แจ้งปิดกระทู้งานบุญ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย arjarhnnop, 31 พฤษภาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. charoen.b

    charoen.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    5,726
    ค่าพลัง:
    +15,488
    สมบูรณ์ครับ ถ้าทำแล้วไม่มีผลอะไรคงจะเกิดจากการปฏิบัติของผมแล้วละครับ

    ขอบคุณเป็นครั้งที่ร้อยปล๋าย ครับหลวงตา
     
  2. เทวาลัย

    เทวาลัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,033
    ค่าพลัง:
    +4,901
    มาแจ้งข่าวครับ

    ทริปนี้สงสัยจะไม่ได้ไปอีกแล้ว

    แทนที่จะได้ไปชัยนาท..สงสัยจะได้ไปตราดแทน

    มีภารกิจหลายอย่าง ไม่รู้จะกลับมาถึง..แล้วเดินทางต่อไปชัยนาท

    ได้ทันเวลาหรือเปล่า...เฮ้อ..เศร้า..

    __________________
     
  3. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    ศิษย์ขอคารวะท่านอ.ปุ้ม :cool:
     
  4. 5000

    5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,491
    ค่าพลัง:
    +7,121
    ตอนนี้เตรียมตัวไม่ทัน
    ไว้กลับกันมาก่อน จะเอาวัตถุมงคลของหลวงปู่มังมาให้ชม . . . .
     
  5. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433

    เสร็จภาระกิจ...........ดีหน่อยใช้เชือกร่มถัก.. ไม่ค่อยบาดมือ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล เป็นศิษย์ฝ่ายมหานิกาย
    ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่กินรี จนฺทิโย
    ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ชา สุภทฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง

    ดังคำปรารภในหนังสือ มณีรัตน์ความว่า

    “...องค์ท่านเป็นผู้โดดเด่นในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐาน
    ตามแนวทางของพระศากยมุนีศรีโคดม ที่สืบทอดมาโดยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

    จนเป็นที่ยอมรับและรับรองจากองค์บูรพาจารย์ทั้งสอง
    ให้เป็นแม่ทัพนายกองพระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย ตามแบบอย่างองค์ท่านทั้งสอง…”


    เหตุผลที่ท่านพระอาจารย์มั่นไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์บางรูปญัตติเป็นธรรมยุต นั้นก็คือ

    ถ้าพากันมาญัตติเป็นพระธรรมยุตหมดเสียแล้ว
    ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครแนะนำการปฏิบัติ
    มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกายหรอก
    แต่มรรคผลขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว
    ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ
    นั่นแหละทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน


    หลังจากหลวงปู่ทองรัตน์ได้ปฏิบัติอย่างพากเพียรที่ถ้ำบังบด ถึง ๓ พรรษา
    ท่านพระอาจารย์มั่นได้บอกแก่ท่านว่า


    ทองรัตน์ เดี๋ยวนี้จิตของท่านเท่ากับจิตของผมแล้ว
    ต่อไปนี้ท่านจะเทศน์จะสอนคนอื่นก็จงสอนเถิด


    หลวงปู่ทองรัตน์ท่านมีกิริยาที่ห้าวหาญไม่เกรงกลัวใคร
    แต่เคารพในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง

    ดังเหตุการณ์เมื่อครั้งไปจำพรรษา ณ บ้านชีทวน...

    ด้วยความตั้งใจที่จะให้ฆราวาสได้ทำบุญทำทานบ้าง
    ถ้าเห็นชาวบ้านที่รอใส่บาตรแต่ลืมดูว่าพระมาหรือยัง ท่านก็จะยืนรอแล้วเรียกให้มาใส่บาตร
    วันไหนฝนตกก็จะบอกโยมว่า
    แม่บ่ต้องลงมาหรอกมันเปียก ลูกสิไปรับเอง
    ถ้าบ้านไหนที่ไม่เคยทำบุญแต่มีกล้วยสุกคาต้นอยู่ ท่านก็จะบอก

    แม่ กล้วยมันสุกคาเครือ บ่อยากได้บุญบ้อ คั่นอยากได้กะเอามาใส่บาตรตี้
    แล้วก็รอจนโยมนำมาทำบุญ แต่เมื่อถึงวัดก็จะไม่ฉันกล้วยนั้น


