ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอนำมาลงต่อเรื่องการส่งเงินบริจาค โดยในวันนี้ได้ธนาณัติไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน และ รพ.50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จ.อุบลราชธานี รพ.ละ 5,000.-บาท จึงขอนำหลักฐานสำเนาธนาณัติมาลงให้โมทนาบุญกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    และเช่นเดียวกันเมื่อมีการบริจาคแล้ว ก็ต้องมีใบอนุโมทนาบัตรมาเช่นเดียวกัน บาง รพ. อาจจะช้าไปบ้างก็ไม่มีปัญหาเพราะเราบริจาคให้ท่าน แล้วโทร.กำกับไปอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการของแต่ละ รพ.ครับ ยังไง ส่วนที่ทุนนิธิฯ ได้รับแล้ว ก็นำมาลงให้โมทนาบุญกันครับ สาธุ...นิพานะ ปัจจะโยโหตุ

    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    และรูปต่อมาคือการรายงานผลของ รพ.ปัตตานี ที่ได้ใช้เงินบริจาคจากทุนนิธิฯ เพื่อใช้ในการผ่าตัดเลนส์แก้วตาเทียม สำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธด้วยอาการของต้อกระจกครับ

    [​IMG]

     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ผ้าไตร ผ้าอาบน้ำฝน สิ่งที่ควรรู้

    <!--Main-->
    [SIZE=-1]คัดมาจากกระทู้ในลานธรรม ของ คุณ วีระวงศ์
    ฤดูถวายผ้าอาบน้ำฝนแล้ว มารู้จัก"ผ้าอาบ"กันเถอะ - ลานธรรมเสวนา


    "พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จะซื้อผ้าอาบสำเร็จรูป
    ซึ่งมักจะจัดมาพร้อมกับถังสังฆทาน หรืออาจซื้อแยกมา
    ซึ่งผ้าอาบลักษณะนี้มีขายทั่วไป ผ้าชนิดนี้เรียกว่า “ผ้าริมเขียว”
    ลักษณะของผ้าจะบางเบา ซับน้ำได้ดีพอสมควร มีการย้อมทั้งที่เป็นสีกรักทอง
    คือ สีเหลืองๆ แบบสีจีวรที่พระมหานิกาย สีนี้มีหาได้ง่ายสุด
    กับ สักกรักแก่นขนุน คือสีน้ำตาลเข้มๆ ไหม้ๆ
    แต่ปัญหาที่พบก็ คือ ด้วยความบางมากนี้เอง
    การนุ่งเพื่อใช้สรงน้ำ ยิ่งถ้าอาบกลางแจ้ง
    เมื่อใช้ไปนานก็ยิ่งบาง และยังฉีกขาดได้ง่ายอีกด้วย
    จะเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งผ้าที่จัดมาพร้อมกับถังสังฆทานยิ่งแล้วใหญ่
    มักจะไม่ได้ขนาดมาตรฐาน หรือความต้องการกำไรมากๆ
    ผู้จัดถังก็มักใส่เพียงผ้าผืนเล็กๆ หลอกตาไว้ ถ้าแกะออกมาดู จะพบเป็นเพียงเศษผ้า
    ห่อกับกระดาษแข็งให้ดูโปร่งๆ เท่านั้น
    ดังนั้นท่านใดที่ซื้อผ้าแบบนี้มาถวายพระ คงต้องพิจารณาดูให้ดี ไว้ได้ขนาดหรือไม่
    และควรจะซื้อแยกออกจากถังสังฆทาน เพื่อจะตรวจสอบได้
    การใช้ประโยชน์จากผ้าอาบชนิดนี้ อาจใช้ได้เพียงนุ่งห่มในที่มุงบัง
    หรือเป็นผ้าเช็ดตัวเท่านั้น ผมจึงขอแนะนำ ผ้าอาบชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัดป่ากรรมฐาน
    และถูกต้องตามพระวินัยผมขอขนานนามผ้าอาบชนิดนี้ว่า
    “ผ้าอาบแดงกรรมฐาน สารพัดประโยชน์”
    ผ้าอาบแบบนี้จะทำมาจากผ้าดิบ มาย้อมด้วยสีดินแดง
    ซึ่งตามพระวินัยแล้วจะไม่ให้ย้อมเป็นสีจีวร
    ซึ่งข้อดีของผ้าชนิดนี้ก็คือ มีความทนทาน เนื้อผ้าไม่บาง
    นุ่งห่มแล้วไม่โป๊ นอกจากพระป่าจะใช้ผ้าชนิดนี้นุ่งสรงน้ำแล้ว
    ก็ยังใช้นุ่งในเวลาทำข้อวัตรแทนสบง เพราะเป็นการรักษาสบง
    เพราะการทำข้อวัตร ได้แก่ การกวาดลานวัด ตักน้ำ
    ทำความสะอาดวัด ผ่าฟืน จนไปถึงการทำงานก่อสร้าง
    ซึ่งเป็นงานที่ต้องเสี่ยงกับความสกปรก อาจเลอะสบง ซึ่งเป็นหนึ่งในผ้าสามผืน
    ( สบง จีวร สังฆาฏิ) ซึ่งพระสงฆ์จะต้องดูแลรักษาอย่างยิ่ง
    นอกจากนี้ก็ยังไว้ใช้ปูจำวัด การนุ่งซ้อนกับสบงเพื่อไว้เป็นซับใน
    คลุมตักในเวลาฉันกันจีวรเลอะ เป็นผ้าเช็ดบาตร เป็นต้น
    ซึ่งผ้าอาบน้ำนอกจากพระจะใช้ในช่วงเข้าพรรษาแล้ว
    ภายหลังจากออกพรรษาแล้ว พระท่านถอนผ้าให้เป็นผ้าบังสุกุลก่อน
    แล้วจึงอธิษฐานผ้าใหม่ให้เป็นผ้าบริขาร เพื่อจะใช้ผ้านั้นได้ตลอดไป
    ถ้าหากท่านใดจะถวายนอกฤดูถวายผ้าอาบน้ำฝน ก็พึงถวายเป็นผ้าบังสุกุล นะครับ
    ปัจจุบันยังพบว่า แหล่งที่จำหน่ายผ้าอาบชนิดนี้ยังมีน้อย
    ส่วนใหญ่พระจะตัดเย็นใช้กันเอง
    โยมที่รู้เรื่องนี้ก็มีน้อย ถ้าหากพระหาไม่ได้ ก็ไม่ได้ใช้
    นอกจากพระป่ากรรมฐานจะใช้ผ้าแบบนี้แล้ว
    พระสงฆ์ในกรุงเทพเองท่านก็มีไว้ใช้เป็นส่วนตัว
    ยังมีเรื่องเล่าจากพี่ท่านหนึ่งที่นำผ้าอาบแดงนี้ไปถวาย
    พระราชาคณะผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
    ท่านเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงกลางกรุงนี้เอง
    พอนำไปถวายท่าน ท่านดีใจและกล่าวสรรเสริญว่า
    โยมถวายได้ถูกต้อง ยิ่งการเป็นพระในเมืองยิ่งขาดผ้าแบบนี้
    ผ้าอาบแบบนี้ที่ท่านใช้อยู่ก็คร่ำคร่าเต็มที เพราะใช้มาหลายปีแล้ว
    ยังไม่เคยมีโยมมาถวายอีกเลย
    นี่ขนาดพระผู้ใหญ่ยังขาดแคลน แล้วพระเล็กพระน้อยจะขนาดไหน

    ส่วนพระในฝ่ายมหานิกาย อาจไม่คุ้นเคยกับผ้าอาบชนิดนี้
    แต่จากการสอบถามจากพระมหานิกายในกรุงเทพเองก็พบว่า
    จากการที่ท่านไม่เคยใช้ผ้าอาบแบบนี้ จนกระทั้งมีผู้มาถวายให้ท่านลองใช้ดู
    ก็พบว่าท่านก็พอใจกับผ้าอาบแบบนี้มาก

    สำหรับในกรุงเทพ แหล่งที่พอจะหาได้ คือ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น จรัลสนิทวงศ์ซอย37
    หรือที่ร้านจีวรแถวๆ วัดอโศการาม สมุทรปราการครับ ไม่รู้เป็นการเขียนโฆษณาหรือเปล่า อิอิ

    การถวายสิ่งที่ถูกต้อง เท่ากับเป็นการส่งเสริมพระวินัย
    ไม่ต้องให้พระเป็นกังวลขาดแคลนของอยู่ของใช้
    มีกำลังใจปฏิบัติศาสนกิจได้ราบรื่น
    และยังได้ของที่ทนทานมีประโยชน์สูงสุดด้วย
    มีความกว้างประมาณ1หลา ยาว 2 หลา พับและเย็บริมกันผ้ายุ่ย
    ซึ่งการใช้ผ้าดิบนี้ น่าจะเกิดมาจาก ชาวบ้านในภาคอีสาน
    มักจะทอผ้าแบบนี้ขึ้นใช้เองเมื่อชาวบ้านถวายพระแล้วก็ได้มีการเย็บย้อม กันเอง
    และเป็นที่นิยมใช้สืบต่อมา"

    ความรู้เกี่ยวกับไตรจีวร[/SIZE]
    [SIZE=-1] โดย คุณ ภิเนษกรมณ์ ในเวปลานธรรม

    "การถวายผ้าสบง จีวร หรือสังฆาฏิ หรืออังสะ ไม่มีการจำกัดเวลาครับ ถวายได้ทุกเมื่อ โดยจะถวายต่อภิกษุรูปเดียวก็ได้ หรือ ถวายเป็นสังฆทานต่อภิกษุ4รูป ขึ้นไป ก็ได้ แล้วแต่ศรัทธา(และทรัพย์)ของผู้ถวายครับ

    ตามพระวินัย พระภิกษุจะมีผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ได้อย่างละ 1 ผืน โดยอธิษฐานเป็นผ้าครอง คือ เป็นผ้าส่วนตัวที่ต้องรักษาไว้กับตัวอยู่เสมอ หากได้รับถวายผ้าผืนที่2ที่3มา หากจะนำมาใช้เป็นผ้าครอง ต้องอธิษฐานสละผ้าครองผืนเก่าก่อน แล้วอธิษฐานผืนใหม่เป็นผ้าครองแทนได้ แต่หากประสงค์จะมีผ้าสบง หรือ จีวร ใช้ 2 หรือ 3 ผืน (เผื่อเวลานำไปซักแล้วยังตากไม่แห้ง จะได้มีอีกผืนใช้ผลัดเปลี่ยนได้ หรือ ใช้ฉลองศรัทธาให้กับผู้ถวาย)ก็สามารถมีได้ แต่จะต้องทำวิกัป คือ ทำให้เป็นผ้าที่มี 2 เจ้าของ กับภิกษุรูปอื่น แล้วนำมาใช้ได้ ผ้าสบง และจีวร ผืนที่2ที่3 (ไม่นิยมมีผ้าสังฆาฏิมากกว่า1 ผืน เพราะปกติมีโอกาสใช้น้อยอยู่แล้ว คือ ใช้พาดบ่าตอนทำสังฆกรรม หรือ ซ้อนกับจีวรเวลาไปบิณฑบาต (เฉพาะสายวัดป่าเท่านั้น)) มักเรียกกันว่า ผ้าอาศัย สำหรับผ้าสบงอาศัย การตัดเย็บอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันกับผ้าสบงครองก็ได้ (บางทีก็เรียก ผ้าสบงขันธ์ เพราะต้องตัดเย็บให้มีขันธ์) แต่ผ้าจีวรอาศัยจะต้องมีขันธ์เหมือนผ้าจีวรครองทุกประการ

    หลายๆท่าน อาจไม่ทราบว่า เวลาไปซื้อผ้าไตรตามร้านสังฆภัณฑ์ไปถวายพระนั้น เราต้องรู้ก่อนว่า เราต้องการถวายผ้าครอง หรือ ผ้าอาศัย เพราะราคาและการตัดเย็บจะแตกต่างกัน ผ้าไตรครองจะแพงกว่าไตรอาศัยมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นพระธรรมยุต ผ้าสังฆาฏิเป็น2ชั้น (เหมือนใช้จีวร2ผืนเย็บติดกัน) จะแพงกว่า ผ้าสังฆาฏิของพระมหานิกายทั่วไป (ที่ไม่ใช่สายวัดป่า) ซึ่งอาจใช้ผ้าสังฆาฏิชั้นเดียว ผ้าไตรอาศัยมักจะมีแค่ผ้าสบงอาศัย ผ้าจีวร ผ้าอังสะ อยู่แค่นั้น จึงราคาถูกกว่า แต่ถ้าเป็นผ้าไตรครอง (บางทีเรียก ไตรบวช) จะต้องมีครบ ทั้ง สบง จีวร สังฆาฏิ อังสะ จะราคาแพงกว่าครับ ยิ่งถ้าตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดี หรือ ผ้ามัสลินที่ตัดเป็น 9 ขันธ์ แบบที่พระสายวัดป่าใช้ ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีก เพราะราคาของผ้า และ การตัดเย็บที่ยากกว่ามาก"

    "การถวายทานด้วยผ้านั้น จะถวายผ้าเพียงผืนใดผืนหนึ่ง หรือ จะถวายทั้งไตร ก็ได้เหมือนกันครับ แล้วแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์ของผู้ถวายเถอะครับ อย่างผ้าอังสะนั้น เป็นผ้าที่พระ(ทั้งวัดบ้านและวัดป่า)ต้องใช้อยู่ตลอดเวลา จึงต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าผ้าผืนอื่น ทั้งการตัดเย็บก็ง่ายกว่า ทำให้ราคาถูกกว่า ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการถวายทาน หากมีงบประมาณจำกัดครับ

    เรื่องสีของผ้าที่พระท่านใช้ โดยส่วนใหญ่มีอยู่ 4 สี คือ เหลืองเจือแดง พระราชนิยม กรัก และแก่นขนุน (ถ้าเป็นพระทางสายพม่า จะใช้สีกรักออกโทนแดงอีกสีหนึ่ง) สำหรับพระธรรมยุต เท่าที่เห็น หากเป็นสายวัดป่า จะใช้สีแก่นขนุนทั้งหมด เป็นแต่มีโทนสีที่แตกต่างกันนิดหน่อย ตามแต่ว่าท่านผสมสีใดมากน้อยกว่ากัน (ปกติจะใช้สีกรัก และสีเหลืองทอง ผสมกันเป็นหลัก แต่บางองค์จะผสมสีแดงด้วยเล็กน้อย) หากเป็นพระธรรมยุตวัดบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะใช้สีแก่นขนุนเช่นกัน มีน้อยวัดที่จะใช้สีพระราชนิยม เช่น พระวัดเทพศิรินทร์

