หยุด! ทำร้ายพระพุทธศาสนา.......

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย theboo123, 14 ตุลาคม 2010.

  1. theboo123

    theboo123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +87
    ชาวไทยทั้งหลายเอ๋ยจงรู้ไว้ว่าสิ่งที่พวกท่านทำนั้นถูกหรือผิดอย่างไร.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วยหรือเปล่า ถ้ารับไปเพื่อสร้างศาสนะสถาน บำรุงพระศาสนาไม่เก็บไว้เป็นของส่วนตัว ไม่ยินดีในทรัพย์สินนั้น
    เมื่อมีเจตนาอย่างนี้ร่วมกัน ระหว่างโยมผู้ให้และพระผู้รับ จะผิดด้วยหรือครับ
    ในกรณีโยมผู้ให้ตั้งใจให้เพื่อสร้างบำรุงพระศาสนาโดยส่วนรวม แล้วพระผู้รับยินดีในทรัพย์นั้นนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว
    อันนี้โดนแน่เต็มๆ ก็ต้องดูจุดประสงค์เจตนาด้วยมากกว่าครับ
     
  3. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,254
    มันมีหลายประเด็นครับ
    การให้เงินนั้นจริงๆต้องให้มัคทายกพระห้ามรับเงินโดยตรง
    เเต่ก็นั่นอีกเเหละครับถ้าเจตนารับมาเพื่อบำรุงพระศาสนาก็ย่อมทำได้เเต่ไม่ควรรับเอง
    นอกจากเจอพวกคนไม่ดีนั้นก็ปล่อยไปตามกรรมของเค้าดีกว่า
    ยังไงทางวัดก็ยังต้องการเงินเพื่อสร้างเเละบำรุงวัดอยู่ดี
     
  4. ปรมาภรณ์

    ปรมาภรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +1,739
    เรียน เจ้าของกระทู้
    การขึ้นหัวข้อกระทู้ที่เมื่ออ่านแล้ว ถือว่าเป็นกระทู้ที่ค่อนข้างอ่อนไหว เรียนเจ้าของกระทู้ช่วยให้รายละเอียดมากกว่านี้ เพราะหากผู้รู้หรือไม่รู้มีโอกาสจะตีความผิด
    หัวข้อกระทู้กล่าวถึง บทพระวินัยบัญญัติ หัวข้อ นิสสัคคิปาจิตตีย์ 30 ซึ่งในบทนี้
    จะแยกออกเป็นอีก 3 หัวข้อคือ
    1. จีวรวรรคที่ 1
    2. โกสิยวรรคที่ 2
    3. ปัตตวรรคที่ 3
    เรียนเจ้าของกระทู้ช่วยให้รายละเอียดที่มากกว่านี้หน่อย
     
  5. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    คุณคนที่ตั้งกระทู้นี้ ไม่ทราบว่าเป็น พระหรือฆราวาสครับ
     
  6. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อ้าว.......... เวรกรรม

    แล้วค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซ่อมแซมวัด ฯลฯ ทำไงดีเนี่ย

    เผยแพร่ความคิดผิดๆแล้วส่งผลเสียกับศาสนา ไม่กลัว.....หรือครับ
     
  7. e20ehq

    e20ehq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +770
    ปกติเขาจะแจ้งให้พระท่านทราบว่า ได้ถวายปัจจัย หรือเงิน แต่จะมีไวยาวัจกร หรือ มรรคนายกวัด นี่แหละ คอยจัดการให้
    พระท่านจะไม่ได้เก็บสะสมเงินทองเองหรอก
     
  8. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    กระทู้นี้แหละจะทำลายพระศาสนาได้ถ้าเราไม่แยกแยะเรื่องการให้หรือไม่ให้

    ไม่ให้พระจับปัจจัยโดยตรงเพราะผิดวินัยด้วย แต่วัดเขามีไวยาวัจกรณ์ดูและเอาปัจจัยที่คนถวายไปใช้จัดหาสื่งที่จำเป็น เพราะถ้าไปซื้ออะไรด้วยตนเองโดยการจับปัจจัยก็จะผิดวินัย

    ถ้าศรัทธาญาติโยมไม่ถวายเงินเลย ใครจะรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าดูแลปฏิสังขรณ์วัด โบสถ์ วิหาร กฎี หลังคารั่ว ผนังผุ เสาขาด สีลอก ค่าเดินทางไปทำศาสนกิจ พระเรียนหนังสือต้องมีค่าหนังสือค่าตำรา ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการดูแลเตาเผาศพ

