<SPAN>ชมรมขุนแผนระฆังทอง&เจดีย์ทอง หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ (โชว์ภาพและประสบการณ</SPAN

ในห้อง 'ลงประกาศ ซื้อ-ขาย หรือทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย knutch, 8 สิงหาคม 2010.

  1. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    ถึงว่าซิ เมื่อวานทานข้าวติดคอ มีคนทักนี่เอง ^ ^
     
  2. ผู้พัน Dynamo

    ผู้พัน Dynamo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +20
    สวัสดียามเที่ยงครับทุกท่าน
     
  3. ปาโต้

    ปาโต้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +15
    รูปมาแระคับ หาเจ้าของใหม่

    [​IMG]
    Thanks: ฝากรูป

    [​IMG]
    Thanks: ฝากรูป
    [​IMG]
    Thanks: ฝากรูป
    ชอบ Pm ราคามาเลยครับ โทษนะคับภาพอาจไม่ชัดใช้มือถือถ่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  4. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    ตำนานที่มาของการบวชนาค

    ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีนาคผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาปลอมตัวเป็นมนุษย์เข้ามาบวช

    ได้อยู่ร่วมกินนอนศึกษาพระธรรม ดื่มด่ำคำสอน กับภิกษุสงฆ์ทั่ว ๆ ไป เหตุการณ์ก็ได้ดำเนินไปอย่างปกติสุข ...


    จน อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นอนหลับใหล อยู่นั้น ได้เผลอตัวเผลอกายกลับคืนสู่ร่างนาคดังเดิม ยังความแตกตื่นสับสบอลหม่าน ตกใจกลัวให้แก่พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ร้อนความถึงพระพุทธเจ้าต้องมาเจรจากับนาคว่า

    ผู้ที่มาบวชในศาสนาของเราสงวนไว้สำหรับมนุษย์เท่านั้น ขอท่านพึงกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของท่านเถิด

    นาคก็รับคำแต่ขอให้พวกตนได้มีส่วนร่วมอยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระพุทธศาสนาของพระองค์ด้ว


    ดังนั้น จึงได้ปรากฎมีประเพณีการบวชนาคก่อนที่จะอุปสมบทบรรพชามาเป็นพระภิกษุจนถึงกาลปัจจุบั


    อนึ่ง ... ในพิธีการบวชนั้น พระอุปัชฌาย์จะต้องถามผู้ที่จะบรรพชาก่อนเสมอว่า

    “ มนุสฺโสสิ ” ( มะนุดโซว ซิ๊ ... ทำนองวัดป่าอีสาน ) แปลว่า เจ้าเป็นมนุษย์หรือ

    และผู้บวชต้องรับว่า “ อามะ ภันเต ” ขอรับ เจ้าข้า ...
     