    พระมหานิกาย สายวัดป่า บางวัดก็จะใช้ผ้าสีแก่นขนุน บางวัดก็ใช้สีกรัก แต่ถ้าเป็นพระมหานิกายวัดบ้าน ทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้สีเหลืองเจือแดง มีน้อยวัดที่จะใช้สีพระราชนิยม หรือ มีใช้กันเป็นบางองค์เท่านั้นครับ เพราะ สีพระราชนิยม เป็นสีผ้าที่พระที่ได้รับนิมนต์ไปในพระราชพิธีใช้กัน แต่ต่อมาก็มีพระบางองค์ท่านใช้สีนี้ตลอด"


    [​IMG][/SIZE]

     
  5. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    <TABLE class=MainTb cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR class=SubIntroR><TD class=BorderA colSpan=3>รายการเสร็จสมบูรณ์</TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>โอนจากบัญชี</TD><!--<td width="100">SAVING-01 </td> <td width="150" class="BorderR">THB 85,003.25</td>--><TD class=RightCL colSpan=2>419-2-11259-9</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>ชื่อบัญชีผู้โอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>นาย บุรักษ์ ศาลากิจ </TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>เลขที่บัญชีผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>348-1-23245-9</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>ธนาคารผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>ธ.กรุงศรีอยุธยา - BAY</TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>ชื่อบัญชีผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>pratom foundation</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>จำนวนเงิน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>500.00</TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>ค่าธรรมเนียม </TD><TD class=RightCL colSpan=2>20.00</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>วันที่ได้รับยอดเงินโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>23/07/2010 17.30 น.</TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>วันที่ตัดยอดเงินจากบัญชี</TD><TD class=RightCL colSpan=2>22/07/2010</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>หมายเลขอ้างอิงรายการ</TD><TD class=RightCL colSpan=2>tmbi3270392</TD></TR></TBODY></TABLE>

    *********************************************

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าและครอบครัวขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าและครอบครัว ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าและครอบครัวในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า ไม่รู้ ไม่มี ไม่สำเร็จ จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าและครอบครัวเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    .................................................
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    บุญถวายสังฆทาน

    เรื่อง เผาตามประเพณีจีน(กงเต็ก) มีหมอที่จังหวัดพิจิตรหมอผู้หญิงนะ แกเคยไปเจริญพระกรรมฐานที่วัด พ่อเป็นจีน เวลาพ่อแกตาย แกทำบุญเต็มที่ทั้งประเพณีไทย และประเพณีจีน ปรากฎว่าวันหนึ่งแกนั่งเจริญพระกรรมฐานอยู่ เตี่ยก็มาบอกว่า “อีหนู! ตึกขี้เถ้า รถยนต์หรือแบงค์ขี้เถ้าที่มึงเผาไปกูไม่ได้รับเลย ผีเขาไม่ใช้ขี้เถ้า” แกก็ถามว่า “จะให้ทำยังไงล่ะ” เตี่ยบอกว่า “ถวาย สังฆทานให้กูก็แล้วกัน ที่เอ็งทำบุญไปครั้งนั้น เตี่ยไม่ได้รับเลย และเอ็งก็ไม่ได้บุญด้วย แต่ที่เตี่ยไม่ตกนรกเพราะเตี่ยนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่” ลูกสาวถามว่า “จะเอาอะไรบ้าง” เตี่ยบอกว่า “ถ้า มีพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 5 นิ้วขึ้นไป เตี่ยจะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือพรหมเขาถือความสว่างของร่างกาย ไม่ได้ดูที่เครื่องแต่งตัว ถ้ามีผ้าจีวรด้วยเครื่องประดับของเตี่ยจะสวยขึ้นกว่าเดิม และถ้ามีอาหารด้วยความเป็นทิพย์ของร่างกายจะดีกว่าเก่า”

    แล้วแกขึ้น รถมาที่นี่มาขอถวายสังฆทาน ก็บอกแกว่าจะถวายสังฆทานที่ไหนก็ได้ แกก็ไม่ยอม ถามว่าทำไมไม่ถวายวัดใกล้ๆ แกตอบว่าไม่ไว้ใจ กลัวเขาจะเอาพระพุทธรูปไปขาย ก็เลยมาถวายที่นี่ แกถามว่า เตี่ยดีขึ้นหรือไม่ ก็ตอบว่า เป็นเรื่องของคุณ ต้องสัมผัสกันเอง เวลาทำสมาธิให้ทำใจปกติ อย่างไปนึกถึงเตี่ย จิตฟุ้งซ่านมันจะไม่เห็น แกก็พยายามทำใจแบบนั้น

    ตอนเช้าแกก็มาบอกว่า แกดีใจนอนไม่หลับ เตี่ย แกมาแพรวพราวสวยระยับกว่าเก่า และเห็นตัวเองว่าออกไปคุยกับเตี่ย ก็สวยคล้ายเตี่ย เพราะว่าการถวายสังฆทานให้คนตายนั้นเราเองก็ต้องได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ และผีต้องโมทนาจึงจะได้ บุญก็ยังอยู่ที่เราเต็มที่

    ในเมื่อแกทำเอง อานิสงส์สูง เพราะ กังวลน้อย บุญมาก กังวลมากบุญน้อย ถ้าจัดงานเป็นพิเศษจะไม่ได้บุญเลย งานยิ่งใหญ่เท่าไร บุญยิ่งหดมากเท่านั้น พอเริ่มงานก็ฆ่าปลา ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ บาปเข้ามาก่อน บุญมันเข้าไม่ได้มันไม่ถูกกัน

    บุญเหมือนแสงสว่าง บาปเหมือนกับความมืด ที่ไหนมืดที่นั้นต้องไม่มีสว่าง ถ้ามีสว่างมันจะมืดหรือ ถ้าเขาฆ่าไว้เยอะแยะแล้วเราไม่ได้สั่งมันไม่มีอะไร
    มัน จำเป็นนักหรือว่าเวลาทำบุญต้อง เลี้ยงเหล้ากันด้วย จะต้องฆ่าสัตว์ พระองค์ไหนเขาสั่ง ลงทุนทำบุญทำศพหมดไป 5-6 หมื่น พระได้ไปกี่สตางค์ ค่าอาหารพระกินไปสักกี่ช้อน มันเป็นหมื่นหรือเปล่า เงินหมื่นจ่ายอะไรกันแน่ บางทีหมดค่าเหล้าไปกี่พันก็ไม่รู้ หมดค่าเชือดไก่เชือดปลาเท่าไร อันนี้ตัวบาปทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องบุญแล้วอ้างว่าทำบุญ ใช่ไหม

    การ ถวายสังฆทานนี่ดีที่สุด สังฆทานนี่บุญใหญ่ด้วย กังวลน้อยด้วย ไปซื้อพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง ซื้อไม่ต้องโมโหอย่าไปต่อขอลดเขามากนักก็แล้วกัน และก็มีอะไร เขาไม่จำกัด ข้าวถ้วย แกงถ้วย ขนมถ้วย น้ำสักแก้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร

    เราคนเดียวทำ ได้เลยเรียบร้อย นี่บาปนิดเดียวก็ไม่มี ตัวกังวลก็ไม่มี บุญก็บริสุทธิ์ และบุญสังฆทานเป็นบุญใหญ่มาก ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทำบุญกับท่าน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง แล้วลงทุนก็ไม่มาก กังวลก็ไม่มี

    ส่วน การอุทิศ ส่วนกุศล เคยถามพระยายมท่านว่าแม้แต่พระที่อยู่นิพพานยังทราบการทำบุญของคน คนทำความดีนี่ พระนิพานทราบ แล้วท่านก็โมทนา นิพพานอยู่อันดับสูงสุดมาก ก็นรกนี่แค่ตูดหมาจะโมทนาไม่ได้หรือ

    พระยายมบอกว่า จะเปรียบเทียบให้ฟัง สมมุติว่าตัวท่านนี่นะ ผมเอาไฟเผาด้วย เอาหอกดาบขวานมาฟันมาแทงด้วย เจ็บอยู่แบบนั้น ร้อนก็ร้อน ใครเขาส่งขนมให้กิน ท่านจะกินได้ไหม ท่านเปรียบเทียบง่ายจริง ๆ กินไม่ได้ ร้อน

    ท่านก็บอกว่า ทุกขเวทนามันมาก ไม่มีโอกาสโมทนานรกมี 2 อันดับ ขุมใหญ่กับบริวาร กับยมโลกียนรก ถ้ายมโลกียนรกต้องแบ่งขั้น ถ้าหนักเกินไปก็ไม่มีสิทธิ์โมทนา ถ้าปานกลางไม่หนักมากอาจจะโมทนาได้เลย โดยเฉพาะถ้าเป็นบุญสังฆทานเห็นจะสู้ไม่ไหว ถ้าถามว่าสังฆทานดึงคนตกนรกได้ไหม ควรจะตอบว่ายังดึงไม่ได้ดีกว่า


    จากหนังสือ อุทิศส่วนกุศล โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    วันหยุดยาว วันพระใหญ่ทั้งสองวัน ทำบุญทำกุศล การอุทิศผลนั้นก็สำคัญ ลองมาอ่านบทความของหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านดูครับ มิเสียหลาย หากจะทำตาม

    "..การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนาไม่ต้อง ใช้นํ้าการที่ พระเจ้าพิมพิสารเป็นองค์แรกที่อุทิศส่วนกุศลโดยใช้นํ้า ก็เพราะท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอานํ้าราดลงไป ท่านยังชินอยู่กับประเพณีของพราหมณ์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม เพราะใจท่านตั้งตรงเวลาอุทิศส่วนกุศล

    เรื่องการกรวดนํ้านี้ สมัยเมื่ออาตมาบวชได้วันที่สอง ขณะเจริญพระกรรมฐานได้มีผีตัวผอมก๋องเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า อาตมาก็สวด "อิมินา ปุญญกัมเมนะ อุปัชฌายา" หมายถึงอุปัชฌาย์ แต่อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย "คุณุตตรา อาจาริยู"ให้คู่สวดอีก คู่สวดก็ยังไม่ตาย ว่าเรื่อยไปยังไม่ทันจะจบเหลืออีกตั้งครึ่งบท เห็นเดินมา ๒ คนเอาโซ่คล้องคอลากผีที่นั่งอยู่ข้างหน้าไปเลย ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ให้ผีเลย

    พอ ตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันข้าว พอฉันเสร็จล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย ปกติฉันเสร็จหลวงพ่อปานท่านจะยถาฯแต่วันนี้ท่านไม่ยถาฯ ท่านนั่งเฉยมองหน้าถามว่า

    "ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ"

    ท่านให้แปลอิมินาแปลว่าอย่างไรบ้าง อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดญัตติคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่าน ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้
    ท่านก็บอกว่า"ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด"

    ให้บอก ว่า "บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" วันหลังผีตัวใหม่มา ตัวก่อนที่ถูกลากคอไปมาไม่ได้แล้ว ผีตัวใหม่ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังนางฟ้าที่มีทรวดทรงสวย เป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า

    "ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ"

    ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิด ปาก อาตมานึกขึ้นมาได้ ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน จึงบอกว่า

    "ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้วข้าให้เลย"

    พอว่าจบผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย

    การได้ รับส่วนกุศลนี้ ขึ้นอยู่กับท่านนั้นมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้รับ เปรียบเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาก็จะไม่ได้ของ ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้กินขนม ปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตระดับที่ ๑๒ แบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่มีกรรมบางอยู่ข้างหน้า เราอุทิศให้แผ่กระจายเขาโมทนาได้ แต่พวกที่มีกรรมหนาอยู่ข้างหลัง ให้แผ่กระจายนี่เขาโมทนาไม่ได้ ถึงแม้จะมีสิทธิ์โมทนาก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาส พวกปรทัตตูปชีวีเปรตมายืนอยู่นานไม่ได้ ส่วนสัมภเวสีก็มีความหิวแต่อยู่นานได้ จึงต้องให้เจาะจงเฉพาะตรง ถ้าไม่ให้ตรงเฉพาะก็รับไม่ได้เพราะกรรมหนัก ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล เวลาจะให้ ให้ว่าเป็นภาษาไทยให้เรารู้เรื่องและให้สั้นที่สุด

    การ อุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว ถ้านึกได้ออกชื่อเขาก็ดี เพราะถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาก็ได้รับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ "ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี"ถ้าขืนไปนั่งไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่หมด มีอยู่คราวหนึ่งนานมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน ๓ องค์ บังเอิญมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน วันนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลออกชื่อคนตายกับบรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ปรากฏว่าบรรดาผีทั้งหลายก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลา คนที่เป็นญาติก็โมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับไป ตอนท้ายมีคนถามถึงการอุทิศส่วนกุศลว่าทำอย่างไร

    พระองค์หนึ่งท่าน เลยบอกว่า "ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนัก อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แก่ญาติ ญาติก็จะได้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติก็จะไม่ได้ ฉะนั้นควรจะให้ทั้งหมดทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"
    และตอนที่พระให้พร เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว มีการถวายสังฆทานก็ดี การเจริญพระกรรมฐานก็ดี ควรตั้งจิตอธิษฐานตามความประสงค์ การตั้งจิตอธิษฐานเรียกว่า "อธิษฐานบารมี" ถ้าท่านตั้งใจเพื่อพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเผื่อไว้ โดยอธิษฐานว่า

    "ขอ ผลบุญทั้งหมดนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะไปเกิดใหม่ในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"

    ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมี ทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว
    การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่ง สักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียว ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธสมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร

    ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟัง ว่า

    "สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด

    อยาก ทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"

    ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ"

    แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า

    "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"
    ท่านพระยายมราชได้มาบอกอาตมาเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้คน ตาย เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า
    "ที่สำนักท่านพระยายมราชจะ หยุดทำงานเรียกว่า "หยุดนรกการ ๓ วัน" คือ วันออกพรรษา วันปวารณา และวันรุ่งขึ้น รวมเป็น ๓ วัน

    วันมหาปวารณาเป็นวันสำคัญท่านไม่สอบ สวน พวกที่คอยการสอบสวน ตามปกติเขามีอิสระอยู่แล้วจะไปไหนก็ได้ แต่ถึงเวลาสอบสวนก็จะมาเองเพราะกฏของกรรมบังคับ คนที่มาคอยอยู่ที่นี่จะมีโอกาสพ้นนรกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ถ้าบรรดาญาติฉลาด หมายถึงทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้ตรงเฉพาะคนเดียว โดยเอ่ยชื่อ นามสกุล อย่าให้คนอื่น เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี"

    อาตมาจึงถามว่า "ทำบุญอะไร พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูงและมีความสุขมาก"
    ท่านตอบว่า "แดนใดที่ไม่มีบุญทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายความว่าพระสงฆ์ที่เราไปทำบุญนั้น เป็นพระแค่ศีรษะกับห่มผ้าเหลือง ไม่ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วนเรียกว่า "สมมติสงฆ์" อย่างนี้ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายเขาก็ไม่ได้รับ ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญน้อย ผู้รับก็มีอานิสงส์น้อยมีความสุขน้อย ทำบุญในเขตที่มีอานิสงส์ใหญ่ ผู้รับก็มีอานิสงส์มากได้รับผลบุญมากก็มีความสุขมาก

