เมื่อชีวิตคือปฏิหาริย์ ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบผู้รู้แจ้ง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 6 กรกฎาคม 2010.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ตอนที่1


    คนเราทุกคนนั้นเกิดมาเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต แต่ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เองก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเขาว่า เขาจะมองเห็นมันหรือไม่ แล้วเธอล่ะเธอมองเห็นแล้วหรือยัง หรือเธอยังคงที่จะพลาดเป้าไปอีกครั้ง ในขณะที่เธอใช้ชีวิตนั้น เธอกำลังแค่ดำรงอยุ่อย่างให้่หมดๆไปในแต่ล่ะวัน เมื่อความตายกำลังเคลื่อนเข้ามารึเปล่า? แต่นั้นไม่ใช่ชีวิตหรอกเธอว่าไหม?
    ตรงจุดนี้ฉันมีนิทานเรื่องหนึ่งที่ ฉันเองเคยได้รับฟังมา อยากจะเล่าให้เธอฟัง

    เรื่องมีอยู่ว่า มีคนไข้โรงพยาบาลโรคประสาทคนหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วเขานั้นดูเหมือนจะเป็นคนปกติ เมื่อเธอพบเขาเธอจะไม่มีวันรู้เลยว่าเขานั้นป่วย เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นฝักข้าวโพด และทุกครั้งที่เห็นไก่เขาจะวิ่งหนีสุดชีวิตเลยทีเดียว... เขาไม่รู้ถึงความเป็นเช่นนั้นของตัวเอง เมื่อพยาบาลรายงานเรื่องนี้ให้หมอฟัง หมอก็บอกกับคนไข้คนนี้ว่า

    “คุณไม่ใช่ฝักข้าวโพดหรอก คุณก็คือคนคนหนึ่ง คุณมีผม มีตา มีจมูก และแขน ”
    หมอได้สอนคนไข้แบบนี้แล้วในที่สุดก็ถามคนไข้ว่า

    “ทีนี้คุณลองบอกหมอสิว่าคุณเป็นใคร?”

    คนไข้ตอบว่า ”คุณหมอครับ ผมเป็นคน ผมไม่ใช่ฝักข้าวโพดหรอก”

    หมอมีความสุขมากเพราะรู้สึกว่าตัวเองช่วยคนไข้ได้มากทีเดียว แต่เพื่อให้แน่ใจ หมอก็เลยขอให้คนไข้พูดประโยคนี้ซ้ำๆกันว่า“ฉันเป็นคน ฉันไม่ใช่ฝักข้าวโพด”

    วันละสี่ร้อยครั้ง และเขียนข้อความนี้ลงกระดาษสามร้อยเที่ยว ชายคนนี้ก็เลยหมกมุ่นกับการทำตามที่หมอแนะนำและไม่ออกไปข้างนอกอีกเลย เขาอยู่แต่ในห้องพูดและเขียนตามที่หมอบอกทุกคำ
    หนึ่งเดือนต่อมา หมอก็มาดูเขาอีก และพยาบาลก็รายงานว่า

    "เขาทำได้ดีเชียวค่ะ เขาอยู่แต่ในห้อง และปฏิบัติตามที่คุณหมอแนะนำอย่างขยันขันแข็งมาก”

    และแล้วหมอก็ถามว่า

    "เป็นอย่างไรบ้างครับ”

    “สบายดีครับหมอ ขอบคุณครับ”

    “กรุณาบอกหมอหน่อยได้ไหมว่า คุณเป็นใคร”

    “อ๋อได้ครับคุณหมอ ผมเป็นคนผมไม่ใช่ฝักข้าวโพด”

    หมอคนนั้นปลื้มใจมาก และบอกว่า

    "เอาล่ะ เราจะให้คุณออกจากโรงพยาบาลในสองสามวันนี้ละ กรุณาตามหมอไปที่ห้องทำงานหน่อยนะ”

    แต่ในขณะที่หมอ พยาบาล และคนไข้กำลังเดินไปที่ทำงานของหมอด้วยกัน บังเอิญมีไก่ตัวหนึ่งเดินผ่านมา ชายคนนี้จึงวิ่งหนีอย่างรวดเร็วจนหมอจับไว้ไม่ทัน กว่าพยาบาลจะพาคนไข้มาที่ห้องทำงานของหมอได้ก็ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว

    หมอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

    “ไหนคุณบอกว่าคุณเป็นคนไม่ใช่ฝักข้าวโพด แล้วทำไมถึงต้องวิ่งหนีด้วยละ เวลาที่คุณเห็นไก่”

    ชายคนนี้ตอบว่า “แน่นอนครับหมอ ผมเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไก่มันรู้?”