  5. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    การบวชนาค


    การบวช หมายถึงการงดเว้นจากสิ่งที่ควรงดเว้นคือการเว้นจากกิจการบ้านเรือนมาบวชเป็นพระเพื่อ
    บำเพ็ญเพียรทางพระศาสนาซึ่งมี การสวดมนต์ ภาวนา เป็นต้น การบวชนั้นถ้าเป็นสามเณรเรียกว่าบรรพชา ถ้าเป็นพระภิกษุเรียกว่าอุปสมบท
    นาค หมายถึง คนที่จะบวชเขาเรียกว่านาค นาคนั้นแปลว่าผู้ประเสริฐหรือผู้ที่ไม่ทำบาป เหตุที่ได้ชื่อว่านาคเรื่องเดิมมีอยู่ว่าพญานาคแปลงตัวมาเป็นมนุษย์มาบวชใน พระพุทธศา
    สนา เวลานอนหลับกลับเพศเป็นนาคตามเดิมวันหนึ่งภิกษุนำเรื่องนั้นไปกราบทูลพระพุทธเจ้าพระ
    องค์ ตรัสเรียกนาคตนนั้นมาถามแล้วได้ความว่าเป็นเรื่องจริงจึงสั่งให้สึกเสีย พญานาคมีความอาลัยในเพศบรรพชิตจึงกราบทูลขอฝากชื่อนาคไว้ ถ้าผู้ใดจะมาบวชขอให้เรียกชื่อว่านาค คำว่านาคจึงเป็นชื่อเรียกผู้จะมาบวชจนถึงทุกวันนี้
    การประเคนนาค เมื่อบุตรหลานมีอายุครบพอที่จะบวช เป็นพระหรือเณรพ่อกับแม่จะนำไปฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดก่อนบวชเพื่อให้บุตร หลานของท่าน
    ได้ ศึกษาเล่าเรียนและ ท่องบทขานนาค เรียนหนังสือธรรม การนำลูกหลานไปฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดเขาจะจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่ขันนำตัวนาค ไป เมื่อพระท่านรับขันแล้วก็จะมีการตีโปงหรือระฆังให้ชาวบ้านได้อนุโมทนาสาธุ เรียกว่าการประเคนนาค
    การปล่อยนาค เมื่อจะถึงวันบวชนาคจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปลาญาติพี่น้อง เพื่อขอขมาลาโทษผู้หลักผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือและไปสั่งลาชู้สาวถ้ามี หากมีหนี้สินติดตัวก็รีบชำระเพื่อที่จะได้เป็นคนบริสุทธิ์ การปล่อยนาคมีกำหนดได้ 3 วันเพื่อให้นาคได้มีโอกาสเวลาบวชจะได้ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญกุศลต่อไป

    กองบวช เครื่องที่จะนำมาใช้เป็นกองบวชได้แก่บริขาร 8 มีผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าสังฆาฏิ บาตร มีดโกน เข็ม ประคตเอว ผ้ากรองน้ำ ถ้าทำพร้อมกันหลายกองให้ขนมารวมกันที่วัด ตอนค่ำสวดมนต์ เสร็จแล้วบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลแด่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้าบวชในบ้านของตนเอง ตอนค่ำจะนิมนต์พระไปสวดที่บ้าน ตอนเช้าเลี้ยงพระแล้วแห่กองบวชมารวมกันที่ศาลาวัดกองบวชจะใช้เตียงหามออกมา เตียงที่ใช้เป็นเตียงนอนของพระบวชใหม่ ก่อนจะสู่ขวัญนาคต้องบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลแด่ญาติผู้ตาย

    การแห่นาค การแห่นาคทำตามศรัทธาของเจ้าภาพส่วนใหญ่ถ้าเป็นในเขตของภาคอีสาน การแห่นาคจะใช้พาหนะในการแห่คือรถ นาคทุกคนต้องโกนผม โกนคิ้ว นุ่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถ้าตั้งกองบวชที่บ้าน ให้แห่กองบวชมารวมกันที่วัดเมื่อพร้อมกันแล้วก็แห่รอบศาลาอีครั้งหนึ่ง
    การ สู่ขวัญนาค เมื่อแห่รอบศาลานาคทุกคนเตรียมเข้าพาขวัญ ญาติพี่น้องนั่งห้อมล้อมพาขวัญพราหมณ์เริ่มทำพิธีสู่ขวัญเสร็จแล้วผูกแขนนาค นำเข้าพิ
    ธีบวชต่อไป