    และการสร้างบุญ เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นอยู่กับสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป หมายถึงก่อนจะทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระกลับก็กินเหล้ากันอีก แต่ถ้าหากตั้งใจทำบุญโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาปมีแต่บุญ อย่างนี้ผู้สร้างบุญก็ได้บุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะต้องได้แก่ผู้สร้างบุญก่อน แล้วผู้สร้างจึงจะอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้"

    ท่านจึงบอกว่า "สังฆทานดีที่สุด" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ไปคอยการสอบสวนที่สำนักท่านเท่านั้น อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ตายแล้วลงนรกทันที ท่านก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน

    อาตมาจึงถามท่านว่า "ทำอย่างไรความแน่นอนจึงจะปรากฏ ท่านจึงจะช่วยได้"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานอาตมาคือลูกหลานของผม"
    ให้บอกลูกหลานว่า "เวลาทำบุญเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย"

    ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอก ท่านว่า
    "ถ้าบุคคลนั้นยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย หากว่าพบเธอผู้นั้นเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น"
    เพราะไม่แน่นัก เนื่องจากขณะที่มีชีวิตอยู่คนเราทำทั้งบุญทั้งบาป เวลาตายไปแล้ว ถ้าไปอยู่ที่สำนักท่านพระยายามราช บางทีกรรมบางอย่างมันปิดปาก เวลาถามถึงเรื่องบุญทำให้นึกไม่ออกตอบไม่ได้ หากว่าท่านถามถึง ๓ ครั้งยังนึกไม่ออกอีก ก็ต้องปล่อยให้ลงนรกไป แต่ถ้าเวลาอุทิศส่วนกุศลขอให้ท่านเป็นพยาน เพียงแค่นี้

    พอโผล่หน้า เข้าไปท่านก็จะประกาศว่า
    ที่เคยขอให้ท่านเป็นสักขีพยาน และท่านก็จะประกาศกุศลนั้นบอกให้โมทนา ก็จะไปสวรรค์เลยโดยไม่ต้องมีการสอบสวน.."
    คำอุทิศส่วนกุศล

    "อิทัง ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    บท อุทิศส่วนกุศลท่อนแรกนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่โตท่านมาบอก และบทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน ท่านพระยายมราชท่านมาบอก มีดังนี้
    ท่อนที่ สอง

    และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
    ท่อนที่สาม

    และขอ อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ท่อนที่สี่

    ผล บุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติ ปัจจุบันนี้เถิด.


    http://pradee2.com
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อย่าลืมครับ เวลาทำบุญทุกครั้ง เรียกพระที่เรานับถือ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์ให้มาร่วมโมทนาบุญและเป็นพยานบุญให้เราด้วย ถึงเวลาเบลอๆ ท่านก็จะมาบอกอย่างข้างต้น สบายไป เด็กเส้นไม่มีการสอบสวน พวกที่ทำบุญแล้วไม่ยอมเรียกพยาน ถึงเวลาไปข้างล่างก่อนนา...จะบอกให้ (อย่าประมาทเด็ดขาด)
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและพระคุณเจ้า ที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อน กระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปนั่งพักอยู่ที่ สำนักของพระยายม แล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณีอันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณ เจ้าอาจจะสงสัยว่า สำนักของพระยายม สำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณมีแต่บุคคลที่น่ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขา และมีสภาพดุร้าย

    สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่า ยมทูต อันนี้ เขามีสัญญลักษณ์ มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญญลักษณ์ อันไม่จริง
    ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้น เป็นการวาดภาพเอาเองคล้าย ๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยที่แท้แล้ว โจรจริง ๆ มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีกนี่แหละบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัท ทั้งหลาย และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รักฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือ ถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้ ท่านบอกว่า จะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดี จะเห็นคนในที่นั้น หน้าตาไม่สะสวยไม่งดงาม มีหน้าตาน่ากลัว

    แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่า วิปัสสนาญาณเข้าขั้น เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใจตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของ พระยายม อีกสภาพหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงามนี่ เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วย ส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก โดยมากมักจะยึดตาฌาน ตาเนื้อหรือความรู้สึก คือ มีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์ เป็นยังงั้น นี่ความตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่ อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละ เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ
    เป็นอันว่า เวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง? ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริง ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง

    ท่านทั้งหลายฟังไว้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่า ฌานโลกีย์อย่างสูง เราเห็นสภาพเป็นยังไง มัว ๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดาตานี้ พระที่ท่านได้อภิญญาด้วย แล้วก็ได้อรหัตผลว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วย แล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริง พระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่า พระยายมเป็นเวมานิกเปรต เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน เป็นอันว่า เวลานี้ท่านนั่งอยู่ใน สำนักของพระยายม แล้ว

    มองดูไปข้างหน้า หันหน้าไป ทางทิศตะวันตก นะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออก บริเวณอาคารหลังใหญ่ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง ทางเดียวกับที่พามา แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลาง ๆ ตรงประตูเข้า เข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์ คำว่า สัตว์ในที่นี้ ก็หมายถึง คนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง

    ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราว สวยงาม หน้าตาสดชื่น
    โต๊ะอีกโต๊ะ หนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลืองแล้วก็เครื่องทรง ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี
    พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทอง แล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณีความจริง

    พระยายมก็ดีเทวดาคนที่ เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงามหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใด ๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่านอันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ ๆ ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕ - ๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้าย ๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม

    เมื่อเข้ามาถึงภาย ในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือ การทำความชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม
    เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดี ไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน คนเรานี่หน้าตาดี ๆ นะ แต่ความจริง

    ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวย แล้วก็มีฐานะดี แต่เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริงสมมุติว่า ท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่าง ๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่า ความผิดที่ปรากฎในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษ ก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ?

    ความ จริงยังก่อน ท่านพุทธศานิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง
    ในเมื่อคนใดก็ ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือ คนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก กลับย้อนถามถึงความดี ว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ

    1.เคยให้ทาน ไหม?
    2.เคยรักษาศีลไหม?
    3.เคยไปฟังเทศน์ไหม?
    4.เคยเจริญสมถกรรมฐาน บ้างไหม?
    5.ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อ ๆ

    สมมติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม? เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม? เคยช่วงสงเคราะห์ทำกิจการงานต่าง ๆ กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม? เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม? เคยช่วยเขาสร้างวัดวาอารามบ้างไหม? ใครเขาบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม? เคยรักษาศีลบ้างไหม? เคยฟังเทศน์ไหม? เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม? อย่างนี้เป็นต้น


    เรียก ว่า ความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้น เรียกว่า สัตว์นรก เขายังไม่ตอบ เขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่

    รวมความว่า ถามกัน ๓ รอบ ค่อย ๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว
    ท่านก็จะบอกว่า นี่..เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตาย เวลาจะมาที่นี่ จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า เอ้า ถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาลผีรักษานรกก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง ไปตามอำนาจของความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม

    แล้ว บรรดาท่านพุทธศานิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือ หัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่ เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง ตานี้ สมมติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่ามาถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตาม นึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้

    สมมติ ว่าเขาถามถึงว่า เคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงแก่ความตายบ้างไหม? ให้มันรอดจากความตาย
    ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เคยปล่อย คำเดียวเท่านี้แหละ โทษกรรมใหญ่ ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมด พระยายมบอกว่า งดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน เห็นไหม? น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม
    พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่

    ฉะนั้น สำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือ หน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย
    คราวนี้จะขอนำเอาเรื่องราวของผู้ ที่ตายแล้ว กลับฟื้นขึ้นมา มาเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ท่านผู้นี้ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว อ่านหนังสือของท่านมาหลายปี นึกชื่อไม่ออก
    ท่านเขียนไว้ในหนังสือบอกว่า ท่านอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ที่กรุงเทพฯ ท่านบอกชื่อเสียงเสร็จ ท่านรับรองว่าการพูดของท่านเป็นความจริง

    ใน หนังสือของท่านเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็ก อายุ ๑๖ - ๑๗ ปี ท่านเป็นนักล่าสัตว์ แต่ว่าล่าสัตว์ตามท้องนานะ ไม่ใช่ล่าสัตว์ในบ้าน ชอบยิงนกกระจาบ นกกระจาบนี่ยิงมาได้เป็นกระบุง ๆ ( ไม่ใช่วันเดียว คิดหลายวันรวมกัน ) แล้วก็มาคราวหนึ่ง เจ้าไก่ตัวหนึ่งมันเป็นไก่อยู่ที่บ้าน มันซนนัก ท่านก็จับมันเชือดคอจะแกง เมื่อเวลาที่เชือดคอแล้ว เข้าใจว่ามันตาย ก็วางลงไป มันก็วิ่งหนีไปอีก ท่านก็เลยจับมันมาเชือดเป็นวาระที่ ๒ เชือดเสียขาดเลยตาย
    ต่อมา ท่านเกิดปวดฟันไม่สบาย ตั้งใจว่าจะไปหาหมอถอนฟัน แต่ก็ยังไม่ได้ไป เวลาปวดอยู่นั้น พี่สาวเอายาอะไร กอเอี๊ยะหรืออะไรไม่ทราบ มาแปะให้บรรเทาความปวด ท่านก็นอนลงไป ประเดี๋ยวความปวดมันก็คลายตัว หลับไป มีความรู้สึกเคลิ้ม คล้าย ๆ กับหลับ แต่ความจริงไม่ได้หลับ พอมีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นตัวที่ ๒ ขึ้นมา
    มองเห็นตัวเดิม นอนอยู่ เห็นตัวที่ ๒ ยืนอยู่ แต่สภาพร่างกายเป็นสภาพเดิม เห็นคนนุ่งแดง ใส่แดง ใส่เสื้อแดง นุ่งกางเกงแดง มีอยู่ ๔ คน บอกว่า ไปด้วยกัน ฉันมารับ นี่แสดงว่าตายแล้ว เขาว่า ฉันมารับ เธอไปกับฉัน ท่านก็เดินตามไปอย่างคนว่าง่าย พอไปถึงสำนักพระยายม ปรากฎว่ามีนกฝูงใหญ่บินอยู่ในที่นั้น
    พอเขานำเข้าไปในสำนักของพระยายม นายบัญชีก็เปิดบัญชีขึ้นมา ประกาศความชั่วของท่านทั้งหมด ที่ทำในสมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์
    ตอนต้น ๆ ท่านยอมรับทุกอย่างว่าเป็นความจริง แล้วตอนท้านท่านบอกไม่จริง พอบอกว่าไม่จริงเท่านั้นแหละ
    พระยายมก็เอะใจ ถามว่า ตรวจดูซิว่า คนที่ให้ไปเอามาน่ะเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงไม่ตรงกับบัญชี เขาก็ถามชื่อท่าน ถามนามสกุลท่าน ท่านบอกชื่อและนามสกุล

    พระยายมก็บอกว่า ผิดตัวแล้ว นามสกุลไม่ใช่อย่างนี้ อายุ ๑๗ ปีเหมือนกัน ชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล ท่านให้นายบัญชีตรวจตำบลบ้าน กลายเป็นคนละจังหวัดไป ท่านอยู่จังหวัดเพชรบุรีนะ แต่คนที่ให้ไปเอามานั้น เป็นคนจังหวัดราชบุรี มันลงบุรี ๆ เหมือนกัน
    นี่ แสดงว่า ผีที่มานำตัวนี่ ก็ห่วย ๆ เหมือนกัน ไม่แน่นัก อาจจับผิดตัวได้ แล้วขณะที่เข้าไปใหม่ ๆ ท่านบอกว่า นกกระจาบมันก็ไปรายงานเป็นพยาน บอกว่า เจ้านี่มันโหดร้ายเหลือเกิน มันยิงพวกข้าพเจ้าตายเป็นเบือไปหมด

    พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว เจ้าไก่ก็เหมือนกัน มันเข้าไปรายงานว่า เจ้านี่โหดร้ายมาก มันฆ่าข้าพเจ้า ๒ ครั้ง ๒ หน พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว ในขณะที่เขารายงานอยู่ แล้วก็สอบถามกันอยู่ และเจ้าไก่กับนกกระจาบถอยออกไปแล้วทีนี้ เมื่อพระยายมถามว่า เจ้าทำแบบนี้ นี่ควรลงโทษอย่างหนัก แล้วความชั่วมีมาก ถึงแม้ว่าจะผิดตัวก็ตาม แต่ก็เป็นการดีแล้วที่ไม่ต้องตามบ่อย ๆ ท่านว่ายังงั้น เอาเสียเลยเป็นไง ลงโทษกันตามกฎของกรรมเลยเป็นไง ท่านบอกท่านก็นิ่ง ไม่มีอะไรจะเถียงเขา

    ในที่สุด นายนิริยบาลก็ทำท่าจะรับตัวท่านจะเอาไปลงนรก นำไปลงนรก แต่ขณะที่เดินก้าวออกมานั่นเอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงเบื้องหลัง บอกช้าก่อน ๆ ความดีของเขายังมีอยู่ ยังไม่ควรจะได้รับโทษ ท่านก็เลยเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่ง คลานตุบตับ ๆ ขึ้นมาทางด้านหลัง พระยายมก็เลยเรียกให้กลับมาใหม่ บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน มีคนเขาประกาศว่าเจ้าเคยทำความดีนี่ ความจริงในตอนต้น พระยายมก็ซักถามสถึงความดีแล้วตามที่บอกมา แต่ทว่าท่านบอก ท่านเองก็นึกไม่ออกว่าเคยทำบุญสุนทานอะไรบ้าง มันนึกไม่ออกจริง ๆ ตานี้เมื่อเต่าไปรายงานแบบนี้ ท่านก็หันหลังมา
    พระยายมก็ถามเต่าว่า เขามีความดีอะไรไว้ พอที่จะเป็นหลักฐาน เจ้าเต่าก็รายงานว่า คนนี้น่ะเขามีความดี ความชั่วอย่างอื่นเขามีจริงแหล่ แต่ทว่าความดีที่มีสำหรับข้าพเจ้าก็มีอยู่

    พระยายมจึงถามว่า เขาดีอะไร เจ้าเต่าก็รายงานบอกว่า เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อปีที่แล้วมีคนขี้เมามันจับข้าพเจ้าจะไปฆ่า เอาไปแกงทำกับแกล้มเหล้า คนนี้ได้ไปขอซื้อเข้าไว้ แล้วเอาข้าพเจ้าไปปล่อยให้รอดจากความตายพระยายมก็ถามว่า หลักฐานมีไหม? เจ้าเต่าก็บอกว่ามี เขายังเขียนชื่อของเขาไว้ที่หน้าอกของข้าพเจ้า พระยายมก็ให้เจ้าหน้าที่พลิกอกขึ้นดู ปรากฏว่า เป็นชื่อของพี่สาว