    เธอเห็นอะไรหรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนมาอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่เห็น "ธรรมชาติที่แท้จริง” ของตัวเอง ไม่เห็น "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของตัวเอง และไม่เข้าใจ "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของไก่ด้วย เราแต่ละคนต่างมีความเป็นเช่นนั้นของเรา

    หากเราต้องการอยู่ร่วมกับคนอีกคนหนึ่งอย่างมีความสุข
    สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเข้าใจ นั้นคือความเป็นเช่นนั้นของเขา ซึ่งก็รวมไปถึงความเป็นเช่นนั้นของตัวเราด้วย เมื่อใดที่เรามองเห็นสิ่งนั้น เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติและมีความสุขโดยไม่มีปัญหาใดๆ... นี้คือ สิ่งเล็กๆเท่านั้นที่ความเป็นเช่นนั้นเองหยิบยื่นมาให้กับชีวิต เธออาจจะคิดว่า ชีวิตก็แค่การเดินทางเติบโตขึ้น และ เปลี่ยนผ่านไป ยังหลุมฝั่งศพในปั้นปลาย แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตหรอก ชีวิตคือ การเจริญพัฒนาซึ่งมาจากการเรียนรู้ประสบการณ์ความเป็นทั้งหมด ไม่ใช่การเติบใหญ่ ฉันไม่ทราบว่า เธอมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ตรงจุดนี้หรือไม่ ถ้าเธอเห็นเธอจะรู้ว่า ชีวิตนั้นคือปฏิหาริย์ แต่เป็นที่น่าเศร้านักที่มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เห็น มีคนเพียงเล็กน้อยจริงๆที่เห็นว่า

    ชีวิตคือการเจริญพัฒนาไหลเลื่อนไปยังรากฐานของการดำรงอยู่อันเป็นนิรันดร์ เมื่อเธอเดินห่างออกมาจากความตาย ไม่ใช่เดินเข้าหาความตาย ซึ่งความตายนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น นั้นคือมายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เรารู้เธอว่าไหม


    [​IMG]


    เธอเคยเห็นดอกไม้หรือไม่ ดอกไม้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรอื่นอีก เพื่อที่จะเกื้อกูล
    ขอให้เป็นเพียงดอกไม้ ก็เพียงพอแล้ว มันแค่ดำรงอยู่ของมันเท่านั้นโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีนามเรียกขานอันใด ไม่จำเป็นต้องมีคำชมว่า งดงามหรือหอมหวน มันยังคงเป็นของมันเช่นนั้นยังคงบานสะพรั่ง สำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเธอสามารถเป็นมนุษย์ธรรมดาที่แท้จริงได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้โลกสดชื่นและรื่นเริง เธอไม่จำเป็นต้องแสวงหาผู้วิเศษที่ไหนอีก เพราะ เธอคือคนๆนั้น คนที่จะช่วยให้เธอพบสัจจะ ให้เธอก้าวผ่านไป เมื่อเธอตระหนักแล้วว่า ศาสนาที่แท้จริง พระเจ้า พระพุทธเจ้า นิพพาน หรืออะไรก็ตามนั้นมิได้อยู่ที่ไหน? หากแต่อยู่ในเรือนใจของเธอนี้เอง

    ผู้แสวงหา แต่สิ่งนอกตัวจนเหินห่างจากตนเอง ย่อมประสบแต่ความขุ่นข้องหมองใจในความว่างเปล่าของชีวิต แม้จะมีทรัพย์ศฤงคารและเกียรติยศ มากมายเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะมองเห็นความสุขสงบที่แท้จริงได้ เธอยังคงถูกผูกไว้ในความตาย ความทุกข์ ในมายาภาพของความนึกคิด การแบ่งแยก ที่จะนำเธอนั้นไปสู่ความขัดแย้ง เมื่อเธอรู้สึกขัดแย้งเพราะสิ่งต่างๆที่เธอแบ่งแยก เธอก็ไม่อาจที่จะอยู่กับปัจจุบันได้

    เพราะเธอได้พลาดจาก ความเข้าใจในตนเองในระดับรากเหง้าของจิตใจ ไปเสียแล้ว เธอไม่อาจจะรักตนเอง รวมถึงอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ตรงจุดนี้ ลึกๆในใจของเธอที่ดิ้นรน แบ่งแยกขาวดำ สิ่งผิดสิ่งถูก

    ถ้าเธอยังคงเป็นเช่นนี้แันคิดว่า การจัดการความขัดแย้งด้วยความรักนั้นจะช่วยเธอได้ทีเดียว เมื่อเธอมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วหลอมรวมสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นจะต้องมาจากพื้นฐานของความมีสติ อันเป็นปาฏิหาริย์ที่เริ่มต้นจาก “ลมหายใจ” ของเธอ ทุกครั้งที่เกิดอารมณ์ที่ไม่ดี เช่น โกรธ เกลียด การกลับมาอยู่กับลมหายใจ ตามรู้การเคลื่อนไหวที่เข้าและออกเท่านั้นโดยไม่ต้องพูดหรือทำสิ่งใด จะช่วยให้ให้พลังแห่งสติโอบรัดความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นไว้เสมือนแม่โอบกอดลูกน้อย