    การบวชนาค ในประเพณีการบวชของชาวบ้านเชียงหวางเวลาบวชนาคหรือเวลาพานาคเข้าโบสถ์พ่อจะจูงมือซ้า
    ย แม่จะจูงมือขวา ถ้าไม่มีพ่อแม่จะให้ญาติเป็นผู้จูงถึงภายในโบสถ์แล้วนาคจะนำดอกไม้ธุปเทียนไปบูชาพระ
    พ่อ กับแม่จะยกผ้าไตรส่งให้นาค ก่อนจะรับผ้าไตรนาคต้องกราบพ่อกับแม่ก่อน แล้วเดินอุ้มผ้าไตรเดินคุกเข่าประนมมือเข้าไปท่ามกลางพระสงฆ์ กล่าวคำขอบรรพชาแล้วออกมาครองผ้าแล้วเข้าไปขอศีลกับพระอาจารย์ หลังจากนั้นอุ้มบาตรเข้าหาพระอุปัชฌาย์กล่าวคำขอนิสัย เมื่อท่านเอาบาตรคล้องคอแล้วมอบบาตรจีวรให้ ตอนนี้พระอาจารย์คู่สวดมนต์จะสมมุติตนเป็นผู้สอนและซักซ้อมนาค แล้วออกไปซักซ้อมนาคพอถารมแล้วก็เรียกนาคเข้ามาถามต่อหน้าพระสงฆ์ พระอุปัชฌาย์ ทำหน้าที่บอกเล่าสงฆ์ พอถามเสร็จแล้วก็สวดญัตติ
    การบอกอนุศาสน์ คือการบอกกิจที่ควรทำและไม่ควรทำ
    การกรวดน้ำ เมื่อเสร็จสิ้นจากการบวชแล้วต่อจากนั้นพระที่บวชใหม่จะนำจตุปัจจัยไปถวายพระอุปัชฌาย์
    การกรวดน้ำในพิธีนี้ถือว่าเป็นการแผ่ส่วนกุศลแด่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วเป็นการเสร็จพิธีของการบวช
    การ ลาสิกขา ผู้ที่จะลาสิกขาจะต้องมีการเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปทำวัตรพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เมื่อถึงวันกำหนดแล้วให้จัดสถานที่นิมนต์พระสงฆ์มาพร้อมกันพระภิกษุ จะลาสิกขาต้องแสดงอาบัติ
    เสียก่อนแล้วว่านโม3 จบหลังจากนั้นพระเถระจะชักผ้าสังฆาติออกจึงออกไปเปลืองผ้าเหลืองนุ่งผ้าขาวเข้ามา
    กล่าวคำขอสรณคมณ์และศีล 5 แล้วกล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามะกะส่วนการลาสิกขาของสามเณรไม่มีคงอนุโลมตามอย่างพระภิกษุบวชนาค
    ภาคเช้าเข้าอุโบสถนาคเครื่องอุปชายะ
    - อุ้มผ้าไตรประนมมือเปล่าวาจาขอบบรรพชา
    - พระอุปชายะรับผ้าไตร
    - เปล่งคำขอบรรพชาต่อไป
    - พระอุปัชฌายะ
    - ชักอังสะออกจากผ้าไตยแล้วสวมให้ผู้บวช
    - ให้ผู้ออกไปครองผ้าให้ครบไตย เสร็จก็รับเครื่องไทยทานไปถวายพระอาจารย์ กราบ3 ประนมมือเปล่าวาจาขอสรรณะและศีล
    - เมื่อกล่าวขอเป็นสามเณรสำเร็จสมาทานสิกขาบท เสร็จแล้วก็รับบาตรอุ้มเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ วางไว้ข้างตัวด้านซ้าย กราบ 9 หนยืนประณมมือกล่าวคำขอนิสัย
    - จากนั้นพระอุปัชฌายะทั้ง 6 บอกให้ออกไปข้างนอก แล้วพระอุปัชฌายะจะถาม (อันตรายิกรรม) ผู้บวชพึงรับว่าอัตถิ ภันเต 5 หน อามะภันเต 3 หน
    - กลับเข้ามากราบพระอุปัชฌายะ 3 หน แล้วนั่งคุกเข่าเปล่งวาจาขออุปสมบท
    - ในขณะ พระอุปัชฌายะกล่าวเผดียงสงฆ์ และสวดสมมติตนถามอันตรายิกรรม จากนั้นนั่งฟังท่านสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบพอจบท่านจะเอาบาตรออกจากตัว พึงกราบลง 3 หน แล้วนั่งพับเพียบฟังพระอุปัชฌายะบอกอนุฅศาสน์ไปจนจบ แล้วกล่าวรับจากนั้นก็ถวายไทยทานรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีทั้งหมด

    ขั้นตอนและพิธีการ บวชนาค
    ภาคเช้า

    - ประกอบกิจกรรมทางสงฆ์
    - เตรียมน้ำสำหรับสงฆ์น้ำพระ
    - บูชาผ้าสบงสำหรับสงฆ์น้ำพระ
    ภาคบ่าย
    - เริ่มพิธีสงฆ์น้ำพระ
    - กล่าวคำขอสงฆ์น้ำพระ
    - ประชาชนเริ่มการสงฆ์น้ำพระ
    - ถวายผ้าสบง
    - ชักบังสกุลเขิน
    - รับศีลรับพร(เป็นอันเสร็จพิธี)