    นาย บัญชีก็ตรวจบัญชี พบพอดีเหมือนกัน ว่าเต่าตัวนี้รอดตาย เพราะชายคนนี้เป็นไวยาวัจมัย ช่วยซื้อ แต่ความจริงพี่สาวเป็นคนซื้อ แต่ว่านายคนนี้ เป็นคนนำเงินไปให้คนขี้เมา แล้วก็เป็นคนรับเต่าเอามาแล้วก็เขียนชื่อพี่สาวลงไป ในที่สุด ก็นำเต่าไปปล่อยด้วยมือของตนเอง
    พระยายมก็เลยหันมาถามท่านว่า เป็นความจริงตามนั้นไหม? ท่านก็เลยรับ

    ตอนนี้นึกได้ว่าเป็นความจริง พระยายมก็เลยบอกว่า ความดียังมีอยู่นะ นี่ บังเอิญยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าถึงอายุขัยแล้วจะปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่นี่ยังไม่ถึงอายุขัยจงกลับไปที่เดิมก่อน แล้วต่อจากนี้ไป จงอย่าทำกรรมชั่ว
    ท่านแนะนำมาว่า สัตว์สำคัญจงอย่าฆ่า มี

    ๑. ช้าง
    ๒. จระเข้
    ๓. เต่า แล้วก็
    ๔. อะไรไม่ทราบ
    เพราะพวกนี้มีกรรมหนัก ที่ว่า ๔ นั่นจำไม่ได้นะ อาตมาคนพูดจำไม่ได้ แล้วท่านก็บอกว่า ถึงแม้สัตว์เล็ก ก็เหมือนกัน ไม่ควรจะฆ่า


    กลับไปแล้วควรจะรักษา ศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แล้วก็พยายามเจริญภาวนาเข้าไว้ ให้จิตน้อมเข้าไปในส่วนของกุศล เอาจิตนึกถึงส่วนกุศลไว้เป็นประจำ เวลาเขาจะนำมา จิตจะได้ระลึกถึงกุศลได้ จิตที่นึกถึงกุศลเป็นประจำน่ะ

    บรรดา ท่านพุทธบริษัทฟังแล้วอาจจะเข้าใจยาก เราจะไปนั่งนึกถึงสิ่งที่เราทำบุญทำทานทุกอย่างทุกประการ เราก็นึกไม่ออก บางทีเราก็นึกไม่ไหว เพราะมันมากด้วยกัน ก็นึกตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน

    ในอนุสสติ ๑๐ ประการ มี พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น คือว่า นึกถึงความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอะไรอีก ๑๐ ประการ ไปเปิดดูในคู่มือกรรมฐาน หรือว่าในวิสุทธิมรรคจึงจะเข้าใจ ในหลักสูตรของนักธรรมโทก็มี

    เป็นอันว่า พระองค์นั้น สมัยนั้นไม่ใช่เป็นพระ พ้นจากการลงนรกไป เมื่อท่านทราบแล้ว เขาก็ปล่อยกลับที่เดิม กลับที่เดิมแล้วก็กลับเข้าร่างกายใหม่ ท่านบอกว่าอาการที่ปวดฟันมันก็หายไป

    นี่ เป็นอันว่า เวลาที่เขาจะนำไปเขาทำให้ตายได้ คือ เอาจิต เอาวิญญาณ ร่างกายในไปเสีย ตัวสั่งงานที่ร่างกายไม่มี ร่างกายมันก็เหมือนท่อนไม้
    เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่เคารพ นี่เรามานั่งฟังเรื่องราวของพระยายมกัน แล้วท่านทั้งหลายคิดไหมว่า พระยายมมันเป็นพวกของสัตว์นรก เป็นยังงั้นหรือเปล่า?

    แต่ความจริงไม่ ใช่ยังงั้นนะ พระยายมนี่เราฟังกันแล้ว แล้วดูหน้าท่านซิ ท่านแสดงความสดชื่นบอกไม่ถูก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ที่เขาบอกว่า พระยายมมีเขา เห็นไหม? เห็นเขาพระยายมไหม? ไม่มี หวีผมออกแปร้ หน้าตาสะสวย

    แต่ นี่ว่ากันตามจิตของพระอรหันต์นะ พระที่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณและพระอรหันต์ด้วย หรือว่าได้อภิญญาและเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านเห็นมาตามนั้น แต่บางคนที่ลงไปอาศัยที่กรรมมีมาก ความดียังไม่แจ่มใส อาการจิตที่เป็นทิพย์ยังน้อยเกินไป ก็จะเห็นบางคนในสำนักพระยายมนี่น่ากลัว พระยายมบางทีท่านนั่งอ้วนพลุ้ย แล้วนายนิริยบาลก็ดี หรือเทวดาประจำสำนักก็ดี นายบัญชีก็ดี จะรู้สึกว่าไม่สะสวย นั่นเรียกว่า ตาหรือใจยังมีกิเลสอยู่มาก เหมือนคนตาฝ้าตามัว มองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก
    ตา นี้ เรามาว่ากันต่อไป ในเมื่อพระยายมมีหน้าที่อย่างนี้แล้ว ก็อยากจะถามว่าพระยายมเป็นพวกนรกหรือเป็นพวกสวรรค์

    อันนี้ เราก็ดูการแต่งตัว ดูซิ สำนักของพระยายมเป็นวิมานแพรวพราวไปด้วยแก้วและทอง แม้แต่ม่านที่กั้นชั้นในก็เป็นม่านแก้วมณี ม่านที่กั้นรองลงมาก็เป็นม่านทองคำ ม่านที่สามออกมาก็เป็นม่านเส้นเงินและเส้นทอง ม่านภายนอกเป็นม่านสีแดงนี่ แล้วก็ม่านภายนอกสุดเป็นม่านสีดำ เห็นไหม? ไม่เหมือนกัน ที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะว่าข้างนอกก็ปล่อยให้มัว ๆ ไป

    ถ้า หากว่าเราจะมอง ๆ ดูพวกนายนิริยบาลที่มาคอยรับคน คนที่แต่งตัวใหญ่ ๆ ถืออาวุธนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาไม่สะสวย หาความสวยไม่ได้เลย มีแต่ความน่ากลัว แกพูดก็ไม่ค่อยเป็น น่ากลัวจะไม่ได้เรียนภาษามนุษย์ เข้าไปถามอะไรแก แกยืนเฉย มองตาปริบ ๆ บางทีก็มองตาเป๋ง แกไม่พูด ตาพวกนี่น่ากลัวจะไม่ได้หัดพูดมา พวกนี้แต่งตัวไม่สวย นุ่งผ้าหยักรั้ง เสื้อแกก็ไม่ใส่ ถืออาวุธ ผมก็หยิก หน้าตาก็ดุ น่าเกลียด น่ากลัว

    ที นี้ มาดูพวกของพระยายมบ้าง ตั้งแต่พระยายมลงมา พระยายมมีเครื่องประดับเป็นพื้นสีทอง เป็นทองคำก็แล้วกัน แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ เต็มไปทั้งเสื้อทั้งผ้านุ่ง หน้าตาอิ่มเอิบ ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยสดงดงาม สีเหลือง ๆ เนื้อท่านน่ะ ขาวเนื้อละเอียด ผิวเหลือง สวยมาก
    ทีนี้ หันไปทางขวา ถ้าเราหันหน้าไปทางพระยายมจะเห็นนายบัญชีใหญ่มีพื้นสีทองเหมือนกัน เครื่องแต่งกายจะมีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี หน้าตาอิ่มเอิบ สวยสดงดงามเหมือนกัน

    มองดูไปทางซ้ายหัวหน้าเทวดาใหญ่ หัวหน้าเทวดาใหญ่มีเครื่องประดับแต่งกายเป็นพื้นสีแดง แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ หน้าตาสวยสดงดงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส
    นี่ ท่านจึงเรียกว่า พระยายมไม่ใช่พวกนรก เป็นพวกของพรหม เรียกว่า เป็นพวกของสวรรค์ อาการที่ท่านแสดงออกมีอาการของพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน คือ มีเมตตา เขานำสัตว์นรกลงไปแล้ว แทนที่ท่านจะโหดร้าย กลับแสดงความเมตตาปรานี มีความรัก มีความสงสาร

    เมื่อสัตว์นรกตอบรับความผิดทุกอย่างแล้ว แทนที่จะลงโทษ กลับหันมาถามถึงความดีให้คิดให้ตอบ ถ้าตอบถึงกฎของความดีได้เพียงคำเดียว ท่านบอกว่าผลของความดียังมีอยู่ ปล่อยไปรับผลของความดีก่อน

    ตานี้ เมื่อสัตว์ทั้งหลายทบทวนความดีให้ฟังถึง ๓ ครั้งแล้ว สัตว์ทั้งหลายนึกไม่ออก ท่านก็ต้องปลงอุเบกขา บอกว่า เมื่อเราทบทวนถึงความดีแล้ว ท่านนึกไม่ได้ก็จำใจต้องปล่อยให้ไปตามกฎของกรรม

    นี่ ละ บรรดาท่านผู้รับฟังและท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจรเมืองนรก นี่ก็เป็นชุดที่สาม ชุดที่สามแล้ว จงจำไว้และเข้าใจไว้ด้วยว่า พระยายมไม่ใช่พวกของสัตว์นรก พระยายมเป็นชาวสวรรค์ คอยกีดกันคนไม่ให้ลงนรก
    เอา ละ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง เวลานี้ก็ควบเวลาพอดี ๓๐ นาที หรือจะเลยไปนิดก็ไม่ทราบ ก็ต้องขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทพักผ่อน ไม่ใช่กลับ คือ นอนกันอยู่เมืองนรกนี่แหละ ท่านทั้งหลายที่ติดตามก็เหมือนกัน ยังกลับไม่ได้ นอนอยู่ในเมืองนรกด้วยกันก่อน
    เอาละ วันนี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่ติดตามชมนรกทุกท่าน สวัสดี


    http://pradee2.com
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เรื่อง กำเนิดการสร้างพระอุโบสถ-ลูกนิมิต (หลวงพ่อพระราชพรหมยานเทศน์เมื่อ ๑๕ กถุมภาพันธ์ ๒๕๒๓)

    ...ฯลฯ ในสมัยสมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น และก็พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ขยายเข้าไปในเขตประเทศจีน แต่ความจริงประเพณีเดิมเขาก็มีอยู่ แต่ว่าศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครูเข้าไปแต่ภายหลัง เราจะเห็นว่า ชาว จีนมักนิยมบูชา พระมหากัจจายนะ เขาถือว่าพระที่ปประกอบด้วยลาภสักการะ มีความร่ำรวยถ้าบูชาท่าน และอีกประการหนึ่ง ทั้งสิ่งของวัตถุที่ปั้นขึ้นเป็นภาชนะมักจะมีรูป โป๊ยเซียน

    คำว่า โป๊ยเซียน เซียนนี่แปลว่าผู้วิเศษ โป๊ยแปลว่าแปด โป๊ยเซียนนี่แปลว่าผู้วิเศษ ๘ ท่าน ก็ได้แก่ อรหันต์ ๘ ทิศ

    ฉะนั้น ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมสามิสรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงชีวิตอยู่ เมื่อสาวกได้สดับพระรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมครู เป็น พระอรหันต์แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ส่งไปประกาศพระศาสนาในทิศต่างๆ ในตอนนั้นที่มีพพระยังน้อยอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงแนะนำว่า จงช่วย กันไปสอนคนละทิศคนละทาง แต่ทิศหนึ่งอย่าไปพร้อมกัน ๒ องค์ ให้แยกกันไป ภายหลังเมื่อพระสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรมีมาก ก็ย่อมไปอยู่แดนละหลายๆ องค์ได้

    อันแดนที่ที่จะพึงทราบมาเท่าที่สังเกตุได้...

    ๑. แดนภาคเหหนือของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดลำปาง ลำพูน เชียงใหม่นี่ ทราบว่าเป็นแดนของ พระโมคคัลนะ

    ๒. เลยเชียงใหม่ขึ้นไปในเขตเชียงราย หรือเชียงตุง อันนี้เป็นแดนของ พระ มหากัสสป

    ๓. เข้าไปในเขตประทศจีน เป็นแดนของ พระมหา กัจจายนะ ฉะนั้นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระของชาวจีน จึงมีรูปของ พระ มหากัจจายนะ มาก

    และที่ชาวจีนมีรูป โป๊ยเซียน คือ อรหันต์ ๘ ทิศ นี่ก็หมายความว่า ในสมัยที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรประกาศเขต ให้พระสงฆ์ ทำสังฆกรรม ที่เวลานี้เราเรียกว่า อโบสถ คำว่า อุโบสถ หรือที่ทำสังฆกรรมก็หมายถึงว่า เป็นที่ ประชุมของสงฆ์ ปรึกษาหารือกัน หรือประกาศผลบางเหตุบางประการ อย่างนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกระทำขึ้น ให้พระอรหันต์ ๘ องค์ไปยืนอยู่ใน ๘ ทิศ แล้วองค์สมเด็จพระธรรมสามิสรก็ถามว่า ที่ นั่นใครยืนอยู่ พระที่ยืนอยู่ก็ตอบแก่องค์สมเด็จพระบรมครูตามชื่อของพระองค์นั้น เช่น พระ สารีบุตร ยืนอยู่ ท่านก็ถามว่านั่นใคร ท่านก็ตอบว่า นี่ สารีบุตร พระเจ้าค่ะ สมเด็จพระบรมศาสดาก็ถามว่า ตรง นั้นมีอะไรเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องกั้นเขต พระที่ยืนอยู่ก็ตอบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า มีหินหรือต้นไม้ เป็นต้น

    เป็นอันว่า อาศัยที่องค์สมเด็จพระทศพลแนะนำบรรดาพระภิกษุว่า ที่จะควรทำ สังฆกรรม คำว่า สังฆกรรม นี่คือ กิจที่สงฆ์พึงจะร่วมกันทำ ก็ให้ตั้งเขตประเภทนี้ไว้ และห้ามบุคคลอื่นใดเข้าไปยุ่งในเขตนั้น เวลาที่พระสงฆ์ประชุมกัน จึงเรียกว่า แดนสังฆกรรม เวลานี้เรียกว่า แดนอุโบสถ และฝัง ลูกนิมิต นิมิต นี่แปลว่า เครื่องหมายเป็นการกั้นเขต

    การที่องค์สมเด็จพพระบรมโลกเชษฐ์ทำครั้งแรกแบบนี้ ต่อไปบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ที่อยู่แยกกันไปในแดนไกล ก็พากันตั้งเขตเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่ตั้งไว้ เป็นที่ ประชุมสงฆ์