    เมื่อฝึกฝนบ่อยขึ้น พลังแห่งสติของเธอจะแข็งแรงขึ้น และอารมณ์ที่ไม่ดีต่าง ๆ ก็จะเกิดได้ยากขึ้นหรือมีพลังลดน้อยลง

    การมองในมุมมองแบบนี้จะ ช่วยให้เธอ ตระหนักรู้ถึงความสามารถในการแปรเปลี่ยนความทุกข์ของตนเอง ทำให้เธอเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น พึ่งคนอื่นและสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกน้อยลง ทั้งเธอยังอาจจะเป็นที่พึ่งพิงแก่บุคคลอื่นได้ด้วย สำหรับการสร้างสุขในทุกขณะนั้น ลมหายใจเป็นเครื่องมือเดียวที่ช่วยนำกายและใจกลับมาอยู่รวมกันได้ และตรงจุด นั่นเองที่เธอจะเรียกมันได้เต็มปาก ว่าธรรมชาติแท้แห่งตน เมื่อเธอสามารถข้ามพ้นการเวลา การคิดอันเป็นผลพวงการสะสมของอดีต และตระหนักว่าเวลาเดียวที่เธอนั้นเป็นเจ้าของคือปัจจุบันขณะ (ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต)


    เมื่อเธอมีความสุขกับการตระหนักรู้ด้วยลมหายใจได้ เธอจะสามารถเฝ้ามองดูสิ่งต่างๆ มองอย่างลึกซึ้ง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง สิ่งที่เธอนั้นกระทำลงไปย่อมมีผลต่อผู้อื่นหรือโลกใบนี้ และสิ่งนั้นจะคืนกลับมาสู่เธอทางใดทางหนึ่งเสมอ ดังนั้นความเข้าใจเช่นนี้จะทำให้เธอเกิดความรักที่แท้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งแยก นอกจากนี้แล้วเธอยังสามารถฟังอย่างลึกซึ้ง เมื่อมีสติตามรู้ลมหายใจเพื่อให้จิตนิ่งเพียงพอที่จะได้ยินเสียงและความต้องการภายในของเธอ ไม่ใช่การกลบเกลื่อนหรือปกปิดความรู้สึกในใจเอาไว้ด้วยการหันเหไปทำอย่างอื่น เช่น ดูหนังเพื่อคลายเหงา การฟังผอย่างลึกซึ้ง จะช่วยเปิดหัวใจ โดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือคำแนะนำใด ๆ ในใจ ฟังให้ลึกซึ้งจนเสมือนว่าความทุกข์นั้นแม้ว่าจะเป็นของผู้อื่นก็ยัง เป็นดั่งความทุกข์ของเธอเอง การฟังอย่างตั้งใจนี้ก็เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ในใจของผู้อื่น ทำให้ ความทุกข์ของเขาก็ได้รับการปลดเปลื้องไปแล้วกว่าครึ่ง แม้ว่าเธอยังไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ เลยก็ตาม

    การมีสตินั้นเป็นศิลปะแห่งการใช้ชีวิตแบบผู้รู้แจ้ง มีแต่ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของชีวิตและมีความสุขอย่างแท้จริงได้ การกลับมาอยู่กับลมหายใจเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้น ของความสุขสงบที่แท้จริง เพราะทั้งกายและใจอยู่ในสภาวะที่ไร้ความเครียดโดยสิ้นเชิง เธอเคยได้ยินคำว่า สภาวะธรรมหรือไม่ อันที่จริงแล้วไม่มีสภาวะที่ว่านี้ เธอไม่อาจจะกำหนดสภาวะอะไร? ให้กับจิตได้ ฉันไม่ทราบว่าเธอ เข้าใจคำพูดนี้หรือไม่

    ฉันเคยพุดถึงการตามลมหายใจไปบ้างแล้ว ความจริงแล้วนั้นการที่เธอทำเช่นนี้ ก็เป็นการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดจริง เป็นจริงในจิตของเธอ จนสิ้นสุดไปจากกระบวณการคิด มันคล้ายกลับว่า เธออาจสังเกตดูไข่ไก่ ว่าภายในเปลือกไข่ย่อมมีเมือกไข่ขาว ไข่แดงอยู่ แต่ครั้นกาลเวลาผ่านไป เธอกับพบว่ารูป ลักษณะสภาวะเดิม ไม่มีหลงเหลือให้เห็นแล้งว เธอเห็นขน , หนัง , กระดูก ของลูกเจี๊ยบ ซึ่งเป็นรูปลักษณะสภาวะใหม่

