น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    [FONT=&quot]คำว่านิพพาน หมายถึง การหยุดของความมีตัวตน การปรากฎขึ้นของความไม่มีตัวตน หรือความว่างเปล่า ความไม่มีนั่นก็คือความไม่มี ดังนั้นคุณจะสามารถถูกปรุงแต่งได้อย่างไร เพราะไม่มีใครให้ถูกปรุงแต่ง คุณจะตายได้อย่างไรเมื่อไม่มีใครให้ตาย คุณจะเกิดได้อย่างไรเมื่อไม่มีใครไปเกิด ความไม่มีตัวตนนี้เป็นความงดงามที่สุด มันเป็นการเปิดออกและเปิดออก ถึงพื้นที่แล้วก็พื้นที่ซึ่งไม่มีขอบเขต[/FONT]
    [FONT=&quot]...............................................................................................................................
    จากข้อความที่ผมได้อ้างถึงไว้ ขอขยายความหมายของคำว่า"พืนที่" ดังนี้ครับ
    แปลจากหนังสือ ZEN Its History and Teachings and Impact on Humanity, OSHO
    ( The Osho Experience: Meditation, the Science of the Inner เค้ามีให้อ่านหนังสือออนไลน์ที่ท่าน OSHO เขียนไว้ฟรีนะครับ สำหรับท่านที่สนใจ)