    หรือการที่โยมบางคนบอกทุกวันว่าข้าวยังไม่สุกเลยไม่ได้ใส่บาตร
    วันต่อมาท่านก็แบกฟืนไปให้พร้อมทั้งบอกให้เร่งไฟเข้า ท่านจะรอ
    แต่เมื่อได้รับข้าวมาแล้วก็ไม่ฉัน
    รวมทั้งการที่ให้แม่ชีที่วัด ไปขออะไรก็ได้ตามแต่ชาวบ้านจะให้

    แต่เมื่อได้มาแล้วก็จะไม่ใช้ของนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ผิดต่อพระธรรมวินัย
    เจตนาแท้จริงคือให้โยมรู้จักทำบุญบ้าง

    สิ่งต่างๆ ที่ทำไปกลับถูกเข้าใจผิดและว่ากล่าวอย่างรุนแรง
    บางคนเอาค้อนตอกสิ่วหรือแม้แต่เอากบเป็นๆ ห่อใบตองใส่บาตร
    แต่ท่านก็ไม่โกรธ กลับพูดกับกบนั้นก่อนจะให้สามเณรเอาไปปล่อย
    เอ้อ สะมามัวเขาบ่ใส่บาตร ให้พ่อน้อเจ้าน้อ เกือบเจ้าไปเขาหม่อต่มเขาแล้วน้อ
    (เออ เขาเกือบไม่เอามาใส่บาตรให้พ่อนะ เขาเกือบนำเจ้าไปทำต้มยำแล้ว)


    วันต่อมาโยมที่นำทั้งค้อนตอกสิ่วและกบมาให้ ได้นำบัตรสนเท่ห์ใส่บาตรอีก
    เมื่อถึงวัดท่านก็นุ่งห่มจีวรพาดสังฆาฏิอย่างดี แล้วยื่นจดหมายให้สามเณร

    เอ้า ลูกอ่าน อมฤตธรรมแน่นี่ เทวดาเขาใส่บาตรมา หาฟังยากตั๋ว

    แล้วท่านก็พนมมือฟัง ใจความของบัตรสนเท่ห์นั้นมีอยู่ว่า


    พระผีบ้า เป็นพระเป็นเจ้าไม่สำรวม ไม่มีศีล ไม่มีวินัย
    ประจบสอพลอขอของจากชาวบ้าน พระแบบนี้ถึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้
    ก็ไม่นับถือว่าเป็นพระ ให้ออกจากวัดไป ถ้าไม่ไปจะเอาลูกตะกั่วมาฝาก


    เมื่อฟังจบท่านก็ยกมือสาธุ แล้วบอกให้นำจดหมายนั้นไปเก็บไว้อย่างดี

    เอาเก็บได้แท่นพระบูชาเด้อ โลกธรรมแปดมันนี่เอง
    แต่ก่อนได้ยินแต่ชื่อว่ามีลาภ -เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสรรเสริญ-มีนินทา มีสุข-มีทุกข์

    โอ้ย ของดีตั๋วนี้ สาธุ พ่อได้ฟังแล้ว แก่นธรรมเพิ่งมามื่อนี่เอง เก็บไว้เก็บไว้


    วันต่อมาก็บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านโยมคนเดิม โดยไม่โกรธแม้แต่น้อย
    ฝ่ายโยมนั้นต่อมาไม่นานก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในครอบครัว
    จนจิตวิปลาสคิดว่าจะมีคนมาฆ่า ต้องหนีไปซ่อนตัวในป่า
    ญาติๆ จึงนำขันดอกไม้มาขอขมาที่วัด
    ซึ่งท่านก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเขา แต่ชาวบ้านก็ไม่เชื่อ
    ท่านจึงเทศน์เรื่องโทษและกรรมต่างๆ ที่เกิดจากการใส่ร้ายคนอื่น

    เมื่อญาติๆ กลับบ้านไปก็พบว่าโยมผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว

    เวลาผ่านไปไม่นาน ชาวบ้านที่กลั่นแกล้งท่านได้พบเภทภัยต่างๆ
    เช่น ตายโดยไม่มีสาเหตุ มีปากเสียงทะเลาะกันครอบครัว จิตวิปลาส ฯลฯ
    ทำให้เกิดความเกรงกลัวต่อผลกรรม จึงต่างนำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมา
    รวมทั้งโยมที่เอาค้อนตอกสิ่ว กบ และบัตรสนเท่ห์มาใส่บาตร