    <HR>
    ขอบพระคุณข้อมูลจาก : CITEC - Computer Security Community
     
  6. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    ชั่วอึดใจเดียว


    จากหนังสือชุดอิสรภาพแห่งชีวิต
    เรื่อง สำหรับผู้เห็นความคิด
    โดย บุรัญชัย จงกลนี​



    เตือนจิตสะกิดใจ 2 : ชั่วอึดใจเดียว​

    มีการสนทนาซักถามโต้ตอบระหว่างผู้มาปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ส่งผลได้อย่างรวด เร็ว ชนิดที่เรียกได้ว่า “ ชั่วอึดใจเดียว ” ดังมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

    ปุจฉา : ความสงบที่หลวงพ่อพูดถึงคืออะไรครับ ?

    วิสัชนา : ความสงบที่เราสนใจกันนั้น โดยมากคนไปทำมันขึ้นมาให้สงบ ส่วนคำว่า สงบในพุทธศาสนาคือการจบเรื่องกัน หยุดแสวงหา ไม่ศึกษาอะไรที่ไหนอีกแล้ว

    ปุจฉา : หมายถึงปล่อยวางใช่ไหมครับ?

    วิสัชนา : จะหมายถึงปล่อยวางก็ได้ คำพูดมันเป็นเพียงการสมมุติ คือเรื่องมันจบกัน คือหมดการศึกษาอะไรต่อไปอีก หยุดการเดินหน้า หยุดการถอยหลัง หยุดการไป การมา ทั้งหมด แต่คนเรามักจะพยายามไปสร้างความสงบให้เกิดขึ้น โดยเข้าใจว่าต้องนั่งเอามือประสานกันที่หน้าตักแล้วหลับตาลงจึงจะสงบ นั่นไม่ใช่ความสงบ นั่นเราไปสร้างมันขึ้นมา ความสงบมันมีอยู่แล้ว อย่างคนเรานั่งอยู่เดี๋ยวนี้ นี่ก็เรียกว่าสงบได้ ไม่คิดอะไรใช่ไหม คือเฉย ๆ อยู่ ลักษณะนี้แหละสงบ ใครพูดอะไรก็ต้องได้ยินและรู้เรื่อง ตามองก็เห็น นี่ก็เรียกว่าสงบ ไม่ต้องไปทำอะไร แต่จะหลับตาก็ได้ไม่หลับตาก็ได้ ไม่ได้ห้าม หน้าที่ของตาคือสามารถมองเห็น เราก็ให้มันทำตามหน้าที่ของมันเท่านั้นเอง อย่าไปฝืนมัน ถ้าไปฝืนธรรมชาติของมัน มันก็ไม่สงบ

    ปุจฉา : ผมพยายามทำใจให้ปล่อยวางให้สงบ

    วิสัชนา : นั่นแหละมันไม่เข้าใจ อันความพยายามทำความปล่อยวางนั่นแหละ เราไปจับมันเข้าไว้แล้ว เราไม่รู้ความคิดแล้ว เราไปคิดมันขึ้นมาว่า “จะปล่อยวาง” มันจึงเป็นสองเรื่องแล้ว มันเป็นความคิดสองชั้นแล้วนั่นน่ะ มันไม่รู้จักวิธีปล่อยวาง มันทุกข์นะ เมื่อเราไปคิดพยายามปล่อยวางมัน มันเป็นสองทุกข์เข้าไปแล้ว หนึ่งมันคิดไปตามเรื่องของมัน สองเราพยายามปล่อยวางมัน เป็นสองทุกข์เข้าแล้วนะ ไม่ใช่ให้เราพยายามมัน ที่เราไปพยายามนั่นแหละ เราไปทำให้มันทุกข์แล้ว

    ปุจฉา : แล้วจะทำอย่างไรครับ ?