    ฉะนั้น อาศัยที่พระต้องยืนกันเขต หรือยืนรักษาเขต ชี้เขต ๘ องค์ บรรดาชาวจีนจึงเรียกว่า โป๊ยเซียน แปลว่าผู้วิเศษ ๘ ท่าน เพราะว่าสมัยนั้นที่พระพุทธเจ้ากระทำก็มี พระ โมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัจจายนะ พระอานนท์ เป็นต้น ซึ่งเป็นพระที่มีความสำคัญทั้งหมด นี่ว่ากันถึงเรื่องชาวจีนที่เขานับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าขณะเดียวกันที่นับถือพระพุทธศาสนา เขาก็นับถือศาสนาอื่นมาก่อน ในเมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปแล้ว ศาสนาอื่นก็ยังนับถืออยู่ ฯลฯ...(สามารถติดตามอ่านต่อได้ในหนังสือธัมมวิโมกข์ เล่ม ๓๒๓ หน้า ๔๑)


     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หลวง พ่อพระราชพรหมยาน กับ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์/พระสุปฏิปันโนสายหลวงพ่อ

    ประวัติการพบกันระหว่างหลวงพ่อกับ หลวงปู่


    ต่อไปนี้ก็จะขอลำดับประวัติความเป็นมาระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ ซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ผมต้องกราบขออภัยหลวงปู่ไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่ก็คงจะช่วยย้อนภาพความทรงจำในอดีต เพื่อให้ลูกหลานภายหลังจะได้ทราบ ถึงแม้จะไม่ได้ถึง ๑๐๐ % ก็ยังดี แต่พอที่จะจำได้ก็เป็นตอนก่อนที่หลวงพ่อกับหลวงปู่จะพบกัน คงจะเป็นแนวทางให้คนภายหลัง จะได้นำเรื่องราวไปเรียบเรียบเป็นประวัติได้บ้าง จึงขอให้ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีนะ

    ความเดิมนั้นมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะจัดงาน "วันครบรอบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงพ่อปาน" ที่วัดท่าซุง ตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ ท่านตั้งใจจะนิมนต์ "พระ สุปฏิปันโน" มาร่วมงานเป็นกรณีพิเศษ ด้วย ทั้งนี้ ท่านได้รับพุทธบัญชาให้ไปหาพระที่มีชื่อว่า "ทึม" ในตอนนั้นประมาณปี ๒๕๑๗ ผู้เขียนยังไม่ได้บวช จึงได้ยินท่านเล่าด้วยตนเอง หลังจากเลิกเจริญพระกรรมฐานแล้ว และได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับท่านหลายครั้ง แม้กระทั่งที่นี่ก็ได้มาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้บวช "ล่าพระอาจารย์" เป็นครั้งแรก

    หลวงพ่อจึงเริ่มเดินทางสู่ภาคเหนือ ญาติโยมทั้งหลายคงจะจำได้ คำว่า "ล่าพระอาจารย์" จึงได้เกิดขึ้นกันตอนนี้เอง พระสุปฏิปันโน "ชุดแรก" ที่หลวงพ่อไปล่ามาได้ ทุกคนจำไว้ให้ดีนะ เผื่อมีใครเขาถาม จะลำดับให้ฟังกันนั่นก็คือ...หลวงปู่สิม หลวงปู่แหวน หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า (ผู้น้อง) และหลวงปู่ครูบาอินทรจักร วัดน้ำบ่อหลวง (ผู้พี่) ชุดแรกรวม ๔ องค์ด้วยกัน ที่หลวงพ่อเดินทางไปพบไปเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๖ พ.ย. ๒๕๑๗

    ครั้งที่ ๒ ต่อมาครั้งที่ ๒ ที่หลวงพ่อเดินทางไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๘ คือทิ้งระยะห่างเพียง ๒ เดือนเศษเท่านั้น ท่านก็ได้มาพบ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในตอนนี้เองแหละเป็นตอนที่สำคัญ โดย หลวงปู่ท่านได้แนะนำพระสุปฏิปันโนที่สำคัญต่อไปอีกว่า ให้หลวงพ่อไปพบ หลวง ปู่บุญทึม วัดจามเทวี และ หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) วัดสวนดอก

    แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปพบหลวงปู่ทั้ง ๒ องค์ทันที เพราะชื่อหลวงปู่บุญทึม ไปตรงกับชื่อ "ทึม" ตามที่พระท่านสั่งหลวงพ่อไว้ จึงเป็นอันว่าพบแล้วตามพระพุทธประสงค์ ชุดที่สองนี้จึงเพิ่มขึ้นอีก ๒ องค์ รวมเป็น ๖ องค์ ในเวลานั้นก็ได้พบกับ หลวงปู่บุดดา หลวงปู่สี อายุ ๑๒๖ ปี (อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์) และ หลวงปู่มหาอำพัน ด้วย

    ครั้งที่ ๓ ในกรณีนี้ จะลำดับเฉพาะพระสายเหนือต่อไปอีกว่า อาจารย์ที่ดีเขาไม่หวงลูกศิษย์กัน หลวงพ่อก็ได้นำลูกศิษย์ไปกราบพระผู้ทรงคุณพิเศษเหล่านี้อีก จึงได้มีการเดินทางอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ โดยเว้นเพียง ๒ เดือนกว่า หลวงพ่อก็เดินทางอีกแล้ว จะเห็นว่าเวลานั้น หลวงพ่อท่านทำงานหนักมาก กว่าจะล่ามาให้พวกเรารู้จักกัน ชุดนี้มีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่จะพบกัน ณ วัดจามเทวี พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในการล่าครั้งก่อนโน้น กลับมาก็ตัวเบากระเป๋าเบากันเป็นแถว

    การไปคราวนี้ จึงได้ทราบว่า หลวงปู่บุญทึม จะเปิดตัวพระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย แล้วพวกเราก็ได้พบเห็นการล่าของหลวงพ่อ โดยการซักถามถึงภูมิธรรมของท่าน ปรากฏว่าต้องจนแต้มหลวงพ่อ คือการยอมรับว่าตนเองเป็นพระสุปฏิปันโนไปในที่สุด หลวงปู่บุญทึมถึงกับพูดออกมาในตอนนั้น หลังจากเห็นหลวงพ่อไล่ต้อนหลวงปู่ชุ่ม ซึ่งท่านก็คงจะเล่นละครให้เราดูกัน

    ท่านบอกว่า "เราโดนต้อนเข้าคอกไปคนหนึ่งแล้ว เดี๋ยวก็คงจะโดนต้อนเข้าไปอีกคนนั่นแหละ...! " แล้วท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งแหงนหน้ามองดูเพดาน ปล่อยให้หลวงปู่โดนหลวงพ่อไล่ล่าจนจนมุม ผลที่สุดพวกเราก็ประทับใจที่ได้พบ "พระสุปฎิปันโน" เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง

    --------------------------------------------------------------------------------


    หลวงพ่อเดินทางไปพบกับหลวงปู่วงศ์ เป็นครั้งแรก

    ครั้งที่ ๔ ในครั้งนี้แหละเป็นครั้งที่สำคัญ ที่พวกเราอยากจะรู้กัน ลองทายซิว่าเป็นใคร..? คงจะเดากันได้ว่า ครั้งนี้คงจะมาถึงวัดพระพุทธบาทห้วยต้มอย่างแน่นอน ถึงแม้จะอยู่กันห่างไกลสักแค่ไหน สมัยนั้นหนทางกันดารจะลำบากเพียงใด ใจ ที่ได้ผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ

    ทั้งนี้ ผู้ที่เชื่อมความสัมพันธ์ให้ท่านทั้งสองได้โคจรมาพบกัน นั่นก็คือ หลวงปู่บุญทึม อีกเช่นเคย เหมือนท่านจะรู้วาระว่าจะอยู่อีกไม่นาน จึงคิดจะละสังขารไว้ใ สถานที่แห่งนี้ แผนของท่านจึงได้ถูกวางไว้ โดยให้กะเหรี่ยงหามท่านมานอนพักรักษาตัวอยู่ ณ ที่นี้ เพื่อรอคอยเวลาที่จะมาถึง

    ฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่ หลวงปู่ชุ่ม ท่านจะเข้านิโรธสมาบัติ เป็นเวลา ๗ วัน พวกเราต่างก็เกณฑ์ทัพกันมาด้วยรถบัสจำนวนหลายสิบคัน หลังจากได้บำเพ็ญกุศลกับผลของสมาบัติจนชื่นใจแล้ว บรรดาลูกแก้วทั้งหลายก็เดินทางกลับ แต่ยังมีเหลือเฉพาะหลวงพ่อและผู้ติดตามอีกเล็กน้อย เพื่อจะคอยติดตามไปเยี่ยมหลวงปู่บุญทึมกัน หลังจากนั้นก็เดินทางมาที่นี่

    วันแห่งความทรงจำ ซึ่งสมัยนั้นนับตั้งแต่ทางเข้าหน้าวัดไป มีต้นไม้อยู่หนาแน่นมาก จึงนับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่หลวงพ่อและหลวงปู่พร้อมทั้งชาวเมืองและชาวกะเหรี่ยงทั้งหลาย จึงได้พบกัน และได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นวันสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๘ คือเมื่อ ๒๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๐) ที่ผ่านมานั่นเอง

    ฉะนั้น ในวันนี้ นอกจากจะมาร่วมฉลองงานครบรอบ ๘๔ ปี ของหลวงปู่แล้ว ก็ยังตั้งใจจะมาเฉลิมฉลองเนื่องในวันที่หลวงและหลวงปู่ได้มาพบกันอีกด้วย เรียกว่าฉลองกัน ๒ ต่อก็ว่าได้ ส่วนอาการอาพาธของหลวงปู่บุญทึมนั้น ต่อมาหลวงพ่อท่านขอร้องให้ไปหาหมอ จึงต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอก แล้วก็ได้มรณภาพไปในที่สุด เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๙ คืออีก ๔๒ วันต่อมา จึงอยากจะให้พวกเราทุกคน เมื่อได้รับฟังเรื่องราวนี้แล้ว ทั้งที่ยังมิได้เคยนำมาเล่าย้อนกันเลย จะได้หวลนึกถึงพระคุณของท่าน

    ถ้ามิใช่เป็นเพราะความเมตตาของหลวงปู่บุญทึม ป่านนี้เราอาจจะมิได้ยืนอยู่ ณ ที่นี้ก็เป็นได้ จึงขอให้ทุกคนที่ได้รับฟังแล้ว จงจดจำไว้ว่าผู้ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อและหลวงปู่ของเราให้ได้ พบกัน นั่นก็คือ หลวงปู่บุญทึม หรือชื่อ "ทึม" ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดประทานพรให้หลวงพ่อตามหาให้ พบ แล้วท่านก็พบกันจริงๆ อีกทั้งได้พบพระสุปฎิปันโนองค์อื่น ๆ ตามมาอีกหลายองค์ ซึ่งมาจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน จึงได้มาพบหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์เป็นที่สุด นี่เป็นผลงานที่ท่านทำไว้ให้พวกเราทุกคนก่อนจะสิ้นลมหายใจไปในชีวิตสุดท้าย ของท่าน

    ในตอนนี้ก็จะขอนำเรื่องราวที่หลวงพ่อเล่าเอาไว้ในคราวนั้น มาให้ญาติโยมทั้งหลายทราบสักเล็กน้อย โดยหลวงปู่ชุ่มได้เล่าในขณะที่เข้า นิโรธสมาบัติให้หลวงพ่อฟังก่อนว่า "แผ่นดินจะถล่ม" มีผู้หญิง ๒ คน เป็นเทวดา คนหนึ่งถือสมุด อีกคนหนึ่งถือถุงย่ามมาถามว่า มานั่งสมาธิทำไม ท่านก็บอกว่ามานั่งเพื่อบุญกุศลแล้วก็ชวนท่านไป ท่านก็บอกว่ายังไม่ไป ขันธ์ ๕ มันยังไม่ถึงเวลาพัง แล้วเขาก็ไล่เรียงด้วยประการต่าง ๆ ถึงผลแห่งการเข้านิโรธสมาบัติ

    ท่านบอกว่า ทำเพื่อความเยือกเย็นของบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเวลานี้ประเทศชาติกำลังเร่าร้อน แล้วเขาก็บอกว่า "เวลานี้...แผ่น ดินมันจะถล่มแล้ว..!" ซึ่งคำนี้เอง...ทำให้นึกย้อนถึงเรื่องราวที่หลวงปู่ดาบส เล่าถึงเรื่องที่ ท้าวมหาพรหมมาบอกให้ อ.ศักดา หาถ้ำเป็นที่หลบภัย ไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ ขออย่าให้เป็นจริงอย่างนั้นเถิด แล้วหลวงพ่อท่านก็เล่าต่อไป

    ลองมาฟังดูว่า หลงงพ่อท่านพูดถึงหลวงปู่ว่าอย่างไรบ้าง...? ความประทับใจของหลวงพ่อที่มีต่อหลวงปู่...