    หลายวัดคนไปปฏิบัติธรรมทางวัดออกค่าใช้จ่ายให้หมดเลย ค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟที่หลับที่นอนค่าซักล้างต่าง ๆ และ อื่น ๆ คนไปไม่ต้องออกเลยก็ได้

    พระไม่ได้ทำงานเพื่อแลกเงิน พระไม่มีรายได้ไม่มีเงินเดือน รัฐเองก็ไม่ได้ให้งบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับวัด รัฐบาลมีงบประมาณให้โรงพยาบาลเพื่อทำคลอดเด็กเกิดใหม่ พอตายเอาไปวัดรัฐฯไม่ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้วัดเลยแต่คนก็จำเป็นที่ต้องใช้บริการนี้

    ผมว่าความเหมาะสมขึ้นกับอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ของแต่ละคน
    ขึ้นกับความจำเป็นและเหตุการณ์ แต่ว่าไม่ถวายเลย ความเดือดร้อนขัดสนจะเกิดขึ้นทั่วไปทุกวัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2010
  9. jake009

    jake009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +285
    ถ้าเปรียบ เงิน - ทอง คืองูพิษ ก็ควรให้กับบุคคลที่ รู้จัก จับงูพิษ เพื่อไม่ให้งูพิษนั้นทำร้ายผู้รับ ถ้าผู้รับ ถูกทำร้ายถึงชีวิตเพราะงูพิษ จะว่าเป็นความผิดของผู้ให้ก็ไม่ใช่ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้รับ ที่จะเรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติ ต่องูพิษที่รับมา หาก ยังไม่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และปฏิบัติต่องูพิษ ก็อย่ารับมา หรือรับมาแล้ว ก็ปล่อยไป
     
  10. บังรอน

    บังรอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,368
    ค่าพลัง:
    +1,788
    5555555555
    เอ๊กกกกกกกกก
     
  11. ceratops

    ceratops Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +89
    ไม่รู้สินะ...คนที่ร่วมรณรงค์เนี่ยคิดอะไรกันอยู่?

    พระถ้าเก็บไว้จนเกินตัวมันก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว แต่บางอย่างพระก็ต้องซื้อต้องใช้บ้าง

    แล้วไม่คิดล่ะค่าใช้จ่ายภายในวัด...ใครออกให้? ถ้าราชการจ่ายค่าน้ำค่าไฟคงไม่ต้องลำบาก

    บางวัดเผยแผ่ มันก็ต้องเงินเหมือนกัน มีเพื่อใช้ในพระพุทธศาสนา

    ส่วนพระรูปไหนที่ไม่ได้ใช้เพื่อพระพุทธศาสนา อันนั้นไม่สมควร
     
  12. theboo123

    theboo123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +87
    อ่ะต้องขอโทษด้วยก็แล้วกันนะครับที่ปล่อยให้ทุกท่านถกเถียงกันอยู่ตั้งนาน

    คือที่ผมหมายถึงคือ อย่าเอาเงินให้พระ แต่ผมไม่ได้บอกว่าอย่าเอาเงินให้วัด ที่ท่านทั้งหลายหมายถึงนั้นถูกต้องดีแล้ว
    แต่ยังมีท่านบางท่านกำลังสับสนอยู่ ระหว่างเอาเงินให้พระกับเอาเงินให้วัด ผมอยากจะบอกว่า สองหัวข้อนี้มีความหมายแตกต่างกัน การที่เราเอาเงินไปทำบุญนั้นเจตนาของเราดีแล้วแต่ว่าเราอย่าเจตนาที่จะไปให้พระใช้สอย แต่เจตนาของเราควรที่จะไปเพื่อบำรุงวัดนั้น เหมือนคำสอนของพระพุทธองที่ตรัสไว้ว่า
    ถ้าใคร ๆ นำเอาทองและเงินมากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายทองและเงิน
    นี้แก่สงฆ์, ท่านทั้งหลายจงสร้างอาราม วิหาร เจดีย์ หรือหอฉันเป็นต้น
    อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม, จะรับทองและเงินแม้นี้ไม่ควร. ในมหาปัจจรี
    ท่านกล่าวไว้ว่า ด้วยว่าเป็นทุกกฏแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้รับเพื่อประโยชน์
    แก่ผู้อื่น. ก็ถ้าเมื่อภิกษุปฎิเสธว่า ภิกษุทั้งหลายจะรับทองและเงินนี้ ไม่
    สมควร. เขากล่าวว่า ทองและเงินจักอยู่ในมือของพวกช่างไม้ หรือพวก
    กรรมกร, ท่านทั้งหลายจงรับทราบการงานที่เขาทำดี และไม่ดีอย่างเดียว
    ดังนี้แล้ว มอบไว้ในมือพวกช่างไม้ หรือพวกกรรมกรเหล่านั้นจึงหลีกไป,

