คิดนอกรอบ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Siani_3D, 18 ตุลาคม 2010.

  1. Siani_3D

    Siani_3D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +607
    [FONT=&quot]คิดนอกรอบ[/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่คิดนอกรอบหรือคิดอะไร ที่คนอื่นไม่คิดกัน[/FONT][FONT=&quot](ในที่นี้สื่อถึงความคิดสร้างสรรค์หรือคิดในทางทีดี)[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คนเหล่านี้มักจะถูกขจัดออกไปจากสังคมโดยถูกตีตราว่าเป็นคนบ้า
    ผมเชื่อว่าเราทุกคนนั้นถูกตั้งโปรแกรมหรือถูกควบคุมไม่เราคิดอะไรและกระทำอะไรเกินกว่าเขาที่กำหนด
    และถูกตั้งไม่ให้ยอมรับในสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเราหรือคนอื่นๆคิดหรือกระทำ
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่รู้หรือพยามคิดหรือทำอะไรเกินกว่าที่กำหนดจะถูกกำจัด
    โดยสังคมจะขจัดเราออกไปเป็นลำดับแรก ต่อมาคือสิ่งที่คอยควบคุมเรา
    [/FONT]


    [FONT=&quot]ยกตัวอย่างเช่น เคยมีข่าวมีหนุ่มวิศวะพยายามให้คนกรุงเทพกระหนักถึงภาวะโลกร้อน
    แต่เขากลับถูกมองจากสังคมว่าเป็นการกระทำที่เหมือนคนบ้า
    หรือเหตุการณ์ สึนามิ เมื่อปี 47 คนที่รู้พยามเตื่อนและบอกไว้ล่วงหน้า
    แต่สังคมกลับมองว่าคนนั้นบ้าเช่นกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ทดสอบง่ายๆ ลองเอาข้อมูลเกี่ยวกับ พลังจิต หรือมนุษย์ต่างดาวไปเล่าให้คนที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ฟัง
    เขาจะตอบว่าเรานั้นบ้าไปแล้วรึเปล่า[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่จึงเป็นเหตุผล ที่ทำให้คนที่รู้ ไม่สามารถบอกใครได้[/FONT]
    [FONT=&quot]สมองของเราสารถคิดอะไรได้มากกว่าที่เรารับรู้
    เพียงแต่เราไม่เคยเปิดใช้ในส่วนนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะคนส่วนใหญ่ถูกล้างสมอง
    เราติดอยู่กับกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์แบบพื้นๆ ทำให้เชื่อว่ามันเป็นจริง
    แนวคิดใด ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ก็จะไม่ได้รับการเชื่อถือ
    เราถูกล้างสมองด้วยสื่อต่างๆ เราถูกล้างสมองด้วยคำสั่งสอนและตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา
    และสุดท้ายเราถูกตรึงให้ยึดติดกับเงินตรา ความมักง่ายยึดถือความสะดวกสบายเป็นหลัก ทำให้เราไม่สามารถที่จะคิดเกินกว่านี้ เช่น[/FONT]


    [FONT=&quot]-วิทยาศาสตร์ สิ่งไหนที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ก็จะพยามเชื่อโยงเข้ากับสิ่งที่เขาพิสูจน์ได้ เช่น
    [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]การเกิดบังไฟพญานาค ที่บอกว่าเกิดจากก๊าซรวมตัวกัน [/FONT][FONT=&quot]
    (มันจะบังเอิญไปมั้งดันมารวมตัวกันในวันออกพรรษาวันเดียวเลย)
    [/FONT]




    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [​IMG]


    [FONT=&quot]บริเวณสามเหลี่ยมเบอมิวด้า เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดจากหลุมของก๊าซขนาดใหญ่
    ผมคิดว่านี้แหละคือประตูมิติ แต่วิทยาศาสตร์พื้นๆไม่สามารถอธิบายสิ่งนี้ได้
    จึงพยามยามเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่วิทยาศาสตร์พื้นๆพิสูจน์ได้ คือ ฟองอากาศ
    (ถ้าคุณเชื่อว่าฟองอากาศ คุณไม่สามารถคิดไปไกลมากกว่านี้)[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]-สื่อ ให้ข้อมูลที่บิดเบือน สื่อสามารถควบคุมความคิดคนหลายๆคนได้ในคราเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot]-คำสอนต่างๆ คำสอนที่ดีก็จะชี้แนวทางเราไปในทางที่ดี
    แต่คำสอนที่ผิดก็จะชี้เราไปในแนวทางทีผิด ถึงแม้ว่าสังคมจะบอกว่ามันเป็นสิ่งทีดี
    เช่น เราถูกสอนและจากสื่อว่าผีนั้นน่ากลัว สุดท้ายเราก็คลายเป็นคนกลัวผีและกลัวความมืด[/FONT]
    [FONT=&quot]-ความเชื่อที่สืบทอดกันมา เราถูกป้อนข้อมูลต่างๆทีละเล็กละน้อยให้เชื่อในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    เช่นในเรื่องศาสนา เรานับถือศาสนาและความเชื่อต่างๆตามบรรพบุรุษของเรา คือพ่อแม่ ญาติพี่น้อง[/FONT]
    [FONT=&quot]-เงินตรา ความมักง่ายและความสะดวกสบาย[/FONT][FONT=&quot] ในปัจจุบันเราแทบจะไม่ต้องคิดหรือไปขวนขวาย
    พวกเขาจะทำให้เราคิดอะไรไม่ออกโดยการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ เช่นเครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์
    [/FONT][FONT=&quot](เขาสร้างสิ่งเหล่านี้มาเพื่อยับยั้งไม่เราฝึกการสื่อสารทางจิต และตอนนี้มีข่าวว่าเขาได้ฝังอุปกรณ์บางอย่างไว้ในมือถือเพื่อทำลายคลื่นสมองของเรา)[/FONT]

    [FONT=&quot]ตอนเด็กๆผมคิดอยู่เสมอๆว่า พวก ทีวี ตูเย็น คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ นั้นตกลงมาจากฟ้าและคนไปเจอ[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วได้เลียนแบบสิ่งของเหล่านั้นมา [/FONT][FONT=&quot] (แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง เพราะรู้ดีว่าเขาจะหาว่าผมบ้า)[/FONT]



