ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....คุณไก่เหลืองฯ มูลนิธิพิทักษ์ภูมิไทยกำลังจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรใหญ่กว่าพระองค์จริง 2.5 เท่า ทรงม้าถือทวน แต่งพระภูษาออกรบเต็มอัตรา ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    สัมผัสหลอน

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=icW0zgqZAv4&feature=more_related]YouTube - สัมผัสหลอน 2[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BU2wu_qn9LU&feature=related]YouTube - สัมผัสหลอน 1[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=AHreGvl9OWw]YouTube - สัมผัสหลอน04-02-09[/ame]
    ออกอากาศ 04 /02 /09
    สัมผัสหลอน04-02-09
    by nessung | 1 year ago | 4,965 views
     
  3. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    (ส่วนต่อไปนี้เราว่ากันตาม นเรศวรปกรณัม นะ..คงต้องแล้ววิจารณญาณของแต่ละท่านแล้ว ล่ะค่ะ)

    เป็นความเชื่อมานานแต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเล่าขานว่าสมเด็จพระนรเศวรมหาราชเป็นเจ้านั้นท่านมีมหิธรานุภาพยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าชายธรรมดาองค์หนึ่งในมนุสโลกจะพึงแสดงออกมาได้ จนกระทั่งนักวิชาการด้านคติชนศาสตร์ให้ความสนใจนำมาเผยแพร่เป็นรูปธรรมขึ้นจากนเรศวรอวตารแห่งมหาเทพ...ที่นำมาเล่าสู่กันแล้วและยังมีเรื่องราวที่เสริมส่งการเป็นองค์อวตาร...ของพระองค์อีกมากมาย จะทยอยนำมาเล่าให้ผู้ที่รักศรัทธาจงรักภักดีในพระองค์ได้ทราบเพื่อเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวกระทู้นี้

    แต่ตอนนี้เมื่อเราคุยกันถึงเรื่อง นเรศวรอวตารแห่งมหาเทพ แล้วลองมารู้จักบางส่วนของมหาเทพพระองค์นั้นกันดูบ้าง ซึ่งบางท่านอาจรู้แล้วและบางท่านอาจรู้บ้างหรือไม่เคยรู้มาเสริมเรื่องราวของพระนเรศวรมหาราชเป็นเจ้า .....รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะคะ...

    พระนเรศวรฯทรงเป็นอวตารแห่งมหาศิวะเทพ หรือ ทางบ้านเรามักคุ้นเคยกับอีกพระนามของพระองค์คือ พระอิศวร แล้วพระอิศวร (ศิวะ)ท่านสถิต ณ ที่ใด

    (ถ้าตามความเชื่อก็แสดงว่า พระนเรศวรมหาราช ก็ต้องทรงอวตารมาจาก สถานที่นั้น และบัดนี้ พระองค์กลับคืนสู่ความเป็น พระอิศวรเจ้า พระองค์ก็ต้องประทับ ณ ที่นั้นด้วย(ก็น่าจะเป็นได้ในมุมมองนั้น)

    ตามคัมภีร์ของศาสนา พราหมณ์ - ฮินดูนั้น มีการกล่าวถึงพระเป็นเจ้าไว้ มากมาย แต่ที่เป็นสุดยอดมีระบุไว้ 3 พระองค์ด้วยกัน

    1.พระศิวะ (ไทยเรียก ว่า พระอิศวร)

    2.พระนารายณ์

    3.พระพรหม

    โดยพระศิวะจัดเป็นเทพเจ้าสูงสุดเหนือเทพเจ้าทั้งปวง

    พระอิศวร หรือ พระศิวะ (ภาษาอังกฤษ : Shiva) (ภาษาฮินดี:शिवหรือชาวจีนเรียกว่า พระยกอ๋องซ่งเต

    มีพาหนะ คือ โคเผือก ชื่อว่า อุศุภราช พระอิศวรเป็นมหาเทพแห่งการทำลาย มีกายสีขาว แต่พระศอเป็นสีดำเพราะเคยดื่มยาพิษ มีพระเนตรถึง ๓ ดวง ดวงที่ ๓ อยู่กลางพระนลาฎ ซึ่งตามปกติจะหลับอยู่ เนื่องจากพระเนตรดวงที่ ๓ นี้ มีอานุภาพร้ายแรงมาก หากลืมขึ้นเมื่อใดจะเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้ ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล มีมเหสีคือ พระแม่อุมา

    รูปลักษณ์ของพระอิศวรโดยมากจะปรากฏให้เห็นเป็นชายผมยาวมีพระจันทร์เป็นปิ่นปักผม มีลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์เป็นสังวาลมีงูเห่าพันรอบพระศอนุ่งห่มหนังเสืออันเป็นเครื่องนุ่งห่มของฤๅษี การบูชาพระอิศวรจะกระทำได้โดยการบูชาต่อศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์นั่นเอง

    พระอิศวรมีท่าร่ายรำอันเป็นการร่ายรำของเทพเจ้า เรียกว่า " ปางนาฏราช "(nataraja) เมื่อแปลงกายลงไปปราบฤๅษีที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ่งต่อมาชาวฮินดูได้ถือเอาท่าร่ายรำนี้เป็นต้นแบบของการร่ายรำต่าง ๆ มาตราบจนปัจจุบัน

    บทบาทความสำคัญ พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาลพระองค์จะทรงประทานพรวิเศษให้แก่คนผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรมเท่านั้นหากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใด ๆ ก็ให้พรนั้น พระศิวะจะประทานสิ่งวิเศษให้ในไม่ช้า แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงามคนผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิตพระศิวะเทพผู้จะกลายเป็นเทพผทำลายทันที ู้

    มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้นสามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆได้อย่างมหัศจรรย์นักหากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย หากบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจะถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้เช่นกันนอกจากนั้น พระอิศวรยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีอีกด้วย โดยมีพระนามเรียกว่า "ปีศาจบดี"

    รูปลักษณ์ของพระศิวะ
    รูปลักษณ์ของพระองค์นั้นค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสังเกตได้ง่ายไม่สับสนวุ่นวายเหมือนกับจดจำรูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่น ๆพระศิวะนั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีลดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดินสักหน่อย เป็นต้นว่าทรงแต่งองค์คล้ายๆพวกโยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วมุ่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น
    กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่าพระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์ แต่หลาย ๆ คัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร ๓ ดวง คือดวงที่ ๓ นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผากขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่ ๓ นี้สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีกด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2010
  4. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    นเรศวรอวตารแห่งมหาเทพ 2

    เรื่องราวของเทพเจ้าฮินดู ตามที่ปรากฎในพระคัมภีร์นับว่าเป็นเรื่องที่แปลก โดยเทพแต่ละองค์ประทับอยู่ ณที่ต่างๆกัน เช่น ท้าวจตุโลกบาล นั้นก็ประทับอยู่ ณ สวรรค์ชั้นแรกนามว่า จาตุมหาราชิกา ส่วน พระอินทร์นั้นพระคัมภีร์กล่าวว่าสถิตอยู่ใน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยมีที่ประทับที่ ภูเขาพระสุเมร ซึ่งบางทีก็เรียกว่าภูเขาเมรุ (Mt.Meru)อันเป็นชื่อภูเขากลางจักรวาลมีทะเลสีทันดรล้อมรอบอยู่ในระหว่างเขาสัตบริภัณฑ์คือภูเขาทั้ง 7คือภูเขายุคนธรอิสินธรกรวิกสุทัสนะเนมิธรวินตกะและอัศกัณซึ่งภูเขาเมรุนี้บ้างก็เชื่อว่าคือ ยอดเขาศักกะมารดา หรือ ยอดเขาเอฟเวอเรสต์ที่รู้จักกันดีนี่เอง

    ส่วนพระพรหมในไตรภูมิกล่าวว่าอยู่ในพรหมโลกซึ่งมี16ชั้นแต่เป็นที่ประทับของพรหมประเภทต่างๆ

    พระนารายณ์หรือพระวิษณุมหาเทพนั้นทรงประทับหลับสนิทบนขนดของพระยาอนันตนาคราช ณ เกษียรสมุทรคือทะเลน้ำนม บ้างก็ว่าทรงไสยาสน์อยู่ ณ สะดือทะเล

    แต่ พระศิวะ นั้น ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส บนโลกมนุษย์ของเรานี่เอง

    ถ้าเช่นนั้น ไกรลาสอยู่ที่ไหน

    หากกล่าวถึงเทือกเขาในโลกนี้ เป็นที่รู้กันว่า เทือกเขาหิมาลัยนั้นสุดแสนยิ่งใหญ่ เพราะมียอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่สูงที่สุดในโลก ส่วนชื่อก็สุดแสนเหมาะสม เพราะ หิมาลัย = หิมะ + อาลัย (ที่อาศัย) ซึ่งบ่งว่าเทือกเขานี้มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดปี

    หิมาลัยมิได้มีความสำคัญแค่มียอดเขาสูงสุดในโลกแต่ยังมีความสำคัญเพราะเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น คงคา ยมุนา และพรหมบุตร โดยเฉพาะ 'คงคาสวรรค์' ตามคติของชาวอินเดียนั้น ได้หล่อเลี้ยงพื้นที่กว่า 300,000 ตารางกิโลเมตร ตามแนวเส้นทางราว3,000กิโลเมตร มานานนับพันปีแล้ว

    เทือกเขาหิมาลัยจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นดินแดนแห่งเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู โดยเชื่อว่ายอดเขาแห่งหนึ่งในหลาย ๆ ยอดของหิมาลัย ได้แก่ยอดเขาไกรลาส (เขียนว่า ไกลาส ก็ได้) ถือกันว่าเป็นที่สถิตของพระอิศวร

    สำหรับทางพุทธศาสนานั้นหิมาลัยเป็นดินแดนต้นกำเนิดของศากยวงศ์เพราะพระเจ้าโอกกากราช ได้สร้างเมืองที่ป่าไม้สักกะอันเป็นที่อยู่ของกบิลดาบสแห่งเทือกเขาหิมาลัยและสถาปนาราชวงศ์ศากยะขึ้น แม้พระพุทธเจ้าก็ประสูติ ณ ลุมพินีวัน ในเขตหิมาลัย หรือประเทศเนปาลในปัจจุบัน

    หิมาลัยเป็นขุมทรัพย์ทางวิชาการของเหล่านักวิทยาศาสตร์เพียงแค่ความหลากหลายทางชีวภาพก็น่าตื่นตะลึงแล้ว เพราะหิมาลัยมีระดับความสูงแตกต่างกันทำให้มีสภาพภูมิอากาศหลากหลายจึงพบพืชกว่า 5,000 ชนิด นก 530 ชนิด แมลง 2,300 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 190 ชนิด (ข้อมูลใหม่อาจพบมากกว่านี้)

    เมื่อราว 40-50ล้านปีก่อนนั้นแผ่นเปลือกโลกอินเดียชนกับแผ่นยูเรเชียเกิดเป็น'รอยย่น' หรือเทือกเขาหิมาลัยขนาดมหึมา แผ่นเปลือกโลกอินเดียนั้นมีทั้งผืนน้ำและพื้นดิน แต่ต่อมาผืนน้ำเหือดแห้งไปและก้นทะเลก็ได้กลายเป็นเทือกเขาที่มั่นใจว่าภาพนี้น่าจะถูกต้องก็เพราะว่า หากดูภาพจากมุมสูงจะเห็นรอยย่นที่ว่าชัดเจนหากดูเนื้อภูเขาก็จะพบหินตะกอนซึ่งบ่งบอกว่าที่แห่งนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน แถมยังพบซากฟอสซิลของสัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ที่เรียกว่า แอมโมไนต์ (ammonite) แถวๆ แม่น้ำ Kali Gandaki ในเนปาลอีกด้วย


    ปัจจุบัน เทคโนโลยี่GPS
    (GlobalPositioningSystem)สามารถวัดได้ว่าแผ่นเปลือกโลกอินเดียยังคงเคลื่อนไปทางเหนือด้วยอัตราเร็ว 18 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งทำให้เทือกเขาหิมาลัยสูงขึ้นประมาณ 5 มิลลิเมตรต่อปี แม้จะน้อยนิด แต่ก็วัดได้จริง

    เทือกเขาหิมาลัยมองจากเครื่องบินสุดปลายฟ้าคล้ายเมฆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_7581.JPG
      IMG_7581.JPG
      ขนาดไฟล์:
      986.1 KB
      เปิดดู:
      101
    • IMG_7583.JPG
      IMG_7583.JPG
      ขนาดไฟล์:
      808.1 KB
      เปิดดู:
      126
  5. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    พระนเรศวรมหาราชอวตารแห่งมหาเทพ3


    มุมมองของนักวิทยาศาสตร์นั้น ฟังแล้วน่าตื่นเต้น แต่คงจะสมดุลยิ่งขึ้น หากได้เห็นความงดงามในมุมมองของศิลปินบ้าง ในวรรณกรรมเรื่อง เมฆทูต มหากวี กาลิทาส (Kalidas) ได้พรรณนาความงามของเทือกเขาหิมาลัยไว้ว่า (ถอดความโดยท่านอาจารย์กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย)

    ลิ่วละล่องฟ่องฟ้านภากาศ ..
    ถึงไกลาสสิขรินทร์ปิ่นสวรรค์
    สุกสกาวขาวระยับจับคนันตร
    รับอาคันตุกะชนด้นดำเนิน

    อันไกลาสคีรีศรีสิงขร
    ถิ่นอมรเทพเจ้าภูเขาเขิน
    ดังคันฉ่องส่องเงาสกาวเกิน
    เทพีเพลินส่องโฉมประโลมสุรางค์

    หรือในหนังสือ อินเดีย แผ่นดินถิ่นมหัศจรรย์ เรื่อง หิมาลัยรำลึกเขียนโดยอาจารย์อรุณ เฉตตีย์ จัดพิมพ์โดย ศูนย์อินเดียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า

    "เทือกเขาหิมาลัยดูประหนึ่งคล้ายสายสังวาลที่ล่ามฟ้าและดินมิให้พรากจากกัน เป็นสายสัมพันธ์จากพื้นพิภพที่ไปบรรจบหมู่เมฆอันสูงสุดลิบสุดสายตา” นั่นเอง

    เขาไกรลาสที่ประทับแห่งพระมหาเทพ

    1ในหลายๆยอดเขาที่สูงจนจัดอันดับได้ของเทือกเขาหิมาลัยนั้นมียอดเขาไกรลาสติดอันดับอยู่ด้วยนั้น สำหรับยอดไกรลาสมีลักษณะสีขาวอย่างเงินยวงบางทีก็เรียกกันว่าผาเผือกตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยซึ่งเป็นยอดสูงสุดในตอนใต้ของทะเลสาบมานัส ตั้งแต่ ศักกะมารตา หรือเอเวอเรสต์ ที่สูง 29,028 ฟุต และ

    ยอดเขาไกรลาสสูงเป็นลำดับที่ 32 ในโลก คือสูง 22,020 ฟุต และสูงเป็นที่ 19 ในหมู่ยอดเขาในเทือกเขาหิมาลัย

    แต่ถ้าไปเปิดแผนที่ดูเราจะไม่พบที่ตั้งของเขาไกรลาสเลยทั้งนี้ก็เพราะว่าเทือกเขาหิมาลัยนั้นเป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และก็มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก และสูงติดอันดับมากมายหลายยอด

    อีกอย่างที่ชื่อภูเขาไกรลาสหาไม่ค่อยจะพบก็เพราะชื่อเป็นทางการ คือ กังติ-สู-ชาน (Kangti-ssu-shan) ในปัจจุบันอยู่ในเขตทิเบต หรืออีกชื่อหนึ่งคือ กัวลา มาน ฮาตา (Gurla mand hata) ตั้งอยู่บนเขตพื้นที่ไกรลาส (Kailasrange) ซึ่งมีช่องเขาเป็นเส้นทางไปได้จากทางอินเดีย บางทีภูเขาลูกนี้ก็เรียกกันว่า ภูเขาเงิน อยู่ทางตะวันตก ของทิเบต

    จากการที่เทือกเขาไกรลาสมิได้มีลักษณะขรุขระหากแต่เรียบราบยามเมื่อหิมะที่จับขาวโพลนต้องแสงอาทิตย์ จึงดูประดุจแผ่นเงินหรือหน้าผาสีขาวซึ่งพวกอารยันนับถือมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีทะเลสาบ มานัสโรวา (Manasrowar) ซึ่งเป็นที่นับถือ กล่าวกันว่าพระศิวะประทับอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ครั้งสร้างโลก ซึ่งชาวอินเดียนับล้านๆคนที่นับถือได้พยายามหาทางที่จะไปให้ถึงเพื่อทำการสักการะบูชาให้ได้

    ในมหากาพย์ รามายณะ และ มหาภารตะ ในรามายนะกล่าวถึงทะเลนี้ว่า "ทะเลสาบมานัสอันศักดิ์สิทธิ์นี้แม้แต่ใครได้ถูกต้องสัมผัสหรือนำเอามาล้างร่างกายหรือได้อาบน้ำในทะเลสาบนี้ ผู้นั้นจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์และถ้าใครได้ดื่มน้ำในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จะได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ใกล้ที่สถิตของพระศิวะ"

    สายน้ำในทะเลสาบนี้เป็น ต้นน้ำคงคา อันศักดิ์สิทธิ์ที่ถ้ำน้ำแข็งใกล้ วิหารคงโคตรี (Gangotri)นอกจากนั้นน้ำในแม่น้ำทางตะวันออกคือแม่น้ำนลินีหลาทินีปาพนีและแม่น้ำทางด้านตะวันตกคือ แม่น้ำจักษุ แม่น้ำสีดา แม่น้ำสินธุ ก็ล้วนเป็นแม่น้ำที่มีต้นน้ำมาจากที่เดียวกัน

    ดังนั้นบริเวณที่เป็นทะเลสาบมานัสและภูเขาไกรลาส(ไกลาส)จึงยึดถือกันว่าเป็นบริเวณที่จะต้องไป นมัสการ หรือ ธุดงค์ อันเรียกว่า ไกรลาสยาตรา (Kailasyatra) ซึ่ง พราหมณ์สวามี นาวะนันทะ (Navananda) กล่าวไว้ว่า การธุดงค์ไปจนถึงภูเขาไกรลาสและ เดินประทักษิณ ให้ครบ39รอบเป็นการเคารพบูชาอย่างสูงสุด