    จากพระไตรปิำฎกชุด 91เล่มของมหามกฏราชวิทยาลัย เล่ม3 หน้า863 ทีนี้ท่านทั้งหลายเข้าใจหรือยังว่าท่านควรทำอย่างไรเกี่ยวกับเงินกับพระ

    แล้วท่านที่บอกว่าพระไม่มีเงินเดือนนะครับผมอยากให้คุณดูอะไรสักหน่อยนะครับว่าพระไม่มีเงินเดือนจริงมั้ย สิ่งที่ผมกำลังจะให้ดูต่อไปนี้เป็นข้อความของเว็ปๆหนึ่งนะครับ

    เปิดบัญชีนิตยภัต "เงินเดือนพระ" ฉบับใหม่
    ใครได้เพิ่มเท่าใด ??


    รายงานข่าวจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ วันที่ 23 พฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา ทราบว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติบัญชีอัตรานิตยภัตสำหรับพระภิกษุ-สามเณรฉบับใหม่ ซึ่งชงเรื่องค้างไว้ตั้งแต่สมัยผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนเก่า (นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์) และรัฐบาลทักษิณชุดที่สองแล้ว แต่มีอันต้องดีเลย์หรือเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลทางการเมืองผสมกับภาวะเศรษฐกิจผันผวน ค่าน้ำมันขึ้นเอาๆ รัฐบาลจึงใช้เวลาพิจารณานานหน่อย มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า บัญชีเงินนิตยภัตถวายพระสงฆ์ฉบับใหม่นั้น "ไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี" คือหมายถึงว่า "แท็งค์"

    เมื่อข่าวบัญชีเงิน "แท็งค์" ออกมานั้น พระสงฆ์สามเณรซึ่งมีส่วนได้รับผลของบัญชีดังกล่าวต่างปลงตก คิดว่าคงอีกนานกว่ารัฐบาลจะมองเห็นความสำคัญของการอุปถัมภ์พระสงฆ์สามเณร แต่บัดนี้มีข่าวใหม่ออกมาแล้วว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจ "อนุมัติ" อัตรานิตยภัตฉบับใหม่ถวายพระสงฆ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นที่น่าอนุโมทนาจากพระสงฆ์สามเณรโดยทั่วหน้า โดยก่อนที่ร่างบัญชีนิตยภัตดังกล่าวจะผ่านคณะรัฐมนตรีนั้น มีขั้นตอนการนำเสนอดังนี้

    1. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เริ่มดำเนินการขออนุมัติหลักการปรับปรุงอัตรานิตยภัตใหม่ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 และได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องโดยคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3.1 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

    2. ขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ทำบัญชีอัตรานิตยภัต ปรับใหม่เสนอผ่าน ครม. เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549

    3. อัตรานิตยภัตปรับใหม่ จะถือใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 เป็นต้นไป (ปีงบประมาณ 2550)

    ส่วนรายละเอียดของการปรับเพิ่มอัตราเงินนิตยภัตฉบับนี้มีดังนี้


    ดูรูปที่แนบไฟล์มานะครับ

    ทั้งหมดที่ผมอยากบอกก็เท่านี้ล่ะครับ อันที่จริงผมอยากบอก อีกหลายเรื่องนะครับแต่ว่าผมอยากให้ทุกท่านลองไปศึกษาเอาเองจะลึกซึ้งกว่านะครับ

    แต่ว่าของฝากให้อีกเรื่องนะครับ พระทำพิธีปลุกเสก รดน้ำมนต์ ก็ผิดนะครับ
    ถ้าอยากรู้ก็เชิญไปดูที่ จากพระไตรปิำฎกชุด 91เล่มของมหามกฏราชวิทยาลัย เล่ม11 หน้า315ชุดน้ำเงินนะครับ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • table1.jpg
      table1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.9 KB
      เปิดดู:
      1,295
    • table2.jpg
      table2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      110 KB
      เปิดดู:
      233
    • table5.jpg
      table5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      139.8 KB
      เปิดดู:
      254
  13. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ผมอ่านที่คุณเขียนก็ยังงง ๆ อยู่ ปัญญาของผมยังอ่อนอยู่ รบกวนช่วยแนะนำทีสิครับว่าควรจะทำอย่างไร เอาแบบที่คุณทำ พอจะบอกได้หรือเปล่าครับ ว่าที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้มีแนวทางอย่างไร
     