    จุดนี้คือจุดเปลี่ยนผ่านความคิดที่ว่า สรรพสิ่ง มิได้ดำรงอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียว เป็นเพียงภาพมายา มายาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความมีหรือไม่มี สูญเปล่าหรือเติมเต็ม เธอเข้าใจไหม

    แต่มันหมายความว่าเป็นมายาจากความนึกคิดและเห็นว่า ความมีหรือไม่มี สูญเปล่าหรือเติมเต็ม สภาวะขั่วตรงข้ามทุกรูปแบบ ทุกขั้นทุกตอน

    ในขณะเมื่อเธอมองเห็นก้อนเมฆบนท้องฟ้า และกำหนดหมายว่าเป็นสิ่งที่มีตัวตนของมันเอง โดยที่ไม่ได้ตระหนักถึง บรรดาเหตุปัจจัยที่ประชุมกันทรงความปรากฏก้อนเมฆนั้น ว่าอะไรบ้างที่ทำให้เกิดมีก้อนเมฆนี้ขึ้นมา แต่ใช้ความนึกคิดไปว่าสิ่งนี้มีตัวตนอยู่แล้วมาเนิ่นนาน และยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
    เธอย่อมพบว่า เธอเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะ ไม่มีตัวตนของก้อนเมฆแม้น้อยหนึ่ง เธอพบแต่ละอองไอน้ำที่ประชุมกัน โดยมีเงาจากแสงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยกลุ่มละอองน้ำ ทำให้เกิดสีอ่อนเข้มขึ้นในกลุ่มละอองน้ำมากมาย เท่านั้น หามีสิ่งที่เรียกว่าก้อนเมฆจริงๆไม่

    สรรพสิ่งเป็นเพียงภาพมายา แต่ที่เรานึกคิดว่ามีตัวตนกันนั้น ก็เป็นผลมาจากความเข้าใจระดับความนึกคิด แต่ทั้งๆที่เข้าใจได้แล้วว่า สรรพสิ่งปราศจากตัวตนของมันเองและไม่มีมายาภาพใดๆดำรงอยู่ จริง แม้เพียงชั่วขณะเดียว การกำหนดหมายในความมีอยู่ เป็นตัวตน ของรูปธรรมภายนอก ที่สังขารปรุงแต่งขึ้นรับรู้เป็นรูปธรรมภายในจิตใจของเธอ ทุกครั้งที่กระทบสัมผัส ก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป

    ถ้าเธอไม่มีสติที่จะหยุดยั้งความหลงผิด นี้คือบทพิสูจน์ว่า การคิดด้วยเหตุผลจนเข้าใจได้แล้วนั้น ยังไม่นับว่ารู้จริง และไม่อาจระงับการปรุงแต่งอย่างอวิชชาที่หยั่งลงเป็นสามัญสำนึกได้ ดังนั้นเมื่อเธอเริ่มตามลมหายใจ กลับมายังปัจจุบัน เธอจึงต้องเผชิญกับผัสสะที่เป็นสภาวะธรรมจริง และอาศัยการเฝ้าดูนี้เพาะบ่มปัญญาจนสามารถตระหนักชัดต่อความจริงแท้ว่า การที่จะมีสังขารขึ้นรับรู้ความเป็นรูปธรรมใดๆตามจิตภายในจะปรุงแต่งนั้น ล้วนเป็นความว่างเปล่า จนสามารถวางความยึดมั่นถือมั่นว่ามีจริงเป็นจริง อย่างเช่นสิ่งที่เป็นตัวเธอเป็นของๆเธอไปได้

    ในขณะที๋เธอรู้แจ้งตระหนักชัดนั้น จิตย่อมอยู่เหนือพ้นขึ้นไปจากกระบวนการนึกคิดด้วยเหตุผลใดๆและสิ่งที่เรียกว่าเชาว์ปัญญานั้นก็จะเปิดออก ตรงจุดนี้ความรู้สึกว่ามีตัวเธอจะหายไป จิตที่คิดว่าเป็นเธอหรือของเธอจะหายไป มีแต่ความว่างอันเป็นนิรันดรฺ์เท่านั้นที่เปิดออก

    ท่าน นาคารชุน ได้กล่าวไว้ว่า “ สภาวะอันเหนือธรรมดาของสิ่งที่หมายถึง ของสัมมาญาณทัสสนะวิเศษ ที่หยั่งรู้ในความไม่เป็นจริง ตามจิตสังขารในภายใน ต่อการดำรงอยู่ คือตัวของมันเองแห่งพระนิพพาน ”