    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]

    [FONT=&quot]แท้จริง[/FONT][FONT=&quot] ตัวตนของเราก็คือพลังงาน เราเป็นพลังรูปแบบหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่ง ของโลก ของดวงอาทิตย์ ของจักรวาล [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่เรารับรู้ไม่ได้เพราะเราอยู่ในมิติแห่งกายภาพ กลไกในมิตินี้คือเราทำให้เชื่อในสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้เท่านั้น[/FONT]






    [FONT=&quot][​IMG]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเราคือ สสาร แล้วสสารประกอบไปด้วยมวล เล็กลงไปคืออะตอม ประกอบไปด้วย โปรตอน[/FONT][FONT=&quot](ประจุไฟฟ้าขั่ว+)นิวตอนและอิเลคตรอน[/FONT][FONT=&quot](ประจุไฟฟ้าขั่ว-)[/FONT][FONT=&quot]
    แล้วถ้าเล็กลงไปกว่านั้นก็คือ[/FONT]ควาร์ก (Quarks)[FONT=&quot]ซึ่งเป็นพลังงานประจุไฟฟ้า
    [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] เพราะฉะนั้นถ้าทุกอย่างที่เราเห็นที่เราสัมผัส คือสสาร
    ก็แสดง มันก็คือพลังงานเช่นกัน เรารับพลังงานจากพืช สัตว์ น้ำ และอื่นๆ
    (ซึ่งสิ่งเหล่านี้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์) เรารับจากทางกายภาพ เช่น การกิน การสัมผัส ในการดำรงชีวิต
    และที่รับโดยตรงคือการฟัง เวลาที่เราได้ยินคือฟัง จิตเรามักแปรเปลี่ยนไป
    ตามพลังงานของคลื่นเสียงนั้นโดย เช่น ฟังเพลง โดนด่า หรือคำชื่นชม[/FONT]


    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเรารู้ว่าแท้จริงแล้วตัวตนเราเป็นแค่พลังรูปแบบหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot](หรือที่เรียกว่าวิญญาณ)
    พลังงานที่ไม่สามารถมองด้วยตาของเรา
    เพราะดวงตาของเราถูกกำหนดมาให้มองเห็นเพียงในมิติแห่งกายภาพ
    ถ้าเราสามารถรับรู้ในสิ่งนี้ได้เราก็จะสามารถเคลื่อนย้ายตัวเราเองไปที่ไหนก็ได้
    (หรือที่เรียกว่าการถอดจิต)
    [/FONT]
    [FONT=&quot]และเราอาจจะสามารถดูดพลังงานจากพืชและสัตว์หรือสิ่งต่างๆแทนการกิน
    และอาจเป็นไปได้ว่าอาหารหรือสิ่งของที่เราทำบุญไปให้ผู้ที่ล่วงลับนั้น
    (ซึ่งเขาอยู่ในรูปของพลังงาน) แปรสภาพเป็นรูปแบบพลังงานผ่านทางผู้นำสารหรือพระสงค์
    ส่งไปยังสถานที่ที่มิติทางกายภาพเข้าไปไม่ได้
    (เคยสังเกตไหมอาหารที่เราเส้นไหว้แล้ว มักจะมักจะรสจืด)[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]หรือแท้จริงแล้วลำแสงที่ส่องประกายบนพระเศียรของพระพุทธเจ้านั้น
    คือรูปแบบพลังงานตัวตนที่แท้จริงของเรา และพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในสิ่งนี้
    แต่ไม่อาจจะนำมาเป็นหลักคำสอนได้ เพราะผู้คนอาจไม่เข้าใจและอาจจะทำได้ผู้คนไม่อาจเชื่อถือ
    จึงได้สั่งสอนในหลักธรรมที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติแทน....[/FONT]


    [FONT=&quot]และพวกเขารู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในสิ่งนี้ จึงได้พยาม สร้างสิ่งต่างๆ
    เพื่อยับยั้งไม่คนอื่นๆปฏิบัติตาม ให้หลงมัวเมาอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเพื่อเหตุผลบางอย่าง
    และทำลายความสามารถด้านความคิด ด้านความเพียรพยามของเราลงทีละนิดเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต[/FONT]

    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot](ทุกอย่างคือความคิดส่วนหนึ่งของผม ถ้ามีเนื้อที่ไม่เหมาะสม กรุณา...แจ้งลบได้ครับ)[/FONT]
     
  2. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ใจร่มๆนะครับ
    ที่อธิบายมานั้นก็อธิบายให้เป็นกายภาพอยู่เหมือนเดิมนะครับ
    ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครมองเห็นเหมือนในรูปครับ
    เรื่องเหล่านี้มีสอนกันมาตั้งนานก่อนที่บุรุษใส่สูธทางตะวันตกจะอธิบายเสียด้วยซ้ำ
    ต่างกันแค่คำศัพท์และการนำเสนอครับ ยกตัวอย่างเช่นสมัยก่อนฝรั่งจะถามว่าคนตายแล้วไปไหน คนไทยหรือชาวพุทธจะพูดถึงวิญญาณฝรั่งหัวเราะว่าชาวพุทธโง่งมงายต่างๆนานา แล้วยิ่งถ้าพูดถึงภพภูมิหรือชาติกำเนิดยิ่งไปกันใหญ่ แต่พอได้หรือรับรู้ถึงพลังงานก็ว่าวิญญาณไม่ใช่วิญญาณเป็นพลังงาน โน่น..มันก็อันเดียวกันนั่นแหละถึงได้กล่าวไว้ว่าต่างกันที่คำศัพท์เรียกใช้ในสรรพสิ่งนั้นๆ ยังมีอีกเยอะแยะที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้และอธิบายไม่ได้ในทางกายภาพ พลังจิตที่เหนือกว่าการจินตนาการมีให้พิสูจน์โดยผ่านกระบวนการและขั้นตอนของ "สติปัฏฐาน4" ครับ อยากรู้ต้องลอง..