    [/FONT]<link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5Cdhapena.d%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> Unless people know the whole process. Zen will remain just entertainment to the world. What is enlightenment to Zen people falls down to a state of entertainment. These dialogues are not the whole process. It is just like an iceberg: a small piece is showing above the sea – one-tenth of the iceberg – and nine-tenth is underneath. Unless you understand that nine-tenths, the one-tenth will not give you any insight.
    [FONT=&quot]เ[/FONT][FONT=&quot]มื่อผู้คนไม่รู้กระบวนการทั้งหมด เซนก็จะเป็นเพียงความบันเทิงทางโลกเท่านั้น อะไรคือความหลุดพ้นสำหรับเซนก็จะกลายเป็นเพียงภาวะของความบันเทิงเท่านั้น บทสนทนานี้ไม่ได้แสดงถึงกระบวนการทั้งหมด มันเป็นเพียงภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฎอยู่เหนือมหาสมุทรเท่านั้น เพียงแค่ 1 ใน 10 ของภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่เหลืออีก 9 ส่วน นั้นอยู่ด้านใต้ ถ้าคุณไม่เข้าใจอีก 9 ส่วนที่เหลือ ส่วนเดียวที่ปรากฎอยู่ก็จะไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่คุณได้<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    The first dialogue:
    <o></o>
    In the old days the venerable Yen Yang asked Chao Chou, “What is it like when not bringing a single thing?”<o></o>
    Chou said, “Put it down.”<o></o>
    Yen Yang said, “Since not a single thing is brought, put what down.”<o></o>
    Chou said, “If you can’t put it down, pick it up.”<o></o>
    At these words. Yen Yang was greatly enlightened.<o></o>
    <o></o>
    [FONT=&quot]บ[/FONT][FONT=&quot]ทสททนาที่ 1<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อนานมาแล้ว ท่านเยินหยางที่น่าเคารพนับถือได้ถามท่าน เชาชูว่า “มันเป็นอย่างไรเมื่อท่านไม่ได้นำอะไรติดตัวเลยซักเพียงอย่างเดียว”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านชาชู”วางมันลงสิ”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านเยินหยางกล่าวว่า” เมื่อไม่มีสิ่งใดเลยที่ติดตัวอยู่ จะให้วางสิ่งใดลง”<o></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านเชาชูพูดว่า” ถ้าท่านไม่มีสิ่งใดให้วางแล้ว ให้หยิบสิ่งอื่นขึ้นมาแทน”<o>></o>>[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่คำพูดประโยคนี้ ท่านเยินหยาง ก็ได้หลุดพ้น<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    Now, if you hear only this small anecdote, you cannot imagine how it can possibly bring great enlightment.
    First, in the context of the Zen approach- in the eyes of Gautam Buddha and Bodhidharma-the world is nothing but emptiness. And when they use the word emptiness, they have their own meaning; it is not ordinary meaning that you can find in a dictionary. If everything is removed from your room- all the furnitures, the photographs hanging on the wall, the chandelier and everything-and nothing is left behind, anybody will say, “This room is empty” This is the ordinary meaing of the word. But from the perspective of Gautam Buddha, this room is empty of things were there, they were hindering the space. The very word room means “space.” So it is overflowing now with space, with nothing to hinder, nothing to prevent and obstruct the space.
    Space is not a negative thing like the word emptiness connotes. Everything in the world has come out of space and everything disappears into space. Space seems to be the reservoir of all that is …
    [FONT=&quot]เมื่อคุณฟังบทสททนาสั้นๆนี้แล้ว คุณจะไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันทำให้ท่านเยิยหยางบรรลุได้อย่างไร<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งแรกในวิธีแห่งเซน ในดวงตาของพระพุทธเจ้าและพระบหิตม โลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า และเมื่อท่านใช้คำว่า “ว่างเปล่า” ท่านมีความหมายของมันสำหรับท่าน ความหมายของคำว่า “ว่างเปล่า” ไม่ใช่ความหมายทั่วๆไปที่สามารถหาได้ตามพจนานุกรม ถ้าสิ่งของทุกอย่างได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้อง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น รูปภาพตามฝาผนัง ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกเลย คนอื่นๆจะบอกว่าห้องนี้ว่างเปล่า นี่คือความหมายโดยทั้วๆไปของคำๆนี้ แต่สำหรับมุมมองของพระพุทธเจ้าแล้วห้องนี้ได้ว่างเปล่าจากสิ่งของปรากฎอยู่ ซึ่งพวกมันได้เคยกีดขวางพื้นที่ของห้องนี้ คำว่าห้องในที่นี้หมายถึง “พื้นที่” ดังนั้นขณะนี้ สิ่งที่มีเหลือยู่ในห้องนี้ก็คือ “พื้นที่” ที่ปกคลุมอยู่ โดยไม่มีสิ่งของใดๆกีดขวาง เกะกะ ขวางทาง พื้นที่ในห้องนี้อีกต่อไป <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พื้นที่ไม่ใช้คำที่มีความหมายลบเหมือนกับคำว่าความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากพื้นที่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็หายเข้าไปในพื้นที่เช่นเดียวกัน พื้นที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคล้ายๆเขื่อนสำหรับสิ่งเหล่านั้น<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    Scientists have discovered black holes in space. It is the most amazing story that science has to tell. The scientists themselves feel mystified, but what can they do? They have come across a few places in space where the moment any star, even the biggest, comes into that area, you can no longer see it: it has become pure nothingness. The pull of these few places is so tremendous that anything that comes close to them is immediately pulled into the black hole and disappears from the world. Every day, many stars disappear into black holes; that is the basic idea.
    [FONT=&quot]น[/FONT][FONT=&quot]ักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ “หลุมดำ” ในอวกาศ ซึ่งเป็นปรากฎการณี่น่าตื่นเต้นที่สุดที่เคยมีมาในวงการวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายรู้สึกงงงวย ปลาดใจ ว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง พวกเขาได้พบสถานที่เล็กบนพื้นที่ในอวกาศโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นที่ที่ดาวทุกๆดวง แม้แต่ดาวดวงใหญ่ๆ เมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้แล้วคุณจะไม่สามารถมองเห็นมันได้อีกเลย มันจะกลายเป็นเพียงความไม่มีอะไรเลยที่บริสุทธิ์ แรงดึงดูดของมันมีค่ามากมายมหาศาลเสียจนกระทั้งไม่ว่าสิ่งใดที่เข้ามาในพื้นที่ของมันจะถูกดึงดูดเข้าไปในหลุมดำและหายไปจากจักรวาล ทุกวันนี้ ดวงดาวมากมายได้สูญหายเข้าไปในหลุมดำนี้ นี่เป็นความคิดโดยพื้นฐาน<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    But then, certainly, scientists started thinking: if there are black holes, one day everything will have disappeared. But every day new stars are being born-from where do they come? It is still an assumption, a hypothesis, that from wherever they come, that place should be called a white hole.
    [FONT=&quot]แ[/FONT][FONT=&quot]ล้วหลังจากนั้นหละ? นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มคิดกันว่า ถ้ามีแต่หลุมดำ วันหนึ่งข้างหน้าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญหายไปหมด แต่ทุกวันนี้ก็ยังปรากฎว่ามีการกำเนิดขึ้นของดาวดวงใหม่ๆอยู่เป็นระยะๆ พวกมันมาจากไหนกัน? นี่เป็นเพียงสมมุติฐาน เพียงการคาดคะเนว่ามันน่าจะมีสถานที่สักแห่งหนึ่งซึ่งพวกมันได้ถือกำเนิดขึ้นเรียกว่า “หลุมขาว”<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    My own understanding is that the black hole and the white hole are just two sides of the same phenomenon; they are not separate. It is just like a door: you can go in, you can go out. On one side of the door is written “Push” and on the other sides is written “Pull.”
    [FONT=&quot]ในความเข้าใจของฉันนั้น “หลุมดำ” และ “หลุมขาว” เป็นเพียง 2 ด้านของปรากฏการณ์เดียวกัน พวกมันไม่ได้แยกจากกัน มันคล้ายๆกับประตูที่คุณสามารถเข้ามาได้และก็ออกไปได้ ที่ด้านหนึ่งของประตูเขียนว่า “ผลัก” และอีกด้านหนึ่งเขียนว่า “ดึง”<o></o>[/FONT]

