ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 28 กันยายน 2010.

  1. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    กระทู้นี้แปลกดี
    คนที่ยกคำสอนของพระอ.เล็กมา กลับเป็น เค
    คนที่มาแย้งเค กลับคล้ายจะเป็นคนนับถือพระอ.เล็ก

    ถ้าสลับกันคงไม่ค่อยแปลก

    6
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]...รู้นะว่า แอบขำผู้ไม่รู้อยู่...จากใจถึงใจ
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    จะวิเคราะห์ให้ฟัง เวลา นักแสดงเขามาอ่าน เขาจะได้ไม่ตระหนก และ ได้ข้อมูลที่ถูกต้องไป

    ประเด็นแรก

    นักแสดงสมัยปัจจุบัน กับ นักเต้นรำ ในครั้งพุทธกาล เหมือนกันหรือไม่ แค่ไหน
    นักแสดงสมัยปัจจุบันนี้ เปรียบเหมือนคน ทำงาน รับคำสั่ง จากผู้กำกับ ประกอบกับด้วยการฝึุกหัด ด้วยความสามารถตน ถือว่า เป็นศาสตร์ ทางโลกอย่างหนึ่ง
    ไม่เหมือนกับ นักเต้นรำ ในครั้งพุทธกาล
    ถ้าจะเทียบนักเต้นรำในครั้งพุทธกาล ก็อาจจะเป็น การแสดง เช่น ลิเก ในสมัยนี้
    ที่บางท่าน พูดจาหวานหู พูดจาเท็จบ้าง จริงบ้าง ให้หัวเราะบ้าง ก็เพื่อให้คนรักคนชอบ ดังปรากฎว่า มีแม่ยก ตามมามากมาย และ ปรากฎท่ามกลางมหรสพ

    ประเด็น ต่อมา ความนิยมชมชอบของคน และ ทำให้คนไหลหลง เหมือนกันไหม

    อันนี้ ก็ต้องเทียบว่า เดี๋ยวนี้เขามี แฟนคลับ กับ แม่ยก

    สองอย่างนี้ ต่างกัน แฟนคลับ คือ คนที่เขาชื่นชมผลงาน
    แม่ยก คือ คนที่หลง

    การที่มีคนชื่นชมผลงาน ศิลปิน ทุกคน เขาก็สร้างสรรค์ผลงานได้ดี เป็นเรื่องทางโลกที่ ต้องมี เช่น มีคน ชื่นชม นักร้อง มีคนชื่นชม นักดนตรี ชื่นชมนักเขียน
    ส่วน การที่มีคน มาชอบ มารัก เป็นคนละเรื่องกับ การหลง

    ก็พิจารณาดู
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เรื่อง คำสอนของพระ ในทางโลกนี้ ท่านก็พูดถูกต้องแล้ว ในแบบของพระ เพราะผู้ที่ตัดโลก ย่อมมองเห็น กามคุณ เป็น ของหยาบ

    แต่ ก็ปรากฎว่า กามคุณ นี้เป็น สิ่งที่ทำให้บันเทิงรื่นเริง มีอยู่ในสุคติ ภูมิ มากมาย

    ไม่สำคัญที่ พระท่านจะสอนอะไร เราก็รับไว้ แต่ เราต้องมองว่า หากเราอยู่ในฐานะของนักแสดงแล้วมาอ่าน เราจะมีข้อมูล มุมเดียวหรือไม่
    แล้ว ชีวิตนี้จะทำอย่างไร
    ข้อสรุป ที่พระศาสดา กล่าวมา เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ผมว่า มันหลงทั้งคู่นะ ทั้งแฟนคลับ แม่ยก
    แม่ยกใช้กับคนมีอายุ ตังแยะ ให้แยะ
    แฟนคลับใช้กับวัยรุ่น ตังน้อย ให้น้อย แต่ให้เหมือนกัน อยากตามดาราไปทุกที่เหมือนกันแล้วแต่ฐานะ

    ไม่ได้พูดเรื่องอื่นนะ พูดแฟนคลับกับแม่ยก ก็หลงเหมือนกันเท่านั้น
    ขอแสดงอีกติ๊ดนึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนโบราณเขาไม่นิยมให้ลูกหลานไปทำอาชีพเต้นกินรำกิน
    คนเดี๋ยวนี้นิยมให้ลูกหลานเป็นดารานักร้อง เด็กๆก็มีความฝันอยากเป็นดารานักร้องคนมีชื่อเสียง