    การคิดนอกกรอบก็คือการคิดที่นอกเหนือจากสิ่งที่หลายๆคนหรือกลุ่มบุคคลทั่วไปคิดกัน
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำความเข้าใจในสังคมด้วยว่าที่เราคิดนี้จะส่งผลอย่างไรกับบุคคลภายนอก และในเมืองคิดได้อย่างนั้นก็จะเข้าใจว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างไร เช่น มนุษย์ไม่อาจยอมรับอะไรใหม่ๆ มนุษย์ไม่อาจที่จะบังคับให้ยอมรับในสิ่งใดๆของจากผู้อื่น
    มนุษย์ไม่อาจจะเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นเข้าใจได้โดยง่าย เป็นต้น เมื่อพินิจพิจารณาให้แจ้งอย่างนี้เรื่องที่คิดว่าตัวเองคิดนอกกรอบนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นทุกข์อีกต่อไปครับ
    หมายความว่า เรื่องจริงที่เรารู้เราเห็นหากบอกเล่าให้ใครฟังแล้วเขาไม่ยอมรับตรงนี้ ฉนั้นเราก็ต้องยอมรับตรงนี้ด้วยเช่นกันเพราะเหตุดังนี้
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เรามาถกกันแบบนักวิชาการดีมะ
    ความคิดว่ามนุษย์มีวิญาณเป็นร่างทิพย์ซ้อนอยู่มันเป็นของเก่า ไม่ใช่ความคิดนอกกรอบอะไรเลย
    ความคิดที่ว่ามีมหาเทพที่สรรสร้างและจัดระเบียบให้ทุกๆสิ่งในเอกภพ แถมยังสามารถแบ่งภาคลงมาเกิดหรือแบ่งดวงจิตออกมาเป็นอนันต์ซอยย่อยลงมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่คิดนอกกรอบ
    แม้แต่ๆquantum physicก็ไม่ใช่ของใหม่เลยเมื่อเทียบกับปรัชญาและความคิดแบบตะวันออก string theory ก็บอกได้แค่มิติน่าจะมีซ้อนกันได้ประมาณ13มิติ มันนอกกรอบเรื่อง31ภพภูมิตรงไหน
    คนที่ชื่นชมคำสอนต่างๆว่ามีมหาเทพซึ่งเดี๋ยวนี้ใช้ชื่อใหม่ว่าเมตทราตรอน จิตจักรวาลต่างกับพระเจ้าตรงไหน
    แค่เอาเรื่องวิทยาศาสตร์quantumมาผูกโยงผสมเรื่องจากมนุษย์ขี้เหม็นก็กลายเป็นผู้พยากรณ์หลอกขายหนังสือ เปิดสัมมนาได้
    เขียนเรื่องราวให้วิจิตรพิสดารอย่างไรก็ได้ แต่บอกวิธีปฏิบัติไม่ได้
    บอกได้ว่ารักแบบไม่มีเงื่อนไข ต่างกับพรหมวิหาร4ตรงไหน
    ใครทำได้บ้างรักทุกขณะจิตแบบไม่มีเงื่อนไข
    เพราะทำไม่ได้จึงต้องหัดอุเบกขาไง
    อย่าหลอกตัวเองอยู่เลย ที่แท้ก็ไม่อยากยอมรับว่าทุกสิ่งในเอกภพนี้มันต้องสูญสลายไป
    อยากเป็นอมตะ อยากเสพสุขไปตลอดกาล เลยอยากจะเชื่อในสิ่งที่ปลอบประโลมใจตัวเอง
    อยู่ดีๆก็จะมีพลังอะไรไม่รู้มายกระดับให้กลายเป็นกึ่งเทพ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือกับแทคติกการเผยแพร่ศาสนาแบบใหม่ แบบที่ต้องเสียความเป็นปัจเจกบุคคลไป พึ่งพาตัวเองให้รอดไม่ได้ กลับไปเป็นทาสพระเจ้าเหมือนเดิม นอกกรอบตรงไหนหรือ
    จากมนุษย์ที่กำหนดทางเดินของตัวเองให้สุดทุกข์ได้ ไปเป็นฝูงแกะให้กวาดต้อนขึ้นสวรรค์อีกหรือ
    เรื่องเข้าทรงพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นของใหม่หรอก หลังสำนักปู่สวรรค์อีก
    ใครอยากปะทะความคิด เพื่อติดอาวุธให้ทางปัญญาเชิญนะ
    มีอารมณ์
     
  4. Siani_3D

    Siani_3D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +607
    ทุกอย่างย่อมมีเกิดและดับ ดับและเกิดเป็นวัฎจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน
    รวมทั้งจิตใจคนเราแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์


    คนเราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะความเชื่อมั่น ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังกระทำ ย่อมไม่มีทางประสบความสำเสร็จ (เชื่อมั่นในตัวเราเองดีที่สุด ดีกว่าเชื่อคนอื่น)
    ผมคิดในสิ่งที่ตนเองเชื่อ
    ถ้าเราขาดความเชื่อมั่นในตัวเราเอง คงจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า
    "คนเราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร"

    ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เหมือนเป็นเกมส์การทดสอบ
    ผู้ที่ค้นหาเจอ หรือผู้ที่ชนะ จะได้รับเลือกไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เหมือนข้อสอบ คนที่ผ่านก็จะไปอีกระดับหนึ่ง
    ส่วนคนที่ตก ก็ต้องกลับไปสอบใหม่ จนกว่าจะผ่าน

    หลายคนพยามเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านั้น แต่แท้จริงแล้วสิ่งนั้นมันคือตัวเราเอง
    เมื่อเราอยุ่ในมิติแห่กายภาพ มองเห็นได้ สัมผัสได้
    ความอยากได้ ความโลกจึงบังเกิดกับเรา เมื่อไม่สมหวังเราก็ทุกข์
    เราถูกทดสอบด้วยสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่สัมผัส...

    จนกว่าเราจะพบกว่าแท้จริงมันคือความว่างเปล่า...
     