    The black hole de-creates; it is a death. Not only do you get tired and old, now they say even metal gets tied; even for machinery, working twenty-four hours a day is too much. You are creating too much tension in the metal. It needs a little rest to recover itself; otherwise soon it will not be functional anymore. Even machines become old, just as people do.
    [FONT=&quot]ห[/FONT][FONT=&quot]ลุมดำมันจะทำให้การเกิดการหยุด มันคือความตาย ไม่เพียงคุณเท่านั้นที่เหนื่อยและแก่ลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าแม้กระทั้งเหล็กกล้าก็หมดอายุลงเช่นกัน หรือแม้กระทั่งเครื่องจักรกลที่ทำงานตลอดทั้ง 24 ชมต่อวัน ก็ล้ามากขึ้น คุณได้สร้างภาระที่หนักอึ้งแก่มัน มันจึงต้องการเวลาที่จะหยุดพักบ้างเพื่อฟื้นฟูสภาพตัวเอง มิฉะนั้น ในไม่ช้ามันก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป แม้แต่เครื่องจักรกลยังเก่าขึ้น คนก็แก่ขึ้นเช่นเดียวกัน

    [/FONT]
    Stars become old, just like everything else. When a star or a planet has become too old and cannot hold itself together anymore, it disappears into a black hole. Its death has come. It is de-creation. The function of the black hole is to disperse all constituents of the planet or star- to return them to their original form.
    [FONT=&quot]ด[/FONT][FONT=&quot]วงดาวก็มีอายุขึ้นโดยไม่มีข้อยกเว้น เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อดวงดาวหรือดาวเคราะห์มีอายุมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง มันก็จะไม่สามารถดำรงสภาพอยู่ด้วยกันเป็นตัวมันได้อีกต่อไป มันจะหายเข้าไปในหลุมดำ ความตายได้มาเยือนมัน หน้าที่ของหลุมดำก็คือเพื่อทำให้ส่วนประกอบต่างๆของดวงดาวคืนสภาพกลับไปสู่รูปแบบดั้งเดิมของมัน<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    The original form is electricity, energy, so matter melts into energy. Energy cannot be seen, you cannot see it. Have you ever seen electricity? You have seen a byproduct of electricity? You have seen a byproduct of electricity, like your light bulb, but you have not seen electricity itself. When it is passing through a wire, do you see anything? And if the bulb is removed, the electricity is still there, but do you see it?
    [FONT=&quot]ร[/FONT][FONT=&quot]ูปแบบดั้งเดิมของมันคือพลังงานไฟฟ้า พลังงาน สสารทุกอย่างสลายไปเป็นพลังงาน (ทฤษฎีสัมพันธภาพ, อัลเบิรต์ ไอสไตน : ผู้แปล) พลังงานนี้ไม่สามารถมองเห็นได้ คุณไม่สามารถเห็นมันคุณเคยเห็นไฟฟ้ามั้ย? คุณเคยเห็นแต่สิ่งที่ใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อมันเคลื่อนที่เข้าไปในสายไฟ คุณเห็นอะไรหรือไม่? เมื่อคุณเอาหลอกไฟออก ไฟฟ้ายังคงอยู่ที่นั้น แต่คุณก็ไม่เห็นมัน<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    No energy can be seen. No energy is visible, so when the mass of a vast star or planet falls back into the original source, it becomes pure energy. That is why you cannot see it: it has disappeared. Perhaps it was time for a long rest. And once it is rested, then the basic constituents can again come together, can again form a new body and get out into the universe from the other side of the black hole-that is, the white hole.
    [FONT=&quot]ไ[/FONT][FONT=&quot]ม่มีหลังงานใดที่สามารถดูได้ ไม่มีพลังงานใดที่สามารภเห็นได้ ดังนั้นเมื่อมวลของดวงดาวมากมายได้คืนกลับไปสู่รูปแบบเดิมของมัน มันได้กลับมาเป็นพลังงาน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่สามารถมองเห็นมัน และเมื่อมันได้ดำรงอยู่ในสภาพนั้นเมื่อนั้นส่วนประกอบพื้นฐานต่างๆจะกลับมารวมกันอีกครั้ง มันสามารถคืนรูปกลับมาใหม่ได้ในรูปร่างใหม่ ออกไปสู่จักรวาลจากอีกด้านหนึ่งของหลุมดำ และนี่แหละคือ “หลุมขาว”<o></o>[/FONT]
    <o></o>