    และการเดินทางไปจะต้องเดินทางในเดือนกันยายนหรือตุลาคมเท่านั้น

    มหานทีสีทันดร

    การไปสู่ยอดเขาไกรลาสกล่าวกันว่าอยู่ทางทิศเหนือของอินเดียคือบริเวณภูเขาหิมาลัยนั้น
    ในไตรภูมิกล่าวว่ามีสระน้ำอยู่ถึง 7 สระ (หมายถึงทะเลสาบ) ซึ่งมี สระวินทุ มานสะ อโนดาตเป็นต้นได้กล่าวไว้ว่ามานสะเป็นแหล่งน้ำอยู่ที่เขาไกรลาสเป็นที่กำเนิดของหงส์และหงส์จะไปยังสระนี้ทุกปี
    ทะเลสาบ มานสะ กับ มานัส คือแห่งเดียวกัน

    ถึงแม้ที่ราบอันพอจะเป็นทะเลสาบนั้นมีมากมายกว่า7แห่งแต่ที่เขาไกรลาสนั้นก็มีเพียงทะเลสาบมานัสหรือมานสะเท่านั้นที่เป็นทะเลสาบที่ชาวฮินดูนับถือ
    ยังมีชื่อทะเลที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพเจ้าของชาวฮินดูนั่นก็คือ"สีทันดร" ที่ปรากฎอยู่ในไตรภูมิกล่าวว่าทะเลนี้ล้อมรอบเขาพระสุเมรุอยู่โดยที่เขาสัตบริภัณฑ์ล้อมรอบอยู่อีกทีหนึ่ง
    ขาสัตบริภัณฑ์คือหมู่เขาทั้ง7ซึ่งกล่าวว่าเป็นภูเขาที่มีรูปเป็นวงกลมล้อมรอบห้วงสมุทรสีทันดรอยู่ถึงเจ็ดชั้น คือ ภูเขายุคนธร อิสินธร กรวิก สุทัส เนมินธร วินตกะ และ อัสกัณ

    ชื่อของทะเลสีทันดรนี้มีกล่าวถึงอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่องกล่าวถึงลักษณะของน้ำในทะเลสีทันดรว่าใสสะอาด ส่วนสถานที่ที่น่าสนใจบริเวณมหานทีนี้คือ เรื่องราวของ อาณาจักรแชมบารา (Shambara) หรือบางแห่งเรียกว่าแชมบาฮาราอันมีกล่าวอยู่ในคัมภีร์สำคัญของธิเบตกล่าวว่าอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยนี้เอง มีภูเขาล้อมรอบอยู่ถึงสองชั้น มีทะเลสาบล้อมอาณาจักรทั้ง 8 อันมี รุทระจักริณ เป็นใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นอาณาจักรที่ล้วนแล้วไปด้วยทองใครได้เข้าไปอยู่แล้วไม่ตายถือเป็นสวรรค์ที่อยู่บนพื้นดิน


    ความเกี่ยวข้อง ของมหานทีสีทันดร กับไกรลาสนั้น พอสรุปได้ว่า
    สีทันดร ก็คือทะเลที่อยู่โดยรอบของอาณาจักรพระรุทระหรือพระอิศวร หรือศิวะมหาเทพ ซึ่งก็มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่เห็นได้และมีอยู่จริงท่ามกลางภูเขาอันมียอดปกคลุมด้วยหิมะล้อมไว้ คือทะเลสาบมานัสโรวาแต่กึ่งกลางของทะเลสาบก็หามีอาณาจักรใดไม่หรืออาจจะซ่อนอยู่ในอีกมิติหนึ่งก็เป็นได้

    มีเรื่องเล่าว่าผู้ที่เดินทางไปนมัสการไกรลาสยาตรามักจะมีอะไรที่ดลใจให้ปีนขึ้นไปบนเนินเขาสูงสักลูกหนึ่งใกล้ทะเลสาบมานัส และได้ไปพบเห็นว่ามีที่แห่งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและกษัตริย์เมื่อลงมาแล้วก็เล่าให้ผู้อื่นฟัง พอกลับขึ้นไปอีกครั้งก็ไม่ปรากฎภาพนั้น


    สีทันดร......ประตูสู่มิติอื่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    พระนเรศวรมหาราชอวตารแห่งมหาเทพ4


    ระหว่างเทือกเขาแต่ละเทือก มีมหาสมุทรคั่นอยู่ รวมแล้ว ๗ มหาสมุทร เรียกว่า สีทันดรมหาสมุทร หรือมหาสมุทรสีทันดร แปลว่า มหาสมุทรที่อยู่ในระหว่าง ซึ่งมีน้ำสุขุมละเอียดยิ่งนัก ถึงกับทำให้ทุกๆ สิ่งแม้เบาที่สุด เมื่อตกลงก็จมทันที คำว่า สีทะ แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง บวกกับคำว่า อันตระ แปลว่า ระหว่าง หมายถึงคั่นอยู่ระหว่าง จึงรวมเรียกว่า สีทันตระ ไทยเราเรียกว่า สีทันดร... การจะข้ามทะเลสีทันดรไปได้ ต้องอาศัยการบินข้าม เหาะข้าม เท่านั้น ไม่สามารถข้ามได้ด้วยเรือ เพราะไม่มีอะไรลอยอยู่บนน้ำทะเลสีทันดรได้

    สีทันดรนี้ไม่ได้อยู่ในโลกเราแต่อยู่ในป่าหิมพานต์

    สีทันดรเป็นห้วงน้ำที่กว้างใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างดินแดนตอนเหนือของชมพูทวีปกับเขาหิมาลัย ตั้งเเต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วไม่มีใครสามารถข้ามไปยังทิวเขาหิมาลัยได้เพราะความไพศาลของนทีสีทันดรที่ขวางอยู่

    มนุษย์เราถือว่าพ้นจากสีทันดรไปเหนือทิวเขาหิมาลัยนั้นคือสวรรค์
    ห้วงสีทันดรทั้งเจ็ดนั้นอยู่ระหว่างเขาพระสุเมรุและภูเขาอีกเจ็ดลูกที่เรียกว่าเขาสัตบริภัณฑ์
    (อันประกอบด้วยสุทัศน์ กรวิก อิสินธร ยุคันธร เนมินธร อัสกัณ และวินตกะ)

    น้ำในสีทันดรทั้งเจ็ดนั้น สีต่างกันตามทิศ น้ำละเอียดยิ่ง เรือแพไม่อาจลอยอยู่ได้ น้ำเงียบสงบ ไม่มีคลื่นใส สะอาด เย็น มีรสกร่อยจืดสนิทน้ำในนทีสีทันดร น้ำละเอียดขนาดว่าส่วนที่เป็นแววหางนกยูงซึ่งเป็นส่วนที่มีน้ำหนักเบาที่สุดถ้าตกลงไปก็จมลงไม่อาจลอยอยู่ได้


    ส่วนความกว้างใหญ่ของสีทันดรนั้น กว้างขนาดไหนจึงทำให้พระยาครุฑ “เต็มกลืน” หากจะบินข้ามสีทันดร (เห็นได้ชัดเจนจากคำว่า“เต็มบิน”)ตรงนี้ก็พอพูดให้เห็นภาพพจน์ว่ากว้างขนาดที่ว่าระดับพระยาครุฑ ที่เวลาบินนั้นกวักได้ทีละโยชน์ (กวัก 1 ครั้ง คืออาการขยับปีกขึ้นและลง 1 เที่ยว และ 1ประโยชน์=16,000ม.)ยังต้องบินข้ามวันคืนกว่าจะถึงจุดหมายและเวลาบินนั้นจะแวะพักก็ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีต้นไม้หรือเกาะแก่งกลางน้ำพอเป็นที่อาศัยพักเหนื่อยได้เลยที่พระยาครุฑต้องบินข้ามสีทันดรก็เพราะพระยาครุฑมีวิมานอยู่บนต้นฉิมพลี (ฉิมพลี=ต้นงิ้ว) วิมานนี้อยู่ที่หน้าผาแห่งหนึ่งบนเขาพระสุเมรุ
    “...............................

    ในสาครลึกกว้างทางวิถี
    แม้จะขว้างแววหางมยุรี
    ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาล

    อันน้ำนั้นสุขุมและเอียดอ่อน
    จึงชื่อ สีทันดรอันใสสาร
    ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล
    คชสารเงือกปลาและนาคินทร์

    ผู้ใดข้ามนทีสีทันดร
    ก็ม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
    แสนมหาพระนาครุฑยังเต็มบิน
    กว่าจะไปถึงถิ่นวิมานทอง”
    (วรรณคดีเรื่อง กากี)

    ข้างใต้นทีสีทันดรเป็นที่อยู่ของนาค ข้างใต้ถัดลงไปอีกชั้นหนึ่งเป็นที่อยู่ของพวกอสูร ในสีทันดรมีสัตว์น้ำล้วนแล้วแต่ตัวมหึมาทั้งสิ้นปลาอานนท์ก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกันสัตว์เหล่านี้ตัวใหญ่นี้ตัวใหญ่มากขนาดที่ว่าเพียงไหวหูข้างเดียว น้ำก็จะไหวเป็นวงกว้างไปถึงพันโยชน์

    มหาสมุทรสีทันดร เปรียบเสมือนกำแพงแห่งมิติ กำแพงแห่งกาลเวลา การข้ามผ่านสีทันดร ต้องได้อาศัยฤทธิ์ทางใจ ผู้ที่จะข้ามผ่านไปได้ ต้องเป็นผู้มีฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์กึ่งเทพ หรือเทพก็ตาม.... หรือไม่ก็ต้องอาศัยของวิเศษ เช่นจักรรัตนะ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คนธรรมดา ก็สามารถจะข้ามผ่านสีทันดรได้ ด้วยวิธีพิเศษ ที่เรียกว่า “จุติ”




    การจุติ เป็นการ เปลี่ยนย่านความถี่ของจิต จากย่านความถี่หนึ่ง เป็นอีกย่านความถี่หนึ่ง หรือเป็นย่านความถี่เดิม แล้วแต่กิเลสกรรมและวิบากอันติดอยู่กับจิต จิตที่จุตินั้น นั่นแล จะสามารถลอยข้ามผ่านสีทันดรไปได้... การจุติ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การตายแล้วเกิดใหม่ นั่นเอง....