  5. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    จนกว่าเราจะพบกว่าแท้จริงมันคือความว่างเปล่า...<!-- google_ad_section_end -->

    ที่พูดมาดังว่านี่นอกกรอบพุทธธรรมตรงไหน
    พูดได้แบบนี้น่าจะเข้าใจอะไรๆกระจ่างพอสมควร
    ขออนุโมทนา
     
  6. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • be_natural.gif
      be_natural.gif
      ขนาดไฟล์:
      16.9 KB
      เปิดดู:
      496
  7. Siani_3D

    Siani_3D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +607
    บทความแรกนั้น ผมพยาม สื่อให้เข้าใจว่า ตัวตนของเราคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง หรือจิต แต่เราคนหาสิ่งนี้ไม่เจอ เพราะคนส่วนใหญ่ยึดติดกับ กายภาพ
    เมื่อยึดติดแล้ว ไม่ว่าแนวคิดใดก็ไม่สามารถ สื่อให้เข้าใจได้


    และ
    คูณ Mr.Boy_jakkrit กล่าวไว้ถูกต้องแล้ว

    เพราะทุกคนคิดในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในสิ่งที่คิด
    เมื่อมีความคิดที่แตกต่างเข้ามาสอดแทรก
    จึงเกิดปฎิกิริยา ต่อต้านความคิดนั้น...
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมชอบพี่จขกท.จังคับ ผมชอบคนคิดนอกกรบ ผมชอบ"แกะดำ" การทำอะไรตามๆกัน คิดอะไรตามๆกัน มันน่ากลัวนะคับ (ผมติดตามกระทู้พี่อยู่บ่อยๆ เป็นกำลังใจให้คับผม..)
     
  9. free_hippy

    free_hippy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +52
    รู้อย่างเดียว...........................................
     
  10. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    การคิดอะไรแตกต่างจากคนอื่นมากๆก็ไม่ดีนะครับ เหมือนกับการที่พระพุทธเจ้าค้นพบคำสอนนี่แหละครับกว่าจะได้มาคงจะคิดอะไรแปลกๆไว้เยอะจนมีพวกมารมาคอยก่อกวนอยู่ร่ำไป การมีวิทยาศาสตร์ก็คอยข่วยพิสูจน์ว่ามันจริงตามนั้น แต่บางครั้งก็มีข้อโต้แย้งได้ ของอย่างนี้ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองถึงจะเชื่อได้อย่างสนิทใจ
     
  11. Siani_3D

    Siani_3D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +607
    อย่างที่เค้าว่าครับ "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
     
  12. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ควอนตัม นั้นแล

    แม่น้ำมีสายเดียวแต่สามารถ แยก ออกไปหลายทางได้

    การจะส่งวัตถุใดๆผ่านคลื่นแม่เหล็กพลังงานสูง อาจจะทำได้
     
  13. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ถ้าอยู่ดีๆ คุณไปบอกคนอื่นว่า พรุ่งนี้โลกจะแตก ผมฟันธงได้ว่า อย่างน้อย 98 %

    จะว่าคุณบ้า

    ยกตัวอย่างหนัง 2012 ดูสิ แบบนั้นไง

    แล้วสุดท้าย คนที่เชื่อก็จะรอด



    โลกก็ ฉะนี้แล


    คนเราไม่เหมือนกันหรอกก
     
  14. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    การที่ตั้งธงเอาไว้ว่าคนทั่วไปมีกรอบความคิด นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมีกรอบอันใหม่มาครอบงำความคิดของคุณเอาไว้หรือ?

    คำว่าคิดนอกกรอบเป็นคำที่ฟังดูสวยหรู แต่ถ้าลองพิจารณาดูให้ดีนั่นก็เป็นกรอบความคิดอันใหม่ที่ใช้ครอบงำความคิดแทนกรอบเดิมเท่านั้น

    ถ้าเมื่อไหร่คุณสร้างกรอบขึ้นมาครอบอะไรสักอย่างเอาไว้ คำถามคือกรอบนั้นกั้นขอบเขตไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายในออกมาหรือไม่ให้สิ่งที่อยู่ภายนอกเข้าไป?
     
  15. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ตัวอย่างเช่น

    ทำไมเราจึงเรียก ไก่ ว่าไก่

    แต่ถ้าเราเรียกไก่ว่า ไข่ เราจะแปลกไหม

    แล้วใครจะเข้าใจเรา

    !!!!!!!!!!


    ลองดูสิ 55
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    ขออนุญาต แย้งนิดนึงครับ
    เกี่ยวกับความเชื่อนะครับ

    พุทธศาสนามุ่งเน้นไปที่เรื่องจริงของสรรพสิ่ง ไม่ได้บอกให้เชื่อเพียงเพราะ--> คลิก
    เมื่อมีความคิดที่แตกต่างก็ต้องพิจารณาในแง่ของมุมมองและทัศนคตินั้นๆว่าเป็นไปในแนวทางใดหรือไม่ เช่น ดี ไม่ดี มีคุณ หรือ มีโทษ
    และในทัศนะคติวิถีพุทธความคิดที่แตกต่างหรือเรียกกันว่า "สภาวะสวนโลก"
    สภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อได้เห็นสัจจธรรมหรือบางคนเรียกว่าดวงตาเห็นธรรม
    สัจจธรรมนี้หมายถึงสิ่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติ ไม่ได้เห็นไปนอกเหนือจากกรอบเดิมโดยการคิดภายใต้ความเชื่อ แต่เป็นการเชื่อในสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น
    และเป็นเช่นนั้นโดยปราศจากความเชื่อและกระบวนการทางความคิดเรียกว่าวิปัสสนาญาณ คือพิจารณาและสังเกตการณ์ต่อสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจนเห็นสภาพความเป็นจริงที่เป็นแก่นแท้เท่านั้น
    ก็ขอทำความเข้าใจตรงจุดนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนครับ

    ใจร่มๆกันนะครับ :cool:
     
  17. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    quote
    ตัวตนของเราคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง หรือจิต
    unquote

    ในทางปรมัตถ์สัจจะแล้ว จิตก็ไม่ใช่ตัวตน
    ชันธ์5คือ
    รูป (กาย)
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน (จิต)
    เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
    สิ่งที่คุณคิดว่าเป็นการคิดนอกกรอบ แท้จริงก็อยู่ในกรอบเดิมๆดังต่อไปนี้
    ทรงทราบทิฏฐิวัตถุที่ลึกซึ้ง​

    (​
    ทิฏฐิ ๖๒)

    ภิกษุ ท ​
    .! มีธรรมที่ลึก ที่สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม
    เป็นธรรมเงียบสงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่ายแห่งความตรึก เป็น
    ของละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิตวิสัย
    , ซึ่งเราตถาคตได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
    เองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง
    ,เป็นคุณวุฒิเครื่องนำไปสรรเสริญ ของผู้ที่เมื่อจะพูด
    สรรเสริญเราตถาคตให้ถูกต้องตรงตามที่เป็นจริง
    . ภิกษุ ท.! ธรรมเหล่านั้นเป็น
    อย่างไรเล่า
    ?