    This is significant. It means the universe is continuously renewing itself in the same way as every individual is born, grows old, dies, and then somewhere else is born is a new form, fresh, young. This is the process of rejuvenation.
    Existence itself is full of space. Space looks empty to us, but it is not empty, it is a potential for things to happen. Everything has come out of it- how can you call it empty? Can you call a mother’s womb empty? It has the potential of giving birth to life. It appears empty because its potentiality has not been transformed into activity.
    Gautam Buddha was the first man to use the word emptiness in the sense of spaciousness, infinite space. Everything is just a form, and the thing is creating the form is invisible. Only the form is visible; the energy that makes it is invisible.
    [FONT=&quot]ส[/FONT][FONT=&quot]ิ่งๆนี้นั้นสำคัญมากมันหมายถึง ว่าจักรวาลเองก็ปลับเปลี่ยนตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา<o></o>[/FONT][FONT=&quot]ในแบบเดียวกับพวกเราทุกๆคนที่เกิด แก่ ตาย และที่ไหนซักแห่งหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นใหม่ในรูปแบบใหม่ เติบโตขึ้น เป็นหนุ่มขึ้นอีกครั้ง นี่คือกระบวนการฟื้นคืนกลับ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] สิ่งที่มีอยู่จริงนั้นเต็มไปด้วยพื้นที่ พื้นที่ที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าสำหรับพวกเรา แต่มันไม่ได้ว่างเปล่าจริงๆ มันมีศักยภาพที่จะทำให้สิ่งๆหนึ่งเกิดขึนมาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากพื้นที่ คุณจะเรียกมันว่าไม่มีอะไรเลยได้อย่างไร คุณสามารถเรียก มดลูกของมารดาว่าว่างเปล่าได้หรือไม่ เมื่อมันมีศักยภาพเพียงพอที่จะก่อให้เกิดชีวิต มันปรากฎอยู่ว่าว่างเปล่าเพราะว่าเป็นศักยภาพของมันที่พร้อมจะทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆเสมอ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot] พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลแรกที่ใช้คำว่าความว่างเปล่าในลักษณะความหมายที่สื่อถึงพื้นที่ พื้นที่ทีไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างถือกำเนิดขึนจากพื้นที่ โดยสิ่งท่ำให้ทุกอย่างถือกำเนิดขึ้นนั้นเราไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงรูปแบบที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้นที่สามารถมองเห็น เพราะว่าเราไม่สามารถมองเห็นพลังงานได้นั้นเอง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ดิฉันคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะทุกวันนี้เราไม่เอาคำของพระพุทธเจ้าหรือพุทธวัจนะของพระองค์มาเป็นหลัก

    *********************

    ขอถามคุณ NamfonBaanfa สักนิดว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า?
     
  3. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    เรียน ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ

    ในส่วนของดิฉันเอง ก็จะดูจากเฉพาะคำสอนที่ขึ้นต้นด้วย "ดูกร......" ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วย "บทว่า..." "ที่ว่า...." "ความว่า...." นั้นมักเป็นอรรถกถาที่แต่งโดยสาวกในชั้นหลังซึ่งมีปะปนอยู่ในพระไตรปิฏก แต่ท่านพุทธทาสก็ได้รวบรวมหนังสือที่เป็นเฉพาะคำที่มาจากพุทธโอษฐ์ไว้ได้ 5 เล่ม ใช้เวลาถึง22 ปีในการดึงมาจากพระไตรปิฏก แต่ยังไม่หมด ท่านก็ได้ละสังขารไปก่อน

    พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงความห่วงใยไว้ตั้งแต่ในครั้งพุทธกาลแล้ว ถึงเรื่องความอันตรธานของพระสูตรที่เป็นคำตถาคต ซึ่งพระองค์ได้เปรียบกับกลองศึก'อนากะ'ของกษัตริย์พวกทสารหะ ว่าเมื่อกลองอนากะนี้มีแผลแตก พวกกษัตริย์ได้หาเนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่มเสริมลงในรอยแตกของกลองนั้นทุกคราวไป เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราว ก็ถึงสมัยหนึ่งซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ใหม่ที่ทำเสริมเข้าไปเท่านั้น

    พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งว่า ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต เมื่อมีภิกษุนำสุตตันตะเหล่าใดที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นมาใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึงและจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน

    นี่คือสิ่งที่ดิฉันใช้มาเป็นเกณฑ์ในการศึกษาพระสัทธรรมค่ะ (^_^)

    (อ้างอิง:พระไตรปิฏกบาลี-สยามรัฐ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓,ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า๑๐๗-๑๐๘)
     
  4. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    อยากทราบว่า นอกจากวิวาทะแล้ว

    สิ่งทีเป็นรูปธรรมเพื่อการคงหลักคำสอนไว้ ตอนนี้มีการแก้ไขในรูปธรรมบ้างหรือยังคะ

    เชื่อว่ามีหลายท่านที่พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อความบริสุทธิ์ของคำสอนคะ
    ขอข่าวด้วยคะ
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    พระพุทธเจ้าทรงสอนแนวทางศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้เราเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพรพุทธองค์เอาไว้แล้ว

    แต่เราไม่นำมาเอามาศึกษาและปฏิบัติกันเอง ดังนั้นเราจึงไม่เข้าใจคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้

    พุทธศาสนาสอนให้ค้นหาจนพบคำสอนที่แท้จริง

    ไม่ได้สอนให้เชื่อตามตำราหรือเชื่อตามที่คนอื่นเขาพูดมา

    พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่คนมีปัญญาจะยอมรับและปฏิเสธไมได้

    www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เล่าปัง*, เตชปญฺโญ ภิกขุ </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2010
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    พุทธวจนะ ธรรมะจากพระโอษฐ์เป็นอกาลิโก


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5mrZgcwZnmA"]YouTube - Tonight Show 24May10 4/6 พระอาจารย์คึกฤทธิ์[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Qrd1RJKBPng&feature=channel"]YouTube - Tonight Show 24May10 5/6 พระอาจารย์คึกฤทธิ์[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=QAHe4XHG9pw&feature=channel"]YouTube - Tonight Show 24May10 6/6 พระอาจารย์คึกฤทธิ์[/ame]

    ถาม

    เตชปญฺโญ ภิกขุ ในฐานนะพุทธสาวก
    เราควรปฏิบัติอย่างไรกับ พุทธวจนะซึ่งเป็นอกาลิโกหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2010
  8. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    ขอบพระคุณคุณหลงเข้ามาด้วยใจจริงค่ะ ^^
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    อกาลิโก หมายถึงอะไร?

    อกาลิโก แปลว่า ไม่จำกัดกาล

    ซึ่งหมายถึง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น(ในเรื่องการดับทุกข์) ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย หรือทุกกาลเวลา คือปฏิบัติเมื่อไรก็ได้ผลเมื่อนั้น หรือไม่ต้องมีกาลเวลามากางกั้น อย่างเช่น ที่ชอบสอนกันว่าปฏิบัติวันนี้หรือชาตินี้ แล้วต้องไปรอรับผลเอาในวันหน้าหรือชาติหน้า เป็นต้น ซึ่งนี่ไม่ใช่คำสอนที่เป็นอกาลิโกเลย ดังนั้นจึงไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสอนที่ไม่เป็นอกาลิโกทั้งหมด จึงไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

    ส่วนที่ถามว่าเราควรปฏิบัติอย่างไรกับพุทธวจนะที่เป็นอกาลิโกนั้น ก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นพุทธวจนะจริง(คือเป็นเรื่องการดับทุกข์ที่เป็นอกาลิโก) เราก็ต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องอจินไตย(ไม่ควรศึกษา)และไม่เป็นอกาลิโก ก็อย่าไปสนใจ ให้ละทิ้งเสีย(ตามหลักกาลามสูตร)

    www.whatami.net ฉันคืออะไร? เว็บไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ​
     