  14. theboo123

    theboo123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +87
    ฮ๋ออ ครับ งั้นเดี๋ยวผมช่วยชี้แนะก็ได้ครับ ไม่ยาก
    เวลาเราจะทำบุญด้วยเิงินใช่มั้ยครับเราก็เอาเงินไปให้มัคทายกที่วัด
    แต่ อย่าเอาเงินไปให้พระ แค่นั้นล่ะครับ แล้วก็อย่าใส่บาตรด้วยเงิน
    จะทำอะไรก็ช่างเกี่ยวกับเงินเราอย่าให้พระมาเกี่ยวข้องเพราะว่าพระท่านยุ่งกะเงินไม่ได้
    มันจะเป็นอาบัติ สมมุติว่าพระรู้แต่ไม่ได้บอกโยม โยมเอาเงินไปถวายให้พระ เจตนาพระไม่อยากรับ แต่โยมอยากให้อย่างนี้โยมบาปนะครับ
     
  15. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    วิธีแก้หรือบรรเทาเรื่องนี้ทำได้โดย

    ๑. ถวายเงินส่วนตัวส่วนองค์ ถวายแต่พอจำเป็นเพื่อที่ท่านอาจใช้หาปัจจัย ๔ ไม่ต้องถวายมาก เพราะมาก และยิ่งมาก จะทำให้ท่านเกิดความอยากสะสม

    ๒. ถวายเป็นเงินเป็นของสงฆ์ คือระบุไปเลยว่าถวายเป็นเงินสงฆ์ ถ้าใส่ซองก็เขียนบนซองระบุไปเลยว่าถวายเป็นของสงฆ์ส่วนกลาง ทางวัดก็จะม่ไวยาวัจกรณ์เป็นผู้จัดการปัจจับก้อนนี้แทนพระ แต่พระท่านคุมการใช้จ่ายอีกที เช่น ใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เดือน ๆ หนึ่ง บางวัด สามสี่หมื่นบาท

    ๓. ถวายเพื่อสร้างวิหารทานใด ๆ ให้ระบุเขียนกำกับไปบนซอง หรือค่าน้ำค่าไฟก็ระบุไป การก่อสร้างสิ่งจำเป็นใด ๆ ก็ระบุให้ชัดเจน

    เมื่อระบุชัดเจน ท่านจะรู้ว่าเป็นของสงฆ์ เป็นของวัด ไม่ใช่ของส่วนตัว ก็ทำให้ท่านไม่กล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะถ้าเป็นของสงฆ์นี้จะบาปมาก

    ๔. ถวายด้วยวัตถุสิ่งของที่จำเป็นนั้น ๆ ไปเลย เช่นวัดนี้กำลังมีการก่อสร้าง ก็ซื้อ อิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ไม้ ฯลฯ ไปเลย
     
  16. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    ส่วนใหญ่เห็นด้วย 80%
    ถ้าเป็นพระภิกษุใหม่ บวชเรียนใหม่ ยังมีความยึดมั่นถือมั่น แล้วเมื่อรับเงินก้อมีความคิดว่า เป็นอาชีพพระ สวนมนต์ทำพิธี ก้อได้เงินแล้ว ข้อนี้ไม่ควรให้เงินพระ หรือถ้าให้ไม่ควรให้มาก
    ถ้าเป็นพระที่เรารู้จักหรือสนิทสนมด้วย เช่นเป็นญาติพี่น้อง หรือ พ่อ แล้วบวชเป็นพระ ต้องการให้ท่านใช้เงิน เช่น จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์ เพื่อไว้เป็นการติดต่อ สื่อสารกัน หรือ เอาไว้ให้ท่านเป็นค่าใช้จ่ายในการไปเล่าเรียนธรรม อันนี้ผมเห็นว่าสมควรยกเว้น ซึ่งส่วนนี้ โยมที่ให้ ขอเป็นโยมอุปฐากอยู่แล้ว จึงควรยกเว้นในข้อดี
    ส่วนเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น เห็นว่าให้เป็นท่านคณะฆราวาสดูแล น่าจะจบ
     
