดังพระเมาฬีพระพุทธรูป ดูเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระเถระทั้งสี่จึงปักกลดค้างแรม แล้วได้สอบถามชาวบ้านก็ทราบว่า ได้เป็นขอนไม้มะม่วงคำของพระยากุมภมิตรเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั่นเอง
<O</O
<O</O
(i) พระเถระได้พักแรมในที่นี้แล้วทราบด้วยอรหันตญาณว่า ที่นี้มีไหทองคำฝังอยู่ใต้ต้นมะม่วง (ซึ่ง นายเสวตกะ ฝังไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่) จึงสั่งให้ขุดเอาขึ้นมาถวายเจ้าเมือง แล้วมีการฉลองสมโภชเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน แล้วอัญเชิญ พระเกศาธาตุ และดินฝ่าพระบาท พร้อมกับไหทองคำ 4 ใบ กลับไปยังบริเวณขอนไม้เดิม
<O</O
<O</O
(i) แล้วก็ได้ทำการตกแต่งขอนไม้ให้สวยงาม โดยนำดินและอิฐมาก่อสร้างตามแนวนอนของขอนไม้ม่วงคำนั้น แล้วปั้นเป็นรูปพระนอนขนาดใหญ่ ซึ่งมีความยาว 15.2 เมตร แล้วให้ชื่อว่า
Click to expand...

nisau, 30 พฤศจิกายน 2006

#1035
- ถูกใจ x 22
- ดูรายการ
nisau เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

21 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

111

ค่าพลัง:

+2,878
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

chutikanont said: ↑

ขอโมทนาบุญนะครับ สมัยก่อนผมไปไหว้รอยพระบาทนึกว่ารอยพระบาททำไมท่านต้องสร้างกรงหรือที่ครอบมาครอบเหมือนถูกขัง แลไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ มีท่านผู้รู้มาแก้ข้อข้องใจให้เลยทำใจได้คือ ท่านบอกว่ารอยพระบาทไม่ได้ถูกขัง
พวกเราต่างหากที่ถูกขัง ท่านพ้นจากโลกไปแล้ว เป็นอิสระต่อเวรทั้งปวง ส่วนเราต่างหากที่อยู่ในกรงถูกขังอยู่ แม้มองดูว่าเป้นอิสระอยู่ (ส่วนรอยพระบาทที่เห็นครอบอยู่ท่านพ้นแล้วจริงๆครับ)

(verygood)
Click to expand...

ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบุชาฯ เป็นดังนั้นจริงๆค่ะ พระธรรมลุ่มลึกพิศดารเป็นอัศจรรย์เสมอค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)

nisau, 30 พฤศจิกายน 2006

#1036
- ถูกใจ x 20
- ดูรายการ
chai9club เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

16 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

131

ค่าพลัง:

+2,770
ภาพบุญเพิ่มเติม

ได้นำรูปภาพมาลงเพิ่มแล้วนะครับ ถ้าท่านใดที่มีรูปเพิ่มเติมในการบำเพ็ญกุศลครั้งนี้ ขอให้นำมาลงด้วยนะครับ จักได้โมทนากัน

น้ำตกไทรทอง

(f) (f)
ภาพรอยพระบาทบางส่วนที่น้ำตกไทรทอง

(f) (f)
ภาพหัวใจพระแม่ไทรทองค้ำแท่นประทับพระพุทธเจ้า

วัดพระพุทธบาทภูแฝด

(f) (f)
พระพุทธบาทไม่ปรากฎนิ้วขางซ้ายและข้างขวา

(f) (f)

(f) (f)
ภาพพระพุทธบาทเกือกแก้วสี่รอยและภาพพระพุทธบาทเกือกแก้วที่พบใหม่

วัดพระพุทธบาทหลักศิลา

(f) (f)
พระพุทธบาทหลักศิลาและพระใหญ่

(f) (f) (f) (f) (f) (f)
ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าขอให้ทุกสถานที่ของพระตั้งมั่นรุ่งเรืองสืบไป เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ให้ได้บำเพ็ญบารมี เพื่อ มรรค ผล ได้ถึงซึ่งพระนิพพานกันทุกท่านตามความปรารถนาเทอญ สาธุ สาธู

แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2006

chai9club, 30 พฤศจิกายน 2006

#1037
- ถูกใจ x 21
- ดูรายการ
nisau เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

21 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

111

ค่าพลัง:

+2,878
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

O^HO! said: ↑

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
(คาถาบูชานะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ)

ข้อความจากคุณ Wisdom จากกระทู้หลวงปู่บุดดาพยากรณ์หลวงปู่ดู่ และเรื่องราวของ
Click to expand...

nisau, 30 พฤศจิกายน 2006

#1038
- ถูกใจ x 20
- ดูรายการ
nisau เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

21 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

111

ค่าพลัง:

+2,878
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

O^HO! said: ↑

[b-wai] [b-wai]