  10. inkpan

    inkpan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +543
    นมัสการครับ
    เดิมผมเชื่อเรื่อง นรก-สวรรค์ , บาป-บุญ , ภพชาติ , เวรกรรม , ไสยศาสตร์,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ,ดวงชะตา,โชค, ลาง, ผี, เทวดา ฯลฯ
    ผมมีคำถามครับ
    1. ถ้าภพหน้าไม่มีจริง แล้วเรื่องวิปัสนากรรมฐานละครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงให้เหล่าสาวกปฏิบัติเพื่อที่จะหลุดพ้นจากวัฎจักรละครับ(นิพพาน) จริงๆแล้วเพื่อความอิ่มเอิบใจ สบายใจ โล่งใจ ความสงบเย็นของจิตใจ เท่านั้นหรือครับ
    2. (เรื่องบาปกรรม-นรก-สวรรค์) ตอนเราจะเปลี่ยนความเชื่อเดิมจากครูบาอาจารย์ในอดีตทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกุศโลบายให้เด็กกล้วการทำผิด หรืออาจจะมีนรก-สวรรค์จริง มาเป็นแบบใหม่ซึ่งต้องใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อพิสูจน์ได้
    2.1 เราเปลี่ยนเพื่อให้ทุกคนรู้ความจริงเท่านั้นหรือครับ แล้วเรื่องการสอนละครับขนาดเราบอกนรก-สวรรค์มีจริงยังไม่เชื่อยังทำเลวกันเลย
    2.2 แล้วถ้าสอนว่าอย่าทำเลวเลยเดี๋ยวจะร้อนใจ ไม่สบายใจ นะ เค้ายิ่งไม่กล้วมากกว่าหรือครับ
    2.3 ผมว่าเอาหลักสูตรนี้มาใช้กลับสังคมเราจริยธรรมมันจะยิ่งเสื่อมลงครับ เอาไปใช้กลับผู้ที่มีปัญญาแล้วดีกว่ามั้ยครับ (ป.ตรี ปีสุดท้าย หลักสูตรบังคับ เรื่องความจริงที่ชาวพุทธต้องรู้)
    3. ถ้าตอนนี้สังคมยังแย่แบบนี้อยู่ เราสอนเด็กแบบเดิมให้เชื่อเรื่องบาปกรรม-นรก-สวรรค์ ไปก่อนเพื่อให้เค้าเป็นคนดี กล้วบาปกรรม แล้วค่อยบอกความจริงตอนโต ( ป.ตรี ปีสุดท้าย) ท่านติดอะไรบ้างครับ

    และตอนนี้ผมก็ยังเชื่อเรื่อง นรก-สวรรค์ , บาป-บุญ , ภพชาติ , เวรกรรม , ไสยศาสตร์,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ,ดวงชะตา,โชค, ลาง, ผี, เทวดา ฯลฯ และผมพยายามทำความเพียรสมาะฺและสติ เพิ่มอยู่ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เข้าใจตรงกันเรื่อง อกาลิโกแล้วนะครับ

    ธรรมจากพระโอษฐ์ ย่อมเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นยุคสมัย

