สุดท้าย! นิพพาน คือ ... .. ร่วมหาคำตอบ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nenosmart, 19 สิงหาคม 2010.

  1. nenosmart

    nenosmart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +10
    เมื่ออ่านเสร็จร่วมอนุโมทนาง่าย แค่คลิก

    >>กดตรงนี้<<

    ทำเอาได้ก็ไม่ใช่นิพพานสิ(วะ) ก็เพราะมันนิพพานอยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ไปทำมันก็ไม่ว่างสิ(โว๊ย)

    ก็มัวแต่จะมุ่ง จะพุ่งไปด้วยตัณหา พุ่งไปบนอุปาทานน่ะมันจะว่างได้ยังไง เอาอะไรหรือใครไปว่าง

    แล้วไอ้อะไรล่ะที่ทำได้หรือได้จากการทำ ก็ตบะ ฌาณ ญาณ พลังทั้งหลายไงเล่า อนิจจังทั้งนั้น สภาวะเหล่านี้มันจึงขึ้นๆลงๆ ทรงๆ แปลกๆ ยิ่งฝึกยิ่งติด ยิ่งฝึกยิ่งแปลกแยกไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งฝึกยิ่งสูงส่ง ยิ่งห่างไกลนิพพานไปเรื่อย ไม่ถึงซักที โดนกิเลสตัณหาอุปาทานมันหลอกตลอด เล่นมายากลตลอด ข้ามกัป ข้ามพุทธันดรก็ยังไม่จบ

    ก็สอนกันด้วยความเป็นปุถุชนมันจะจบได้ยังไง ก็มันไม่รู้นิพพานมันหน้าตาเป็นยังไง ก็เลยสอนให้มุ่งให้พุ่งไปเรื่อย เรียกว่าห้าขันธ์ไปเจริญอีกพันขันธ์วนกันเข้าไป ดูกันเข้าไป เจริญกันเข้าไป ทั้งๆที่พระพุทธองค์ก็สรุปแล้วว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็ยังจะไปดู ไปเจริญมันอีก ละมันก็จบเลย เบาคลายทันที ว่างทันที นิพพานมันยากก็เพราะมั่วนั่นแหละ มัวคนหนึ่งคนที่เหลือก็มั่วตาม คราวนี้เลยกลายเป็นชวนกันวนเข้าไปใหญ่

    แล้วเจริญไปเห็นอะไรล่ะ ก็เห็นทุกข์ไง ถูกแล้ว เกิดปัญญาไหม เกิดสิครับ แล้วหลุดพ้นไหม มันก็ไม่หลุดสิครับ ก็จะหลุดได้ยังไง เพราะมันยังมีผู้รู้ ผู้ติด ผู้หลุด มีสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู อยู่ตลอด เห็นสภาวะโน่นนั่นนี่ เห็นจิตเบิกบาน เห็นจิตมันวาง มันสงบ ยังเห็นเป็นตัวตนอัตตาแบบนี้ก็ยังไม่เป็นแม้แต่สัมมาทิฏฐิด้วยซ้ำ การไม่ตรงต่อสัจธรรมนั่นแหละมิจฉาทิฏฐิ แค่นี้ก็สอบตกกันหมดแล้ว

    การเจริญสติหรือสมาธิก็ครือกันนั่นแหละ ไปเจริญตัวรู้เหมือนกัน เจริญสิ่งที่มันอนิจจัง แล้วมันจะว่างไหม เจริญมากๆก็เป็นพลังแก่ธาตุขันธ์ เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นในกาย ในใจแล้วก็หลงเอาว่านิพพานแล้ว โดนหลอกน่ะสิ นิพพานจริงๆมันไม่มีอะไรเลย นิพพานคือความไม่ยึดติดนั่นแหละ นอกเหนือรู้ นอกเหนือเห็น นอกเหนือความเข้าใจ นอกเหนือการพิจารณา ถ้าไม่ทิ้งฌาณ ญาณ ปัญญาก็ไม่ตรงต่อนิพพานนั่นแหละ แต่จะทิ้งยังไงล่ะในเมื่อฝึกมันซะจนติดหนับเข้าไปอย่างนั้น พอเข้าไปทิ้งก็มีตัวผู้ทิ้ง สิ่งที่ถูกทิ้ง โดนหลอกซ้ำซากดักดานไม่รู้จบ

    ตัวรู้หรือสติน่ะไม่ต้องไปเจริญมัน ทิ้งเลย สติปุถุชนมันอนิจจัง จะรู้ไม่รู้ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยมันแล้วๆไป รู้ตัวทั่วพร้อมก็ไม่เอา รู้แล้วละก็ไม่เอา รู้ด้วยจิตเป็นกลางก็ยังไม่ใช่ เพราะมันก็ยังมีเจตนาเข้าไปรู้ มันเป็นกรรม แค่ไม่ต้องไม่ตั้งกับธาตุหนึ่งขันธ์ใด มันก็จะคลายไปเองระบบผัสสะที่ตามดู ตามรู้อยู่ก็จะลดแรงกระแทก กระทบลงเอง ว่างอยู่เองแล้ว นั่นแหละนิพพาน ผู้ที่เคยไปพบหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะแล้วพบเจอสภาวะแบบที่ว่าก็นั่นแหละว่างอยู่แล้วเลย ไม่ต้องไปเช็ค ไม่ต้องไปสงสัย มันว่างของมันเอง ไม่ต้องกลับไปงมโข่งสาละวนกับระบบเดิม แล้วไม่ต้องวิ่งไปให้คนอื่นส่องให้หรอกว่าสว่างหรือยัง คนที่ส่องก็ไม่รู้ว่ารู้จริงหรือเปล่า เดี๋ยวจะชวนกันหลงไปอีก ถ้ามันว่างอยู่แล้วเป็นประธานนั่นแหละสว่างแล้ว ไม่ต้องเจริญ ไม่ต้องดำเนินอะไรอีก ว่างแล้วกลับไปทำก็ไม่ว่างสิ(วะ)