    พระพุทธเจ้าได้อธิบายเรื่องนี้ต่อท่านมหา กัสสป ว่า “ กัสสป , อุปมาดังเช่น เมื่อเธอนำไม้แห้งสองชิ้นมาเสียดสีกัน มันบังเกิดไฟขึ้นมาและตัวของมันเองก็มอดมลายลงในการเผาไหม้ เช่นเดียวกัน กัสสป การวิเคราะห์แยกแยะด้วยธรรมวิจัยที่เป็นความจริงแท้ ย่อมทำให้บังเกิดอายตนะ แห่งสัมมาญาณทัสสนะวิเศษ และสัมมาญาณทัสสนะวิเศษ ย่อมถูกทำให้อุบัติขึ้นมา เพื่อหลอมละลายการวิเคราะห์แยกแยะด้วยธรรมวิจัยที่เป็นความจริงแท้ อันเป็นการดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง ”

    ตรงจุดนี้เธอจะ สละความยึดมั่นถือมั่นใดๆ ความรุ้สึกว่าเป็นตัวเธอของเธอออกไปได้ เธอจะกับมาหลอมรวมกับสรรพสิ่งอีกครั้ง และมุ่งสู่ความเป็นนิรันดริ์ ในปัจจุบันได้ เมื่อนั้นสันติในใจย่อมได้รับการบ่มเพาะและเติบโตได้อย่างเต็มที่ ดวงตาของเธอเริ่มเปิดออก และเธอจะเป็นผู้หนึ่งที่สามารถร่วมกันสร้างสังคมที่งดงามด้วยความรักได้ เพราะเธอได้หลวมรวมสิ่งต่าง เข้ามาไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นเธอเป็นสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่เธอ ตอนนี้หูเธอสามารถที่จะรับฟังอย่างลึกซึ้ง เธอได้มองเห็นเข้าใจต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แท้ของคนที่อยู่ตรงหน้า และเข้าใจด้วยว่าเธอเองก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นทุกข์ ดังนั้นการมีสติและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจึงช่วยให้เธอฟื้นฟูความสัมพันธ์และสื่อสารกันได้ด้วยความรัก ถึ่งแม้ว่าในอดีตเธอจะไม่มีความสุข เคยพลาดไปแล้ว แต่เธอก็สร้างใหม่ได้ที่นี่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่เปลี่ยนผ่านก็ให้ผ่านไป ปัจจุบันนั้นแหละที่เป็นของเธอนี่แหละคือปฏิหาริย์ล่ะ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2010
  2. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    สละความยึดมั่นถือมั่นใดๆ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเธอของเธอออกไปได้ เธอจะกับมาหลอมรวมกับสรรพสิ่งอีกครั้ง และมุ่งสู่ความเป็นนิรันดริ์

    ขอบคุณที่ชี้นำ ชอบ นิยม ชื่นชม เห็นเป็นสิ่งดีงาม
     
  4. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่าน"ติช นัท ฮันห์"..หนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตากรุณา และดำรงตนอยู่บนวิถีแห่งสติอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก ภาษาและวิธีการถ่ายทอดบ่งบอกถึงความรักแด่มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำมาบอกเล่า แต่ข้าพเจ้าขออนุญาตถามว่า ข้อความที่ท่านนำมาถ่ายทอดเป็นของท่านเองหรือของท่าน"ติช นัท ฮันห์"?
     
  5. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ฉันใคร่ถามเธอว่า อันใดกันที่เธอเรียกว่าThichNhatHanh นามนี้ที่เรียกว่าThichNhatHanh คำพูดนี้ความคิดนี้ที่เรียกว่าThichNhatHanh
    กายนี้ที่เรียกว่าThichNhatHanh หรือจิตวิณญาณนี้ที่เรียกว่าThichNhatHanh รึปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ที่มาประชุมกัน คือThichNhatHanh
    เธอว่าฉันนั้นมีตัวตนอยู่จริงรึไม่ หรือ ทั้งหมดเป็นเพียงมายาของของสิ่งที่เธอคิดว่ามีอยุ่ล่ะ

    ในขณะที่เธอแบ่งแยกฉันออกมาจากสรรพสิ่ง จากตัวเธอ จากคนอื่น เธอก็ไม่มีวันที่จะมองเห็นจริงๆหรอกว่าฉันเป็นใคร เพราะฉันคือสรรพสิ่ง คำพุดเหล่านี้ก็มาจากสรรพสิ่ง จงอย่าได้แยกฉันออกจากสรรพสิ่งเลยฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉันเราคือคนๆเดียวกันดังนั้นฉันก็คือท่านThichNhatHanh และ ท่านThichNhatHanh
    ก็คือฉัน เพียงแต่ในขณะที่ฉันตระหนักรู้ตรงจุดนี้แต่เธอยังมองไม่เห็นก็เืท่านั้น