    แปลอีกอย่างได้ว่า เป็นสัจธรรม ความจริงแท้ แน่นอน

    ทีนี้ จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นพุทธวจนะหนอ
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    นมัสการครับ
    เดิมผมเชื่อเรื่อง นรก-สวรรค์ , บาป-บุญ , ภพชาติ , เวรกรรม , ไสยศาสตร์,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ,ดวงชะตา,โชค, ลาง, ผี, เทวดา ฯลฯ
    ผมมีคำถามครับ
    1. ถ้าภพหน้าไม่มีจริง แล้วเรื่องวิปัสนากรรมฐานละครับ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงให้เหล่าสาวกปฏิบัติเพื่อที่จะหลุดพ้นจากวัฎจักรละ
    ครับ(นิพพาน) จริงๆแล้วเพื่อความอิ่มเอิบใจ สบายใจ โล่งใจ ความสงบเย็นของจิตใจ เท่านั้นหรือครับ
    --------------------------
    (การทำวิปัสสนากรรมฐานก็เพื่อดับทุกข์ในปัจจุบัน เรื่องนี้คงต้องศึกษาเรื่องอนัตตาให้เข้าใจเสียก่อน ถ้าเข้าใจอนัตตาแล้วปัญหาทั้ง
    หลายก็จะหมดไปเอง ซึ่งจุดเริ่มต้นที่จะเข้าใจอนัตตาก็คือต้องตอบคำถามว่า "ยอมรับหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาต้องมาจากเหตุปัจจัย?")
    *************************************
    2. (เรื่องบาปกรรม-นรก-สวรรค์) ตอนเราจะเปลี่ยนความเชื่อเดิมจากครูบาอาจารย์ในอดีตทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกุศโลบายให้เด็กกล้วก
    ารทำผิด หรืออาจจะมีนรก-สวรรค์จริง มาเป็นแบบใหม่ซึ่งต้องใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อพิสูจน์ได้
    2.1 เราเปลี่ยนเพื่อให้ทุกคนรู้ความจริงเท่านั้นหรือครับ แล้วเรื่องการสอนละครับขนาดเราบอกนรก-สวรรค์มีจริงยังไม่เชื่อยังทำเลวกัน
    เลย
    ------------------------
    (การได้รู้ความจริงก็เพื่อเป็นปัญญานำมาใช้ดับทุกข์ ส่วนการสอนว่านรก-สวรรค์มีจริงก็เหมือนการหลอกให้กลัวการทำชั่วและหลอกให้
    อยากทำความดี ซึ่งก็อาจจะใช้ได้กับเด็กหรือคนปัญญาน้อยบางคนเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาเลย มีแต่ทำให้โง่งมงายยิ่งขึ้น
    ถึงจะเป็นคนดี แต่ก็เป็นคนดีที่โง่เขลา คุณชอบแบบนี้หรือ? การสอนให้คนมีปัญญาย่อมดีกว่าแน่นอน คนที่ไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์จะ
    ทำชั่วกันหมดเลยหรือ? )
    *************************
    2.2 แล้วถ้าสอนว่าอย่าทำเลวเลยเดี๋ยวจะร้อนใจ ไม่สบายใจ นะ เค้ายิ่งไม่กล้วมากกว่าหรือครับ
    -----------------------------------
    (การสอนว่าถ้าทำชั่วแล้วผลภายนอกก็ต้องเป็นไปตามกฏหมายของสังคม ส่วนผลภายในก็คือทำให้ร้อนใจ ไม่สบายใจ เราต้องสอนให้
    ครบ ถ้าเขายังไม่กลัวก็เป็นธรรมดาที่บางคนแม้จะทำอย่างไรก็สอนเขาไม่ได้ ส่วนการหลอกให้กลัวนรกนั้น ถ้าเขาไม่เชื่อเสียแล้วก็ไม่มี
    ทางแก้ไข แต่ถ้าสอนให้เขาพบนรกในใจของเขาเอง ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่านรกในฝันเสียอีกเขายังอาจจะเชื่อบ้างเพราะเขาพบเห็นได้จริง )
    ***********************
    2.3 ผมว่าเอาหลักสูตรนี้มาใช้กลับสังคมเราจริยธรรมมันจะยิ่งเสื่อมลงครับ เอาไปใช้กลับผู้ที่มีปัญญาแล้วดีกว่ามั้ยครับ (ป.ตรี ปีสุดท้าย
    หลักสูตรบังคับ เรื่องความจริงที่ชาวพุทธต้องรู้)
    ------------------------------------
    (แน่นอนว่าเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้มีปัญญา แต่สังคมจริยธรรมก็ต้องสอน เพราะเป็นการสอนให้เขาเกิดปัญญา ไม่ใช่สอนให้เป็นคนดีแต่
    โง่งมงาย อย่างนี้ก็ไปไม่รอดอีกตามเคย เพราะความโง่นั้นไม่มีทางทำให้เกิดความสงบสุขได้ เพราะความโง่ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิด
    เสมอ แต่ถ้าสอนให้คนมีปัญญาแล้ว เขาก็จะเดินไปในทางที่ถูกต้องได้เอง)
    *******************************
    3. ถ้าตอนนี้สังคมยังแย่แบบนี้อยู่ เราสอนเด็กแบบเดิมให้เชื่อเรื่องบาปกรรม-นรก-สวรรค์ ไปก่อนเพื่อให้เค้าเป็นคนดี กล้วบาปกรรม
    แล้วค่อยบอกความจริงตอนโต ( ป.ตรี ปีสุดท้าย) ท่านติดอะไรบ้างครับ
    -------------------------------------
    (ถ้าสอนให้โง่งมงายไปจนถึง ป.ตรี ปีสุดท้าย มันก็แก้ไม่ทันแล้ว เพราะความโง่มันได้ฝังหัวไปจนไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว เราต้องสอนให้
    เด็กมีปัญญาเสียตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นก็ง่ายที่จะสอนสิ่งที่สูงขึ้น การจะให้เด็กเป็นคนดีนั้นจะอยู่ที่การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่และครู
    อาจารย์ โดยสอนให้เขารู้จักว่าการทำดีแล้วมันจะมีผลดีแก่ชีวิตอย่างไร? และแก่จิตอย่างไร ?ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีหลอกให้ทำความดีก็ได้
    ซึ่งวิธีนี้จะใช้ไม่ได้แล้วกับยุคสมัยที่มีความเจริญทางวัตถุอย่างยิ่งขณะนี้ )
    ***************************
    และตอนนี้ผมก็ยังเชื่อเรื่อง นรก-สวรรค์ , บาป-บุญ , ภพชาติ , เวรกรรม , ไสยศาสตร์,สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ,ดวงชะตา,โชค, ลาง, ผี, เทวดา ฯลฯ
    และผมพยายามทำความเพียรสมาะฺและสติ เพิ่มอยู่ครับ
    ขอบคุณครับ
    ------------------------
    (ความเชื่อเหล่านี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้ ถ้าไปสอนคนมีปัญญาเขาจะหัวเราะเยาะเอา จุดสำคัญถ้ายังมีความ
    เชื่อเหล่านี้อยู่ มันก็ทำให้ไม่เข้าใจหลักอริยสัจ ๔ ได้อย่างถูกต้อง เพราะเป็นการสอนว่ามีอัตตา(ตัวตนอมตะ) ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนว่า ทุก
    สิ่งเป็นอนัตตา(ไม่ใช่อัตตา) ถ้าเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตาแล้ว ก็นำความเข้าใจนี้มาร่วมกับศีลและสมาธิ ก็จะทำให้เกิดพลังในการดับ
    ทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆก็สามารถพิสูจน์ได้ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ถึงจะปฏิบัติอย่างไรก็ไม่มีทาง
    ดับทุกข์ได้จริง แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะปฏิบัติเมื่อไรก็ดับทุกข์ได้จริงเมื่อนั้น)
    ***********************
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    เข้าใจตรงกันเรื่อง อกาลิโกแล้วนะครับ