    ภิกษุ ท​
    .! ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์บางพวกในโลกนี้ ฯลฯ (ต่าง
    ก็บัญญัติ
    ):

    ๑​
    . เพราะระลึกชาติของตนเองได้หลายแสนชาติ จึงบัญญัติตนและโลกว่า เที่ยงทุกอย่าง.

    ๒​
    . เพราะ ,, ,, ๑๐ สังวัฏฏกัปป์-วิวัฏฏกัปป์ (เป็นอย่างสูง) ,, ,, เที่ยงทุกอย่าง.

    ๓​
    . เพราะ ,, ,, ๔๐ ,, ,, ( ,, ) ,, ,, เที่ยงทุกอย่าง.

    ๔​
    . เพราะอาศัยความตริตรึกเสมอ แล้วคะเนเอา ,, ,, เที่ยงทุกอย่าง

    (​
    ๔ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกสัสสตวาม - เที่ยงทุกอย่าง)

    ๑​
    . บาลี สี.ที. /๑๖/๒๖. ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่สวนอัมพลัฏฐิกา.

    ๒​
    . ทิฏฐิวัตถุ คือต้นเหตุเดิมอันจะให้เกิดทิฏฐิต่าง ๆ ขึ้น มีอยู่ ๖๒ วัตถุ. แต่เรา

    เรียกกันว่าทิฏฐิ ๖๒ เฉย ๆ
    . ในที่นี้ย่อเอามาแต่ใจความ จากพรหมชาลสูตร สี.ที.
    ๖​
    . เพราะ “ “ เคยเป็นเทพพวกขิฑฑาปโทสิกา “ “ เที่ยงแต่บางอย่าง.

    ๗​
    . เพราะ “ “ มโนปโทสิกา “ “ เที่ยงแต่บางอย่าง.

    ๘​
    . เพราะอาศัยความตริตรึกอยู่เสมอ แล้วคะเนเอาเอง “ “ เที่ยงแต่บางอย่าง.
    (
    ๔ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกเอกัจจสัสสตวาท - เที่ยงแต่บางอย่าง)

    ๙​
    . เพราะอาศัยความเพียรบางอย่างบรรลุเจโตสมาธิ ทำความมั่นใจแล้วบัญญัติตนและโลกว่ามีที่สุด.

    ๑๐​
    . เพราะ “ “ “ ไม่มีที่สุด.

    ๑๑​
    . เพราะ “ “ “ มีที่สุดบางด้าน, ไม่มีบางด้าน.

    ๑๒​
    . เพราะอาศัยความหลงใหลของตนเองแล้วบัญญัติส่ายวาจาว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่เชิง.
    (
    ๔ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอันตานันติกวาท - เกี่ยวด้วยมีที่สุดและไม่มีที่สุด)

    ๑๓​
    . เพราะกลัวมุสาวาท จึงส่ายวาจา พูดคำที่ไม่ตายตัว แล้วบัญญัติว่า ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่,
    --
    อย่างนี้ก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เกี่ยวด้วยกุศล, อกุศล).

    ๑๔​
    . เพราะกลัวอุปาทาน “ “ ฯลฯ “ “ “

    ๑๕​
    . เพราะกลัวการถูกซักไซ้ “ “ ฯลฯ “ “ “

    ๑๖​
    . เพราะหลงใหลฟั่นเฟือนในใจเอง จึงส่ายวาจาไม่ให้ตายตัว (เกี่ยวกับโลกิยทิฏฐิ เช่น

    --​
    โลกหน้ามี ฯลฯ ผลกรรมมี เป็นต้น).
    (
    ๔ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอมราวิกเขปิกวาท - พูดไม่ให้ตายตัว)

    ๑๗​
    . เพราะระลึกได้เพียงชาติที่ตนเคยเป็นอสัญญีสัตว์ แล้วต้องจุติเพราะสัญญาเกิดขึ้น--
    --
    จึงบัญญัติตนและโลกว่า เกิดเองลอย ๆ.

    ๑๘​
    . เพราะอาศัยการตริตรึกอยู่เสมอ แล้วคาดคะเนเอา “ “ เกิดเองลอย ๆ.
    (
    ๒ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอธิจจสมุปปันนิกวาท - เกิดเองลอย ๆ )
    (
    ทั้ง ๕ หมวด มีรวมทั้งหมด ๑๘ ทิฏฐิ ข้างบนนี้ จัดเป็นพวกปรารภขันธ์ในอดีตกาล)
    --- --- --- ---

    ๑๙​
    . บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่มีรูป, เป็นอัตตตาที่ไม่มีโรค ตายแล้ว เป็นสัตว์มีสัญญา.

    ๒๐​
    . “ “ ที่ไม่มีรูป “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๑​
    . “ “ ที่มีรูปและไม่มีรูป “ “ มีสัญญา.

    ๒๒​
    . “ “ ที่มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๓​
    . “ “ ที่มีที่สุด “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๔​
    . “ “ ที่ไม่มีที่สุด “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๕​
    . “ “ ที่มีที่สุดและที่ไม่มีที่สุด “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๖​
    . “ “ ที่มีที่สุดก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ “ “ “ มีสัญญา

    ๒๗​
    . บัญญัติอัตตาว่า อัตตามีสัญญาเดียวกัน, เป็นอัตตาไม่มีโรค หลังจากตายแล้ว เป็นสัตว์มีสัญญา.