  17. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    เท่าที่เคยได้ยินมา....ปัจจัยที่ญาติโยมทั้งหลายได้ถวายพระพร้อมกับถวายสังฆทาน หรือตอนที่ท่านออกไปบิณฑบาตร...หรือออกไปทำพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ....พระที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ....ท่านก็จะเก็บสะสมไว้เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา.... เช่น...อาจจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ซ่อมแซมทะนุบำรุงศาสนสถาน....ทั้งของวัดที่ท่านจำวัดอยู่ หรือ วัดที่เดือดร้อนกว่า....หรือนำปัจจัยที่ได้ไปทำกิจกรรมหรือซื้อสิ่งของที่ใช้ในกิจทางศาสนา...เช่น...นำปัจจัยมาทำเสียงบุญ...ซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิคต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนา อันนี้ถือว่าเป็นบุญค่ะ....


    แต่ก็มี...พระอีกหลายรูป...ที่ท่านได้ปัจจัยมา...ก็นำไป...บำรุงบิดามารดา...คือพื้นฐานเดิมของพระท่านเมื่อสมัยเป็นฆราวาส...ท่านอาจจะจน...เมื่อเห็นพ่อแม่ลำบาก...ผู้ที่มีความเป็นลูกที่ดี...ก็ย่อมทนไม่ได้...จึงเจียดปัจจัยไปให้พ่อแม่ใช้.....เท่าที่รู้และเห็นมา....ครอบครัวไหนที่มีคนในครอบครับไปบวชเป็นพระ....(ขอย้ำว่าบางครอบครัว และจะเป็นครอบครัวที่จนจริง ๆ ) สิ่งที่บางครอบครัวจะได้มา...ก็คือ...อาหารข้าว กับข้าว ผลไม้ ขนม ที่พระท่านได้มาจากการออกไปบิณฑบาตร....หรือไม่ก็เป็นอาหารที่เหลือจากทางวัด....จริง ๆ ตรงนี้ถ้าปล่อยให้เน่าเสียไป....มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร....พระท่านก็นำมาให้ญาติ ๆ ของท่านหรือคนจน ๆ ในหมู่บ้าน....ก็ได้บุญกันทุกฝ่ายค่ะ.....

    แล้วก็มีพระอีกประเภทหนึ่ง.....คือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หลายท่านก็คงจะทราบกันดีอยุ่แล้ว.....คือมีพระที่นุ่งห่มจีวร....แต่ก็ยังประพฤติผิดวินัยสงฆ์....ซึ่งเราก็เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ค่ะ....ก็มีตั้งแต่ อยู่วัดเฉย ๆ ฉันท์ข้าวเย็น...เสพยา เล่นการพนัน แล้วก็มีเรื่องชู้สาวอีกค่ะ....ปัจจัยที่ได้มา....ท่านก็นำไปกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ....ท่านกระทำผิดวินัยสงฆ์ของท่านเอง...ท่านก็ต้องรับโทษของท่านไปค่ะ....ก็ถือว่าเป็นกรรมถ้าถูกจับได้ว่ากระทำผิดวินัยสงฆ์....ก็ต้องถูกจับสึกให้พ้นจากการเป็นพระสงฆ์....แต่ถ้า....จับไม่ได้....มีหรือจะพ้นกฏแห่งกรรม....

    เคยฟังเทศน์ของหลวงพ่อจรัญนะคะ....ท่านว่าเป็นพระ...ตกนรกง่ายกว่าฆารวาสเสียอีก...


    สำหรับ เงิน หรือ ทอง เราเป็นชาวพุทธ...ก็ย่อมถวายแด่พระสงฆ์ได้ค่ะ....ไม่ผิดอะไรนะ....

    เพราะว่าท่านเป็นพระ ท่านย่อมรู้ดีว่าท่านจะนำ เงินหรือทอง ที่ได้รับมาจากคนที่นำ เงินหรือทอง มาบุญไปทำอะไร.....ดังเจตนาที่กล่าวมาข้างต้นแล้วค่ะ....

    เราให้ด้วยจิตปรารถนาเพื่อจะให้พระพุทธศาสนาสืบต่อไป....เราก็ได้บุญ....