    ธรรมจากพระโอษฐ์ ย่อมเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นยุคสมัย

    แปลอีกอย่างได้ว่า เป็นสัจธรรม ความจริงแท้ แน่นอน

    ทีนี้ จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นพุทธวจนะหนอ<!-- google_ad_section_end -->
    ------------------
    เราต้องใช้หลักกาลามสูตรมาตัดสินคือ....

    ซึ่งจุดแรกในการสร้างปัญญาของคำสอนระดับสูงก็คือเรื่องความเชื่อ โดยพระพุทธเจ้าได้วางหลักในการสร้างความเชื่อไว้โดยสรุปดังนี้
    ๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ฟังจากคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมา
    ๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ได้เห็นเขาทำสืบๆกันมา
    ๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า กำลังเป็นที่เลื่องลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
    ๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีที่อ้างอิงจากตำรา
    ๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลตรงๆมารองรับ(ตรรกะ)
    ๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(นัยยะ)
    ๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า คิดเดาเอาตามสามัญสำนึกของเราเอง
    ๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มันตรงกับความเห็นเดิมที่เรามีอยู่
    ๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ
    ๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง
    เมื่อใดที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรม(คำสอน)เหล่านี้เป็นอกุศล(ผิด, ไม่ดีงาม), ธรรมเหล่านี้มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชน (ผู้มีสติปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียน, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล พึงละเว้นธรรมเหล่านี้เสีย
    ส่วนธรรมเหล่าใด ที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล(ถูกต้อง,ดีงาม) ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น.

    จาก www.whatami.net ฉันคืออะไร?​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2010
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หลงเข้ามา, เตชปญฺโญ ภิกขุ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แม้กระนั้น พระไตรปิฎกที่สังคยานา

    ได้ชื่อว่าพระธรรมแทนพระองค์

    ก็มิควรเชื่ออย่างนั้นหรือ
     
  16. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ระหว่างเตชปญฺโญภิกขุ กับหลักธรรมคำสอนพุทธวจนะในพระไตรปิฏก

    อย่างไหนควรใช้หลักกาลามสูตรมาตัดสิน
     
  17. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210


    ผมว่าตัวเลือกแรกต้องใช้อยู่แล้วล่ะ เราไม่รู้หรอกว่าคนที่นั่งอยู่หลังแป้นพิมพ์คนนั้นเขามีจริต อุปนิสัยอย่างไร คิดอย่างไร มีเจตนาอะไรบ้าง..?
     
  18. angelpair

    angelpair เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +101
    เหลวกันไปใหญ่ละมั้งห้องนี้
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    [​IMG]

    ถุ ถุ ถูกต้องนะค๊าบบบบบ....​
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    แม้กระนั้น พระไตรปิฎกที่สังคยานา

    ได้ชื่อว่าพระธรรมแทนพระองค์

    ก็มิควรเชื่ออย่างนั้นหรือ
    -------------------
    ระหว่างเตชปญฺโญภิกขุ กับหลักธรรมคำสอนพุทธวจนะในพระไตรปิฏก

    อย่างไหนควรใช้หลักกาลามสูตรมาตัดสิน

    **********************

    ถ้าเข้าใจหลักกาลามสูตรถูกต้องจริงๆแล้ว คำถามเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...