    เมื่อเธอถามว่านี่คือสิ่งที่ฉันพูดหรือเป็นสิ่งที่ท่านThichNhatHanhพุดกันแน่ เธอก็ได้หลงทางไปเสียแล้ว เพราะความคิดของเธอ จิตคิดของเธอกำลังแบ่งแยกกำลังอาศัยสิ่งที่เธอสั่งสมมาเป็นความรู้ความเข้าใจเข้ามาตัดสินว่านี่คือคำพูคของใคร?กันแน่ คือสัจจะจริงหรือไม่? คนผู้นี้เป็นใคร?กันและัอีกมากมาย ฉันไม่เข้าใจว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหรือไม่
    ขอให้เธอลองพิจารณาดุเถอะว่า หากปราศจากความยึดมั่นถือมั่นแล้ว เธอจะเห็นว่า ไม่มีสิ่งที่เป็นของฉัน ของเธอ หรือของใคร ไม่มีตัวฉัน ตัวเธอ หรือใครคนไหนทั้งนั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน ถักทอกัน เป็นเอกภาพ เธอเคยได้ยินคำว่าเด็กดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวหรือไม่ นั้นแหละคือสายใยที่เชื่อมโยงฉัน คนอื่นๆ สรรพสิ่ง และเธอล่ะ ขอให้เธอพิจารณา เธอเคยเห็นนาฬิกาหรือไม่ ในขณะที่เธอคอยฟัง เธอจะได้ยินเสียง ติ๊กๆแต่ถ้าเธอแยกมันออกมาเป็นส่วนๆเสียง ติ๊ก จะหายไป ไำม่ว่าเธอจะพยายามฟังจากส่วนไหนก็ตามเธอก็ไม่อาจจะได้ยินมัน สรรพสิ่งก็เป็นเช่นนี้ ขอให้เธอจงอย่ายึดติดกับความคิดและเหตุผลเลย แต่ฉันขอให้เธอลองเคลื่อนเข้ามาสู่ภายในของเธอ ผ่านความเงียบ และจิตคิดดูสิแล้วเธอจะมองเห็นจักรวาล ณ จุดนั้น ตรงจุดนี้เธอก็จะเข้าใจคำพูดเหล่านี้ที่ปรากฏอยู่ว่าเป็นตัวเธอเองนั้นแหละที่พูด โชติกะ ไม่ใช่ใครหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2010
  6. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ข้าพเจ้าเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด แต่ข้าพเจ้าถามว่า เรื่องราวที่ท่านนำมาบอกเล่าเป็นเรื่องของท่านเอง หรือนำมาจากเนื้อหาของท่าน"ติช นัท ฮันห์" นักกิจกรรมเพื่อสันติภาพและการปฎิบัติธรรมแห่งหมู่บ้านพลัม ในประเทศฝรั่งเศสต่างหาก ทำไมท่านไม่เข้าใจภาษาที่ข้าพเจ้าถาม ข้าพเจ้าไม่เคยแบ่งแยกสิ่งใด ทุกสรรพสิ่งล้วนหนึ่งเดียวกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ใช่ท่าน ท่านก็ไม่ใช่ข้าพเจ้า เพราะเรามาต่างวาระกัน มีฐานจิตที่แตกต่างกัน มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
     
  7. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ
     
  8. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เธออาจจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดจริงๆหรอกโชติกะ เธอเคยคิดเล่นๆหรือไม่ว่าในขณะที่คนเรามักชอบที่จะตั้ง คำถามให้สิ่งต่างๆ แต่ทว่าคำถามหนึ่งนำมาซึ่งคำตอบ และคำตอบนั้นก็เปิดทางไปสู่ปัญหาใหม่ๆ
    ซึ่งลึกในใจของเธอก็คงจะรุ้ดีว่าเธอคงไม่ได้รับคำตอบอะไรจริงๆจากการถาม การแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ได้ทำให้เกิดความสงสัยใหม่ๆขึ้นมาอีก เป็นวงจรเช่นนี้ ในขณะที่เธอพูดว่าเป็นฉันหรือท่านThichNhatHanhกันแน่เธอแยกฉันออกจากเธอ จากท่านThichNhatHanh เมื่อฉันตอบว่าเป็นฉันที่พูด สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเธออาจจะกลายเป็นคำถามใหม่ว่าจริงหรือ ฉันกำลังถูกหลอกหรือไม่ และอีกมากมายที่จะตามมา กลายเป็นคำถามและปัญหาใหม่ๆ แต่ถ้าฉันตอบว่า เป็นท่านThichNhatHanhที่พูด สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเธออาจจะกลายเป็นคำถามใหม่ว่า ใช่จริงๆหรือไม่ ถ้าใช่คำพูดเหล่านี้นั้นมาจากที่ใดกันนะ เธอเห็นอะไรไหม?

