แคร่ริมคลอง...วันวิสาข์พาไป "พิพิธภัณฑ์สักทอง"

ขออนุโมทนากับเจ้าภาพและเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน...ที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้...สวัสดีครับ

 

แจ่มเลยพี่ ความรู้เน้นๆ เลย อนุโมทนาด้วยครับผม

 

งานทำบุญครั้งนี้(งานหล่อพระพร้อมถวายพระพุทธรูปสมเด็จพระพุทธเจัาองค์ปฐมพร้อม

ถวายสังฆทานและปัจจัยและแรงกาย)สิ่งที่ผมได้เห็นกับตาและได้นำกับมาเข้าสู่จิตใจคือการ

ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งเจ้าภาพและชาวบ้านพร้อมทั้งคณะพลังจิตทุกๆท่านที่ร่วม

แรงร่วมใจกัน...เป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในภาวะสังคมในปัจจุบันนี้...

จึงคิดในใจว่าขอให้เห็นภาพแบบนี้อยู่ทั่วโลก...โลกจะได้มีสันติสุขตลอดไป...ผมเองแต่ก่อนก็เคยมืดมา

ก่อนคือโง่และก็โง่มากด้วยครับเช่น...โมโหง่าย...คิดเล็กคิดน้อย... และ อีกหลายอย่างที่

ไม่ดี...แต่ได้มาพบธรรมะของพระพุทธเจ้าและได้รับคำอบรมและฟังคำสอนของพ่อแม่พบครูบาอาจารย์...พร้อมได้รับคำชี้

แนะธรรมของเพื่อนๆกัณยามิตรทางธรรมทำให้เรามีสติและใจเย็นลงและรู้จักคำว่าให้อภัยซึ้งกันและกัน...สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผม

เปลียนได้คือ...คำว่าศรัทธาๆและก็ศรัทธาในตัวเองว่าเราต้องเปลียนได้(จิตใจให้เป็นสัมมาทิฐิ)...จึงนำคำสอนของท่าน

พุทธทาสมาใช้เตือนสติตัวเองได้ตลอดครับ...ถ้าเพื่อนๆนำไปใช้ก็ได้ครับ...สวัสดีครับ

คำสอนท่านพุทธทาส [SIZE=-1]จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า

[/SIZE]เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา
เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราวเหมือนเรา
เขาก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไมเหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา
เขาโง่ในบางอย่างเหมือนที่เราเคยโง่
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยทำ
เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง
เขาก็มักจะกอบโกยและเอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา
เขามีสิทธิ ที่จะบ้าดี เมาดี หลงดี จมดี เหมือนเรา
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่นอะไรต่างๆเหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ทำอะไร ด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา
เขามีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก(แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากันกับเรา สำหรับจะอยู่ในโลก
ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น<!-- End main-->

 

<CENTER>...คำสอนท่านพุทธทาส...

</CENTER>




[FONT=2005_iannnnnMTV]
[/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] [/FONT]

[FONT=2005_iannnnnMTV]ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง[/FONT][FONT=2005_iannnnnMTV] สวัสดีครับ[/FONT]

 

<TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

ตอบรวมเลยก็แล้วกันนะท่านพี่ชานน...

จริงๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนในขณะที่เรายังเป็นคน ที่มีทั้งร่างกายและวิญญาณ
เราก็ต้องเอาไปให้ครบนั่นแหละ ทั้งธาตุ4ขันธ์5 ก็ขนๆ กันไป
เพราะไหนๆ ก็มีแล้ว เราก็ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมิใช่หรือ...


ธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือสิ่งที่ประกอบมาเป็นรูปร่าง ร่างกาย
เป็นอวัยวะ เลือดเนื้อ ลมหายใจ ระบบการเต้น และการหมุนเวียนในร่างกายของเรานี่แหละ
ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งก่อขึ้นจากอายตนะทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
...รูปคือสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ สิ่งที่มากระทบกับตา ผลออกมาคือภาพ
......เวทนาคืออารมณ์ทุกประเภท เช่น อารมณ์ทุกข์ สุข หิว อิ่ม เจ็บ ปวด ล้วนคือสิ่งที่มากระทบใจ
...สัญญาคือการจำได้ หมายรู้ คุ้นเคย ระลึก อาจจะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง...ก็คือจิตคือตัวรู้
......สังขารคือการปรุงแต่งของจิต ณ คิดว่ามันคือการสะท้อน การแผ่ออก การกระจายออกของอารมณ์
เช่น เกิดอารมณ์ทุกข์ ก็เกิดการเสียใจ เศร้าโศก หดหู่ เกิดอารมณ์สุข ก็เกิดยินดี ดีใจ ร่าเริง
...วิญญาณคือการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส อ่อน นุ่ม แข็ง...
ซึ่ง ณ คิดว่าน่าจะรวมถึง การรับรู้ด้วย หู จมูก ลิ้น ด้วย
เพราะ การได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ได้รสด้วยลิ้น
ล้วนเชื่อมโยงด้วยระบบประสาท
ส่วนการรับรู้ด้วยตาก็ยกไปอยู่ในข้อที่เป็น*รูป
การรับรู้สภาพดินฟ้าอากาศ อุณหภูมิ ร้อน หนาว คือการรับรู้ทางผิวสัมผัส


สรุปง่ายๆ พออายตนะ6ไปกระทบกับธาตุ4ก็เกิดขันธ์5
แปลกดีเนอะ 6+4=5 จำให้ดี ตัวนี้สำคัญ เป็นตัวกิเลสเลยล่ะ

นี่เราก็ต้องขนมาด้วยกันทั้งกาย และจิต ได้สอง แล้วนะพี่ชานน
คราวนี้มาดูสติ สติคืออะไร สติคือการรู้ตัว ตื่นตัวในสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน นี่คือสาม
จริงๆ ณ ว่าตัวที่ขาดไม่ได้ที่ควรพกพาเป็นเสมือนลมหายใจตัวที่สี่คือ ปัญญา
นั่นคือการวิเคราะห์ พินิจ พิจารณา จำแนก ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากสูตร 6+4=5

เมื่อเราย้อนขึ้นไล่ลง 6กระทบ4เกิด5...5เกิดจาก4ที่กระทบ6
ทางภาษาพระจะเรียกว่าอนุโลมปฏิโลม ถ้าจำไม่ผิดนะ ขอใช้สักหน่อย
หุหุ จริงๆ ณ ไม่ค่อยจะชำนาญศัพท์เฉพาะผิดถูกอย่างไรก็ขออภัย
นี่ก็ใช้มาหลายคำแล้ว...กว่าจะสะกดถูกก็เปิดพี่กู(Google)ช่วยไปหลายรอบ


เอ้า...กลับมาๆ พอจับเอา 645...546 ชนกันไป ชกกันมา
กระทบกันไป กระเทือนกันมา เดี๋ยวมันเกิด เดี่ยวมันดับ
เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ วนอยู่ตรงนี้ เมื่อพิจารณามองเห็น เข้าใจถึงความเป็นไป
มันไม่มีอะไรที่แน่นอน เที่ยงแท้ คราวนี้ก็ปิ๊ง ปัญญาเกิดเลย อ่อ มันก็เป็นของมันแบบนี้
จะไปทุกข์กับมันทำไม(ฟะ) จะไปสุขกับมันหา(สวรรค์วิมาน)อะไร
เช่นสังขารมันย่อมเสื่อมไปตามสภาพ อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิด
ก็เปลี่ยนไป วันๆ หนึ่งเปลี่ยนจนเวียนหัว นับไม่ถ้วน

ถ้าให้คอมพิวเตอร์มานับอารมณ์คนรับรองได้มันต้องออกอาการ error แน่นอน
เพราะมันเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ภาษาศัพท์เรียกว่าอะไรล่ะ อ๋อ...เสถียร...
คนเรามันช่างไร้ความเสถียรของอารมณ์เสียนี่กระไร ขาดความสมดุลที่สุด ถึงที่สุด และเกินที่สุด

ก็เป็นเช่นนี้แล ...ท่าน พ่อแม่พี่น้อง เอาจิตไปจับไว้มันก็ทุกข์ ก็ปล่อยมันไป
เพียงแค่น้อมนำสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป มาพิจารณาให้เกิดปัญญา
น้อมนำสิ่งที่เรายังมีอยู่มาตีให้แตก และที่สำคัญต้องใช้สติบวกด้วยปัญญาเข้าไปตี
พร้อมเป็นหน่วยทะลวงฟันกันหรือยังพ่อแม่พี่น้อง...อย่าปล่อยให้กิเลสลอยนวล...เย้..