    นอกจากที่กล่าวมาแล้ว การจะไปให้ถึง ไกรลาสที่ประทับมหาเทพยังต้องผ่านป่าหิมพานต์ อีกด้วย

    หิมพานต์

    เป็นแดนรอยต่อแห่งมิติระหว่างโลกทิพย์กับโลกมนุษย์เพราะส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์เป็นแดนทิพย์ ส่วนหนึ่งเป็นแดนมนุษย์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) หิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ

    สระอโนดาต
    สระกัณณมุณฑะ
    สระรถการะ
    สระฉัททันตะ
    สระกุณาละ
    สระมัณฑากิณี
    สระสีหัปปาตะ

    บรรดาสระใหญ่ทั้ง๗นั้นสระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง๕ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์

    สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาตเป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ชื่อมโนศิลาบริเวณที่เป็นดินก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น

    รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอดเขาได้แก่

    ยอดเขาสุทัสสนะ (สุทัสสนกูฏ)
    ยอดเขาจิตตะ (จิตรกูฎ
    ยอดเขากาฬะ (กาฬกูฎ)
    ยอดเขาคันธมาทน์ (คันธมาทนกูฏ)
    ยอดเขาไกรลาส (ไกรลาสกูฏ)


    ในป่านี้เต็มไปด้วย พืชพันธุ์แปลกๆ มากมาย สัตว์พันธุ์แปลกๆ มากมาย ทั้งสัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ ก็อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ นี่เอง

    เฉพาะยอดเขาคันธมาทน์ ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ(เหมือนภูกระดึง)อุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์ ทั้งไม้รากหอม ไม้แก่นหอม ไม้กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ไม้ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ทั้งยังอุดมไปด้วย ไม้อันเป็นโอสถนานาประการ ในวันอุโบสถ(วันพระ)ข้างแรมยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุข้างขึ้นแสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม... ภายในเขาคันธมาทน์ มีถ้ำบนยอดเขาชื่อว่าถ้ำนันทมูล เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และถ้ำเงิน

    ยอดสุดท้ายคือยอดเขาไกรลาสเป็นภูเขาเงินรูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะวิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้

    ยอดเขาทั้ง๕ ตั้งตระหง่านรายล้อมสระอโนดาตไว้และมีเทวดารวมถึงนาคเป็นผู้ดูแลรักษา ธารน้ำทั้งหลาย จากเขาหิมพานต์ ทุกสารทิศ จะไหลมาผ่านยอดเขา๕ลูกนี้ (ลูกใดลูกหนึ่ง) จากนั้น ก็จะไหลรวมลงสู่สระอโนดาต (เหตุที่ได้ชื่อว่าอโนดาต ก็เพราะ มีเงื้อมผาโค้งงุ้มดังปากกา โอบบังแสงไว้ด้านบน ทำให้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้ำตรงๆ ได้ แสงเพียงลอดเข้าด้านข้าง ในแนวเหนือใต้ ตรงระหว่างรอยต่อยอดเขากับยอดเขา เท่านั้น สระนี้ จึงได้ชื่อว่า “อโนดาต”...แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน..)

    จากสระอโนดาต... จะมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ทิศละแห่ง คือ

    สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก)ไกรสรราชสีห์เป็น ๑ ใน ๔ ราชสีห์แห่งป่าหิมพานต์

    หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก)

    อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก)

    อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก)

    เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ไหลล่อเลี้ยงรอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนลงสู่มหาสมุทร...

    สัตว์หิมพานต์

    มีมากมายครุฑนาคกินนรกินรีราชสีห์นกต่างๆฯลฯส่วนมากจะเป็นสัตว์ผสมระหว่างพันธุ์แต่ละพันธุ์ ที่น่าสนใจ คือ นกการเวกเป็นสัตว์วิเศษ มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงจากสวรรค์ แต่มีชื่อเรียกน้อยมาก คือ การเวก, การวิก, โกราวิก ในบาลีกล่าวว่า
    ชายที่มีเสียงไพเราะนั้นมีเสียงเฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้านั้นมีเสียงไพเราะเฉกเช่นเดียวกับนกการเวก
    คุณสมบัติ 8 อย่าง ของเสียงสวรรค์ คือ ต่อเนื่องไม่ขาดตอน, กระจ่างแจ้ง, หวานไพเราะ, เป็นจังหวะ, ผสมกลมกลืน, ไม่หยาบคาย, ลึกซึ้ง และสะท้อน




    เหินหาวเหาะเหินห้วง...........เวหน
    ขยายปีกบังตะวันบน............เบียดฟ้า
    พญาสุบรรณ ฤทธิรณ..........เหนือเมฆ
    ผันผ่านโผพลิกหล้า.............แผลงพลิ้วโพยมสรวง

    ทะยานลมลัดข้าม................หิมพานต์
    พฤกษา์ สัตว์พิสดาร.............ยิ่งแล้ว
    หัสดายุ กินรี สราญ............ เริงร่า
    พญาครุฑ..ขยับปีกแคล้ว.......คลาดพ้นหิมพานต์

    กายกร..กาง..กอด..แก้ว.......กากี
    พาสู่ วิมาน..ฉิมพลี.............ขอบฟ้า
    ขยับปีก เหนือ มหานที.........ไกลสุด .... แรงเอย
    จิตจ่อจดเจิดจ้า..................แจ่มเจ้าจรุงใจ

    ดอกไม้เมืองบน 26 กย.53


    แถมพระราชาธิบดีแห่งหิมาลัย และ
    พญาสุบรรณกับกากี สู่วิมานฉิมพลี เชิงเขาไกรลาส (ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรนะ)









     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  7. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    โอม.....อิศวร ..นเรศร์เจ้า..ทูลลา
    จำจากฟากฟ้าหิมวาทิพย์สถาน
    ไกรลาส..พระประทับนิรันด์กาล
    ขอถวายบุญบันดาลเสริมบารมี

    ลอยฟ้าผ่านสีทันดร..แสนเวิ้งว้าง
    หิมพานต์.. ประตูหว่างภพดิถี
    ขออิศวร นเรศเจ้า..เทพบดี
    ทรงเกษมเปรมปรีดิ์...ขอบฟ้าไกล

    โอมเอย...ข้า.ผู้อณูอยู่เบื้องบาท
    ขอประทานวโรกาส..คีตาถวาย
    ไกรลาสสำเริง..ชาวฟ้ามากรีดกราย
    แผ่กำจาย พรสรวงปวงเทวา

    ให้มนุษย์ทุกผู้ในแหล่งโลก
    ดับสิ้นโศก .มั่นในศีล อุเบกขา
    ยามใดทุกข์เพียงเอ่ยถ้อย เทพมนตรา
    โอม..! จากอุรา...พาคลี่คลาย

    ให้มนุษย์ทุกผู้เกษมสันต์
    ีคุณธรรมประจำนั้นอย่าสลาย
    ผู้ใดดี เทพสรรเสริญเจริญชัย
    ให้ห่างภัยนิราทุกข์สุขนิรันดร์

    "โอม..นมัช ศิวายะ."..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_6830.JPG
      IMG_6830.JPG
      ขนาดไฟล์:
      829.1 KB
      เปิดดู:
      147
    • IMG_7617.JPG
      IMG_7617.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      100
    • IMG_6921.JPG
      IMG_6921.JPG
      ขนาดไฟล์:
      819.4 KB
      เปิดดู:
      98
    • IMG_7004.JPG
      IMG_7004.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      105
    • IMG_7619.JPG
      IMG_7619.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,004.7 KB
      เปิดดู:
      167
    • กินรี5.jpg
      กินรี5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.5 KB
      เปิดดู:
      275
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  8. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    ไกรลาศสำเริง (วงปี่พาทย์ไม้แข็ง) | ส่วนงานเผยแพร่เพลงดนตรีไทย

    บทร้อง เพลงไกรลาสสำเริง

    พวกเราล้วนชาวไกรลาสคีรี
    รื่นเริงฤดี เกษมสุขศรีสโมสร
    ขอรำร่ายกรีดกรายฝ่ายฟ้อน
    ให้สุนทรทัศนาสุขารมณ์

    ร่วมเริงสำราญ
    ระรื่นชื่นบานในงานฉลอง
    กล่าวคำทำนอง
    ให้สอดประสานเสียงประสม