    ก็ได้มาร้องไห้และขอให้รับขันขมาให้จงได้
    และโยมรายนี้เองที่ต่อมาได้อุปัฏฐากท่านเป็นอย่างดี
    ถึงขนาดย้ายบ้านตามเมื่อท่านย้ายไปจำพรรษายังที่แห่งอื่น
    เป็นอันว่าท่านได้ชนะใจชาวบ้านด้วยความเป็น พระแท้นั่นเอง

    หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล เปรียบดังอัญมณีล้ำค่า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ
    เรื่องราวของท่านได้ให้แง่คิดแก่เรา ว่าพึงพิจารณาถึงแก่นธรรมคำสอน
    มากกว่าการมองแต่เพียงเปลือกนอก ที่อาจพรางให้เข้าใจผิด
    หลงคิดปรามาสพระผู้ทรงคุณ อันจะนำมาซึ่งวิบากอันใหญ่หลวงนัก
     
  7. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้รับใช้พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
    ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
    ซึ่งตกลงกันให้เป็นสำนักวิปัสสนาธุระและศูนย์กลางการชุมนุมของคณะพระกัมมัฏฐาน
    ในการประชุมของคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อปี ๒๕๐๓

    หลวงพ่อพุธได้เล่าถึงความหมายของฉายา “ฐานิโย” ไว้ดังนี้

    “ศัพท์ว่า ฐานิยะ หรือ ฐานิโย นี้ เป็นชื่อฉายาภาษามคธ
    ที่พระอุปัชฌาย์มอบให้ตั้งแต่วันที่ท่านอุปสมบท
    แปลความหมายว่า ผู้ตั้งมั่น (ในธรรม)”


    ท่านเป็นผู้ที่แตกฉานในธรรมะเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีอุปนิสัยอ่อนน้อม
    ดังปรากฏในคำกล่าวของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ความว่า

    “ท่านเจ้าคุณพุธ มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวมาก
    เขียนหนังสือด้านการปฏิบัติได้ดี ถูกต้องทุกขั้นทุกตอน
    เก่งกว่าพระที่มียศตำแหน่งเป็นสมเด็จเสียอีก
    เราชอบอ่านหนังสือที่ท่านเจ้าคุณพุธเขียน”


    เมื่ออายุประมาณ ๘ ปี ท่านเคยได้กราบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ในงานศพที่วัดบ้านหนองดินดำ จังหวัดสกลนคร
    นอกจากนี้หลวงพ่อยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของหลวงพ่อวัน อุตฺตโม

    “...อาจารย์วัน (วัน อุตฺตโม) นี่เล่นกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก อยู่คนละบ้าน
    อาจารย์วันอยู่บ้านตาลโกน แต่นาท่านอยู่ติดหมู่บ้านเรา...”


    และเป็นญาติทางฝ่ายบิดากับท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    “...ท่านพ่อลีท่านมีศักดิ์เป็นปู่ของหลวงพ่อ ท่านเป็นพี่น้องทางฝ่ายพ่อ (ของหลวงพ่อ)
    ท่านมีชาติกำเนิดที่อุบลฯ เหมือนกัน ท่านใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ปู่” กับหลวงพ่อ...”


    แต่หากมีผู้ถามถึงประวัติส่วนตัว ท่านจะบอกเสมอว่าตัวเองเป็นลูกกำพร้า

    “เมื่อมีคนมาถามถึงสกุลรุนชาติ หลวงพ่อจะบอกเสมอว่า
    หลวงพ่อเป็นเด็กขอทาน กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ
    อาจเคยทำกรรมพรากชีวิตสัตว์ไว้ จึงต้องเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก”


    สาเหตุเพราะโยมมารดาเมื่อคลอดท่านแล้วก็กลายเป็นคนเสียสติ
    ส่วนโยมบิดาก็เป็นไข้มาลาเรียจนถึงแก่กรรม ตั้งแต่ท่านอายุได้ ๔ ปี
    ท่านจึงพลัดพรากและถูกทำให้เข้าใจผิดมาตลอดว่าโยมมารดาเสียชีวิตแล้ว

    “...เขาโกหกว่าแม่ตายแต่อายุ ๗ ขวบ ถามว่าทำไมถึงต้องโกหก
    ถ้าบอกว่าแม่ยังอยู่กลัวว่าเราจะไปตามหา
    หลวงพ่อจากแม่มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ เพิ่งไปค้นพบญาติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖
    ตอนนั้นหลวงพ่ออายุ ๓๒ ปีถึงได้รู้ว่าโยมแม่ยังไม่ตาย
    เขามาบอกว่าแม่ท่านพึ่งตายไปได้ ๒ ปีนี้เอง...”