    ก็เป็นไปตามยุคสมัยของผู้ไม่รู้ บูชาเงินคือพระเจ้า บูชาความสุขจากภายนอก
    บูชาชื่อเสียงคำชื่นชมว่าเป็นสิ่งที่ควรหามาใส่ให้ตน ก็ว่ากันไป ตามแต่จะเห็นสมควร
    อย่างไรเสียก็ควรหันมาทำบุญถือศีลทำทาน ภาวนาสร้างสติปัญญา เพื่อจะได้พ้นอบาย
    ก็ถือว่าช่วยกันเตือนสติ กันเอง
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ภาวนาเจริญสติ เจริญปัญญา เจริญวิปัสสนา เมื่อพ้นยุคนี้ไปก็ไม่รู้เมื่อไร
    จะมีผู้รู้แจ้งมาสอนสั่งให้เข้าใจได้เหมือนดั่งพระสัพพัญญู
    มีให้ฟังให้พิจารณา ก็ย่อมเป็นบุญของเราที่ได้รู้ จะได้เลือกสิ่งที่ถูกให้ตนเอง
    จะได้ไม่เสียชาติเกิด

    ตายไปแล้วมีอะไรที่ติดตัวไปได้ ก็ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากหน่อย
    ถือว่าทำทุนสร้างฐานะให้ตัวเองต่อไป
    อะไรที่มันเอาไปไม่ได้ ก็อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก พิจารณากันตามสมควร

    ปล. ตามมาย้ำอีกครั้งตามหัวข้อกระทู้
    ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลาย
    ถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [​IMG]

    ไม่รู้นอกเรื่องไหม นักแสดงท่านหนึ่ง Chae Jung An
    อ้างอิงภาพ http://4.bp.blogspot.com/_fnPLu7irZcs/TGTzGIDJIjI/AAAAAAAAAhk/zgOGyMTBj0c/s1600/chae-jung-an.jpg

    แต่เอาล่ะจากรูปปรุงกันอย่างไรบ้าง ผมว่าอย่างไรก็ต้องปรุงนะ กิเลสยังไม่สิ้น อยู่ที่จะเห็นหรือเปล่าเท่านั้น เห็นความชอบ หรือบ้างอยากได้ อยากเป็น ทุเรศ เฉย ๆ หรือบางคนเห็นเค้าดีกว่า โทสะน้อย ๆ เกิด เห็นรูปราคะ หรือเห็นกามราคะ หรือชื่นชม หรือเป็นอย่างอื่นร้อยแปด

    ไม่ว่าแต่ละท่านจะเห็นเป็นอย่างไร ก็ยังดีที่เท่าทันบ้าง แต่ถ้าเป็นบอร์ดดารา พวกที่นี่ เอ็มไทย ความเห็นก็จะต่างไปแบบเต็มที่ ก็พิจารณากันเองตามกำลังความเห็นแ้ล้วกัน ตัวใครตัวมัน ไปแล้ว ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ถ้าจะบอกว่า ปรุง มันก็ปรุงทุกอย่างในโลกนี้ อะไรก็ทำให้หลงไหลได้ คนทำของเล่นให้เด็กเล่น ก็ทำให้เด็กหลง คนทำเกมให้เด็กเล่น เด็กก็หลงไหล ไม่เป็นอันกินอันนอน

    ประเด็น จึง ต้อง พิจารณาว่า อาชีพนักแสดง นี้ เือื้อ ต่อการปฏิบัติธรรมได้หรือไม่ เป็นมิจฉาอาชีวะหรือไม่

    และ การกล่าวบอกว่า นักแสดงทั้งหลาย ถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด จริงไหม

    เพราะการที่กล่าวมานั้น เท่ากับว่า เราไปคาดโทษ กับนักแสดง เอาไว้ก่อนว่า ยังไงเขาจ่อปากหลุมนรกแน่นอน เว้่นแต่เขาจะทำกุศลช่วย

    ทีนี้ ก็แม้แต่ นักแสดงที่ เขาไปถามพระศาสดาเอง เขาก็บรรลุพระอรหันต์ได้
    จึงกล่าวได้ว่า พระสูตรนั้น ไม่ได้มุ่งตรงไปที่ การกล่าวว่า นักแสดงเป็นมิจฉา อาชีวะ
    แต่ กล่าวว่า เป็นมิจฉาทิฎฐิ หากมีความเห็นว่า นักเต้นรำ จะได้ขึ้นสวรรค์กันทุกคน