    "อาตมามีงานที่จะต้องไปอำเภอลี้ เขาบอกว่า หลวงปู่ทึมไปป่วยอยู่ที่นั่น อยู่กับหลวงปู่วงศ์ หลวงปู่วงศ์นี่เป็นพระ พิเศษ คือชนะใจกระเหรี่ยงได้ เอากะเหรี่ยงเข้าปฏิบัติกันมากมาย กะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้าน ทั้งหมดเป็นกะเหรี่ยงที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานกัน เหตุที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วก็หลวงปู่วงศ์ท่านมีนโยบาย เพราะว่า พวกนี้เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้ฆ่าไว้แกงกินกัน

    ท่านบอกว่าใครจะมาเป็น ลูกศิษย์ท่าน จะต้องกินเจ ๓ ปี ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าเลย ๓ ปีไปแล้ว กินเนื้อสัตว์ได้ อันนี้เป็นนโยบายสำหรับท่าน ต่อมาเขาก็รักษาศีล ๕ กันอย่างเคร่งเครัด ไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าใครละเมิดศีล ๕ แม้แต่ข้อเดียว หัวหน้าของเขาจะขับออกจากหมู่บ้านนั้นทันที

    เมื่อฉันเช้าเสร็จ เราก็เดินทางกันเข้าไปยังวัดหลวงพ่อวงศ์ "ครูบาวงศ์" เขาเรียกยังงั้น เดินทางเข้าไปถึงระหว่างทาง ทางมันมีน้ำอยู่บ้าง บรรดากะเหรี่ยงทั้งหลายเขาคอยกันตั้งแต่วานนี้แล้ว คือวันที่ ๒๒ มิถุนายน วันนี้เป็นวันที่ ๒๒ เป็นวันเดินทางนะ เมื่อเข้าไปถึงเขต ปรากฏว่ากะเหรี่ยงกำลังโรยลูกรัง พอรถผ่านไป ทุกคนนั่งพับเพียบลงกับพื้น ปูผ้าลงกราบกับพื้น

    อาตมาเองก็รู้สึกอายกะเหรี่ยงเหมือนกัน อายในจริยาแห่งความดีของกะเหรี่ยงทั้งหลาย ที่เขาเข้าถึงพระรัตนตรัยถึงเพียงนี้
    ถ้าเราจะปรับปรุงพวกเขาก็รู้สึกว่านานสักนิด ที่จะมีจิตทำได้อย่างเขา รู้สึกว่าเขาดีมาก อันนี้ก็ต้องขอขมเชยครูบาวงศ์ ท่านเป็นหัวหน้าคณะ

    พอ อาตมาเข้าไปถึงวัด ก็ปรากฎว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ขับรถนั่งรถตามไปข้างหลัง เขาไม่ได้ ไหว้แต่รถพระ แม้แต่รถฆราวาสที่เข้าไป เขาก็เอาผ้าปูกับพื้น กราบกับพื้นดินเหมือนกัน เห็นแล้วก็รู้สึกนึกถึงคนแก่คนเฒ่า จิตใจของชาวไทยสมัยก่อน เราก็สภาพแบบกะเหรี่ยงในเวลานี้ เมื่อไปถึงแล้ว ครูบาวงศ์ท่านก็มารับ วัดในป่า บรรดาท่านพุทธบริษัท โบสถ์ใหญ่มหึมา ขนาดโบสถ์อาตมานี่ต้อง ๓ หลัง แล้วก็ศาลาการเปรียญยาว ๑๖๐ เมตร แล้วบริเวณวัดก็สวยงาม

    อาตมาเห็นเข้าแล้วก็นึกปลื้มใจในปฏิปทาของ ท่าน ผลงานทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นมา เป็นแรงของกะเหรี่ยงทั้งสิ้น ไม่ต้องจ้างกัน (แต่เวลานี้ชาวเมืองเข้าไปช่วยกันแล้ว ซึ่งเป็นชุดแรกที่ไปกับหลวงพ่อ ๒๐๐ กว่าคน) ครูบาวงศ์ท่านก็ดีเหลือเกิน จึงถามว่าครูบาทึมป่วยอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าอยู่ที่กุฏิไกลออกไปโน้น

    แหม...บริเวณ ของท่านสวยมาก อยากจะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปเที่ยว อาตมาไปเห็นครูบาวงศ์ท่านดึงกำลังใจ ชนะกำลังใจของกะเหรี่ยงไว้ได้ นี่แสดงว่าทำให้ประเทศไทยเราปลอดภัยไปอีกเยอะ เพราะพวกกะเหรี่ยงมีความ เข้มแข็งในการบ แต่ถ้าครูบาวงศ์ไม่ดึงกำลังใจเขาไว้ อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะดึงกำลังใจกะเหรี่ยงพวกนี้ไป

    พระสงฆ์ในพระ พุทธศาสนามีโอกาสช่วยประเทศชาติได้มากแบบนี้ ถ้าเราเต็มใจทำกัน ถ้าไม่เมาในลาภยศสรรเสริญสุขเสียแล้ว ร่วมกันสร้างความสามัคคี มาถึงตอนนี้ก็อยากจะขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลาย ช่วยกันปฏิบัติตามแบบของครูบาวงศ์นี่ได้จะดีมาก ครูบาวงศ์ก็ดี ครูบาชุ่มก็ดี ครูบาทึมก็ดี ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้ชนะใจชาวเขาชาวป่า ดึงเอาชาวเขาชาวป่ามามากมาเป็นไทยแท้ มาเป็นพุทธศาสนิกชน

    แล้ว วัดนี้ก็ปรากฏว่า สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ทำทางเข้าไปให้ อาตมาตั้งใจไว้ว่า จะไปทอดกฐินที่วัดจามเทวี ก็จะซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำ แป๊ปน้ำปะปา ไปถวายท่านครูบาวงศ์ เป็นการช่วยดึงกำลังใจพวกกะเหรี่ยงให้มั่นคงยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะให้ทั้งบ้านไม่ได้ แต่ว่าให้วัดเป็นศูนย์ใจกลางของพุทธบริษัทชาวกะเหรี่ยง..."


    --------------------------------------------------------------------------------


    นี่เป็นคำพูดที่หลวงพ่อท่านมีความประทับใจ ที่ได้พบกับหลวงปู่และชาวกะเหรี่ยงเป็นครั้งแรก ในตอนนี้ จะขอแทรกจาก พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือของท่านว่า...

    เกือบ จะถูกสึกเป็นครั้งที่ ๒

    "สมัยที่ผมเป็นผู้บังคับหมวด ตชด.ที่อยู่ที่ ค่ายดารารัศมี มีรายงานว่าพบพระสงฆ์องค์หนึ่ง ซ่องสุมพวกกะเหรี่ยงอยู่ที่อำเภอลี้ มีการปลุกระดมกันทุกคืน จึงได้ส่ง ตชด. ไปสืบสวน ปรากฏว่าเป็นหลวงปู่ครูบาวงศ์นั่นเอง

    มันบอกว่าพอตกค่ำ พระองค์นั้นก็นำกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านสวดมนต์ แล้วก็เทศน์เป็นภาษากะเหรี่ยง จบแล้วก็สอนกรรมฐาน เห็นกะเหรี่ยงนั่งหลับตานับลูกประคำกันเป็นทิวแถว เป็นอันว่า หลวงปู่รอดจากการถูกจับสึก เป็นครั้งที่ ๒ ส่วนเพื่อนผมนั้น ก็รอดจากนรกไปเส้นยาแดงผ่าแปด...

    หลวงปู่กับหลวงปู่ทึม เป็นพระที่สนิทสนมกันมาก เมื่อหลวงปู่ทึมได้รับแต่งตั้งเป็น "พระครูปลัด" จึงได้ขอตำแหน่ง "พระครูใบฎีกา" ให้กับหลวงปู่วงศ์ด้วย ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ส่วนใหญ่หลวงปู่ทึมคิด แต่ให้หลวงปู่วงศ์ทำ เพราะหลวงปู่ทึมไม่แข็งแรง ส่วนหลวงปู่วงศ์โน่น...อยู่บนนั่งร้านหรือไม่ก็บนหลังคา ไม่ศาลา ก็โบสถ์...!"

    ผู้การอรรณพที่เล่าไว้ก็จบเพียงแค่นี้ ต่อมาหลังจากท่านทั้งสองได้พบกัน ก็มีผลงานมากมาย บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทั้งชาติและพระศาสนา ในที่นี้จะขอนำมาสรุปโดยย่อว่า...

    - หลวงปู่พร้อมคณะชาวกะเหรี่ยง ได้มาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ และ วันที่ ๗ พ.ย. ๑๘ เดินทางมาร่วมพิธีพุทธาภิเษก "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" ณ วัดบวรนิเวศน์ วันที่ ๑๔ พ.ย. ๑๘ เดินทางไปร่วมพิธียกฉัตรบนพระเจดีย์องค์เล็ก ณ วัดพระธาตุจอมกิตติ ร่วมกับหลวงปู่อีกหลายองค์ ตามที่ได้เล่าเรื่องไปแล้ว เมื่อวันที่ ๑๘ ม.ค. ๒๕๔๐

    - ครั้นต่อมา วันที่ ๑๕ พ.ย.๑๘ หลวงพ่อมาทอดผ้าป่าที่นี่อีก เป็นครั้งที่ ๒ แล้วไปทอดกฐินที่วัดจามเทวี ในวันที่ ๑๖ พ.ย. โดยมี หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่คำแสนใหญ่, หลวงปู่ธรรมไชย รออยู่ที่นี่ วันที่ ๒๐ ธ.ค. หลวงปู่มาพักที่บ้านเจ้ากรมเสริมเป็นครั้งแรก ร่วมกับ หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่ชุ่ม และ หลวงปู่ธรรมไชย

    - ปี ๒๕๑๙ วันที่ ๑๙ มีนาคม หลวงปู่มางานยกช่อผ้าพระอุโบสถที่วัดท่าซุง เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งนี้ หลวงปู่ทำตาลปัตรและบาตรถวาย หลวงพ่อเป็นที่ระลึก แล้วมีการแห่ต้นทานไปรอบพระอุโบสถ... หลังจากนั้นอีกไม่นาน หลวงปู่ก็มาที่วัดท่าซุงอีกเป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้มาเป็นพิเศษ คือมาถึงวัดประมาณตี ๑ เพื่อนำเรือที่ทำขึ้นเอง มาถวายแก่หลวงพ่อ

    วันที่ ๒๔ เมษายน หลวงพ่อไปงานเผาศพ หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี พบ หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมไชย, หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่คำแสนใหญ่, หลวงปู่ครูบาพรหมจักร, หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่บุดดา, หลวงปู่มหาอำพัน และที่สำคัญคือได้พบ หลวงปู่ครูบาอภิชัย (ครูบาขาวปี) ที่นี่ เวลานั้นอายุ ๘๖ ปี ที่หลวงพ่อ บอกว่า "ขาวทั้ง นอก ขาวทั้งใน" นั่นเอง

    วันที่ ๖ ส.ค. ๑๙ หลวงปู่ มาบ้านเจ้ากรมเสริม แล้วไปร่วมปลุกเสกที่ วัดระฆัง วันที่ ๒๔ เดือนนี้เอง หลวงปู่จึงได้เดินทางร่วมกับหลวงพ่อ และหลวงปู่องค์อื่น ๆ ไปพักที่บ้านอธิการบดีมหาวิทยาสงขลานครินทร์ แล้วจึงได้มีการยืนถ่ายภาพร่วมกันไว้ ณ ที่นั้น ที่เรียกกันในภายหลังว่า ๗ เซียนนั่นเอง


    ความจริงยังมี หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ อีกองค์หนึ่งที่ร่วมไปด้วย หลวงปู่จึงได้มีความสัมพันธ์กับ วัดบุปผาราม ตั้งแต่นั้นมา หลังจากกลับมาจากปักษ์ใต้ไม่นาน หลวงปู่ชุ่ม ก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ย. ๒๕๑๙ แต่ก่อนที่หลวงปู่ชุ่มจะมรณภาพนั้น ท่านก็ได้เข้าโรงพยาบาลพร้อมกับหลวงปู่วงศ์ โดยไปรับหลวงปู่ทั้งสองท่านมาเข้าโรงพยาบาลพร้อมมิตร

    หลวงปู่ชุ่ม เป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ปัสสาวะไม่สะดวก ส่วนหลวงปู่วงศ์ ไปผ่าตัดทำกระดูกคอที่แตก เนื่องจากตกลงมาจากที่สูง ทั้งสององค์อยู่ห้องเดียวกัน แต่หลวงปู่ชุ่มสิ้นไปเสียก่อนด้วยโรคหัวใจกำเริบ เรื่องหลวงปู่ชุ่มมรณภาพนี้ ได้เล่าไว้ในหนังสือแจกงานศพของ คุณโยมเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ มีดังนี้ว่า..

    "...มาได้ความจากหลวงปู่วงศ์ในภาย หลังว่า หลวงปู่ชุ่มท่านพูดกับหลวงปู่วงศ์ ตั้งแต่อยู่ลำพูนแล้ว บอกว่าอยู่ที่นี่ก็ตาย ไปกรุงเทพก็ตาย ไปตายกรุงเทพดีกว่า เขาจะได้ทำบุญกัน คุณโยมอ๋อยจึงต่อว่าหลวงปู่วงศ์ว่า "โธ่...! แล้วหลวงปู่ทำไม่บอก แล้ว หลวงปู่ก็หัวเราะแหะ ๆ"

    --------------------------------------------------------------------------------


    "บันทึก พิเศษ" ของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก


    ในตอนนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะขออนุญาตลงพิมพ์ข้อธรรมะของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก เนื่องจากเป็นสิ่งที่หาได้ยากนัก ที่เราจะได้รับฟังโอวาทจากท่านโดยตรง เพราะท่านได้มรณภาพไปนานแล้ว ญาติโยมที่มาภายหลังก็ดี หรือที่มีโอกาสได้พบท่านมาแล้วก็ดี คงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับฟังคำสอนจากท่านโดยตรง

    เพราะฉะนั้น เนื่องในวโรกาสที่เขียนเรื่องนี้มาเกี่ยวกันกับท่านพอดี จึงจะถือโอกาสเปิดเผยข้อคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ชุ่ม ที่ท่านได้เขียนทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาธรรม ตั้งแต่ครั้งที่ท่านได้เดินทางมาในวันงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ วัดท่าซุง วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ แล้วจึงเขียนข้อความนี้ไว้ในกุฏิที่ท่านมาพักเมื่อท่านเดินทางกลับไปแล้ว คุณไพโรจน์ ชาติรักษา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่อุปฐากท่านในระหว่างงาน ได้เข้าไปทำความสะอาดในกุฏิที่ท่านเคยพัก จึงได้พบกระดาษห่อการะบูน เมื่อคลี่ออกมาดูแล้ว จึงได้อ่านพบข้อความดังต่อไปนี้

    คติ ธรรมของหลวงปู่ชุ่ม

    "ของบุญและกรรมที่ทำไว้ จะส่งเสริมไปในทางที่ดี หรือชั่ว สิ่งที่จะพึ่งได้ให้เราพ้นทุกข์ ก็คือ...ธรรมะของพระพุทธเจ้า มี ศีล สมาธิ ปัญญา จงพิจารณาในวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะรู้แจ้งเห็นจริง "วิ" แปลว่า "รู้" "ปัสสนา" แปลว่า "แจ้ง"

    รวมแล้วแปลว่า รู้แจ้งในสังขารทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง พระท่านว่า ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั่นเอง คือการเปลี่ยนแปลงผิด ธรรดาไป ถ้าเกิดความไม่เที่ยงขึ้นเมื่อใด ก็ต้องเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราจะห้ามไม่ให้มันเปลี่ยนก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันต้องเปลี่ยน ท่านจึงได้สอนให้ละ ให้วาง จะได้ไม่วุ่น

    ฉะนั้น เรื่องใจความของพระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจจริง ๆ ตามสภาวะที่มันเป็นอยู่ตามความเป็นจริง ทีนี้...ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือไม่ว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ "ยึด" เสียอย่างเดียว มันก็ไม่มีความหมาย มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมันเอง

    ที นี้คำว่า "นิพพาน" ก็คือความดับร้อน เหลือแต่ความเย็นนั่นเอง ถ้าจะถามว่า "อะไร...เป็นความร้อน..? ก็ตอบได้เลยว่า "ไอ้ตัวยึดมั่น ถือมั่น นั่นเแหละ มันเป็น ความร้อน หรือความทุกข์...!"