    วิสัชนา : เราเพียงรู้ ไม่คิด คือพอดีเราคิดขึ้นมา เราปล่อยทันที มาทำความรู้สึกตัว กำมือเข้ามา แบมือออกไปก็ได้ แล้วเราจะได้รู้สถานที่ที่ตรงนั้นเองที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า ทุกข์ให้กำหนดรู้ สมุทัยต้องละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคต้องเจริญ แต่นี่เราไม่รู้ตัว พอมันคิดแล้วเราก็ไปคิดอีก มันก็เลยเป็นสองชั้น ทีนี้พอมันคิดเราก็มาทำความรู้สึกตัว มันจะวางของมันเอง

    ปุจฉา : ประโยชน์ของมันล่ะครับ ?

    วิสัชนา : ประโยชน์หรือผลของมันคือ ความไม่มีทุกข์ ซึ่งมันมีในคนทุกคนอยู่แล้ว เมื่อมันคิดขึ้นมา เราอย่าพยายามให้มันหยุด อย่าไปห้าม เรามารู้สึกตัว แล้วมันจะวางความคิดมาอยู่กับความรู้สึกตัว มันจะหยุด ทำบ่อย ๆ ทำไปแล้วคุณจะรู้เอง และ เมื่อคุณรู้คุณจะร้องอ๋อ คุณรู้เองแล้วคุณจะต้องแจ้ง ไม่ใช่หลวงพ่อพูดแล้วคุณจะรู้ได้ ก็รู้ได้แต่รู้ได้เพียงสัญญา

    ปุจฉา : หลุดพ้นไปใช่ไหมครับ ?

    วิสัชนา : เมื่อมันยังไม่แจ้ง มันก็พ้นไปไม่ได้

    ปุจฉา : ที่หลวงพ่อพูดว่าให้พลิกมือ หรือให้รู้สึกตัวนี้ เพื่อให้มันปล่อยจากความคิด โดยปกติคนทั่ว ๆ ไปเวลาทุกข์ขึ้นมาก็ไปฟังเพลง ไปดูหนัง ไปเดินเล่น อันนั้นมันต่างไปจากที่หลวงพ่อแนะนำอย่างไร เพราะวิธีนั้น ก็ลืมของเขาได้เหมือนกัน

    วิสัชนา : มันต่างกัน อันนั้นเขาเรียกว่า “ระงับได้” เคยเห็นโคลนตมไหม พอวัวควายเดินเหยียบน้ำเหยียบตมลงไป น้ำมันต้องขุ่นใช่ไหม อย่างที่เราไปดูหนังดูละครหรือเราไปนั่งทำความสงบ ตมตะกอนนั้นมันไม่ออก มันยังขังอยู่ที่นั่น มันพร้อมจะผุดขึ้นมา ส่วนอันนี้มันคนละเรื่องกัน อย่างที่หลวงพ่อพูด พอมันคิด เราทำความรู้สึกตัว มันจะวางความคิดเหมือน เราเหมือนกับเราเอาน้ำในขวดที่มีตะกอนไปกรอง ตะกอนอยู่ส่วนตะกอน น้ำอยู่ส่วนน้ำ จริง ๆ แล้วน้ำไม่ได้ขุ่น น้ำมันก็เป็นน้ำ ตะกอนก็อยู่ส่วนตะกอน อย่างที่เราว่าจิตใจเราคิดมันทุกข์ แต่ความจริงใจมันไม่ได้ทุกข์ แต่เราไปเข้าใจว่ามันทุกข์ มันไม่ใช่ใจทุกข์นะ ตัวทุกข์นั้นคือตัวคิดนั่นเอง พอดี มันคิดปุ๊ป เราก็เลยเข้าไปในความคิด แล้วเราหยุดมันไม่เป็น มันจึงคิดต่อเรื่อยไป แล้วเราก็ไปหาวิธีระงับโดยการไปเที่ยวเตร่แต่ความจริงสิ่งนั้นไม่สามารถที่จะระงับทุกข์ได้ เป็นเพียงเราไปทำให้มันลืมชั่วคราวเท่านั้นเอง

    ปุจฉา : คือพิจารณาว่า สิ่งนี้ไม่ควรยึดมั่น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ควรปล่อยวางใช่ไหมครับ ?