ปล.ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจของ ณ เท่านั้น ผิดพลาดประการใด ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
หากมีประโยชน์แม้เพียงน้อยนิดขอยกขึ้นถวายเป็น พุทธะธรรมะสังฆะปูเชมิ

 

วันศุกร์ วันสุดท้ายของการทำงานของคนส่วนมาก
แต่วันศุกร์ที่ 18 นี้เป็นวันเริ่มงานบุญของเหล่าลูกตะลอน
จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปตลาดรังสิต ออกจากตลาดรังสิต 2 ทุ่มกว่า
เรามุ่งหน้า แยกมาลัยแมน นครปฐม GO GO

ใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะมาเจอคนนำทางที่แยกมาลัยแมน
ซึ่งรออยู่นานแล้ว พร้อมดังกิ้นโดนัส กล่องใหญ่ ^^

จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่วัดถ้ำผาแดง กาญจนบุรี
เส้นทางที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก สารถีของเราก็ขับตามรถนำขบวนไปเรื่อยๆ
ยิ่งเข้าเขตอำเภอหนองปรือ ก็ยิ่งเกาะติดคันหน้าไว้ตลอด
ถ้าหากหลุดเมื่อไร ด้วยความมืดที่ปกคลุม เราคงจะเจอกันได้ยาก
ฉะนั้น งานนี้ห้ามหลุด...><''

ซึ่งยังดีที่มีแสงไฟจากโซล่าเซลล์ส่องให้พอมองเห็น
เราจึงพอจะคลำทางเข้าวัดได้แม้กระนั้นก็ยังผิดทางไปบ้าง
แต่ในที่สุดเราก็ฝ่าความมืดเข้าสู่ตัววัดถ้ำผาแดงได้โดยดี

แม้จะเวลาจะย่างเข้าใกล้วันใหม่เข้ามาแล้ว
หลวงปู่พวงท่านก็ยังคงรอพวกเราอยู่
ด้วยกระแสแห่งความเมตตาของหลวงปู่ เสียงหัวเราะที่เป็นกันเอง
ทำให้พวกเราทุกคนซาบซึ้งมาก...
อาหารการกินก็ได้หลวงพี่ปูเมตตาจัดเตรียมไว้ให้พร้อม...ไม่ต้องกลัวหิว

เวลาผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว หลายคนหาสถานที่พักผ่อน
และอีกหลายคนมาช่วยกันจัดเตรียมสังฆทานเพื่อถวายหลวงปู่วันในรุ่งขึ้น
ตีสี่...ทุกคนพักเอาแรง...

 

ตีห้ากว่าๆ...ก็เริ่มจัดเตรียมโต๊ะบวงสรวง ...หลวงปู่ หลวงพี่ปูท่านก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน
พอตื่นมาเราก็เห็นท่านแล้ว...
แม่ชีและลูกศิษย์ซึ่งเตรียมทำบายศรี แจกันดอกไม้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
ก็มาช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะบวงสรวงด้วยความตั้งใจตั้งแต่เช้าเช่นกัน
ซึ่งเป็นโต๊ะบวงสรวงที่จัดทำด้วยฝีมือที่ปราณีตวิจิตรบรรจง
ช่างงดงามน่าประทับใจจริงๆ

 

ราวหกโมงกว่า เริ่มทำพิธีบรวงสรวง โดยมีหลวงปู่พวงเป็นประธาน
หลวงพี่ปูท่านทำพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนที่โตะบวงสรวง
เปิดเสียงสวดมนต์อัญเชิญเทวดาของหลวงพ่อฤาษีฯ
และพวกเราก็สวดมนต์ไปพร้อมๆ กัน