    ตามประเพณีในก่อนกาลบุราณนิยม
    ขอเชิญชมภิรมย์รื่นสำเริงฤทัย

    ชาวไกรลาสมาดหวังตั้งใจ
    อวยพรให้วิโรจน์รุ่งวรานันท์

    แวดล้อมพร้อมหน้า
    เหล่ากินรา และ กินรี
    หมู่พญาวาสุกรี
    อีก ครุฑา และ คนธรรพ์

    เหล่าเทพธิดาโสภาลาวัณย์
    เทพไททุกชั้น อสูร กุมภัณฑ์ วิทยาธร

    ผู้มีคุณธรรมประจำตนเป็นคนดี
    ซื่อตรงคงที่ไม่ผันแปรเที่ยงแท้แน่นอน
    บากบั่นมั่นจิตมิคิดย่อหย่อน เทพช่วยอวยพรและซ้องสรรเสริญเจริญชัย

    ให้สันต์เกษมสุข
    ห่างภัยไกลทุกข์นิรันตราย
    ผู้ผยองปองร้ายจงแพ้พ่ายมลายไป

    สิ่งที่ประสงค์ขอจงเสร็จได้
    เกียรติระบือลือไกล
    ทรัพย์สินเงินทองเนืองนอง เทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  9. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
    ปาฏิหาริย์ในรูปแบบต่าง ๆ ของสมเด็จพระนเรศวร

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในมติแห่งปัจเจกบุคคล
    -สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้เป็นมหาบุรุษ ทรงมีความฉลาดลุ่มลึก และอำนาจพิเศษในบุคลิกภาพที่เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป และถือเป็นสิ่งที่เหนือธรรมดา

    มิติแห่งสังคมและวัฒนธรรม-
    -ในสมัยของพระองค์ทรงเป็นผู้กอบกู้อิสรภาพและฟื้นคืนความเป็นประชาชาติ
    ิสยามทั้งในเชิงอธิปไตย วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางสังคม เป็นผู้เริ่มสร้างปนระวัติศาสตร์ยุคใหม่ อันเป็นโฉมหน้าใหม่ของกรุงศรีอยุธยา ที่มีความมั่นคง มั่งคั่งปลอดภัยเจริญ มีความเป็นอารยะชนเป็นที่ยอมรับของ
    ต่างประเทศ ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขยาวนานสืบต่อกันหลายสมัย

    ในสมัยปัจจุบัน พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการแสดงออกในรูปแบบ
    ต่าง ๆทั้งในระดับราชสำนัก ระดับราชการ และประชาชน

    มิติแห่งเทพปกรณัม
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับการเชื่อมโยงกับเทพเจ้า ในทัศนะของชาวสยามมีความเชื่อแน่นแฟ้นว่าพระองค์ทรงเป็นอวตารย่อย
    ของพระศิวะมหาเทพและได้ทรงประกอบภารกิจในฐานะเป็นนักรบดุจดัง
    พระนารายณ์ทรงปราบมาร

    ปาฏิหาริย์ในรูปแบบต่าง ๆ ของสมเด็จพระนเรศวร
    ทรงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญอย่างมากต่อประชาชนในปัจจุบัน พระองค์ไม่เพียงแต่เป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ แต่สำหรับสถานะของพระองค์ในใจของมหาชนนั้น

    จากการวิจัยพบว่าประชาชนเชื่อว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าที่สามารถอำนวยพรและดลบันดาลให้เกิด
    ความสำเร็จต่าง ๆ แก่ผู้ที่เคารพนับถือพระองค์

    จากการสุ่มตัวอย่างผู้ที่เคยอธิษฐานขอพรจากพระนเรศวร มักมี เรื่อง
    งาน สุขภาพ ครอบครัว การเงิน การเรียน และ ความรัก และผลการบนนั้นส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ

    สิ่งของที่ใช้บนบาน
    พวงมาลัย บายศรี ไก่ต้ม ไข่ต้ม หัวหมู สุรา ผลไม้ มะพร้าวอ่อน
    ขนมหวาน พระแสงดาบ ไก่ชน ช้าง ม้าศึก นอกจากนี้มีการบนปฏิบัติธรรม
    ถูพื้น (บริเวณลานรอบพระบรมราชานุสาวรีย์ที่บน ) วิ่ง ตีไก่ รำแก้บน
    และจุดประทัด

    ความเชื่อส่วนใหญ่ในกรณีไม่แก้บน คือ อุปสรรคในการดำเนินชีวิต เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ไม่สบายใจ และมีการรับรู้ว่าผู้ทุจริตคอรัปชั่นบางคนถูกสมเด็จพระนเรศวรลงโทษ
    โดยดลบันดาลให้เกิดความวิบัติและประสบอุบัติเหตุ

    ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเทพปกรณัม เป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดความดึงดูด ความลึกลับ และความสยบต่อความยิ่งใหญ่น่าพรั่นพรึงเป็นพลังที่ทำให้เราอยากเข้าใกล
    ้เพื่อค้นหาความจริงพร้อมลดอัตตาตัวตนหรือกิเลสอหังการทั้งหลาย
    ปาฏิหาริย์จึงเป็นพลังขับเคลื่อนในพระนเรศวรในอันที่จะให้เราสนใจ
    ในเรื่องของพลังด้านในและความสำคัญของการพัฒนาจิตใจเราทุกคนด้วย
    จากการสุ่มตัวอย่างแบบสอบถาม
    จำแนกได้ดังนี้...............

    1ปาฏิหาริย์ในพิธีกรรม

    ในการจัดพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระนเรศวร คือพระอาทิตย์ทรงกลด
    หรือฝนตกในระยะสั้นๆ

    เช่นวันสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวรจะมีการจัดให้มีพิธีบวงสรวง
    ดวงพระวิญญาณบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ในมหาวิทยาลัย
    พิธีทำตอนเช้าทุกครั้งจะเกิดพระอาทิตย์ทรงกลด
    หรือเมฆหมอกบดแสงอาทิตย์เฉพาะมณฑลพิธี

    และครั้งหนึ่งในสมัยที่ศาสตราจารย์ ดร. สุจินต์ จินายน เป็น อธิการบดี เกิดลมพายุกระโชกฉับพลันรุนแรงจนเต็นท์กระพือ น่ากลัวอันตราย
    แต่เป็นระยะสั้นๆ และอีกหลายครั้งก็มักจะมีฝนตกพรำในขณะประกอบพิธี

    ครั้งที่มหาวิทยาลัยจัดทำเหรียญวัตถุมงคลพระรูปพระองค์ท่านมีการทำพิธีปลุกเศกในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งที่จัดพิธีที่วัดพระศรีรัตน
    มหาธาตุวรวิหาร เป็นเวลาบ่าย เกิดลมพายุ ฝนตกใหญ่ พร้อมกับที่ มหาวิทยาลัยก็มีฝนตกหนักสั้น ๆ เช่นกัน

    ในพิธีสร้างเหรียญสัมฤทธิ์สมเด็จพระนเรศวร มีพระเกจิมาทำพิธีปลุกเสกที่บริเวณลานสมเด็จพระนเรศวร
    (ใน ม.นเรศวร)เมื่อจุดเทียนชัยมีลมพัดเข้ามาแรงมาก เมฆก่อตัวครึ้มโดยรอบ สายฟ้าแลบตลอดทั่วมณฑลพิธีแต่ฝนไม่ตกจนเสร็จเมฆก็หายไปเหมือน
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนนอกมหาวิทยาลัยต่างพากันประหลาดใจว่าเกิดอะไร
    ในมหาวิทยาลัย เพราะเมฆปกคลุมเฉพาะมหาวิทยาลัยเท่านั้น

    การก่อตัวของเมฆลักษณะเฉพาะมณฑลพิธีอย่างกะทันหัน โบราณถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่บอกเหตุชนิดหนึ่ง เรียกว่า เมฆทูต ทำหน้าที่บอกข่าวว่าเบื้องบนเสด็จหรือรับทราบอนุโมทนาโดยเฉพาะ
    ในกรณีที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย

    แต่มีบางครั้งที่วันบวงสรวงในวาระต่างๆมักเป็นดังที่ว่าแต่บางครั้งเช่นท
    ี่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จัดสร้างเหรียญนั้นพิมพ์แตกหลายครั้ง กว่าจะได้ภาพพระองค์ท่านปรากฏบนเหรียญเชื่อกันว่าเป็นอภินิหารของท่าน
    ที่เตือนให้ปรับปรุงหรือดำเนินงานให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน

    2.ปาฏิหารย์ในละครเทิดพระเกียรติ

    ครั้งนั้นเป็นการจัดการแสดงที่จังหวัดพิษณุโลกร่วมกับมหาวิทยาลัย
    พิบูลสงครามซึ่งจัดขึ้นประจำทุกปีในการซ้อมละครฝ่ายจัดการแสดง
    ได้เปิดรับสมัครนักศึกษาชายเพื่อแสดงเป็น
    ทหารทั้งฝ่ายพม่าและไทย
    ปรากฏว่ามาสมัครทหาร
    พม่ามากกว่าทหารไทย เพราะทหารไทยซ้อมบ่ายอากาศร้อนมีเลี้ยงแต่น้ำหวาน ทหารพม่าซ้อมเย็นอากาศไม่ร้อนและมีทั้งน้ำและข้าวเลี้ยง ทำให้กองทัพพม่ามีมากกว่าทัพไทยและทหารไทยที่ซ้อมตอนบ่าย
    ก็ไม่ค่อยตั้งใจซ้อมคงเพราะร้อนหรือไรมิทราบ ท่าทางการสู้รบก็
    เหยาะแหยะ ไม่เข้มแข็ง ผิดกับทหารพม่าที่มีข้าวเลี้ยงอากาศไม่ร้อน
    จึงคึกคักเข้มแข็งและในการซ้อมวันรุ่งขึ้นตอนบ่ายเชื่อกันว่าพระนเรศวร
    ได้ทรงมาเข้าร่างนักศึกษาที่แสดงเป็นทหารไทยคนหนึ่งแล้วพูดเสียงดังกังวาน
    ท่ามกลางการฝึกซ้อมทำนองติเตียนที่ทหารไทยนอกจากมีจำนวนน้อยแล้ว
    ยังรบไม่เข้มแข็ง ไม่ใช่ทหารพระนเรศวร