เรื่องที่สามนี้ (น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของที่พระบาทสี่รอย) มีเหตุมาจากการถวายฉัตรที่พระบาทมี่รอย เรื่องมีอยู่ว่า ศาสนิกชนส่วนมากจะนิยมถวายเครื่องสูง เพื่อบูชาพระฯ เช่น ตุง และ ฉัตรเป็นต้น เพราะเป็นของบูชาที่สูงสุดในการปกป้องพระ เป็นฉัตรคุ้มภัยพาล ซึ่งถือว่าเป็นของที่มีอานิสงฆ์มากที่เดียว แต่มีบุญที่ท่านถวายแล้วมีอานิสงฆ์มากเช่นเดียวกับการถวายฉัตร คือ การถวายของบูชาที่พระบาท เช่น ผ้ารองพระบาท เป็นต้น เหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะจะให้ท่านทั้งหลายเห็นถึงอานิสงฆ์ของการถวายทานแล้วทำให้ทานนั้นเต็ม ครบถ้วนบริบูรณ์ อันเป็นมหาทานทานที่ท่านหาทำได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นบุญที่ทำไม่ได้เป็นปรกติ ดังตัวอย่างที่ปรากฏในสมัยพุทธกาลที่มีพราหมท่านหนึ่งถวายน้ำผึ้งหอมอันบุคคลทั่วไปหาได้ยาก มาถวายแด่พระพุทธเจ้า เป็นพุทธบูชา มีอานิสงฆ์ให้ท่านผู้นั้น คำว่ายากลำบากไม่ปรากฎมี จนท่านได้เข้าพระนิพพาน หรือเรามักจะได้ยินจากคำครูบาอาจารย์ว่า อานิสงฆ์ในขั้นต้นที่ปรากฎแก่ท่านที่ถวายทานเช่นนี้ หรือถวายทานโดยบังอิญ เช่น ท่านที่ถูกล็อตเตอรี่ หรือเป็นเหตุให้สำเร็จในพระโพธิญาณ ดังเช่นที่สมัยที่พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ได้เคยเสวยพระชาติเป็นทาสในเรือนเศรษฐี แต่ด้วยวาสนาบุญบารมี แม้ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติแต่ท่านได้เป็นผู้นำเศรษฐีและบริวารถวายทานแด่พระพุทธเจ้า แลพระอรหันตร์ทั้งหลาย นับเป็นบุญที่หากระทำได้ยาก<O</O
เราพักค้างคืนกันที่พระบาทสี่รอย พอรุ่งเช้าเราได้เข้าไปไหว้รอยพระบาทอีกครั้ง ได้เห็นรอยร้าวที่พระบาทชัดเจน จึงพากันอธิษฐานถวายแผ่นทองปิดซ่อมรอยร้าวที่เกิดขึ้น พลันได้นึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน ทำให้รู้สึกมีปีติ ชุ่มชื่น อิ่มเอิบใจ เพราะเราเสมือนได้ถวายผ้ารองพระบาท และเช็ดพระบาท ของพระทุกพระองค์ ทั้งหมดพระนิพพาน เป็นทองคำ แต่เพลานี้เป็นแก้วมณีโชติไปหมดแล้ว ได้อธิษฐานว่า
Click to expand...

nisau, 30 พฤศจิกายน 2006

#1039
- ถูกใจ x 20
- ดูรายการ
nisau เป็นที่รู้จักกันดี

วันที่สมัครสมาชิก:

21 กุมภาพันธ์ 2006

โพสต์:

111

ค่าพลัง:

+2,878
ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

leklek said: ↑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมหาปชาบดีโคตมีเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ผู้เป็นสาวิกาของตถาคต ในฝ่าย "ผู้รู้ราตรีนาน"

ประวัติโดยย่อของพระนางมหาปชาบดีโคตมี ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม มีดังนี้

พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะกับพระนางยโสธราและทรงเป็นพระกนิษบภคินีของพระนางมหามายา

พวกพราหม์ผู้ทำนายลักษณะ ได้กราบบังคมทูลถวายคำทำนายพระนางมหามายาและพระนางโคตมีว่า "พระราชกุมารผู้เสด็จมาประทับในพระครรภ์ของพระนางทั้งสองพระองค์ จะได้ทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ"

ในเวลาที่พระนางทั้งสองทรงพระเจริญวัยแล้ว พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงทำการสู่ขอพระนางทั้งสองพระองค์ให้เสด็จมาประทับอยู่ ณ เมืองกบิลพัสดุ์

เมื่อพระมหาบุรุษประสูติจากพระครรภ์ได้ ๗ วัน พระนางมหามายาก็เสด็จสวรรคต แล้วทรงไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงสถาปนาพระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นพระอัครมเหสี และทรงมอบพระสิทธัตถราชโอรสให้พระนางทรงเลี้ยงดูต่อมา

ภายหลังพระนางประสูติพระนันทกุมาร พระนางได้ทรงมอบพระนันทกุมารให้แก่พระพี่เลี้ยงนางนมรับเป็นธุระเลี้ยงดู ส่วนพระนางทรงบำรุงเลี้ยงพระสิทธัตถราชกุมารด้วยพระองค์เอง (พระนางมีพระราชธิดาอีกพระองค์คือ พระรูปนันทากุมารี)

กาลต่อมาพระสิทธัตถราชกุมารได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ แล้วได้ตรัสรู้พระสัพพัญญู ทรงกระทำการอนุเคราะห์ชาวโลก ได้เสด็จถึงพระนครกบิลพัสดุ์ และทรงกระทำญาตัตถจริยา คือทรงประพฤติสงเคราะห์พระประยูรญาติ

ครั้งนั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงสดับธรรมกถาในระหว่างที่ประทับอยู่ระหว่างหนทาง ก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน (สาธุ สาธุ)

ในวันที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระนันทกุมารทรงผนวชและวันที่ ๗ ทรงอนุญาตให้พระราหุลกุมารทรงบรรพชาเป็นสามเณร (ถือเป็นสามเณรองค์แรก)

อีกสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับมาที่พระนครกบิลพัสดุ์ เป็นวาระที่สอง และเสด็จเข้าประทับในพระวิหารนิโครธาราม

ในกาลนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระราชดำริว่า
Click to expand...

nisau, 30 พฤศจิกายน 2006

#1040
- ถูกใจ x 21
- ดูรายการ

(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)

หน้า 52 ของ 159

แชร์หน้านี้

Loading...