    เราลองมองดูให้ดีซิว่า เราทุกคนนี้กำลังมีปัญหากันอยู่มากที่สุด เพราะไอ้เรื่องดี เรื่อง ชั่ว เรื่องรัก และชัง สุขและทุกข์ เพราะอยากดี ก็ไปเกลียดชั่ว ทีนี้ก็เป็น "เราดี เราชั่ว" ขึ้นมาทันที เราไปยึดมันเข้าไว้ จึงเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์

    สรุปในปัจจุบันนี้ เรากำลังยังเป็นกันอยู่ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจึงจะได้รับทุกข์ เราได้รับทั้งเป็น ๆ อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น ในประเทศไทยเรา พวกพุทธบริษัทต่างคนต่างเรียนธรรมะกันมากอย่างยิ่ง แต่แล้วก็ยังทำความเข้าใจกันไม่ได้ เพระายังมีข้อขัดแย้ง ทำให้ความวุ่นวาย เกิดขึ้นในสังคมของชาวพุทธนั่นเอง การปฏิบัติให้ถูกต้องก็ไม่เกิดขึ้น เพราะไม่เข้าใจธรรมะ "กำมือเดียว" นั่นเอง

    ธรรมะมีหลักอยู่ ๔ ประการ

    ประการ ที่ ๑ คำว่า "ธรรม" หมายถึง"ธรรมชาติ" ทั้งหมด ทั้ง รูปธรรม นามธรรม กุศล อกุศล หรือ อัพยากฤต ก็ตาม แม้ที่สุด แต่พระนิพพาน ก็เรียกว่า "ธรรมชาติ" ทีนี้ทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสภาวะธรรมที่เป็นเอง หรือเป็นไปเอง

    ประการ ที่ ๒ กฎของธรรมชาติ ตรงนี้ พยายามจับความหมายให้ดี เราจะต้องเข้าใจให้ดีว่า ตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎของธรรมชาติ อย่างหนึ่ง สภาวะธรรม อีกอย่างหนึ่ง แล้ว ธรรมดา อีกอย่างหนึ่ง รวมความแล้ว ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ นั่นเอง..."

    --------------------------------------------------------------------------------


    โอวาท ของท่านก็จบเพียงแค่นี้ ต่อไปจะขอเล่าเรื่อง "หลวงปู่วงศ์" อีกว่า ครั้นถึงปี ๒๕๒๐ วันที่ ๑๖ เมษายน หลวงปู่ได้มาวัดท่าซุงอีกเป็นครั้งที่ ๔ มาในงานฝังลูกนิมิต กะเหรี่ยงพักที่ศาลาในน้ำ ข้างร้านอาหารโยมกิมกี หลวงพ่อจึงให้ชื่อว่า "เรีอนกะเหรี่ยง" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ใน ระหว่างงาน หลวงปู่แต่ละองค์นั่งเรียงเป็นแถวตามลำดับอาวุโส เพื่อรับอาหารบิณฑบาตทุกเช้า และในตอนนี้มีการทำบุญต่ออายุหลวงปู่ชัยวงศ์กันด้วย ในวันที่ ๒๐ คณะหลวงปู่ได้มีการแห่ผ้าป่าเรือทานกันรอบวัด และมีกะเหรี่ยงฟ้อนรำดาบ ซึ่งมีตั้งแต่มาครั้งแรกแล้ว

    วันที่ ๕ พฤษภาคม หลวงปู่เดินทางไปร่วมงานพิธียกฉัตรกับหลวงพ่อ ณ วัดพระธาตุดอยตุง โดยหลวงปู่ได้รับหน้าที่ในการจัดหาฉัตร และเตรียมติดตั้งไว้บนยอดพระเจดีย์ เพราะหลวงปู่มีความชำนาญในเรื่องนี้ เมื่อได้เตรียมงานเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้นำคณะศิษย์ไปจัดงานพิธีดังกล่าว ในโอกาสนี้ หลวงปู่จึงได้บรรจุ "พระธาตุข้าว" ไว้ในพระเจดีย์นี้ด้วย

    ครั้นถึงปี ๒๕๒๑ หลวงพ่อตั้ง ศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แล้วได้นำวัตถุสิ่งของ เช่น ข้าวสาร เกลือ และ เสื้อผ้า เป็นต้น มาแจกจ่ายแก่ชาวบ้านและชาวกะเหรี่ยง จำนวนคนประมาณพันคนเศษ เมื่อวันที่ ๗-๘ ม.ค. ๒๕๒๑

    ครั้นถึงวันที่ ๑๒ เดือนนั้นเอง คุณโยมอ๋อย ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริมตาย หลวงปู่ได้มาร่วมงานศพแล้วพักที่บ้านสายลม ต่อมาหลวงปู่ได้ร่วมเดินทางกับหลวงพ่อตลอดมา ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ได้ออกเยี่ยมทหารตำรวจชายแดน สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร และโปรดพุทธบริษัททั้งหลาย จนมีผู้เคารพนับถือหลวงปู่มากยิ่งขึ้น

    ก่อน ที่หลวงพ่อจะมรณภาพไม่กี่ปี หลวงปู่ก็ได้เอาเรือมาถวายหลวงพ่ออีก ๒-๓ ลำ เวลานี้ยังอยู่ที่ฝั่งโบสถ์เก่า และพวกกะเหรี่ยง ก็ได้เอาผักผลไม้มาให้ที่วัดอยู่เสมอ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว หลวงปู่ก็ได้อุตส่าห์มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลครบ ๗ วัน ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดเรื่องราวระหว่าง "หลวงพ่อกับหลวงปู่" โดยย่อไว้แต่เพียงเท่านี้

    ในระหว่างที่เล่าไปนั้น มีผู้อุปฐากบางท่านคอยถามหลวงปู่อยู่เสมอ เพราะเกรงว่าท่านจะนั่งไม่ไหว แต่หลวงปู่ท่านก็อุตส่าห์เมตตานั่งเป็นกำลังใจให้แก่ลูกหลานของหลวงพ่อ ที่ได้เดินทางกันมาจากที่ไกล อีกทั้งพวกเราก็เกรงใจท่านเหลือเกิน พยายามที่จะรวบรัดใจความให้สั้นที่สุด จนกระทั่งถึงพิธีบวงสรวงตามแบบฉบับของหลงงพ่อ ท่านก็ได้นั่งอยู่ต่อไปตามความประสงค์ของท่าน

    ครั้นหลวงพ่อบวงสรวงจบ แล้ว พระครูสมุห์พิชิต (หลวงพี่โอ) ก็ได้เป็นตัวแทนคณะศิษย์ฯ เข้าไปนั่งข้างหน้าหลวงปู่ แล้วยกพานขอขมาที่ได้จัดทำอย่างวิจิตรสวยงาม กล่าวคำขอขมาพร้อมกัน...ฯลฯ


    ...ในที่สุดนี้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดอนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดนี้ เพื่อความสุขสวัสดีจะมีแก่ท่านเช่นกัน..ขอเจริญพร.


    ผมเคยถามท่านที่เป็นฌาณลาภีบุคคลในชาตินี้ว่า ระหว่างสมเด็จองค์ปฐมที่ท่านหลวงพ่อฤาษีขอบารมีท่านมาทำ (เสก)ให้ กับสมเด็จองค์ปฐมที่ครูบาวงศ์ขอบารมีท่านให้มาทำให้เช่นเดียวกันนั้น เหมือนกันหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่" จึงถามต่อว่าเพราะเหตุใด คำตอบก็คือ "ลูกขอ กับญาติขอ" คิดว่าท่านจะตั้งใจทำให้ใครมากที่สุดล่ะ ทุกวันนี้ ไม่มีปัญญาจะเก็บองค์ปฐมรุ่น 1 คงแต่เพียงให้ลูกสาวแขวนเพียงองค์ปฐมของวัดโขงขาวเท่านั้น จะดิ้นรนทำไมกันกับรุ่น 1 ก็ในเมื่อรุ่น 3 ของวัดท่าซุงกับของวัดโขงขาว ท่านลงมาทำให้เหมือนกับรุ่น 1 ของวัดท่าซุงเหมือนกัน แต่ราคาต่างกันฟ้ากับเหวครับ เลือกของดีราคาถูกดีกว่า




     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พระคำข้าว พระหางหมาก

    อานุภาพพระมหาลาภคำข้าว
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ลูกโชคดีเพราะอาศัยบารมี พระมหาลาภคำข้าว ช่วย คือที่หน่วยงานมีการจับสลาก มีของต่าง ๆ วางไว้เยอะแยะ ลูกเห็นนาฬิกาเรือนนั้นน่ารักมาก ก็เลยชอบใจอธิษฐานให้ พระมหาลาภคำข้าว ช่วย ผลปรากฏว่าได้จริง ๆ เจ้าค่ะ แต่พอนึกดูอีกที เอ๊ะ! ถวายหลวงพ่อจะดีกว่า แต่หลวงพ่อใส่นาฬิกาไม่ได้ จะเอาไว้ก็ไม่ดี ก็เลยตัดสินใจอย่างนี้เจ้าค่ะ ขอถวายหลวงพ่อไป สุดแต่หลวงพ่อจะเอาไปให้ใครหรือจะทำอย่างไร อย่างนี้หลวงพ่อจะรับหรือเปล่าเจ้าคะ ?
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ดีกว่ามั้ง ! เอาไปขายเอาเงินมาถวายสังฆทาน มีอานิสงส์ใหญ่
    ผู้ ถาม คงจะเห็นหลวงพ่อใส่นาฬิกาข้อมือขวาได้
    หลวงพ่อ (หัวเราะ) อันนี้แม่เหล็ก
    ผู้ถาม มีคนหลายคนมาถาม หลวงพ่อใส่ยี่ห้ออะไร ?
    หลวงพ่อ ยี่ห้อแม่เหล็ก เขาปรับอวัยวะในร่างกาย มันดี ก็ต้องใส่นานหน่อย มาเที่ยวนี้ขาไม่บวม ที่เท้าก็ใส่ด้วยนะ ทุกเที่ยวนั่งนี่ขาบวม ตอนนี้ไม่บวม ไอ้แขนซ้ายเมื่อก่อนนี้เหยียดตรง ๆ ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เหยียดได้แล้ว มันก็ช่วยทีละน้อย ๆ นะ มันก็ช่วยมาก
    ผู้ถาม อย่างนี้ลูกหลานจะซื่อมาถวายหลวงพ่อก็...
    หลวงพ่อ โอ๊ะ! ดีเลย....ผูกตั้งแต่หันยันเท้าเลย (หัวเราะ)
    ผู้ถาม อ้อ...เป็นสนามแม่เหล็ก ช่วยได้แยะเลยนะครับ และอย่างกับลูกหลานนี่ มีหลายฉบับบอกว่า ระยะหลังนี่ก็ซื้อนกซื้อปลาซื้ออะไร ๆ มาปล่อย ๆ กัน แล้วก็อุทิศให้หลวงพ่อนี่ จะพอมีผลกับหลวงพ่อหรือไม่ครับ ?
    หลวงพ่อ น่ากลัวจะมีผลนะ เพราะหลายเที่ยวแล้ว ฉันป่วยหนักมาที่นี่ มาเที่ยวนี้ดีมาก มีผล ผลบาปมันใหญ่มาก ให้ไปค่อย ๆ เลาะทีทีละหน่อย ๆ บาปในอดีตน่ะมันเยอะ
    ผู้ถาม หลวงพ่อเคยสร้างบารมีอะไรไว้เยอะครับ ?
    หลวงพ่อ โอ๊ะ ! บารมีควาย ก็สนามหลวงหลายสนามหลวง ยืนเบียดกันน่ะสัก ๑๐ สนามหลวงนี่ ยังไม่พอเลย เลี้ยงทหารในกองทัพ
    ผู้ถาม แล้วผู้คนเวลารบทัพจับศึก หลวงพ่อเคยฆ่าตายมากมายขนาดไหนครับ ?
    หลวง พ่อ ไม่เคยฆ่าตายเลย มีแต่ฟันตาย (หัวเราะ) จำไม่ได้หรอก
    ผู้ ถาม แล้วอันนั้นตามมาสงเคราะห์หลวงพ่อ ให้เจ็บไข้ได้ป่วย
    หลวง พ่อ ใช่ ๆ ๆ เขาสงเคราะห์ นี่อานิสงส์พิเศษ

    เจิมป้ายกิจการ ร่ำรวย
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกกับเพื่อน ๆ อีกหลายท่านได้ร่วมกันตั้งบริษัท ตอนนี้ที่ตั้งบริษัทนี้ ลูกได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ คือลูกเอาแป้งมาให้หลวงพ่อเสก หลวงพ่อก็มุบมิบ ๆ เสร็จแล้วลูกก็เอาไปเจิมที่ป้าย อุ้ย ! กิจการเจริญรุ่งเรืองเป็นการใหญ่ ลูกขอขอบคุณในตอนนั้น แต่ว่าตอนนี้แย่เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไรทะเลาะกันเรื่อย แก้ปัญหาไม่ตก ลูกอยากจะถามหลวพ่อว่า หลวงพ่อมีแป้งแบบใหม่ที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้หรือไม่เจ้าค่ะ ?
    หลวง พ่อ เอ้า ! เลิกทะเลาะกันเสียอันดับแรก ประการที่ ๒ ว่า คาถาเงินล้าน เป็นประจำ ประการที่ ๓ ขายของอย่าให้แพงนัก ประการที่ ๔ แบ่ง ยกทรง มั่ง แบ่งฉันมั่ง ( หัวเราะ) เอ้า!เลิกทะเลาะกันนะ และว่า คาถาเงินล้าน เป็นปกติ
    ผู้ถาม เรื่องหารเงินการทองนี่ต้องมอบให้ คาถาเงินล้าน
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ถ้ามี พระคำข้าว ด้วยจะดีมาก
    ผู้ถาม ยิ่ง พระหางหมาก ร่วมด้วยยิ่งดีใหญ่
    หลวงพ่อ พระหางหมาก นี่ไม่ช้าได้ข่าว ถ้าสมัยอเมริกาอยู่ได้เงินเป็นล้าน
    ผู้ถาม พวกฝรั่งนี่แปลกนะ องค์ไหนยิงไม่เข้าฟันไม่ออกกี่ร้อยกี่พันดอลลาร์มันซื้อหมด !
    หลวงพ่อ พระของฉันทุกองค์น่ะ ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ไม่มีอันตราย
    หลวงพ่อ หลวงพ่อกล้าค้ำประกันถึงขนาดนี้หรือครับ ?
    ผู้ถาม ใช่ ๆ ๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้านะ ถ้าเขายิงกัน อย่าออกไป ถ้าเขาฟันกัน อย่าเข้าไป ไม่มีอันตราย ปลอดภัยทุกอย่าง ( หัวเราะ) ใช่ ๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า เขายังกันอย่าออกไปจากบ้าน อยู่ในบ้านเสีย เขาฟันกันอย่าเข้าไปใกล้ ๆ