    แต่ว่า การที่เราพูดอยู่นี้ มันกำลังจะหมายถึง นักแสดง เป็นมิจฉา อาชีวะ

    จึงต้องมาถกกันหน่อย
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กลับไปยังพระสูตร

    บริบทแรก หรือ แรงขับ ที่ทำให้ ตาลบุตร ดั้นด้นเดินทางมาถามพระพุทธองค์
    ก็คือ ที่บรรพบุรุษผู้มีคุณยิ่งได้สั่งสอนว่า การทำให้คนหัวเราะได้ในบางคราวเหล่า
    นั้นจะทำให้ได้เกิดในสววรค์ชื่อปหาสะ

    อันนี้ ในอารมณ์มีอะไร

    1. มีความขุ่นเคืองบรรพบุรุษว่าหลอกหรือเปล่า จึงมาถามความจริงกับพระพุทธองค์
    2. ปหาสะคือสวรรค์ หรือนรก กันแน่

    พอเดินทางมาถึง ด้วยใจที่ยังขุ่นเคือง พระพุทธองค์ก็ตรัสให้รำงับความคิดเช่นนั้น
    เสีย แล้วตรัสว่า อย่าถามเช่นนั้นเลย ให้ระงับคำถามที่จะเป็นการต่อว่าต่อขานบรรพ
    บุรุษของตนเสียก่อน

    พอตรัสดังนั้น ก็ชักชวนให้มาดูเรื่องของ ตาลบุตร เองว่า จะมีที่ไปอย่างไร จึง
    ได้ใช้คำว่า "เราจะพยากรณ์ท่าน(หมายถึงตัวตาลบุตร)" และการสอนนี้ไม่ใช่การ
    พยากรณ์บรรพบุรุษของตาลบุตรแม้แต่คนเดียว ทั้งนี้การไปพยากรณ์ว่า บรรพบุรุษ
    ของตาลบุตรมีอันเป็นไปอย่างไรนั้น ก็คงไม่ใช่คำเทศน์ที่ดีแน่

    ตรงนี้จะเห็นว่า พระพุทธองค์ตรัสพยากรณ์เฉพาะ ตาลบุตร เท่านั้น โดยการอ้อมๆ
    เข้ามา เริ่มจากการให้แลเห็นก่อนว่า ธรรมดาคนที่มาฟังมหรสพ(แฟนคลับ แม่ยก หรือ
    แม้แต่คนเดินผ่านมาแล้วหยุดแล ก็ตาม) พวกเขาเหล่านั้นมีกิเลสหนาอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
    (กล่าวคือ จะดูมหรสพหรือไม่ดู คนเหล่านี้ก็มีทุคติเป็นที่ไปสำหรับตนอยู่แล้ว ไม่เกี่ยว
    กับการดู) แต่ทว่าการมาดูหมรสพเหล่านั้นมันเป็นเชื้อให้คนที่มาดูดึงอารมณ์เก่าๆ หรือ
    จดจำวิธีการลีลาเผ็ดร้อน อ่อนไหว เพื่อนำไปใช้ เพื่อเลียนแบบ(มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
    ที่นิยมการมีตัวแบบเพื่อรับเข้ามาเป็นวิถีดำรงชีวิต) ดังนั้นการดูมหรสพก็เป็นเพราะพวก
    เขามาเก็บเกี่ยววิธีการแสดง การออกลีลา การแก้ไขปัญหาแบบโลกๆ บางที่ก็เพื่อความ
    เพลิดเพลินเท่านั้น เป็นการรวบรวมกิเลสตนเพื่อเฝ้นหาหนทางปฏิบัติแบบโลกๆจากการดู
    แบบอย่างจากนักแสดง .... ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่จะปรักปรำว่า นักแสดงเป็นคนก่อเหตุ
    ให้คนมีกิเลส แต่อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้