    วิสัชนา : ไม่ใช่ นั่นมันเพิ่มขึ้นมาเป็นสองคิดแล้ว นี่มันเป็นสองทุกข์แล้ว " พอดีมันคิดปุ๊ป เรารู้สึก มันหายไปเอง ถ้าไปพิจารณาว่าเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มันเป็นวิตกวิจารณ์ เป็นคิดไปแล้ว "

    ปุจฉา : พอคิดปุ๊ป ก็รู้สึกตัว ความรู้สึกตัวอันนี้ต่างหากที่มีผลให้มันหยุดเองใช่ไหมครับ ?

    วิสัชนา : ใช่ นั่นแหละ ข้อสำคัญทำให้มันรู้ มันเป็น ไม่ใช่ให้มันรู้โดยสัญญา คิดรู้เอาจากการศึกษา จากตำรา หรือ จากการตรองเอาตามเหตุตามผล

    ปุจฉา : สรุปว่า ความคิดที่อยู่ใต้โมหะ ( ความไม่รู้สึกตัว) นี่เราต้องปัดมันไปเลยใช่ไหมครับ ?

    วิสัชนา : ปัดไปเลย

    ปุจฉา : แต่ความคิดที่เป็นไปด้วยสติปัญญา เราต้องคิดเพื่อการเพื่องานของเรา เราต้องคิดใช่ไหมครับ?

    วิสัชนา : อันนั้นถ้าไม่คิดก็ทำไม่ได้ ต้องคิด เราจะปลูกบ้านหรือซื้อของ เสื้อผ้า หรือจะซื้ออะไรก็ตาม มันต้องคิดมันจะคุ้มค่าเงินเราไหม เราซื้อแล้วจะไปทำอะไรมันต้องคิด อันนี้ถ้าไม่คิด เขาว่าเป็นคนบ้า ให้เข้าใจอันนั้นต้องใช้สติปัญญา ต้องวิพากษ์วิจารณ์นะ มิฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมามันจะแก้ไม่ได้ เช่น มีคนมาขโมยของ เราต้องรู้ว่า เป็นหญิงหรือชาย มีอายุประมาณเท่าไร แต่ที่หลวงพ่อพูดนี้ พูดถึงการปฏิบัติไม่ได้พูดเรื่องการเรื่องงาน คือเมื่อมันคิด ขึ้นมา ตัดทันที อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ คิดดีคิดชั่วไม่ต้องคิด แต่จะสร้างบ้านเรือน ไปสอนหนังสือ มันต้องคิด ต้องมีโครงการ แต่ ” ความคิดที่หลวงพ่อพูดให้ตัด มันเป็นความคิดที่นำมาซึ่ง โลภะ โทสะ โมหะ ส่วนความคิดที่เราตั้งใจคิดขึ้นมาเพื่อการงานนั้น ไม่นำมาซึ่ง โลภะ โทสะ โมหะ มันคิดด้วยสติปัญญา ความคิดจึงมีสองอย่างด้วยกัน ”

    ปุจฉา : เวลาเดินไปไหนมาไหน เราควรปฏิบัติอย่างไรครับ?

    วิสัชนา : เดินไปเฉย ๆ นี่แหละ เดินไปสัก 10 ก้าว รู้ครั้งนึงก็ยังดี ถ้าเดิน 10 ก้าวรู้ 5 ครั้ง ก็ยิ่งดี ถ้าไม่รู้สักครั้งก็เต็มทีแล้ว ต้องรู้ รู้ก้าวนึงสองก้าวก็ยังดีไปถึงที่ที่จะไป 100ก้าว รู้สึกสัก 10 ก้าว ก็ยังดี ดีกว่าไม่รู้เลย ทำอย่างนี้มันจะสะสมเอาไว้ ความรู้อันนี้มันจะค่อยมากขึ้นมากขึ้น เวลาเดินไปอย่าเอาสติมากำหนดที่เท้ามากเกินไป ให้คอยดูความคิด ดูต้นไม้หรือดูคนคนเดินผ่านไปผ่านมาตามถนนหนทางก็ได้ ถ้ามันคิดแว๊บขึ้นมา ให้ทิ้งไปเลย อย่าเข้าไปในความคิด ถ้าเข้าไปในความคิด มันจะพาคิด เช่น คนนั้นเป็นผู้หญิง คนนี้ผู้ชาย สวยไม่สวย ผิวดำผิวขาว ใส่เสื้อสีนั้นสีนี้ ไม่ต้องคิด อันนั้นมันเป็นวิตกวิจารณ์ เห็นแล้วหญิงก็ช่างชายก็ช่าง ให้เฉย ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไร กลับมาที่ความรู้สึกตัวที่กายเราต่อไป
    ขอบพระคุณบทความจาก☆*~ การทำความรู้สึกตัว ~*☆
     