    เมื่อไม่เอาอะไรกับธาตุหนึ่งขันธ์ใด ว่างอยู่แล้ว วางอยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาเองก็คือมหาสติ มหาสัมปชัญญะที่สว่างโพล่งทั้งกลางวันกลางคืน นอกเหนือกาย นอกเหนือจิต โดยไม่ต้องเข้าไปทำมัน ไม่ต้องเข้าไปเจริญมัน มันจะว่างอยู่อย่างนั้นตลอด สว่างแล้วสว่างเลย อริยะแล้วอริยะเลย ไม่กลับไปมืดอีก เป็นเนื้อหาเดียวกับพุทธะทันที พอจะทำงาน ทำกิจอะไรขึ้นมาสักอย่าง สติ สมาธิ ปัญญาจะสมังคีขึ้นมาอนุเคราะห์ให้การงานจบไปเป็นขณะ จบแล้วจบกันก็สลายหายไป กลับไปว่างเหมือนเดิม ไม่จมแช่ ไม่วนเวียน ไม่พัวพันเป็นโซ่กรรมเหมือนปุถุชน นี่คือเนื้อหาอริยะ

    ความสว่างก็มีสองแบบคือความสว่างจากผลของนิโรธ ก็คือไม่ต้องไม่ตั้งนั่แหละพอมันคลายแล้วมันก็จะสว่างเอง สว่างแบบไม่ต้องเข้าไปทำ สว่างแบบนี้ สว่างไม่บันยะบันยัง เพราะมันพ้นอนิจจังไปแล้ว ส่วนสว่างแบบที่สองนี่เป็นความสว่างแบบพลังธาตุ ยังต้องเข้าไปทำเอา ง่วงนอนเมื่อไหร่มืดเมื่อนั้น นอนมันก็ดับ ฟุ้งก็ไม่สว่าง คิดมากก็มืด สว่างแบบพลังธาตุนั้นเป็นอนิจจัง ยังกลับไปวนได้อีก ยังต้องทำ ต้องทรง ต้องประคองรู้อยู่เรื่อยๆ นั่นแหละการจมแช่ในธาตุขันธ์โดยไม่รู้ตัว

    เคยเห็นต้นไม้ไหม นั่นน่ะธาตุนิพพาน มันโตก็โตของมันตามเหตุปัจจัย มันไม่เคยบ่นเลยว่าฤดูนี้แล้งจัง ย้ายถิ่นฐานดีกว่า ก็เพราะธรรมโดยธรรมอยู่เองแล้วโดยปราศจากเจตนากรรมนั่นแหละนิพพาน

    การไม่ต้องไม่ตั้ง นั้นไม่ใช่การปฏิเสธ ไม่ใช่การดิ้นหนี ดิ้นสู้ ไม่ต้องหนี ไม่ต้องสู้ ไม่ว่าสิ่งใดหรืออะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน นั่นแหละการละเจตนากรรม ตัดกรรมไปเลย ตัดโดยไม่มีผู้ตัดและสิ่งที่ถูกตัด ตัดภพตัดชาติทันที นิโรธทันที ทำให้มันยากมันก็ยาก พอยากไปแล้วมันก็ไม่จบโดยตัวมันเอง อย่าลืมว่าตัวรู้น่ะอมนิรันดร์กาลเชียวนะ มัวแต่ไปเจริญมันก็พุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด

    ถ้านิพพานทำได้แบบนั้น บำเพ็ญได้แบบนั้น เจริญได้แบบนั้น รับรองฤๅษีชีไพรก็นิพพานกันตั้งนานแล้ว ไม่ต้องถึงพระพุทธเจ้าหรอกจริงไหม?

    __________________ rombodhidharma.net
     
  2. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ไม่มีเหตุให้บรรลุ เพราะไม่มีอะไรบรรลุ
     
  3. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    เข้าใจบางส่วนน่ะท่าน จริงๆ ด้วยน่ะท่าน ถ้าตัดขันธ์ ด้วยมรณานุสติ และ อสุภ
    แถมด้วย การไม่เอาสิ่งใดๆ ในโลกนี้ มาเป็นสิ่งเครื่องบันเทิงการ ชีวิตมันง่ายขึ้นเยอะเลย
    เพราะอะไรๆ ในโลกนี้ไม่ใช่ของเรา แม้แต่ตัวเราเอง

    ทุกอย่างมันคลายกำหนัดไปเอง ความอยากได้อยากมี ติดโน้น ติดนี่ เบาบาง มันเบา ใจก็เบา ไม่ต้องไปคอยจ้อง คอยมอง คอยดู มันโปร่ง เพราะความไม่ยึดติดนี่แหละ
     
  4. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ดับทุกข์ได้ ในทุกสถาน เป็นอันจบกัน

    ไฟด้บเพราะสิ้นเชื้อ
    เพราะหมดเชื้อ
    เพราะหยุดเติมเชื้อ
    เพราะรู้ว่าสิ่งใดเป็นเชื้อ
    เพราะหยุดความไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นเชื้อ
    เพราะไม่เหลือเชื้อ
     
  5. Bill2541

    Bill2541 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +159
    hp_dayhp_day
    จิ.เจ.รุ.นิ.
    ...พุทโธ...

    ...พุทโธ...
    ...พุทโธ...
    hp_dayhp_day
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddha.jpg
      Buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      867.4 KB
      เปิดดู:
      55

แชร์หน้านี้

Loading...