    ท่านเล่าถึงความรู้สึกว้าเหว่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กว่า...

    “...สมัยเด็กๆ หลวงพ่อเคยเหงาเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับทุกข์
    มันไปเหงาตรงที่ว่าพอได้ยินคนข้างบ้านเขาเอิ้น (เรียก) แม่ พ่อ ล่ะเหงาทันที
    เราไม่มีพ่อแม่เรียกกับเขา…”


    เพราะเป็นลูกกำพร้าจึงต้องพบความคับแค้นใจมาตั้งแต่เล็ก
    ทั้งจากเพื่อนบ้านและ ที่สำคัญคือจากญาติของตนเอง

    “...บางทีกินข้าวอยู่ดี ๆ เขาไล่ออกจากสำรับ ก็ยังเคยมีเลย
    บางทีคล้ายๆ ว่าเขากลั่นแกล้ง เวลาค่ำมืดให้เราไปต้อนวัวต้อนควายเข้าคอกคนเดียว
    ทีนี้เด็กอายุ ๑๒-๑๓ ปีนี่มันก็เกิดความกลัว แล้วบริเวณบ้านที่อยู่น่ะ มันป่าช้างดงเสือทั้งนั้น
    ถ้าเราชวนน้อง ๆ ไปด้วย เขาก็หาว่าเกี่ยง ใช้งานแค่นี้ไม่ได้ มึงหนีจากบ้านกู
    คุกเข่ากราบลงต่อหน้าที่ลานบ้าน ขอเวลาอีก ๖ เดือน
    เพราะตอนนั้นเรียนอยู่ประถม ๖ ยังเหลืออีก ๖ เดือนจะจบ...”


    ความทุกข์เหล่านั้นเป็นแรงผลักดันสำคัญยิ่ง ทำให้ท่านตัดสินใจบวช
    ตั้งแต่เพิ่งเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีอายุย่าง ๑๕ ปี

    “...ที่หลวงพ่อบวชนี้เพราะหลวงพ่อคิดว่ามีความทุกข์ โลกนี้มีแต่ความทุกข์
    จึงแสวงหาทางพ้นทุกข์ ความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้นในขณะนั้น
    แต่ว่าความรู้สึกทุกข์ทรมานตามความรู้สึกสามัญสำนึกธรรมดา
    มันมีอยู่ตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา คือความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ
    ว่าเราขาดพ่อขาดแม่ ขาดความอบอุ่น แม้แต่ไปเล่นกับเพื่อนบ้าน
    บางทีเขาก็โมโหให้ บางทีเขาก็ด่า “ไอ้ลูกไม่มีพ่อแม่สั่งสอน” อะไรทำนองนั้น
    มันก็รู้สึกกระทบกระเทือนจิต มีความรู้สึกอยู่เช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งบวชเณร”


    เมื่อบวชแล้ว ท่านก็ตั้งใจศึกษาจนจบเปรียญธรรม ๓ ประโยค
    ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร โดยใช้เวลาเพียง ๑ ปี
    และได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ในเวลาต่อมา
    แต่ที่สุดก็ต้องหยุดเรียนไปเพราะปัญหาสุขภาพ

    ตลอดชีวิตในสมณเพศ ท่านได้ปฏิบัติสมณกิจสำคัญต่างๆ
    เพื่อเป็นการเผยแผ่และค้ำจุนพระพุทธศาสนา
    เหตุการณ์สำคัญหนึ่งก็คือ เมื่อประมาณ ปี ๒๕๒๕
    ท่านเคยได้รับการอาราธนาให้ไปเทศน์ที่พระราชวังไกลกังวล
    และได้ถวายวิสัชนาธรรมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

    ในปี ๒๕๓๕ หลวงพ่อพุธได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช
    ที่ “พระราชสังวรญาณ” อันเป็นสมณศักดิ์สูงสุดที่ท่านได้รับ
    ซึ่งท่านเล่าว่า “เป็นนามที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถท่านทรงเลือกเอง”

    ชีวิตของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ให้คติแก่เราทั้งหลายได้เป็นอย่างดียิ่ง
    จากลูกกำพร้าที่ขาดทั้งความรักความอบอุ่น พบความทุกข์ยากมาตั้งแต่ยังเยาว์
    แต่ด้วยคุณธรรม และจริยวัตรอันงดงามในสมณสารูป
    จึงกลายพระสุปฏิปัณโณผู้เป็นที่กราบไหว้บูชาของคนทั้งแผ่นดิน
    ดังที่ท่านได้เคยกล่าวถ้อยคำอันสมควรนำไปเป็นข้อคิดว่า

    “...คนเรานี่จะอยู่ในฐานะอย่างไรก็ตาม ขอให้มีใจเข้มแข็ง กล้าสู้
    แม้จะกำเนิดมาจากตระกูลขอทานมันก็เอาดีได้ ถ้าตั้งใจจริง...”
     
  8. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
    เป็นพระสงฆ์ผู้ได้รับการถวายนามว่า “วิสุทธิเทพผู้ส่องประทีปแห่งลุ่มน้ำโขง”
    ท่านเข้าสู่ร่มเงาพระศาสนาตั้งแต่อายุยังน้อย
    โดยเมื่ออายุได้ ๑๔ ปี ได้พบและติดตามรับใช้หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม
    ผู้เปรียบดั่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    หลวงปู่เทสก์ได้บรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    ท่านได้รับการสั่งสอนอย่างใกล้ชิดจากพระอาจารย์มั่น
    เมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์ใหญ่จำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือ
    ซึ่งหลวงปู่เทสก์ได้บันทึกเรื่องราวไว้ในอัตตโนประวัติ

    "นับว่าเป็นโชคดีของเราที่ได้อาจารย์ผู้อบรมเช่นนั้นให้แก่เรา
    เราเข้าใจว่าท่านอบรมลูกศิษย์ผู้เช่นอย่างเราคงจะหาโอกาสได้น้อย
    เพราะบุคคลและสถานที่โอกาสเวลาไม่อำนวยเช่นนั้น
    ถึงแม้ท่านจะอำนวยพรให้เราอยู่ในฐานะธรรมทายาท
    เราก็ไม่เคยจะลืมตัวและยอมรับเลย"


    จากความข้างต้นจะเห็นได้ว่า ท่านมีความนอบน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง
    ซึ่งความสนิทสนมใกล้ชิดนั้นเกิดจากบุพกรรม
    ดังที่พระอาจารย์มั่นเคยกล่าวกับท่านว่า
    “เธอเคยเกิดเป็นหลานเราที่กรุงกุรุรัฐ
    ฉะนั้นเธอจึงดื้อดึงไม่ค่อยจะฟังเรา และสนิทสนมกับเรายิ่งกว่าใคร”


    แม้ว่าหลวงปู่จะบวชตั้งแต่ยังเป็นสามเณร
    แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีภัยมาตุคามเข้ามารบกวน ดังที่ท่านได้เขียนเล่าเรื่องไว้
    “เรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้บวชเพื่อรักษาซึ่งพรหมจรรย์
    อันจะสืบศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป”


    จากอัตตโนประวัติของท่าน ทำให้ทราบว่ามีภัยมาแผ้วพานอยู่หลายคราว
    แต่ไม่เคยสำเร็จเลยแม้สักครั้ง

    “หากเราไม่สนใจเพราะเรามุ่งมั่นอยู่แต่ในธรรมวินัยคำสอนของพระ พุทธเจ้า
    เห็นมาตุคามเป็นภัยของพรหมจรรย์อย่างเดียว”


    แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งท่านลิขิตไว้
    ว่าเป็น “เหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวที่สุดในชีวิตพรหมจรรย์”
    เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยที่ท่านอุปสมบทได้ไม่นานนัก
    ด้วยความมีน้ำใจระลึกถึงบุญคุณผู้อื่น
    ในยามกลางคืนถ้ามีเวลาว่างท่านจะพาเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกศิษย์
    ไปเยี่ยมเยียนบรรดาโยมอุปัฏฐากซึ่งได้เกื้อกูลกันมา
    มาวันหนึ่งท่านและลูกศิษย์ขึ้นไปบนบ้านของโยมนางหนึ่ง ซึ่งอยู่กับลูกเล็กๆ
    และได้สนทนาปราศรัยตามประสาของคนที่เคารพนับถือกัน