    หลังจากพูดแล้วนักศึกษาคนนั้นก็หมดสติ ฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ ทุกคนในเหตุการณ์พากันตลึงหลังจากนั้นฝ่ายจัดการแสดงต้องปรับปรุง
    การแสดงและการซ้อมของทหารไทยโดยรับเพิ่มและจัดข้าวเลี้ยงทหารไทย
    ที่ซ้อมช่วงบ่ายและก่อนการแสดงจริงทุกคนจะจุดธูปบวงสรวงทุกครั้ง

    ผู้ถูกสุ่มตัวอย่างอีกคนเล่าว่า ... ในการแสดงเทิดพระเกียรติปีหนึ่งนานแล้ว ในฉากยุทธหัตถีซึ่งตอนซ้อมไม่มีปัญหาอะไร แต่พอแสดงจริง ช้างที่นำมาแสดงกลับร้องแผดเสียงและวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนดูจนวิ่งหนีแตกกระเจิง

    ขณะนั้นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งมีอาการเหมือนถูกเข้า พูดออกมาเป็นเสียงผู้ชาย ตะโกนถามว่า ...........
    “ทำไมไม่พาน้องเรามาด้วย “

    แล้วก็เป็นลมชักหมดสติต้องพาไปปฐมพยาบาลฝ่ายจัดจึงนึกขึ้นได้ว่า
    ในการจัดพิธีบวงสรวงข้างเวทีมีแต่พระรูปสมเด็จพระนเรศวรเพียง
    พระองค์เดียวรุ่งขึ้นจึงอัญเชิญพระรูปสมเด็จพระเอกาทศรถหลังจากนั้น
    ทุกปีต้องมีพระรูปทั้ง2พระองค์

    รองศาสตราจารย์วนิดา บำรุงไทย ผู้ตอบแบบสอบถามที่เปิดเผยชื่อ เล่าการไป
    ชมละครกลางแจ้ง ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นการแสดงเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถี ใช้ช้างจริง เมื่อถึงตอนพระนเรศวรเคลื่อนทัพก็เกิดฝนตกอย่างฉับพลัน เป็นแบบฝนไล่ช้าง คิอตกแรงและสั้นๆ ....ซึ่งดร.จิราภรณ์สถาปนวรรธนะอาจารย์สอน
    ประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลว่า ในพงศาวดารได้มีบันทึกว่า พระฤกษ์ขณะทรงกรีธาทัพ


    ผู้ที่แสดงเป็นสมเด็จพระนเรศวรเล่าว่า เมื่อละครดำเนิน
    มาถึงฉากชนช้าง ก็เกิดฝนตกมาอย่างหนัก และตกเฉพาะที่แสดงละครเท่านั้น จึงนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์

    นอกจากนั้น ยังเล่าว่าชุดที่สวมใส่แสดงเป็นกำมะหยี่ดำดิ้นทอง
    ซึ่งถ้าฝนตกหนักขนาดนั้น เสื้อผ้าตัวเขาต้องเปียกปอน แต่เขาไม่เปียกเลย ชุดที่สวมใส่ไม่มีร่องรอยฝนแม้แต่หยดเดียว

    .3.ปาฏิหาริย์ในการช่วยให้รอดและความศักดิ์ศิทธิ์ที่ตอบ
    สนองการอธิษฐานขอพ
    ร และการบนบาน

    กลุ่มตัวอย่างเล่าว่า ปี2504 น้องชายกำลังขี่จักรยานอยู่ดีดี โดนรถยีเอ็มซีทหารค่ายสมเด็จพระนเรศวรชน ทั้งรถทั้งคนไถลไปอยู่
    ใต้ท้องรถ ยีเอ็มซี จุดเกิดเหตุอยู่ถนนวังจันทร์หน้าทางเข้าศาลสมเด็จ
    พระนเรศวรจักรยานหักพับไม่มีชิ้นดีแต่น้องชายไม่เป็นอะไรมีแค่รอยถลอก
    เล็กน้อยที่เข่า และไม่รู้ว่ากลิ้งออกจากรถทหารได้อย่างไร

    นายสิบที่ชนก็บอกไม่รู้ขับชนได้อย่างไร ยอมรับว่าอาจหลับในตื่นเมื่อรถชน โชคดีที่เขาไม่ขับรถตกแม่น้ำเพราะรถคันนี้ใช่รับลูกๆทหารในค่ายถ้ารถตกน้ำ
    เด็กๆที่นั่งมาอาจจมน้ำเสียชีวิต

    ผู้เล่าเชื่อว่าดวงพระวิญญาณของพระนเรศวรได้ช่วยทุกคนไว้

    การขอลูกจากศาล
    กลุ่มตัวอย่างคนหนึ่งเล่าว่า ได้อธิษฐานขอลูกจากศาลพระองค์ท่านที่วังจันทร์ หลังจากนั้นได้ลูกชายคนหนึ่ง

    ครั้งหนึ่งสโมสรนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรจัดพิธีให้นิสิตถวายสักการะในงาน
    วันเกิด เกิดเหตุฝนตกหนัก ทำให้คิดว่าต้องย้ายพิธีจากลานพระบรมรูป
    ไปจัดในโดม แต่ผู้จัดต้องการจะจัดที่เดิมจึงโทรไปถามร่างทรง ...

    ได้รับคำแนะนำว่า ให้จุดเทียน และถวายน้ำ 1 แก้วที่ด้านข้างพระบรม
    ราชานุสาวรีย์ จึงทำตาม เมื่อจุดเทียนถวายฝนก็หยุดทันที เมื่อเทียนหมด
    ก็ไม่ได้เฉลียวใจ คิดว่าไม่ตกแล้ว จึงไม่ได้ต่อเทียน ฝนก็ตกมาใหม่ จึงตั้งจิตอธิษฐานใหม่และต่อเทียนไปเรื่อย ๆ เสร็จพิธีกลับไปห้องพักฝนก็ตกหนักต่อเนื่องตลอดคืนจนเช้า

    นิสิตคนหนึ่งทำคะแนนสอบภาคกลางไม่ดี กลัวจะสอบตก จึงบนบานขอให้ได้เกรดบีในวิชานั้นแล้วจะวิ่งแก้ผ้ารอบโรงอาหาร ซึ่งตอนบนคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อผลสอบออกมาปรากฏว่าได้ตามที่ต้องการ
    จึงต้องมาแก้บน ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ท่านหนึ่งให้หาผ้ามาผูกข้อมือไว้ และวิ่งไปแก้ผ้าผูกข้อมือไป

    เป็นอุทาหรณ์ว่าไม่ควรบนถวายสิ่งที่น่าเกลียดผิดระเบียบแบบแผน และการแก้บนแบบศรีธนนชัยก็ไม่ควรทำ

    การบนที่ผิดปกติวิสัยถีอเป็นการดูหมิ่นท้าทาย ซึ่งผู้รู้กล่าวว่าอาจเกิดผลร้ายแต่อกระแสจิตผู้บนเอง

    4.ปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล
    ถึงแม้พระองค์จะสวรรคตไป 400กว่าปี แล้ว ประชาชนยังเชื่อว่าดวงพระวิญญาณของพระองค์ยังคงให้ความคุ้มครอง
    ประชาชนไทยอยู่ ทรงเป็นกษัตริย์ที่คนให้ความเคารพบูชา จนมีการสร้าง
    พระบรมราชานุสาวรีย์ พระรูป เหรียญ วัตถุมงคลมากมาย ใครนำไปบูชามักต้องประสบปาฏิหาริย์ตลอด รุ่นที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ ได้แก่

    1.เหรียญจักรพรรดิ รุ่นปี 2515
    2.เหรียญพระกริ่งนเรศวร รุ่นแรก ปี 2507
    3. เหรียญพระนเรศวรรุ่น 400ปี ครองราชย์ ฯลฯ

    โดยเฉพาะเหรียญรุ่น400ปีแบบอัลปากาที่มีทหารที่ไปรบถูกยิงตกเขา
    แต่ไม่เป็นอะไรเพราะมีเหรียญติดตัว อีกคนเกิดอุบัติเหตุทางรถก็รอดมา
    อย่างปาฏิหาริย์

    เหรียญรุ่นนี้ตอนทำพิธีต้องมีทหารค่ายสมเด็จพระนเรศวรแต่งชุดนักรบ
    ไปยืนยึดเสาซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมีการโยงสายสิญจน์จากพระบรมราชานุสาวรีย์
    ที่วังจันทร์เป็นระยะจากฟากตะวันตกของแม่น้ำน่านมาถึงฟากตะวันออก
    ที่ปะรำพิธีในวัดใหญ่ ขณะทำพิธีมีการสวดสัคเค และ มีสายฟ้าผ่าลงมา ในขณะกำลังทำพิธีใบจองก็ยังขึ้นจาก 99 บาทเป็น 400 บาท