  7. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    ศีล ๕ พาพ้นภัย..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที

    ทำไม พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม

    ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน

    เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม

    การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น
    การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น ก
    าเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น
    สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย

    เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย
    เพราะ ฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

    คนมีศีล บริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่ เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่

    ดงบั๊ก อี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

    ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่

    แต่ นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

    เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส


    <HR>
    ขอบคุณบทความดีๆ จาก : http://blog.hunsa.com ครับผม
     
  8. ละม่อม

    ละม่อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,329
    ค่าพลัง:
    +3,892
    แหมๆ มีธรรมะตอนบ่าย ขอบคุณพี่ 15 ค่ำมากนะคับที่เอาธรรมะดีๆมาฝาก
    ว่าแต่ท่านพี่ 15 ค่ำ ทานข้าวหรือยังคับ เดี๊ยวเป็นลมเป็นแล้งไป ต้องเดือดร้อนถึง ผบ.ทบ. นะคับ
     
  9. ละม่อม

    ละม่อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    1,329
    ค่าพลัง:
    +3,892

    เคารพ ศรัทธา เชื่อมั่น สมหวังแน่นอน เห็นด้วยอย่างยิ่งคับ
    "ถูกต้องแล้วคร้าบ "

     
  10. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    สวัสดียามบ่ายๆครับคุณละม่อมและคุณ15ค่ำ...(^_^) ...
    บรรยากาศน่านอนจริงๆเลยครับ...
     
  11. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,573
    สวัสดียามบ่ายๆเช่นกันครับ สำหรับทั้ง2หนุ่มหล่อและพี่ๆน้องๆทุกคนเรื่องทานข้าวจัดไปเรียบร้อยแล้วครับ ^ ^
     
  12. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
  13. dansa

    dansa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +490


    สวัสดีตอนบ่ายแก่ๆครับพี่น้องขุนแผนระฆังทองทุกท่าน:cool:
     
  14. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    สวัสดียามเย็นท่านสมาชิกขุนแผนระฆังทองทุกท่านนะค่ะ ขอให้มีความสุขกันมากๆนะค่ะ
     
  15. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    สวัสดีครับพี่อุ้ม สวัสดีครับพี่คนกันเอง

    และสวัสดีพี่ๆทุกท่านยามเย็นครับ^^:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  16. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,975
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4Ag8ob2lTMw&feature=player_embedded]YouTube - ได้โปรด แพรว คณิตกุล Ost หวานใจกับนายจอมหยิ่ง[/ame]

    เพลงมาฝาก ฟังทีไร :'(
     
  17. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ฝากอีกเพลงครับ

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Nz5tYBsLxlE?fs=1&amp;hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Nz5tYBsLxlE?fs=1&amp;hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>[VDO][/VDO]
     
  18. บุราณไทย

    บุราณไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,206
    สวัสดีครับ ชาวระฆังทอง ทานข้าวกันหรือยังครับยามเย็นแบบนี้ทานข้าวหรือยอดข้าว แบบไหนดี แฮะฯฯ(k)
     
  19. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    สวัสดีครับพี่บุราณไทย เย็นย่ำค่ำนี้ทานก๊วยเตี๋ยวเรือดีฝ่า^^
     
  20. บุราณไทย

    บุราณไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,206
    ทานข้าวหรือยังครับ มื้อเย็นแบบนี้ทานแต่น้อยนะครับ ระวังจะอ้วนครับ เดียวดูไม่งาม แฮะฯฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...