 

หลวงปู่พวงกราบพระรัตนตรัยและกล่าวคำอธิษฐานจิต
ที่เปี่ยมล้นไปด้วยดวงจิตที่เคารพศรัทธาพระพุทธองค์
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นที่สุด

 

จากนั้นหลวงปู่ก็เมตตาสวดมนต์สงเคราะห์พวกเราทุกคน
และต่อด้วยการพรมน้ำมนต์ และพูดคุยธรรมมะกับพวกเราอยู่ครู่ใหญ่
จนกระทั่งมีลูกศิษย์มานิมนต์ให้ท่านไปฉันเช้า เราก็เลยแยกย้ายกันไป

 

พอฉันเช้าเสร็จ พวกเราก็ได้ร่วมกันถวายพระแก้วใสทรงเครื่องจักรพรรดิ์
พระวิสุทธิเทพ พระบรมสารีริกธาตุ และมหาสังฆทานที่พวกเราทุกคนร่วมใจกันจัดถวาย

และได้ร่วมกันกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย พ่อแม่ครูบาอาจารย์
ที่พวกเราได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินท่านไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ
ทั้งที่ตั้งใจ มิได้ตั้งใจ รู้ ไม่รู้ ระลึกได้ ระลึกไม่ได้ก็ตาม ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ขอให้พระรัตนตรัย พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้โปรดงดโทษที่พึงจะเกิด แก่พวกเรา
ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

 

จากนั้นเวลาราว 9 โมง ก็เริ่มหล่อพระองค์แรก
ณ ไปไม่ทันตอนแรก เลยได้ภาพหล่อช่วงอกมาให้ชม
ซึ่งงานนี้ในตอนแรกก็คิดว่าจะมีคนมาร่วมหล่อไม่เกิน 50 คน
เพราะวัดถ้ำผาแดงเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลชุมชน
แต่กลับเป็นว่าคนที่มาร่วมหล่อมากขึ้นๆ น่าจะเกิน 200 คน
เป็นที่น่าปลาบปลื้มและยินดียิ่งนัก
ที่ผู้คนต่างมาร่วมกันสร้างตัวแทนพระพุทธองค์ในครั้งนี้
ตอนนี้กำลังรอประกอบช่วงอก...

 

เริ่มตั้งแถวเทปูนหล่อพระกันต่อ..

 

ต่อแบบช่วงพระเศียร หยุดรอ...แล้วก็ตั้งขบวนเทปูนกันต่อ จนเสร็จ

 

จากนั้นก็เอาปูนส่วนที่เกินของพระองค์แรกมาเทเป็นฐานขององค์ที่สอง
แล้วพวกเราก็ไปร่วมพักรับประทานอาหาร ซึ่งมีหลายท่านร่วมมาตั้งโรงทาน
พวกเราขอขอบพระคุณในน้ำใจมากมายที่หลั่งไหลกันเข้ามาร่วมบุญในครั้งนี้
ก่อนถึงช่วงหล่อพระองค์ที่ 2 พวกเราก็ได้มีเวลานั่งคุยกันบ้าง
เดินดูบริเวณโดยรอบบ้าง ทุกคนยินดีที่ได้มาร่วมงานหล่อพระในครั้งนี้
และต่างก็ปลื้มปิติที่ได้มาร่วมบุญใหญ่ด้วยกัน

 

ต่อจากนั้นสักชั่วโมงก็เริ่มแกะแบบออกจากพระองค์แรก
พระพุทธองค์งดงามยิ่งนัก

 

เริ่มตกแต่งองค์ที่ 1 และประกอบแบบองค์ที่ 2
และเมื่อประกอบเสร็จก็เริ่มตั้งแถวบุญกันต่อ
จนองค์ที่ 2 เสร็จสิ้น...
หลวงพี่ที่มาร่วมหล่อได้เมตตานำพวกเราสวดมนต์ไปพร้อมๆ กัน
เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

 

จากนั้นพี่ๆ น้องๆ หลายคนก็ช่วยกันทำความสะอาดองค์พระ

 

มานั่งรอ ชมภาพ ^^;aa2