    แต่สุดแล้วแต่....ว่าพระท่านจะนำปัจจัยนั้นไปทำอะไร....ถ้าเราไปคิดมาก....ว่าเงินนั้นจะเป็นยังไงบ้าง.....พระที่เราทำบุญด้วย...ท่านจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือเปล่า.....(ถ้าจำนวนเงินไม่มาก) อันนี้ถ้าคิดมากไปอาจจะทำให้เสียประสาทได้...แถมบางทีอาจจะเป็นการปรามาสพระสงฆ์ที่ดี ๆ ก็ได้นะคะ.....ก็ถือซะว่า....เราทำบุญให้กับพระพุทธเจ้า....โดยมีพระสงฆ์เป็นตัวแทนรับปัจจัยนั้นไปค่ะ...
    .
     
  18. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    มัคทายก....ถือศีลกี่ข้อ....

    แล้วพระสงฆ์....ถือศีลกี่ข้อ....

    ใครจะไว้ใจได้มากกว่ากัน....

    เราใส่บาตรด้วยเงินบ่อยค่ะ....เพราะเงินนำไปแปรสภาพเป็นอย่างอื่นได้ค่ะ...ทั้งยารักษาโรค อุปกรณ์เครื่องใช้อุปโภค บริโภค และ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับกิจของสงฆ์ได้ค่ะ เท่านั้นยังไม่พอ...พระท่านยังนำเงินนั้นไปทำทานให้กับผู้ด้อยโอกาสคนอื่น ๆ ได้อีก และยังช่วยเหลือสัตว์ที่ป่วยได้อีกค่ะ....ทำทุกอย่างได้เพื่อสังคม....

    ส่วนจะอาบัติหรือไม่นั้น...อยู่ที่เจตนาของท่านค่ะ...พระทุกรูปท่านก็น่าจะรู้ดีว่า...เงินที่ได้มานั้นควรจะนำไปทำอะไรได้บ้าง....(คิดแทนท่านมาก ๆ ก็อาจจะเหนื่อย)
     
  19. theboo123

    theboo123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +87
    ผม คิดว่าพวกเราทุกคนควรจะ ลองอ่าน ศีลของพระในพระไตรปิฎกบ้างนะครับ

    ผมไม่อยากให้ทุกท่านเอาความเข้าใจส่วนตัวของตัวเองมาตอบ โดยที่ไม่ได้ศึกษา

    โดยเฉพาะ คุณสังขารไม่เที่ยง ผมอยากให้คุณลองยกตัวอย่าง พระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ว่ามีข้อไหนบ้างที่ พระสงฆ์ สามารถรับเงินได้

    ผมอยากให้คุณลองไปเอาคำพูด จากพระไตรปิฎกมาตอบให้ทีนะครับ

    อย่าอาศัยแค่การเข้าใจของตัวเอง หรืออย่าอาศัยแค่การที่ได้ฟัง จากภิกษุรูปใด

    ให้เอาคำของพระพุทธเจ้าจริงมาตอบนะครับ เพื่อที่ผู้อ่านทั้งหลายจะได้อ่าน จะได้รับรู้ถึงความเป็นจริง
    ขอขอบคุณครับ
     
  20. theboo123

    theboo123 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +87
    ถ้าอย่างนั้นผมจะขอเอาคำของพระพุทธเจ้ามาให้ทุกท่านได้อ่านนะครับ ว่าจริงๆแล้วพระสงฆ์ไม่สามารถรับเงินได้

    ถ้าใคร ๆ นำเอาทองและเงินมากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายทองและเงิน
    นี้แก่สงฆ์, ท่านทั้งหลายจงสร้างอาราม วิหาร เจดีย์ หรือหอฉันเป็นต้น
    อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม, จะรับทองและเงินแม้นี้ไม่ควร. ในมหาปัจจรี
    ท่านกล่าวไว้ว่า ด้วยว่าเป็นทุกกฏแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้รับเพื่อประโยชน์
    แก่ผู้อื่น. ก็ถ้าเมื่อภิกษุปฎิเสธว่า ภิกษุทั้งหลายจะรับทองและเงินนี้ ไม่
    สมควร. เขากล่าวว่า ทองและเงินจักอยู่ในมือของพวกช่างไม้ หรือพวก
    กรรมกร, ท่านทั้งหลายจงรับทราบการงานที่เขาทำดี และไม่ดีอย่างเดียว
    ดังนี้แล้ว มอบไว้ในมือพวกช่างไม้ หรือพวกกรรมกรเหล่านั้นจึงหลีกไป,

    จากพระไตรปิำฎกชุด 91เล่ม ของมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่ม3 หน้า863
     

แชร์หน้านี้

Loading...