    เพราะความที่เป็นเชื้อให้เขาเหล่านั้นอาศัยเพื่อการจมลง ตรงนี้ก็จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็น
    นักแสดงก็ดี คนเขีบยบทก็ดี ผู้กำกับก็ดี คนเปิดม่านก็ดี คนดนตรีประกอบก็ดี ล้วน
    แต่ต้องร่วมกันรับกรรมนี้ทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ ไม่แยกพิจารณาแต่อย่างใด ตรงนี้หลวง
    พ่อสงบจึงยกขึ้นว่า เรื่องกรรมชนิดนี้ มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธ์ เรื่องของกรรมที่มีวาสนา
    ร่วมกัน .... แต่ก็ใช่ว่าจะให้ผละหนี ทำไม่ได้หรอก กรรมแบบเผ่าพันธ์มันย่อมเหนียว
    ดังนั้น จึงต้องสั่งสมสะสมสติ ปัญญา ค่อยๆ พิจารณาแล้ว ค่อยๆละ ค่อยๆหางาน
    อื่นมาทำ

    ซึ่ง ไม่มีนักแสดงคนไหนทำงานเดียวจนตายอยู่แล้ว อันนี้ก็แปลว่า ปรกตินักแสดงเขา
    ไม่ได้ประกอบกรรมเดียวอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีใครที่ไหนหรอกจะคิดไปว่า นักแสดงจะ
    ต้องตกนรกสถานเดียว ไม่มีใครบ้าอ่านพระสูตรนี้แล้วจะเที่ยวปรักปรำคนใดๆว่า ต้อง
    ตกนรกแน่ๆ เขาอ่านแล้วก็เข้าใจเป็นทางเดียวเท่านั้นคือ กรรมที่เกิดจากการเป็นนัก
    แสดงน้นย่อมนำไปสู่นรก --- เน้นอีกทีนะว่า เป็นเรื่องการสอนกฏแห่งกรรม ไม่ใช่เรื่อง
    การพยากรณ์ใครว่าตกนรก ย้ำนะว่า เป็นการสอนเรื่องกฏแห่งกรรม ไม่ใช่การ
    พยากรณ์นักแสดงคนไหน บรรพบุรุษนักแสดงคนไหนๆ ว่าตกนรกสถานเดียว


    คนที่เข้าใจธรรม ก็ย่อมควรต้องเข้าใจธรรม และไม่เห็นจะต้องไปปรักปรำคน
    ยกพระสูตร อีกทั้งคำสอนพระว่า พวกเขาเหล่านั้นแสดงเพื่อพยากรณ์ใครให้
    ตกนรก ....ก็ไม่รู้ว่าจะมายัดข้อหาทำไม สุดท้ายตัวเองก็เมาเปล่าๆ

    ไม่เชื่อ ถาม "อั้ม" ที่คุณๆเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน ดูก็ได้
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    สรุปว่า ในความเห็นส่วนตัว และ คิดว่า ถูกต้อง คือ

    อาชีพนักแสดง เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ขัดขวางต่อการประพฤติธรรม
    เป็น สัมมาอาชีโว และ นักแสดงทุกคน สามารถประกอบอาชีพตน ในขณะเดียวกัน ก็สามารถ ปฏิบัติธรรม จนก้าวถึง พระอริยบุคคล ได้

    ไม่ตกนรก อเวจี
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งั้นคุณลองตอบคำถามตัวเองดูิว่า

    การเป็นนักแสดง มันเป็นมรรค8 หรือเปล่า การเป็นนักแสดงเป็นกรรมที่ส่ง
    ให้ถึงพระนิพพานหรือเปล่า หรือเป็นกรรมที่ส่งให้อยู่ในวัฏฏะ

    อะไรที่ทำไปแล้วทำให้ติดข้องอยู่ในวัฏฏะ บ้านคุณ เรียก สัมมา เหรอ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถ้า อาชีพนี้มันทำให้ก้าวไปเป็นพระอริยบุคคลได้ สงสัย การบวชก็คง
    ไม่ต้องเข้าวัดเสียทุกราย แต่ให้เข้าโรงฯแทน
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    แสดงว่า คุณ คิดว่า คนจะเข้าใจเหมือนคุณ ทั้งหมด

    อย่างน้่อย ผมคนหนึ่งหละ ที่อ่านแล้ว เข้าใจว่า นักแสดงทั้งหลาย เป็นมิจฉาอาชีวะ และ กำลังจะจ่อปากหลุม นรกอเวจี
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    งั้นคุณลองตอบคำถามตัวเองดูิว่า