    เธอเคยถามตัวเองหรือ ในขณะที่เธอยิ่งถาม ยิ่งศึกษากับอะไรบางอย่าง ยิ่งสงสัย ยิ่งรุ้มาก ยิ่งใช้ตรรกะกับมันมากเข้า สุดท้ายมันก็ไม่สามารถให้คำตอบอะไรเธอได้ มันแค่โยนเธอไปยังข้อสงสัยเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเธอไม่อาจจะมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองไงล่ะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้ถามคำถามทำนองนี้ เมื่อมีคำถามก็มีการใช้ความนึกคิดเกิดขึ้น และเมื่อมีความนึกคิดก็มีการยอมรับและปฏิเสธขึ้นที่ภายในเป็นการแบ่งแยก ดังนั้นที่เธอพูดว่าเธอไม่เคยแบ่งแยกนั้นอันที่จริงแล้วเธอก็ยังคงทำมันอยู่


    ดั้งนั้นคำตอบของคำถามนี้จึ่งไม่ใช่ฉันที่ตอบเธอ แต่เป็นเธอเองต่างหากที่จะต้องตอบ ว่าเธอมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองหรือไหม ถ้าใช่ที่ฉันพูดก็เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ใช่ที่ฉันพูดก็เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง

    เธอเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่โชติกะ คิดดีๆแล้วเธอจะรู้ว่าเมื่อเธอถามคำถาม สิ่งที่เธออยากจะรู้จริงๆนั้นมันไม่ใช่คำสอนในศาสนาที่เธอรู้จักจะกล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ความเชื่อฝังหัวที่เธออยากจะรุ้ ไม่ใช่ข้อคิดหรือสัจจะที่เธอต้องการคำตอบหรอก แต่มันคือตัวบุคคลและ ประสบการณ์ต่างหาก ที่เธอให้ความสนใจจริง ๆเมื่อเธอตั้งคำถาม บุคคลหรือครูที่มีลมหายใจที่อยู่ตรงหน้าเธอต่างหากที่เธออยากจะรู้ นั้นแหละคือปัญหา ตัวบุคคลที่มีชีวิต ที่เธอสัมผัสได้ นั้นแหละคือสิ่งที่แสดงถึงจารีต อำนาจ วิธีชีวิต ที่เธอเข้าหา เพราะเธอคิดว่าเขาจะนำทางเธอไปสุ่คำตอบสิ่งที่เธออยากจะรู้ ไปยัง สวรรค์ นิพพาน ที่เธอไม่เคยไป และ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามีจริง เธอหลงลืมประสบการณ์ของตัวเอง คำตอบของตัวเอง เมื่อเธอถาม ฉัน อันที่จริงแล้วลึกๆในใจเธอก็มีคำตอบอยู่แล้ว แล้วเธอจะถามทำไมอีก

    เธอรู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาเล่า ทำไมเธอจึ่งไม่เปลี่ยนคำถามมาถามตัวเองว่า ตกลงคำพูดที่ฉันเห็นตรงหน้านี้มันเป็นเสียงที่มาจากไหน? ที่ภายนอกของฉันหรือภายในของฉันกันนะ เธอยังจะยึดอะไรอีกกันเล่า นั้นแหละที่ใช่เลย คำตอบของคนอื่นมันไม่ช่วยอะไรเธอหรอก แน่นอนว่าเธอ อาจจะพูดว่าเธอเองก็แสวงหาประสบการณ์ส่วนตัว เพียงแต่เธอแค่ไม่แน่ใจในคำตอบ เท่านั้นว่าเดินมาถูกทาง แล้วรึเปล่า เธอแค่ต้องการคำตอบของฉันเพื่อที่จะพึ่งพิงและสนับสนุนความคิดเธอว่าใช่หรือไม่ใช่ สิ่งที่เธอแบ่งแยกนั้นคือตัวเธอเองต่างหาก จริงอยุ่ที่ว่าประสบการณ์ส่วนตัวนั้นมาจากความปราถณา ความกลัว ความหวัง ศรัทธา ดังนั้นมันจึ่งดูมีความหมายไม่มาก แต่ทว่าการปฏิเสธประสบการณ์ของตนคือการหนีจากตัวเอง เพราะตัวเธอเอง นั้นแหละที่เป็นเนื้อแท้ของประสบการณ์ทั้งหมด เธออาจจะไปเข้ารีตศาสนา ติดตามคัมภีร์ ความเชื่อลึกลับแบบหนึ่ง หรือแม้แต่ที่ฉันพูดนี้มันไม่มีประโยชน์มันเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัจจะ

    จงอย่างแบ่งแยกสรรพสิ่งจงเฝ้าดูอย่าเงียบ อย่าให้จิตคิดของเธอลวงเธอด้วยคำถาม แน่นอนว่าเธอรู้แต่เอาเข้าจริงเธอทำได้หรือ เธอจะทิ้งการฝึกฝนชั่วชีวิต ความรู้ ความเชื่อฝังหัว ประสบการณ์ส่วนตัว ความคิดที่เธอยึดมั่นว่เป็นสัจจะ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเธอ จิตของเธอ ระดับความคิด ระดับจิตที่เป็นขั้นๆทำนองนี้ได้หรือ เมื่อใดที่มีประสบการณ์ส่วนตัวก็มีการแบ่งแยกตามทันไหม เมื่อมีประสบการณ์ สัจจะ ส่วนตัวก็จะมีประสบการณ์ สัจจะ ของผุ้อื่นซึ่งตอนนี้เธอกำลังจะดึงเข้ามาเป็นของเธอ และเธอก็ทำตามเป็นแบบแผน ถ้าเธอเห็นว่าดีว่าถูกและจะปฏิเสธมันเมื่อเธอคิดว่าไม่ดีและผิด