    “แต่ไหนแต่ไรมาไปทีไรแกมักถามเสมอว่า เราอยากสึกไหม
    เราคนใจซื่อแล้วก็ขี้อาย จะบอกทุกครั้งว่า ไม่
    แล้วก็พูดเรื่องธรรมะธรรมโมเรื่อยไป”


    มาครั้งนี้โยมรายนี้ก็ถามแบบเดิมอีก และเล่าเรื่องความรักในอดีตของตน
    นอกจากนั้นบอกด้วยว่าสามีที่แต่งงานกันก็เพราะญาติๆ ช่วยจัดการให้
    จึงอยู่กันไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเลิกกันวันไหน

    “เราก็นั่งฟังเฉยๆ โดยถือว่าคนคุ้นเคยกัน พูดกันโดยความสุจริตใจ
    แต่แปลกที่กิริยาของแกที่กระเถิบเข้ามาใกล้ทุกที
    แสงไต้หรี่จวนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่ บอกให้เขี่ย แกก็ยิ้มๆ เฉยๆ”


    หลวงปู่ซึ่งในขณะนั้นเป็นพระหนุ่มก็เริ่มใจไม่ดี จากทั้งกิเลสที่เข้ามาจู่โจม
    ทั้งความกลัวบาป ทั้งความกังวลว่าจะจะมีผู้รู้เรื่องอันเป็นอกุศลนี้
    ทำให้พูดอะไรไม่ถูกไปหมด ข้างฝ่ายโยมนั้นแทบไม่มีสติแล้ว
    ต้องลุกไปดื่มน้ำล้างหน้า แล้วก็กลับเข้ามาคุยใหม่อยู่หลายครั้ง
    แต่กลับเข้ามาทีไรก็นั่งใกล้ท่านเข้าไปทุกที


    “เราใจไม่ดี มันงงมึนไปหมด ทำให้เราหงุดหงิดรำคาญ จึงลากลับวัด
    ที่ไหนได้ มองดูเด็กที่ไปด้วย นั่งพิงฝาหลับแล้ว
    แกขอร้องให้เรานอนพักที่บ้านด้วย เช้าจึงกลับ
    เรายิ่งงงใหญ่พร้อมด้วยความกระดากใจเอามากๆ ทีเดียว
    เราบอกให้ปลุกเด็ก ครั้งที่สองจึงยอม
    เด็กตื่นแล้ว เราสองคนกับเด็กเดินลงบันไดบ้านด้วยความมึนงง
    แลละอายแก่ใจตนเองมาก กลัวหมู่เพื่อนแลครูบาอาจารย์จะรู้เข้าด้วย”


    ท่านบันทึกถึงเหตุการณ์หลังจากกลับถึงวัดไปด้วย ความว่า

    “ถึงวัดราวเที่ยงคืน แล้วปรารภถึงเรื่องนั้นว่า
    อะไรหนอๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นอนไม่หลับจนสว่าง
    เป็นอันว่าเราตลอดปลอดภัยพ้นอันตรายมาได้อย่างปาฏิหาริย์”


    เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคราวนี้นั้น ท่านได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า

    “จะเป็นเพราะเราไม่สนใจในเรื่อง โลกียวิสัย หรืออีกทีเขาก็เรียกกันว่า โง่ ก็ได้
    แต่เราก็ยอมเป็นคนโง่ในเรื่องพรรค์นั้นแล้ว จึงยอมสละชีวิตออกบวช
    แล้วก็บวชอย่างชนิดที่ยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธศาสนาเอาจริงๆ ด้วย
    อนึ่งหากเราไม่โง่ เช่นนั้นก็ดี หรือบุญกุศลของเราไม่ช่วยค้ำจุนไว้ก็ดี
    และเราไม่ยอมสละชีวิตเพื่อบูชาพระศาสนาก็ดี
    ป่านนี้ตัวเราคงจะเป็นมูลเหยี่ยวมูลกาไปแล้วแต่นานก็ได้”


    ด้วยความเคารพในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์
    ด้วยความเป็นพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จึงพ้นจากภัยมาตุคาม
    ครองเพศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ ตราบวาระสุดท้ายแห่งธาตุขันธ์
     