    ๒๘​
    . “ “ ที่มีสัญญาต่างกัน “ “ “ มีสัญญา.

    ๒๙​
    . “ “ ที่มีสัญญาน้อย “ “ “ มีสัญญา.

    ๓๐​
    . “ “ ที่มีสัญญามากไม่มีประมาณ “ “ “ มีสัญญา.

    ๓๑​
    . “ “ ที่มีสุขอย่างเดียว “ “ “ มีสัญญา.

    ๓๒​
    . “ “ ที่มีทุกข์อย่างเดียว “ “ “ มีสัญญา.

    ๓๓​
    . . “ “ ที่ทั้งมีสุขและทุกข์ “ “ “ มีสัญญา.

    ๓๔​
    . “ “ ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข “ “ “ มีสัญญา.
    (
    ๑๖ อย่างข้างบนนี้ เป็นพวกสัญญีวาท - มีสัญญา)

    ๓๕​
    . บัญญัติอัตตาว่า อัตตาที่ มีรูป, เป็นอัตตาไม่มีโรค ตายแล้ว เป็นสัตว์ ไม่มีสัญญา.

    ๓๖​
    . “ “ ไม่มีรูป “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๓๗​
    . “ “ มีรูปและไม่มีรูป “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๓๘​
    . “ “ มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๓๙​
    . “ “ มีที่สุด “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๔๐​
    . “ “ ไม่มีที่สุด. “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๔๑​
    . “ “ มีที่สุดและไม่มีที่สุด “ “ “ ไม่มีสัญญา.

    ๔๒​
    . “ “ มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ “ “ “ ไม่มีสัญญา.
    (
    ๘ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอสัญญีวาท - ไม่มีสัญญา)

    ๔๓​
    . ฯลฯ อัตตาที่มีรูป เป็นอัตตาไม่มีโรค ตายแล้ว เป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๔​
    . ไม่มีรูป “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๕​
    . มีรูปและไม่มีรูป “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๖​
    . มีรูปก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๗​
    . มีที่สุด “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๘​
    . ไม่มีที่สุด “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๔๙​
    . มีที่สุดและไม่มีที่สุด “ “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.

    ๕๐​
    . มีที่สุดก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่” “ มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่.
    (
    ๘ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท - มีสัญญาก็ไม่เชิง)

    ๕๑​
    . บัญญัติว่า กายที่เกิดด้วยมหาภูตรูป ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๒​
    . กายทิพย์ พวกกามาวจร ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๓​
    . “ “ พวกสำเร็จด้วยใจคิด ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๔​
    . สัตว์พวก อากาสานัญจายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๕​
    . “ “ วิญญาณัญจายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๖​
    . บัญญัติว่า สัตว์พวก อากิญจัญญายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.

    ๕๗​
    . “ “ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ตายแล้วขาดสูญ.
    (
    ๗ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกอุจเฉทวาท - ตายแล้วสูญ)

    ๕๘​
    . บัญญัติว่า ความอิ่มเอิบด้วยกามคุณห้า เป็น นิพพานในปัจจุบัน.ชาติ
    ๕๙
    . ความสุขของ ปฐมฌาน เป็น นิพพานในปัจจุบันชาติ.

    ๖๐ ​
    “ “ ทุติยฌาน เป็น นิพพานในปัจจุบันชาติ.

    ๖๑​
    . “ “ ตติยฌาน เป็น นิพพานในปัจจุบันชาติ.

    ๖๒​
    . “ “ จตุตถฌาน เป็น นิพพานในปัจจุบันชาติ.
    (
    ๕ อย่างข้างบนนี้ เป็น พวกทิฏฐธัมมนิพพานวาท - นิพพานในปัจจุบัน)
    [
    ทั้ง ๕ หมวดมีรวมทั้งหมดอีก ๔๔ ทิฏฐิข้างบนนี้ เป็นพวกปรารถขันธ์ในอนาคตกาล]

    ภิกษุ ท​
    .! สมณะหรือพราหมณ์ก็ดี เหล่าใด กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี
    ส่วนอนาคตก็ดี หรือทั้งอดีตอนาคตก็ดี มีความเห็นดิ่งเป็นส่วนหนึ่งแล้ว กล่าว
    คำแสดงทิฏฐิต่าง ๆ ประการ
    , ทั้งหมดทุกเหล่า ย่อมกล่าวเพราะอาศัยวัตถุใด
    วัตถุหนึ่ง ในวัตถุ ๖๒ อย่างนี้ ไม่นอกจากนี้ไปได้เลย
    --- เขาเหล่านั้น ถูกวัตถุ
    ๖๒ อย่างนี้ครอบทับทำให้เป็นเหมือนปลาติดอยู่ในอวน ถูกแวดล้อมให้อยู่ได้เฉพาะ
    ภายในวงนี้ เมื่อผุด ก็ผุดได้ในวงนี้ เช่นเดียวกับนายประมง หรือลูกมือนายประมง
    ผู้ฉลาด ทอดครอบห้วงน้ำน้อยทั้งหมดด้วยอวนโดยตั้งใจว่า สัตว์ตัวใหญ่ทุก ๆ ตัว
    ในห้วงน้ำนี้ เราจักทำให้อยู่ภายในอวนทุกตัว ฯลฯ ฉะนั้น
    .

    ภิกษุ ท​
    .! เราตถาคตรู้ชัดวัตถุ ๖๒ อย่างนี้ชัดเจนว่า มันเป็นฐานที่ตั้ง
    ของทิฏฐิ
    , ซึ่งเมื่อใครจับไว้ ถือไว้อย่างนั้น ๆ แล้ว, ย่อมมีคติ มีภพเบื้องหน้า
    เป็นอย่างนั้น ๆ ตถาคตรู้เห็นเหตุนั้นชัดเจนยิ่งกว่าชัด
    , เพราะรู้ชัดจึงไม่ยึดมั่น,

    เพราะไม่ยึดมั่นย่อมสงบเยือกเย็นในภายในเฉพาะตน​
    , เพราะเป็นผู้รู้แจ้งความเกิด
    ความตั้งอยู่ไม่ได้ ความเป็นสิ่งยั่วใจ ความต่ำทราม และอุบายเครื่องหลุดพ้นไปได้

    แห่งเวทนาทั้งหลาย ตถาคตจึงเป็นผู้หลุดพ้น ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
    .
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทิฏฐิ ๖๒
    [๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
    สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญา
    อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?


    ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘
    [๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็น
    ไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ
    ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็น
    ไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ.
    สัสสตทิฏฐิ ๔
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก
    ว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร
    จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ?
    ปุพเพนิวาสานุสสติ
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่อง
    เผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย
    มนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย
    อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการคือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
    สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
    ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติ
    บ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
    เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพ
    โน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
    เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิด
    ในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ
    พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา
    ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด
    แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียร
    เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท
    อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์
    ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง
    สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง
    ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง
    หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
    มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น
    แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
    มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น
    แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
    พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตา
    และโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น
    ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เป็นฐานะที่ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง
    ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
    สัสสตทิฏฐิ ๔
    [๒๘] ๒. อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิ
    ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
    อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความ
    ไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึก
    ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน
    ได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่อ
    อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ
    มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น
    มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
    อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่
    ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและ
    โลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป
    ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
    เหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ
    เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น
    แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย
    อาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง
    ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
    เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น
    แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข
    เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อม
    ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้
    ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา
    ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด
    แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
    อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
    [๒๙] ๓. อนึ่ง ในฐานะที่ ๓ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมี
    ทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน
    ในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ
    เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น
    แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย
    อาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น
    เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขเสวยทุกข์
    อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้น
    เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์
    อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึก
    ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขาจึง
    กล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
    ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ
    คงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส
    อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการ
    โดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ใน
    กาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิกัฏฏกัป
    บ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น
    มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
    ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มี
    ผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
    ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้
    หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้
    อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น
    ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    นี้เป็นฐานะที่ ๓ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อม
    บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
    [๓๐] ๔. อนึ่ง ในฐานะที่ ๔ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมี
    ทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน
    ในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิด
    ได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่า
    สัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมี
    ทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้น
    มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ นี้แล.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่าเที่ยง จะบัญญัติอัตตา
    และโลกว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ๔ ประการนี้เท่านั้น
    หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้
    อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อม
    รู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น
    ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น
    ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
    จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
    จบภาณวารที่หนึ่ง.
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ความคิดเห็นที่ 16 : (แพะอ้วน)


    ผมขออนุญาติย่อๆความมาให้พวกเราศึกษากันนะครับ ตอนนี้ในส่วน ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18 ซึ่งเป็นทิฏฐิที่เกิดขึ้นโดยการอ้างถึงขันธ์ในอดีต