    แต่เมื่อวางลงก็ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ ไม่มีพุทธะ ไม่มีนิพพาน ไม่มีการภาวนา ไม่มีสัจจะ ไม่มีจิตของเธอ ของฉัน ไม่มีกรรม ไม่มีสภาวะขั่วตรงข้ามที่เป็นทวิลักษณ์ให้แบ่งแยก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าฐานจิตที่แตกต่างกัน เธอเข้าใจไหมอย่าแยกฉันไปจากเธอเลย ฉันก็คือเธอนั้นแหละ ฉันคือเสียงของเธอนะ ฉันคือส่วนหนึ่งของเธอ ฉันเข้าใจนะว่าทำไมเธอจึ่งคิดว่าเธอไม่ใช่ฉัน เพราะความคิดว่ามีตัวเธอนั้นเองแหละที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ถ้าเธอถามฉันว่าทำไมฉันจึ่งคิดเช่นนี้ละก็มันเป็นของมันเช่นนั้นเองไงล่ะ เธอเห็นว่าเธอไม่ใช่ฉันเธอก็มีเหตุผลของเธอนี่คือความเป็นเช่นนั้นเองของเธอ ฉันเห็นว่าเธอคือ ฉัน พระพุทธเจ้านั้นแหละคือฉัน ฉันก็มีเหตุผลของฉัน เป็นปัจจัยที่มาประชุมกันให้ฉันเห็นเช่นนี้ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง การรับฟังผู้อื่นไม่ช่วยอะไรเธอหรอก มันแค่ทำให้เธอหลอมรวมบางสิ่งที่ไม่ใช่ของเธออจริงๆเท่านั้นเข้าไป เมื่อคิดว่าเธอรุ้ เธอเข้าใจ เธอจะไม่แบ่งแยก และเธอจะวางความยึดมั่น เธอก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ มันมีการตัดสินใจ มีขั้นตอนแบบแผนของการกระทำ อยู่ จงอย่าถามคำถามแต่ถ้าเธอคิดที่จะถาม จงถามสิ่งที่อยุ่ภายในของเธอ จงอย่าแบ่งแยกตัวเธอเองออกจากใครหรืออะไรเลยเลย ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้นนอกจากสิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งอันเป็นความว่าง หากเธอทำได้นั้นก็เท่ากับว่าเธอได้เปิดช่องว่างมากมาย ให้กลับการเปลี่ยนแปลง อะไรหลายๆอย่างในชีวิต แล้ว จงลืมตาแล้วมองความจริงเถอะคำตอทั้งหมดมันอยู่ที่ตรงนี้แล้ว เธอที่รักของฉัน เธอนั้นแหละคือคนพูดสิ่งเหล่านี้ เธอนั้นแหละคือท่านThichNhatHanhล่ะ ในสายตาของฉัน ถ้าเธอถามว่าทำไม มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเองนี่แหละคือคำตอบของฉัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กรกฎาคม 2010
  9. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ขอบใจ เข้าใจง่ายดี
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะกล่าว ทุกอย่างชัดเจน ทุกถ้อยคำ ท่านช่างล้ำลึกจริง ท่าน"ติช นัท ฮันห์"
     
  11. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    อ้อ มันเป็นเช่นนั้นเอง
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ปัญญาเห็นแจ้งหรือความเข้าใจอันลึกซึ้งในความไม่จีรังยั่งยืน นำมาซึ่งปัญญาเห็นแจ้งในความไม่มีตัวตน เมื่อเราไขว่คว้าความสุขส่วนตัวความพึงพอใจของเรานั้นเป็นเพียงความพอใจชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะความสุขของเราเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ ความสุขและการดำรงอยู่ของเรานั้นขึ้นอยู่กับความสุขและการดำรงอยู่ของทุกๆคนและทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือปัญญาเห็นแจ้งในการเป็นดั่งกันและกัน หรือความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ดังนั้นในขณะที่เรากำลังแสวงหาความสุขให้แก่ตัวเอง เราก็กำลังแสวงหาความสุขให้คนที่เรารักด้วยเช่นกัน การก้าวเดินอย่างมีสติของเธอนั้นไม่ใช่สำหรับเธอเพียงคนเดียว แต่เป็นก้าวย่างแห่งสติสำหรับฉันด้วย เพราะชั่วขณะที่เธอเลิกเป็นทุกข์ ฉันก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย เธอเข้าใจไหม?
     

แชร์หน้านี้

Loading...