    คุณ เอกวีร์ แม้แต่ โสเภณี ยังบรรลุธรรมได้ คุณจะมาบอกว่า อาชีพนักแสดง ทำให้ติดข้องในวัฏฏะ มันก็ไม่ถูกหรอก

    อาชีพอะไร ก็ติดข้องในวัฏฏะ ทั้งนั้น แต่ เรามีสติ แยกออกได้ต่างหากว่า นี่คือ งาน นี่คือ ธรรม

    ดังนั้น อาชีพนักแสดง ไม่ใช่ เป็น อาชีพที่ จ่อปากหลุม นรก

    อั้ม อ๋อม นุ่น ยังมีสิทธิ์ บรรลุธรรม
     
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นี่ สุดโต่ง บอกให้มองตรงๆ ดันหันซ้า่ย หันขวา
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ฮึ ผมไม่ได้ปรักปรำเฉพาะนักแสดง แต่ ผมหมายเอาทั้งองค์กรของนักแสดงเลย

    อย่างไรผมก็ไม่ได้เจตนาจะให้ร้ายใครนะ เพราะ ตามธรรมชาติของมนุษย์เขา
    ย่อมมีส่วนดีอย่างอื่นประกอบอยู่แล้ว

    อย่างคนที่สวย หาก จะเล็งไปว่า เขามีอะไรเป็นทุน ก็ต้องบอกว่า เขามีทาน
    ที่เป็นอาภรณ์งาม รสสุคนทานงาม มาก่อน พูดง่ายๆ คือ แต่ละคนที่เป็นนัก
    แสดงนี่ จะมีทุนทางบุญอื่นๆ เยอะมาก จึงทำให้รวยก็รวย สวยก็สวย หล่อก็
    หล่อ พูดจาจะหยาบ จะอ่อนหวาน คนก็รับฟังด้วยดีด้วยใจ

    การที่มาปรักปรำว่า คนที่เอากรรมหรือพระสูตรนี้ ยกขึ้นเพื่อให้ร้าย ทำร้าย
    จิตใจนักแสดงแต่ถ่ายเดียวนี้ คนที่เห็นผิดแบบนั้น ควรทบทวนตัวเอง ที่ทำไม
    ตัดสินความเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงได้ถึงขนาดนั้น ...อคติอะไรรึเปล่า
     
  18. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด
    ถ้าหากย้ำตรงสีแดงนะ ลงอเวจีหมดแทบทุกอาชีพละ
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    ก็จำแนก แยกกรรม แยกวาระให้ถูกสิคุณ

    คนบ้าที่ไหนเทคอารมณฺ์เป็นนักแสดงตลอดทุกขณะจิตกันเล่า สุดโต่งไม่เข้าเรื่อง

    คนที่ไหน เขาก็มีเวลาแสดง มีเวลาประกอบบุญอื่นๆ ทั้งนั้น

    การที่โสเภณี นักแสดง เขาบรรลุนิพพาน นั้นเพราะเขา ทำกริยาโสเภณี
    หรือ กริยานักแสดงแล้ว บรรลุธรรม เห็นธรรมหรือไง

    ต่างกรรมต่างวาระ และ กรรมตลอดทั้งวาระที่ทำให้เข้าถึงธรรม มันเป็น
    กรรมที่เรียกว่า ไปเสวนาธรรม กับ สดับธรรมะ ต่างหาก คนละกริยา
    คนละกรรม คนหละจังหวะเวลา

    นี่ๆ แยกให้มันออกสิคุณ
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กรรมที่ทำแล้วพาไปอบาย ก็เรื่องหนึ่ง
    กรรมที่ทำแล้วพาพ้นอบาย ก็เรื่องหนึ่ง

    ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ ก็มีแต่พาให้หลง
    ถ้ารู้ว่ากรรมไหนทำแล้วพาไปอบาย ก็ทำลดลงหรือหัดวิธีวางใจที่ทำให้พ้นอบาย ถ้ายังต้องทำอยู่

    ส่วนกรรมไหนที่ทำแล้วพาให้พ้นอบาย ก็หมั่นทำให้มากๆ จะได้ดึงตนเองให้พ้นอบายได้
    การชี้ให้คนเห็นถูกต้องตามจริง ย่อมเป็นคุณกว่าทำให้คนหลงเห็นผิดเป็นชอบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...