  9. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล หรืออาจมีผู้เอ่ยนามท่านว่าหลวงปู่ใหญ่เสาร์
    เป็นพระอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ผู้เป็นพระอาจารย์ใหญ่สายพระกรรมฐาน
    เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูง ดังที่หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ได้บันทึกไว้ว่า
    “ท่านอาจารย์มั่นเคารพท่านอาจารย์เสาร์มากที่สุด เพราะเป็นเณรของท่านมาแต่ก่อน”


    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้บันทึกเรื่องราว จากคำบอกเล่าของท่านพระอาจารย์มั่น ดังความว่า


    “...ท่านเล่าว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์ เดิมท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    เวลาออกบำเพ็ญพอเริ่มความเพียรเข้ามากๆ ใจรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิม
    เพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แสดงออกเป็นเชิงอาลัยเสียดายยังไม่อยากไปนิพพาน
    ท่านเห็นว่า เป็นอุปสรรคต่อความเพียรเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
    ท่านเลยอธิษฐานของดจากความปรารถนานั้น
    และขอประมวลมาเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาตินี้
    ไม่ขอเกิดมารับความทุกข์ทรมานในภพชาติต่างๆ อีกต่อไป...”


    ในส่วนของอุปนิสัยและปฏิปทาของพระอาจารย์เสาร์นั้น
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเคยรับใช้ท่านมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรพุธ
    ได้เล่าถึงไว้ ดังความตอนหนึ่งว่า


    “…นิสัยท่านอาจารย์เสาร์ นิสัยชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริกหมากไม้
    ลักษณะจิตเยือกเย็น มีพรหมวิหาร ทำจิตดุจแผ่นดิน มีเมตตาเป็นสาธารณะ
    เป็นคนพูดน้อย ยกจิตขึ้นสู่องค์เมตตาสุกใสรุ่งเรือง เป็นคนเอื้อเฟื้อในพระวินัย
    ทำความเพียรเป็นกลางไม่ยิ่งหย่อน พิจารณาถึงขั้นภูมิธรรมละเอียดมาก...”


    แม้ว่าจะได้รับการเคารพบูชาจากศิษยานุศิษย์เป็นอย่างสูง
    แต่เป็นธรรมดาของโลกที่ต้องมีทั้งการสรรเสริญและการนินทา
    พระอาจารย์เสาร์จึงเป็นที่เกลียดชังกลุ่มที่หากินกับความไม่รู้ของชาวบ้าน
    พวกมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้ต้องเสียผลประโยชน์ไป เพราะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระกรรมฐาน


    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้เล่าถึงเรื่องราวความยากลำบากในการเผยแผ่พระศาสนา ในช่วงเวลานั้น


    “...หลวงพ่ออดที่จะนึกถึงสมัยที่เป็นสามเณร เดินตามหลังครูบาอาจารย์ไม่ได้
    ใส่ผ้าจีวรดำๆ เดินผ่านหน้าชาวบ้านหรือพระสงฆ์ทั่วๆ ไปนี้ เขาจะถุยน้ำลายขากใส่
    บางทีถ้ามีแม่ชีเดินตามหลังไปด้วย เราจะได้ยินเสียงตะโกนมาเข้าหู
    “ญาคูเอ๊ย! พาลูกพาเมียไปสร้างบ้านสร้างเมืองที่ไหนหนอ” เขาว่าอย่างนี้...”


    สอดคล้องกับที่หลวงพ่อโชติ อาภคฺโค ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ ไว้ว่า


    “...ในกลุ่มพวกมิจฉาทิฏฐิที่ตั้งตัวเป็นศัตรูคอยขัดขวางและให้ร้ายป้ายสีครูบาอาจารย์ต่างๆ นานานั้น
    กลุ่มแรกได้แก่พวกเข้าจ้ำหมอผี ที่พวกเขาได้ป้อนความหลงงมงายให้กับประชาชน
    แล้วพากันกอบโกยตัดทอนเอาจากความโง่เขลานั้น
    การเผยแพร่ธรรมของคณะพระกรรมฐาน ได้ทำให้พวกเขาขาดลาภสักการะลงไป
    เพราะประชาชนหูตาสว่างขึ้นด้วยสัจธรรมที่พระอาจารย์นำมาเผยแพร่
    จึงพากันเป็นเดือดเป็นแค้นพระอาจารย์ถึงขั้นอยากจะกินเลือดกินเนื้อกันทีเดียว
    พวกเข้าจ้ำหมอผี และหมอไสยศาสตร์ได้พากันหาวิธีกลั่นแกล้งพระอาจารย์ทุกวิถีทาง
    บ้างก็ออกข่าวให้เสื่อมเสียว่า พระกรรมฐานมีเมียได้ จะไปไหนก็เอาเมียไปด้วย ก็คือพวกแม่ชีแม่ขาวนั่นเอง
    อย่าใส่บาตรให้พวกมันกิน สู้เราเอาข้าวโยนให้หมากินยังจะได้บุญมากกว่าใส่บาตรให้พระมีเมียพวกนี้กิน...”


