หลวงพ่อลี ธัมมธโร มองเห็นความตายเหมือนสายฟ้าแลบ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย pinkpink, 10 กรกฎาคม 2010.

  1. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ออกพรรษาในปี ๒๔๗๔ หลวงพ่อลีมีจิตผ่องใสเบิกบานเต็มที่ การเข้า
    โมกธรรมอย่างเต็มที่ในพรรษาที่ผ่านมา คือ ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น
    จากการเกิดแก่เจ็บตาย ทำให้เบาสบายตลอดวันคืน

    หลวงพ่อลีได้กราบลาพระอุปัชฌาย์จากวัดสระปทุมออกธุดงค์ ผ่าน
    จังหวัดอยุธยา สระบุรี ลพบุรี อำเภอท่าตะโก และบึงบอระเพ็ด เพื่อไป
    โปรดพี่ชายและเพื่อนฝูงเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส

    ในระหว่างที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ได้ออกไปพักอยู่ในป่า ห่างจากหมู่
    บ้านประมาณ ๒๐ เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างบ้านที่ตกมันร้อง
    เสียงดัง ชาวบ้านที่แวะเวียนมากราบนมัสการบอกให้ทราบว่าช้างทั้งสอง
    กำลังต่อสู้กัน

    ช้างทั้งคู่สู้กันหลายครั้งนานถึง ๓ วัน ช้างป่าสู้ไม่ได้บาดเจ็บและหมดแรง
    ตายไปในที่สุด ส่วนช้างบ้านตกมันไม่เป็นไร

    แต่ช้างผู้ชนะกลับยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งขนาดหนักพลุกพล่าน อาละวาดดุ
    ร้ายจนควาญช้างผู้เลี้ยงเอาไม่อยู่ เอางาไล่ทิ่มแทงผู้คนรอบบริเวณนั้น
    ขุนจบฯ เจ้าของช้างเห็นเหตุการณ์ไม่ดีเช่นนั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อลี เข้า
    ไปพักในบ้านเสียก่อน จนกว่าอาการตกมันของช้างจะหายเป็นปกติ

    หลวงพ่อลีปฏิเสธคำขอเช่นนั้น แม้จะมีอาการหวาดหวั่นต่อภัยที่อาจจะ
    เกิดขึ้น แต่ท่านเชื่อในอำนาจเมตตาแห่งอิทธิพุทธะ

    คืนนั้น...ขณะที่เจริญภาวนาสำรวจภาวนาจิตของตนเอง ถึงความกลัว
    ช้างตกมันทำร้าย และได้วิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ตนกลัวก็คือ "กลัวตาย"

    จิตได้ถามอีกว่า "แล้วทำไมจะต้องกลัวตาย?"

    ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงสืบเสาะหาที่มาของความกลัวตาย จึงได้ความว่า...
    ความตายนั้นเป็นของน่ากลัวสำหรับมนุษย์และสัตว์ สำหรับสัตว์เมื่อกลัว
    แล้วก็ได้แต่วิ่งหนีอะไรที่มันนึกว่าจะทำให้มันตายได้ มันก็หลบไปชั่วครั้ง
    ชั่วคราวไปจนกว่ามันจะตายจริง !

    แต่สำหรับมนุษย์นั้นมีปัญหารู้ได้ว่า ตัวเองนั้นจะต้องตายแน่ ถึงจะไปทาง
    ไหนก็ต้องตายจนได้ในวันหนึ่งวันใด แต่ก็ไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ไป
    นาน ๆ ถึงจะเจ็บไข้พิการอย่างไรก็ยังขอให้มีชีวิตเอาไว้ !
    ดังนั้นหากมีวิธีใดที่ยืดอายุได้ก็จะรีบทำ แม้กระทั่งหาพระหาเจ้าช่วยก็ต้องเอา

    คนทั่วไปคิดถึงเรื่องความตายเป็นของน่ากลัวเพราะอะไรนั้นหรือ ?

    ก็เพราะความหวงและห่วงชีวิตนี้ประการหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ว่าตายแล้วจะ
    เป็นอย่างไรอีกประการหนึ่ง

    และประการสุดท้าย คือ คนไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน !
    เพราะตอนนี้ชีวิตอยู่ทั้งบุญและบาปที่ทำไว้นั้นจะติดตามไปหรือไม่ ?
    ด้วยเหตุนี้คนจึงกลัวความตายกันอย่างมาก !

    ภาวะจิตของหลวงพ่อลียังคิดต่อไปอีกว่า เกิดก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์..แล้วจะ
    ไปคิดถึงเรื่องความตายทำไมให้เสียเวลา...

    เมื่อตายแล้วยังมีที่ไป ก็แปลว่าตายแล้วก็ต้องไปเกิดอีก เมื่อเกิดอีกทีก็
    ต้องทุกข์อีก "สู้มานั่งคิดว่า ทำอย่างไรตายแล้วจะไม่เกิดไม่ดีกว่าหรือ ?!"

    ใช่แล้ว...พุทธศาสนามีคำตอบ คือ นิพพาน เป็นสถานที่ไม่มีทุกข์ เพราะ
    ไม่เกิดอีก เป็นการดับสูญโดยสิ้นเชิง

    เมื่อหลวงพ่อลีคิดได้เช่นนี้ ความกลัวตายจึงมลายหายไปสิ้น หายใจเข้า
    ก็ตาย หายใจออกก็ตาย หลวงพ่อจึงมอง เห็นความตายเหมือนสายฟ้า
    แลบ เกิดขึ้นแล้วหายไปชั่วพริบตา

    รุ่งขึ้น...เวลาบ่าย ๆ ช้างตกมันเชือกนั้นตะเวนมาหยุดห่างที่หลวงพ่อปัก
    กลดเพียง ๒๐ วา ท่านก็มิได้ตระหนักกลัว แต่อย่างใด กลับแผ่เมตตาจิต
    ให้มัน เจ้าช้างตกมันเชือกนั้นจ้องมาทางท่านเป็นเวลาเกือบ ๑๐ นาที
    แล้วมันก็หันหลังกลับเดินเข้าป่า

    เช้าวันต่อมามีญาติโยมที่ต่าง ๆ ทราบข่าวว่าช้างตกมันไม่สามารถทำ
    อะไรหลวงพ่อลีได้ พากันมากราบนมัสการท่านเพื่อขอของดีไปป้องกัน
    ตัวกันมากมาย

    หลวงพ่อกล่าวว่า "ของดีของอาตมานั้น คือความเมตตา"

    ความประมาทหนทางสู่ความตาย
    หลวงพ่อลี ธมฺมธโร
    โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005775 โดยคุณ : mayrin 16 ก.ค 2545
    http://www.dharma-gateway.com/monk-preach-index-page.html
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณค่ะ ของดีคือความเมตตา เห็นด้วยทุกประการเลยค่ะ
     
  3. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เคารพในภูมิธรรมของหลวงพ่อท่าน
    และขออนุโมทนาในกุศลลจิตของท่านผู้นำมาเผยแพร่ครับ
    หากใจเด็ด เด็ดเดี่ยว เด็ดขาดในธรรมแล้ว ย่อมได้ของดีจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...