    ผมเคยถามฌาณลาภีบุคคลเช่นกัน ในเรื่องระหว่างพระคำข้าว และพระหางหมากของหลวงพ่อฤาษีฯ ว่า หากเลือกแขวนสององค์นี้เพียงหนึ่งองค์ จะเลือกองค์ไหนดี "พระคำข้าวสิว๊ะ" พระคำข้าวทำมาเพื่อเป็นพระทำมาหากิน และโชคลาภ ส่วนหางหมากนั้นมหาเสน่ห์ แต่เงินต้องมาก่อน เราก็ควรแขวนพระหาเงินมีเงินก่อนจึงจะดี มีเงินแล้วก็จะมีเสน่ห์เองใช่มั๊ย..อืม..จริงของท่านแฮะ
     
  13. nui99

    nui99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +185
    ร่วมทำบุญครับ วันนี้ผมและคุณแม่ได้โอนเงินเข้าบัญชี กองทุุนสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ เป็นจำนวนเงิน 300 บาท เวลา 10.31 วันที่โอน 24/07/2553 อนุโมนาครับ
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายการทำบุญโรงพยาบาลสงฆ์เดือนกรกฎาคม 53

    ตอนที่ 1

    การจัดภัตรหารร่วมกัน ช่วยกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    การบริจาค ณ จุดรับบริจาค

    [​IMG]

    ยอดบริจาคในเดือนนี้

    [​IMG]

    จัดเตรียมเพื่อเคลื่อนพลครับ

    [​IMG]

    มาถ่ายรูปร่วมกันอีกครา ณ เดือนกรกฎาคม 53

    [​IMG]

    อยู่ร่วมกัน ณ ชั้น 6

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC19974.JPG
      SDC19974.JPG
      ขนาดไฟล์:
      191.4 KB
      เปิดดู:
      762
    • SDC19975.JPG
      SDC19975.JPG
      ขนาดไฟล์:
      195.5 KB
      เปิดดู:
      802
    • SDC19978.JPG
      SDC19978.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196.6 KB
      เปิดดู:
      766
    • SDC19981.JPG
      SDC19981.JPG
      ขนาดไฟล์:
      194.4 KB
      เปิดดู:
      799
    • SDC19984.JPG
      SDC19984.JPG
      ขนาดไฟล์:
      185.1 KB
      เปิดดู:
      786
    • SDC19998.JPG
      SDC19998.JPG
      ขนาดไฟล์:
      203 KB
      เปิดดู:
      780
    • SDC19999.JPG
      SDC19999.JPG
      ขนาดไฟล์:
      205.1 KB
      เปิดดู:
      747
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2010
  15. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ตอนที่ 2

    การตั้งจิตอธิฐานร่วมกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    และเข้ามาร่วมพิธีกันครับ

    [​IMG]

    บรรดาสมาชิกผู้ร่วมบุญครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC10002.JPG
      SDC10002.JPG
      ขนาดไฟล์:
      206.5 KB
      เปิดดู:
      116
    • SDC10004.JPG
      SDC10004.JPG
      ขนาดไฟล์:
      208.9 KB
      เปิดดู:
      816
    • SDC10005.JPG
      SDC10005.JPG
      ขนาดไฟล์:
      211.2 KB
      เปิดดู:
      753
    • SDC10008.JPG
      SDC10008.JPG
      ขนาดไฟล์:
      223.5 KB
      เปิดดู:
      775
    • SDC10010.JPG
      SDC10010.JPG
      ขนาดไฟล์:
      175.3 KB
      เปิดดู:
      793
    • SDC10013.JPG
      SDC10013.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183 KB
      เปิดดู:
      749
    • SDC10015.JPG
      SDC10015.JPG
      ขนาดไฟล์:
      206.5 KB
      เปิดดู:
      757
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2010
  16. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ตอนที่ 3 ตามติดๆ ครับ

    ณ มุมหนึ่งการพิธีครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    และร่วมกันช่วยกันถวายครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    และรับพรด้วยครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC10020.JPG
      SDC10020.JPG
      ขนาดไฟล์:
      193.1 KB
      เปิดดู:
      639
    • SDC10021.JPG
      SDC10021.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196 KB
      เปิดดู:
      650
    • SDC10023.JPG
      SDC10023.JPG
      ขนาดไฟล์:
      200.1 KB
      เปิดดู:
      695
    • SDC10025.JPG
      SDC10025.JPG
      ขนาดไฟล์:
      189.4 KB
      เปิดดู:
      74
    • SDC10027.JPG
      SDC10027.JPG
      ขนาดไฟล์:
      185.3 KB
      เปิดดู:
      679
    • SDC10028.JPG
      SDC10028.JPG
      ขนาดไฟล์:
      186.4 KB
      เปิดดู:
      671
    • SDC10030.JPG
      SDC10030.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183.8 KB
      เปิดดู:
      663
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2010
  17. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ตอนที่ 4 ตอนสุดท้ายครับ

    [​IMG]

    ถ่ายมาตั้งแต่ชั้น 6 ไล่ลงมารู้สึกว่า คุณพระท่านอาพาธกันหนักๆ ครับ

    [​IMG]

    หลังจากนั้นมาก็มาพักผ่อนและคุยกันที่อาคารหอฉันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สุดท้ายก็ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านครับ

    พบกันเดือนหน้า สิงหาคมนะครับ

    [​IMG]

    ทุกครั้งที่ทำบุญ ก็กรวดน้ำกันสักนิดครับ

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC10031.JPG
      SDC10031.JPG
      ขนาดไฟล์:
      204.7 KB
      เปิดดู:
      656
    • SDC10039.JPG
      SDC10039.JPG
      ขนาดไฟล์:
      195.1 KB
      เปิดดู:
      649
    • SDC10045.JPG
      SDC10045.JPG
      ขนาดไฟล์:
      212.8 KB
      เปิดดู:
      579
    • SDC10047.JPG
      SDC10047.JPG
      ขนาดไฟล์:
      207.8 KB
      เปิดดู:
      631
    • SDC10050.JPG
      SDC10050.JPG
      ขนาดไฟล์:
      183.2 KB
      เปิดดู:
      609
    • SDC10051.JPG
      SDC10051.JPG
      ขนาดไฟล์:
      143.2 KB
      เปิดดู:
      632
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2010
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บ่อยครั้งที่ดูในรูปกิจกรรมของทุนนิธิฯ จะเห็นอริยาบทหนึ่งก่อนที่เราเข้าไปถวายสังฆทานอาหารแด่พระสงฆ์ที่เจ็บป่วย นั่นคือการนั่งล้อมรถเข็นที่ใส่ภัตตาหารที่เราเรียกว่าเครื่องสังฆทานอาหาร และเรียกรถเข็นเจ้าสองคันนี้ว่า "รถบุญ" ซึ่งรถบุญนี้ก็จะมีผู้จองเข็นกันเป็นประจำ หรือบางครั้งก็แย่งกันเข็นด้วยซ้ำ ทีนี้ก็มาดูกันว่าทำไมเราถึงต้องนั่งล้อมรถเข็นหรือรถบุญกัน เรากำลังทำอะไร บ่อยครั้งที่ผมมักจะยืนบอกว่า เอ้าวันนี้เรามาถวายสังฆทานอาหารกัน มีพระสงฆ์อาพาธทั้งหมดกี่รูป เรามาจบของกัน อยากได้อะไรก็ "อธิษฐาน" กันเอาเอง อะไรคือแรงอธิษฐาน และมันมีความหมายว่าอย่างไร ลองมาอ่านบทความนี้กัน (นี่ว่ากันเฉพาะสังฆทานอาหารเพียงอย่างเดียว ยังไม่นับรวมถึง สลิปที่โอนเงิน จดหมายที่แจ้งการบริจาคเงิน ทุกอย่างสามารถนำขึ้นมาจบ และอธิษฐานบุญได้เช่นเดียวกันและสร้างความมหัศจรรย์ให้กับผมและฌาณลาภีบุคคลของทุนนิธิฯ มาแล้วอย่างกรณีของจดหมายที่มาจากแดนไกลที่อธิษฐานมาด้วยความบริสุทธิ์ทั้งทรัพย์และจิตใจที่พร้อมสมบูรณ์ในการบริจาคทานฉบับหนึ่งที่มีพลังอธิษฐานที่แกร่งกล้ามาก)


    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">
    [​IMG]


    ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?


    ๑๕. ถาม "ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?"

    ตอบ "ถ้าเราทำบุญแล้ว หวังจะให้บุญนั้นส่งผลให้ตามที่ตนมุ่งหมายไว้ ทำบุญแล้วอธิษฐานดีกว่า เพราะบุญนั้นจะให้เราสำเร็จเป้าหมายโดยเร็วไว แต่ถ้าเราทำบุญหรือความดีแล้วไม่ได้หวังผลอะไร นอกจากเห็นว่ามันเป็นความดีแล้วก็ทำ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน บุญที่เราทำไว้นั้น จะจัดคิวให้ผลของมันเอง"

    แต่การทำบุญแล้วอธิษฐานนั้นได้ผลตามเป้าหมายดีกว่า เหมือนนักศึกษาสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเราในปัจจุบัน เลือกวิชาที่ตนต้องการอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม... เอาไว้เมื่อสอบได้ ทางคณะกรรมการก็จัดให้เข้าเรียนตามสาขาวิชาที่เรามีสิทธิเข้าเรียนและเลือกไว้

    แต่ถ้าหากว่า ในการสอบไม่มีกำหนดให้เลือกวิชาใดไว้ก็แล้วแต่กรรมการจะจัดให้เข้าเรียนตามความเหมาะสม ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ตรงตามวิชาที่เราต้องการก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง การทำบุญแล้วอธิษฐาน ทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาทุกภพทุกชาติ ก็ทรงอธิษฐานเพื่อสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีแล้ว ไม่ทรงอธิษฐานเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ

    พระองค์ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้จะบำเพ็ญความดีมามากก็ตาม ต้องยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง เหมือนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ แม้จะเดินทางทุกวันก็ไม่อาจจะถึงเชียงใหม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มุ่งจะไปเชียงใหม่

    แต่อย่างไรก็ตาม ในการทำบุญแล้วอธิษฐานนั้น ก็ควรอธิษฐานในขอบเขตที่เป็นไปได้ จึงจะได้รับผลตามที่ตนมุ่งหมายไว้ แต่ถ้าทำเหตุไม่สมกับผล หรือไม่สร้างเหตุแห่งการทำดีคือบุญเลย แต่ต้องการผลเกินกว่าเหตุ หรืออธิษฐานพร่ำเพรื่อมากเกินไป (แบบค้ากำไรเกินควร)

    ก็จะไม่ได้รับผลที่ต้องการ การที่จะได้รับผลของบุญตามที่ได้อธิษฐานนั้น ก็ต่อเมื่อแรงบุญหรือพลังบุญที่ทำไว้เพียงพอ

    ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนจึงควรอธิษฐานเฉพาะเรื่องที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรอธิษฐานพร่ำเพรื่อไปเสียทุกเรื่อง มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้ผลในเรื่องที่หวังผลเกินกว่าเหตุ และจะเข้าลักษณะอ้อนวอน เหมือนอย่างศาสนาประเภทเทวนิยม ที่ถือพระเจ้าสร้างโลกทั้งหลายไปเสีย"


    ที่มา:http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2300
    ภาพประกอบจาก Internet

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หมดจากเรื่องทำบุญทีนี้มาลองดูพระเครื่องพิมพ์นึง ที่เป็นพิมพ์นอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง ราคาหลักสิบ แต่ก็ขอรับรองได้ว่าพลังท่านไม่เป็นสองรองใคร แถมมีเอกคุณเฉพาะตัวคือเรียกทรัพย์ได้ หากมีตาในดูก็จะพบว่าท่านท้าวเวสฯ หรือท่านท้าวกุเวร ท่านมาร่วมในพิธีด้วยนั่นเอง เป็นพระพิมพ์เนื้อแกร่งเหมือนเนื้อกระเบื้อง เพราะวางบนกระจกจะมีเสียงดัง "กริ๊บ" พระพิมพ์สกุลนี้ เป็นพิมพ์ที่ลักษณะคล้ายพระพิมพ์สมเด็จอะระหังของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ตาในของฌาณลาภีบุคคลก็ดูได้อีกเช่นกันก็บอกว่าเป็นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ท่านเสกไว้ให้ ทำไว้ที่วัดมหาธาตุ มีทั้งเกศตรง และเกศอุ แต่เกศอุจะแรงกว่า มีทั้งทารักสีเลือดหมูและแบบไม่ลงรัก ผมมีทั้งสองแบบ แบบไม่ลงรักจะถูกกว่าคือมีราคาเพียงองค์ละ 10.-(เมื่อสองปีที่แล้ว) เท่านั้น

    ปัจจุบันพบเห็นแต่เพียงแบบไม่ลงรักขยับราคาขึ้นมาเป็นองค์ละ 40-70.-แล้วแต่ต่อรอง คนขายมาจากอยุธยา อยู่ตรงตู้โทรศัพท์ทางเข้าวัดมหาธาตุ (ประตูเล็กด้านสนามหลวง) แต่ผมมีอยู่แล้วเลยขี้เกียจเก็บ องค์ทารักผมชอบมากถึงกับเลี่ยมทองไว้เลย เคยให้คนที่รู้จักคล้องคอนำไปเล่นไพ่เพื่อลองของ ผลก็คือได้กำไรมา 4,000.- ตั้งแต่นั้นเลยเก็บเงียบเพราะเราไม่ใช่คนเล่นการพนัน และไม่สนับสนุนใคร พอดีเห็นภาพนี้ในเวบพระโบราณเลยนำมาลงให้ดูเป็นวิทยาทานกัน ใครจะว่าพระปลอมก็ใช่ แต่ปลอมจากวงการครับ ของจริงท่านมีพลังทิพย์ที่กล้าแกร่งมาก พบเห็นเก็บไว้ครับ ไปหาเอาเองจากที่ที่บอกข้างต้นก็แล้วกันคนขายเค้าจะใส่กล่องพลาสติกไว้ให้ เนื้อแตกแบบสังคโลกก็มีใครมีแว่นดีก็ส่องเอา จำเอาไว้ เนื้อแกร่ง มีเกศตรงหรืออุก็ได้ มีรอยรานแบบสังคโลกคว้าไว้ก่อนก็แล้วกัน แต่ที่เห็นน่าจะใช่ทั้งหมดนั่นแหละ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพตัวอย่าง​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  20. nut1663

    nut1663 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    702
    ค่าพลัง:
    +2,691
    ไม่ทราบว่า พี่พันวฤทธิ์ พอจะ สงเคราะห์ น้องๆได้หรือปล่าวครับ ผมอยู่ ตจว เข้า กทม ไปไหนก็ ไม่ค่อยจะถูกครับ อยากมีไว้บูชาครับ

    หาก ผิดวัตถุประสงค์ ของกระทู้ นี้ผมก็ กราบขออภัยล่วงหน้าครับ

    ณัฐวุฒิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...