    ชายหนุ่มคนหนึ่งไปกินเลี้ยงขณะขี่มอเตอร์ไซด์กลับตอนกลางคืนเกิดแหกโค้ง
    สภาพรถแย่มาก ตัวผู้ขี่กระเด็นไปอีกฟากถนน หัวไปฟาดตอไม้ข้างทาง ใครดู
    ตรวจก็ไม่มีอะไร

    พลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาล ค้นในกระเป๋าสตางค์เพื่อแจ้งให้ญาติมา
    แต่ไม่มีอะไรเลย นอกจากใบจองเหรียญนี้เท่านั้น

    5.ปาฏิหาริย์เกี่ยวกับนิมิตและความฝัน

    ฝันเห็นพระนเรศวรหลั่งน้ำที่เมืองโบราณอวยพรให้ประสบความสำเร็จ ก็สำเร็จทุกประการ

    ฝันเห็นพระนเรศวรขณะตั้งครรภ์เชื่อว่าเป็นลูกที่พระองค์ประทานให้

    อีกคนก็ฝันเห็นขณะตั้งครรภ์เช่นกัน ใคร ๆ บอกได้ลูกชาย ก็ได้จริง ต่อมามีหมอดูที่ไม่เคยรู้จักเข้ามาทักขณะพาลูกไปไหว้พระที่วิหารพระพุทธชินราช
    ว่าให้เลี้ยงให้ดี อย่าพูดหยาบกับเขา เด็กคนนี้เป็นเทวดามาเกิด จึงเชื่อว่าเป็นลูก
    พระนเรศวร ซึ่งต่อมาเด็กก็เป็นเด็กดีมาตลอด เรียนเก่ง ได้เป็นเด็กตัวอย่างในจังหวัด และไปสอบติดโรงเรียนเตรียมทหารได้อันดับต้น ๆ

    6.การนิมิตฝันเห็นพระองค์ ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานถวายพระองค์ท่านเช่น

    มหาวิทยาลัยจะทำเทปเพลงสถาบันจึงจ้าง ครูพรพิรุณ นักแต่งเพลงดัง
    มาแต่งให้ โดยเชิญมาพิษณุโลกเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมเมืองเป็นข้อมูล
    และได้ไปที่วังจันทร์ คืนนั้น ตรูพรพิรุณได้ฝันเห็นพระนเรศวร จึงแต่ง
    เพลงพิษณุโลกเมืองมหาราช เพื่อถวายพระองค์และไม่คิดค่าแต่งเพลงแต่อย่างใด


    ข้อมูลจาก“สมเด็จพระนเรศวรมหาราช: พลังขับเคลื่อนเบื้องหลังประชาชาติ”
    ( ดร.อรอุษา สุวรรณประเทศ)



    ***********************************************************

    ร้อยเรียงอักษรามาเล่าสู่
    ด้วยจิตหมายเชิดชูบารมีสนอง
    อวตารแห่งอิศวรเจ้าตามคัลลอง
    นเรศวร พ้องประจักษ์สิ้นทั่วถิ่นไทย

    พระ..ชลอองค..์ลงมา..ปราบยุคเข็ญ
    ดับลำเค็ญ...ไพร่ฟ้า..หน้าสดใส
    เถลิงรัฐสีมา นคราไทย
    จวบกาลได้ 400 ปี ที่พระจร

    นิราศร้าง.ทางมนุษย์สิ้นสุดแล้ว
    คืนสู่ทิพย์พิมานแก้ว..ยอดสิงขร
    คืนสู่องค์..อิศวรเจ้า....เนาบวร
    ถวายพร...เทพบดี...ด้วยชีวา

    โอม..นมัช..ศิวายะ
    โอม..นมัช..นเรศวระ นมา มหา !
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ในนามของกระทู้ "ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช " ขอขอบพระคุณ คุณดอกไม้เมืองบน ที่ได้กรุณานำเรื่องราวของ" นเรศวรปกรณัม " มาให้ความรู้เป็นวิทยาทาน นับเป็นศิริมงคลและเป็นเกียรติสูงสุดของกระทู้ ขอทุกท่านพึงได้รับโดยทั่วหน้ากันทุกๆท่านทุกๆคนด้วยเทอญฯ
    ขออนุโมทนา สาธุการ ครับ

    "พระสถิตย์อยู่แห่งไหน คุ้มครองผองไทยทั่วฟ้า"
     
  11. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขอบคูณสำหรับรายละเอียดครับ คุณทางสายธาตุและคุณจงรักภักดี ไม่ทราบว่าพอจะทราบรายละเอียดในการร่วมสมทบทุนบ้างไหมครับ

    ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะลองติดต่อมูลนิธิพิทักษ์ภูมิไทยดูแล้วจะนำข้อมูลมาแจ้งให้ทุกท่านทราบครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อ่านจบรอบแรกเมื่อเช้า ทางสายธาตุรู้สึกอิ่มในอารมณ์ จนไม่สามารถจะเขียนอะไร ต้องกลับมาอ่านอีกรอบ ก็ยังให้ความรู้สึกเต็มอิ่มใจ อิ่มเอิบใจอยู่ สาธุค่ะพี่ดอกไม้

    ขอกดโหวตคะแนนให้พี่ดอกไม้ค่ะ (อ้าวไม่มีบริการ SMS ให้ส่งคะแนะให้พี่เหรอนี่ อยากให้พี่ได้คะแนนโหวตเยอะๆ อ้าวไม่ใช่รายการค้นฟ้าคว้าดาวเหรอ)



    อิ่มใจ


    เพลงพิษณุโลกเมืองมหาราช อยู่ภายใต้ชื่อลำดับที่ ๑๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เพลงอันดับที่ ๗ ของเวปไซด์ข้างล่างนี้ค่ะ

    สมชาย รัศมี :: ดนตรี & ปรัชญา :: Somchai Rassamee
     
  13. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกในวันที่ 6 พ.ย. 2551 โดยจะทรงขึ้นปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยน้องใหม่ล่าสุดของโลกตามประเพณีอย่างเป็นทางการ



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    กษัตริย์หนุ่ม พระชนมพรรษา 28 พรรษา ซึ่งทรงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก ที่ปกครองราชอาณาจักรภูฏาน และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์มากที่สุดในโลก



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นประมุขภูฏาน ในปลายปี 2006 หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 4 แห่งราชวงศ์วังชุก พระราชบิดาของพระองค์สละราชสมบัติ และมอบอำนาจให้พระองค์สืบทอดต่อไป



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    อดีตกษัตริย์อันทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชน ด้วยพระชนมพรรษา 52 พรรษา ทรงตัดสินพระทัยลงจากราชบัลลังก์ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการปฏิรูป และปรับประเทศให้ทันสมัย ด้วยการยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ราชวงศ์ของพระองค์ใช้ปกครองประชาชนกว่า 600,000 คนมายาวนาน



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ทั้งนี้ ภูฏานได้จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งแรก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี และรัฐสภาใหม่ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยพรรคของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยได้ชัยชนะไปอย่างถล่มทลาย




    <CENTER><IFRAME height=339 src="http://www.msnbc.msn.com/id/22425001/vp/27573528#27573528" frameBorder=0 width=425 scrolling=no></IFRAME></CENTER>


    -----------------------------------------------------------------------




    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระบรมนามาภิไธย มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

    พระปรมาภิไธย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

    พระอิสริยยศ พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน

    ราชวงศ์ วังชุก

    รัชกาลก่อนหน้า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก

    ข้อมูลส่วนพระองค์
    พระราชสมภพ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    พระราชบิดา สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก
    พระราชมารดา สมเด็จพระราชินีเชอร์ริง ยางดน วังชุก





    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก ทรงได้รับการยกย่องจากชาวภูฏานรวมถึงชาวไทยส่วนใหญ่ว่าทรงมีพระจริยวัตรที่งดงาม และเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวภูฏาน



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระราชประวัติ
    เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุกและสมเด็จพระราชินี อาชิ เชอริง ยางดน วังชุก ทรงยังไม่ได้อภิเษกสมรส




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    การศึกษา
    จากนั้นเมื่อเจริญพระชันษาจึงได้เสด็จไปศึกษาต่อในที่สหรัฐอเมริกา ในระดับมัธยมศึกษาที่ คัชชิง อคาเดมี (Cushing Academy) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำสหศึกษาที่มีชื่อเสียงของมลรัฐแมสซาชูเซตส์ มีอายุกว่า 100 ปี และทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัยวีตัน (Wheaton College) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ในมลรัฐเดียวกัน ก่อนที่จะเสด็จมาศึกษาต่อปริญญาโท ในสาขาการทูต (Foreign Service Programme) และสาขาวิชาการเมืองที่ วิทยาลัยม็อดเลน (Magdalen College) มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในอังกฤษ



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตได้ทูลเกล้าถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ให้กับสมเด็จพระราชาธิบดี (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชายมกุฎราชกุมาร) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2549



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ขึ้นครองราชย์
    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย นัมชุก พระราชบิดาของพระองค์ทรงสละราชสมบัติพระราชทานให้แก่เจ้าฟ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมาร พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2549 และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างแรกด้วยการพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันชาติของภูฎาน



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    พระราชกรณียกิจ
    สมเด็จพระราชาธิบดีเคเซอร์ เป็นหนึ่งในพระราชอาคันตุกะ ที่เสด็จทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 12-13 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่กรุงเทพมหานคร ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระราชอาคันตุกะที่มีพระชนมายุน้อยที่สุด ในหมู่ราชวงศ์ที่มาร่วมงาน




    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ทรงมีพระราชดำริในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ทางสายธาตุชื่มชมในพระจริยวัตรของสมเด็จพระราชธิบดีพระองค์นี้มากตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นมกุฏราชกุมาร ได้เสด็จทรงร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 12-13 มิถุนายน พ.ศ. 2549 นั้นยังจารึกในความทรงจำของคนไทยอยู่เลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]

    "You can question love but you cannot question duty"

    "ความรักนั้นมีข้อแม้ได้ แต่หน้าที่นั้นมีข้อแม้มิได้"


    [​IMG]

    "ไม่มีเกียรติใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า การได้เดินตามรอยพระบาททูลกระหม่อมพ่อ"


    [​IMG]

    ท่านเกเซอร์ กับ พระราชชนนีเชอริง ยังเดิน วังชุก

    "เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากทีเดียว"

    (พระราชทานสัมภาษณ์ ใน พลอยแกมเพชร ฉบับที่ ๖๓)

    [​IMG]

    ทรงร่วมสนุกในงานรื่นเริง วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ วันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ครบ ๓๐ พรรษา

    [​IMG][​IMG]



    ทรงไปสวดมนต์ที่พระอารามตักซัง(พระอารามถ้ำเสือ)
    เพื่อความสงบสุของราษฎรภูฏาน ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

    [​IMG]


    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พระชนม์ยิ่งยืนนาน



    <!--IBF.ATTACHMENT_22830--><!--IBF.ATTACHMENT_22828-->
    <!--IBF.ATTACHMENT_22826-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2010
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434

    กลอนของพี่ดอกไม้ อ่านแล้วชุ่มฉ่ำใจมาก อ่านแล้วเหมือนพระองค์ท่านทรงสถิตย์อยู่กับคนไทยตลอดมา

    ขอองค์พระอิศวรอวตารพระองค์นั้น ทรงพระบารมีอันยิ่งใหญ่ยิ่งๆขึ้นไป
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434


    เข้าไปดูอัลบั้มรูปของนักศึกษา ป.โท ม. ศิลปากร โพสไว้ในเฟชบุ๊ค ตอนเขาไปทัศนศึกษาที่ วัดวรเชษฐ์ น่าดีใจที่มีกลุ่มเยาวชนสนใจในวัดวรเชษฐ์กันมากขึ้น น้องๆนักศึกษาป.โทกลุ่มนี้มีความสามารถในการถ่ายรูป สวย คม ดีค่ะ​

    นำมาจากหน้านี้ค่ะ
    ไม่พบเนื้อหา | Facebook
     
  17. ดอกไม้เมืองบน

    ดอกไม้เมืองบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +518
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก กับการปฎิวัติเงียบ

    <DD> <DD> <DD>เมื่อกล่าวถึง การปฏิวัติ หลายคน อาจจะกำลังนึกถึง การทดสอบพลัง ระหว่างชนชั้น อย่างเปิดเผย เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ หรือ การต่อสู้เพื่ออำนาจรัฐ <TABLE width=88 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในนามของการสร้างสังคมใหม่ ทว่า บางครั้ง การต่อสู้ หรือ การต่อต้าน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออก ให้เราได้เห็นกันแบบโจ่งแจ้งเสมอไป ความเงียบ ก็ถือเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ของการปฏิวัติได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่ภูฏาน กำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ ตอนนี้ <DD>

    <DD>จากกระแส เจ้าชายจิ๊กมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ฟีเวอร์ อาจทำให้ใครหลายๆ คน เริ่มเสาะแสวงหาข้อมูล เกี่ยวกับพระองค์ และ ประเทศ ภูฏานเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้รู้สึก ถึงเบื้องหลัง คำตอบว่า ทำไม มกุฏราชกุมาร ที่มีความงามพร้อม ทั้งพระสิริโฉม และพระจริยวัตร พระองค์นี้ จึงได้ครองใจพสกนิกร ทั้งชาวดรุกยูล และไทยยิ่งนัก หลายคนให้เหตุผลว่า อาจเป็นเพราะ ความเป็น พุทธมามกะที่ดี ทรงเติบ โตมาในดินแดนแห่งพุทธ ศาสนา จึงอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อหลอม ให้พระองค์ ทรงเป็นผู้ที่มีพระจริยวัตร ที่งดงามก็เป็นได้

    [​IMG]

    <DD>ทว่า อีกสิ่งหนึ่ง ที่น่าจะเป็นส่วนช่วย ให้พระองค์ทรงชนะใจ ทุกคนที่ได้พบเห็น ก็คือ การดำเนิน รอยตามแนวทาง ของพระราชบิดา สมเด็จพระราชาธิบดี จิ๊กมี ซิงเย วังชุก ผู้ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นกษัตริย์นักพัฒนา ที่มีวิสัยทัศน์อันก้าวไกลพระองค์หนึ่ง ซึ่งแม้แต่ นิตยสารชื่อดัง อย่าง ไทม์ ก็ยังยกอย่องให้พระองค์ ทรงเป็น 1 ใน 100 บุคคลที่มีอิทธิพลต่อโลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า พระประมุขแห่ง อาณาจักรเล็กๆ ที่จัดได้ว่า เกือบจะยากจนที่สุดในโลก จะได้รับการยกย่อง ให้เป็นหนึ่งในผู้นำ แห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราก็อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่มีส่วนในการผลักดัน ให้มกุฏราชกุมารพระองค์นี้ กลายเป็นที่รักของประชาชนได้ก็คือ สมเด็จพระราชาธิบดี พระองค์นี้นี่เอง

    </DD>
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="49%">[​IMG]


    <TABLE width=88 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><DD>สมเด็จพระราชาธิบดี จิ๊กมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) ทรงเป็นพระราชาธิบดี องค์ที่ 4 และเป็นกษัตริย์ องค์ปัจจุบันแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 11 เดือน พฤศจิกายน ปี พ.ศ.2498 และเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2515 ด้วยพระชนมายุเพียง17 ชันษา เท่านั้น โดยทรงสืบราชสมบัติ ต่อจากพระราชบิดา คือ สมเด็จพระราชาธิบดี จิ๊กมี ดอร์จี วังชุก (Jime Dorji Wangchuck) ที่เสด็จสวรรคต ไปด้วยพระอาการประชวร <DD> <DD>
    <TABLE width=88 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <DD>สมเด็จพระราชาธิบดีจิ๊กมี ซิงเย วังชุก ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ปีพ.ศ.2517 ซึ่งถือว่า เป็นพระมหากษัตริย์ ที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดในโลก และพระราชพิธี ราชาภิเษกนั้น ได้มีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พระราชอาคันตุกะ ที่มาร่วมงาน มีทั้ง พระประมุข และผู้นำประเทศจากทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการเปิดประเทศ สู่โลกภายนอก เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ พระราชาธิบดี จิ๊กมี ซิงเย วังชุก ยังทรงได้ รับพระสมญานามว่า ดรุก กิอัลโป ซึ่งเป็นคำที่มีความหมาย ที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ กษัตริย์แห่งมังกรนั่นเอง </DD><DD> </DD><DD>

    <TABLE width=272 align=center><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></DD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]


    <TABLE width=138 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <DD>ในฐานะพระประมุขแห่งภูฏาน พระองค์ทรงดำเนินรอยตาม แนวพระราชดำริ ของพระราชบิดา เกี่ยวกับนโยบาย การชะลอการปรับปรุง ประเทศไม่ให้เจริญไปเร็วนัก ขณะเดียวกัน ก็ยังคงพยายาม ที่จะรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม ของชาวภูฏานไว้ ในปี พ.ศ.2531 พระองค์ทรงตั้งนโยบาย ดรีกลัม นัมชา (Driglam Namzha) หรือ ธรรมเนียมปฏิบัติ (Etiquette and Manners) ที่ต้องการให้ประชาชน ชาวภูฏานทุกคน แต่งกายด้วยชุดประจำชาติ เมื่อต้องออกไปยัง สถานที่สาธารณะ และกำหนดให้ มีการสอน ภาษาซองก้า (Dzongkha) ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ ในหลักสูตรของโรงเรียนด้วย พร้อมกับทรงมีนโยบายลดอำนาจ ในการปกครองของพระองค์เองลง ด้วยการปกครอง คู่กับคณะรัฐบาล<DD>

    <DD>แต่สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้พระองค์ กลายเป็นที่สนใจ ในสายตาของชาวโลก คือ การเป็นผู้นำคนแรก ที่กล้าประกาศแนวทาง การพัฒนาประเทศ โดยไม่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ มวลรวม ภายในประเทศ แต่ให้ความสำคัญกับ GNH ความสุขมวลรวมแห่งชาติ อันเป็นแนวคิด ที่ถือว่า ท้าทายระบบทุนนิยมยิ่งนัก โดยทรงประกาศอย่างเด็ดเดี่ยว ในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 1972 ว่า:</DD><DD>
    [​IMG]

    </DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...