    1.1) สัสสตทิฏฐิ 4 คือ มีทิฏฐิว่า โลกต่างๆเที่ยง และอัตตาความเป็นตัวเราตัวตนก็เที่ยง เพียงแต่ถือกำเนิดเป็นสัตว์ต่างๆ เกิดและตาย แต่อัตตาความเป็นตัวตนนั้นยังเที่ยง (อุปมาเหมือนคนแสดงละคร และเห็นว่าเวทีละครนั้นเที่ยง และตัวเราเป็นตัวตนที่เที่ยง เพียงแต่เปลี่ยนสวมใส่ชุดต่างๆไปแสดงบนเวที)
    1.1.1) ด้วยการฝึกจิต บรรลุเจโตสมาธิ ระลึกถึงชาติต่างๆในอดีตได้ เกิดทิฏฐิดังกล่าว
    1.1.2) เหมือนข้อ 1 แต่ระลึกได้เป็น กัปๆ หรือหลายๆกัป
    1.1.3) เหมือนข้อ 1 แต่ระลึกได้เป็น สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัป หรือมากกว่านั้น
    1.1.4) คิด ตรึกนึกเอาว่า มีโลกที่เที่ยงและอัตตาที่เที่ยง แต่มีการเกิดเป็นสัตว์ต่างๆเป็นชาติต่างๆ ท่องเที่ยวไป
    1.2) เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4 คือมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    1.2.1) ในระยะอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดของกาลเวลา มีบางเวลาที่โลกนี้ยังพินาศอยู่ สัตว์ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในชั้น อาภัสสรพรหม มีอายุอยู่ยืนยาว ต่อมาเป็นเวลาช้านาน โลกก็เริ่มเจริญขึ้น ก็มีสัตว์จากอาภัสสรพรหม จุติมาเกิดในวิมานพรหมอันว่างเปล่า สัตว์ที่เกิดมาก่อนก็จะอายุยืนกว่า มีผิวพรรณดีกว่า และศักดิ์สูงกว่า เป็นมหาพรหม เป็นบิดาของสัตว์ที่ตามมาจุติในภายหลังในวิมานพรหมชั้นเดียวกัน ต่อมาก็เป็นไปได้ที่มีสัตว์ในชั้นนี้จุติมาเป็นมนุษย์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ฝึกจิต บรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ในกาลก่อนจนถึงเป็นพรหมในวิมานพรหมได้ แต่ระลึกไปไกลก่อนหน้านั้นไม่ได้ เลยเกิดทิฏฐิว่า มีมหาพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้ที่เที่ยง เป็นบิดาของสัตว์ทั้งหลาย ส่วนตนเองเป็นสิ่งที่ถูกเนรมิตขึ้นมาโดยมหาพรหมนั้น เลยเป็นผู้ไม่เที่ยง ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จึงกล่าวว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    1.2.2) คล้ายกับ 1.2.1 แต่เป็นเทวดาที่เรียกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ ซึ่งประมาท หมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ สรวสเสเฮฮา เล่นหัวเกินเวลา สติก็หลงลืม เพราะสติหลงลืม เลยพากันจุติจากชั้นนั้นๆลงมา ก็เป็นไปได้ที่มี บ้างที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ฝึกจิต บรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกถึงขันธ์ในกาลก่อนจนถึงเป็นเทวดาดังกล่าวได้ แต่ระลึกไปไกลก่อนหน้านั้นไม่ได้ เลยเกิดทิฏฐิว่า เป็นเพราะการหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ ทำให้ตนเป็นผู้ไม่เที่ยงต้องจุติลงมา ส่วนเทวดาพวกอื่นที่ไม่หมกมุ่นในความรื่นรมย์ จึงเป็นผู้ที่ไม่จุติลงมา จะเป็นผู้เที่ยงไม่แปรผัน จึงกล่าวว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    1.2.3) คล้ายกับ 1.2.2. แต่เป็นเทวดาที่เรียกว่า มโนปโทสิกะ ซึ่งเพ่งโทษมุ่งร้ายต่อกัน เป็นเหตุให้ต้องจุติมา
    1.2.4) คิด ตรึกนึกเอา ว่า ตา หู จมูก ลิ้น หรือ ร่างกายนี้ เป็นของไม่เที่ยง แต่มีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ เป็น อัตตา เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน จึงกล่าวว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
    1.3) อันตานันติกทิฏฐิ 4 คือ มีทิฏฐิว่า โลกนี้มีที่สุด หรือ หาที่สุดไม่ได้
    1.3.1) ฝึกจิต อาศัยความเพียร บรรลุเจโตสมาธิ แล้วไปรู้ไปเห็นว่า โลกมีที่สิ้นสุด คือมีสัณฐานกลมสนิทโดยรอบ (น่าจะหมายถึงว่า เห็นโลกเป็นดาวเคราะห์กลมๆ มีอยู่เท่านั้น หรือ ไม่ก็หมายถึงจักรวาลที่เป็นทรงกลม)
    1.3.2) ฝึกจิต อาศัยความเพียร บรรลุเจโตสมาธิ แล้วไปรู้ไปเห็นว่า โลกไม่มีที่สิ้นสุด หาที่สิ้นสุดโดยรอบไม่ได้ (น่าจะหมายถึงว่า จักรวาลกว้างไม่มีที่สิ้นสุด หรือ หาขอบไม่ได้ ภาษาฟิสิกส์ปัจจุบัน อาจกล่าวว่า มีเขตจำกัด แต่หาขอบไม่ได้ ตัวอย่างเปรียบเทียบในสองมิติ คือเหมือนพื้นผิวบนลูกโป่งมีเขตจำกัด แต่หาขอบไม่ได้ต่อถึงกันหมด)
    1.3.3) ฝึกจิต อาศัยความเพียร บรรลุเจโตสมาธิ แล้วไปรู้ไปเห็นว่า โลกด้านบนด้านล่างมีที่สุด แต่ด้านข้างไม่มีที่สุด หาที่สุดไม่ได้ (น่าจะหมายถึง โลกหรือจักรวาลในลักษณะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบสองมิติแล้วจะเหมือนแผ่นกระดาษที่ไม่มีขอบด้านข้าง หรือ ขอบด้านข้างม้วนกลับมาติดกันเป็นกระบอก)
    1.3.4) คิด ตรึกนึกเอาว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่ แล้วว่าพวกที่มีทิฏฐิทั้งสามข้างต้นผิดหมด (น่าจะหมายถึงว่า พวกนี้ตรึกนึกคิดเอาว่า โลกหรือจักรวาลน่าจะมีลักษณะ หรือ topology แบบอื่น)
    1.4) อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4 คือมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถาม ย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัว
    1.3.5) บางคนไม่รู้ชัดว่า อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล แต่เกลียดการกล่าวเท็จ เมื่อถูกถาม จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่
    1.3.6) บางคนไม่รู้ชัดว่า อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล แต่เกรงว่า ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจในข้อนั้น พึงมีแก่ตน ข้อที่มีความพอใจ ความติดใจหรือความเคืองใจ ความขัดใจนั้น จะพึงเป็นอุปาทานของตน อุปาทานของตนนั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนเป็นอันตรายแก่ตนเอง เมื่อถูกถาม จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว
    1.3.7) บางคนไม่รู้ชัดว่า อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล แต่เกรงว่าจะมีคนที่มีปัญญามาซักไซ้ไล่เลียงสอบสวน แล้วจะตอบไม่ได้ จะทำให้เกิดความเดือดร้อนความอันตรายแก่ตน เมื่อถูกถาม จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว
    1.3.8) บางคนเพราะเขลา งมงาย เมื่อถูกถามปัญหาจึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว คือเมื่อถูกถามเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ขณะนั้นคิดหรือมีความเห็นว่าอะไร ก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้รู้จริง ไม่ได้มีทิฏฐิที่ตายตัว
    1.5) อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ 2 คือมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
    1.5.1) มีพวกที่เป็นอสัญญีสัตว์ ซึ่งจุติจากชั้นนั้นเนื่องจากการเกิดขึ้นของสัญญา ภายหลังมาเกิดเป็นมนุษย์ ออกบวช ฝึกจิต บรรลุเจโตสมาธิ ตามระลึกการเกิดขึ้นของสัญญาได้ แต่ระลึกไปก่อนหน้านั้นไม่ได้ จึงกล่าวว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ เพราะเมื่อสมัยก่อนตนเองไม่ได้มีตัวตนอยู่ แต่บัดนี้มีตัวตนอยู่ เพราะไม่ได้น้อมไปหาความสงบ
    1.5.2) คิด ตรึกนึกเอาว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ


    จะเห็นได้ว่า ทิฏฐิเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะ การฝึกจิตจนรู้เห็นสิ่งต่างๆ ภพภูมิ ขันธ์ต่างๆก็ดี ตรึกนึกคิดเอาด้วยความคิดปรุงด้วยสัญญาก็ดี ล้วนอยู่ในข่ายนี้ทั้งสิ้น
     
  20. krittima helga

    krittima helga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +247
    __คิดนอกกรอบ__ นอกกรอบของเราในที่นื้ หมายถึง จารีต ประเพณี ความเชื่อ และวัฒนธรรม ที่ทำสืบต่อกันมา สอนสืบต่อกันมา เชื่อสืบต่อกันมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...