    และ


    “...สารพัดที่เขาเหล่านั้นจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาใส่ร้ายป้ายสีจนบางคนบางพวกหลงเชื่อ
    เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นพระกรรมฐานมาก่อน ต่างพากันหลงเชื่อ
    และทั้งเกลียดทั้งกลัวพระกรรมฐาน ไม่ยอมเข้าวัด รวมทั้งร่วมมือขัดขวางขับไล่ต่างๆ นานา
    ส่วนพวกที่หูตาสว่างแล้วก็พากันสลดหดหู่ใจ กลัวบาปกรรมที่พวกเขาเหล่านั้นก่อสร้างขึ้น”


    เมื่อมีผู้ไปกราบเรียนให้ท่านพระอาจารย์เสาร์ทราบ ท่านก็ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า


    “เออ! กะซ่างเขาดอก เขามีปากกะให้เขาเว้าไป เขาว่าเฮามีเมียเป็นแม่ขาว เฮาบ่มี มันกะบ่เป็นหยังดอก”
    ( เออ! ก็ช่างเขาเถอะ เขามีปากก็ให้เขาพูดไป เขาว่าเรามีเมียเป็นแม่ขาว เราไม่มี มันก็ไม่เป็นไรหรอก”)


    เมื่อมีผู้มากราบเรียนว่ามีคนพูดว่าจะนำสากตำข้าวของครกกระเดื่อง หรือนำอุจจาระมาใส่บาตร
    ท่านก็ตอบว่า
    “เออ! เขาเว้าไปแนวนั้นแหละ แต่เขาบ่ใส่ดอก” (เขาพูดไปอย่างนั้นแหละ แต่เขาไม่ทำหรอก)


    นอกจากท่านจะไม่ถือโกรธแล้ว ยังสอนลูกศิษย์เร่งบำเพ็ญภาวนา ให้มีพลังจิตแก่กล้า
    แล้วแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลให้กลุ่มที่ปองร้ายทุกวัน
    หากเขามีบุญพอก็จะคลายจากมิจฉาทิฏฐิได้ ถือเป็นการสร้างบุญกุศลต่อกันทั้งสองฝ่าย


    ในบรรดาผู้ขัดขวางต่างๆ นั้น กลุ่มที่พระอาจารย์เสาร์ถึงกับออกปากว่าสงสาร
    คือกลุ่มของพระพรหมา แห่งบ้านระเว ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ มีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาก
    เรื่องเกิดเมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์เสาร์พาคณะศิษย์มาโปรดชาวบ้านตำบลทรายมูล และตำบลระเว
    และเพื่อเตรียมการสร้างวัดดอนธาตุ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางลำน้ำมูล
    ที่บ้านทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
    (เดิมท่านพระอาจารย์เสาร์ ตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า
    “วัดเกาะแก้วพระนอนคอนสวรรค์วิเวกพุทธกิจศาสนา”
    แต่ต่อมากรมการศาสนาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดดอนธาตุ”)


    ในครั้งแรกที่พบกัน พระพรหมาได้ให้การต้อนรับด้วยดี แต่ต่อมากลับเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม
    คือแสดงตนเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย หาทางขัดขวางขับไล่ทุกวิถีทาง
    สร้างเรื่องราวต่างๆ มากมาย โดยไม่มีความเคารพยำเกรงต่อบาปกรรมใดๆ
    เมื่อพระอาจารย์เสาร์มีดำริให้สร้างพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ไว้ที่วัดดอนธาตุ
    พระพรหมมาก็พยายามขัดขวาง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ การสร้างพระดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์
    เคราะห์ร้ายที่ในปีนั้นฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านเดือดร้อนกันทั่วหน้า
    พระพรหมาและกลุ่มมิจฉาทิฏฐิจึงใส่ความว่าเพราะมีการสร้างพุทธรูปที่เป็นปางไสยาสน์
    มานอนขวางฟ้าขวางฝนทำให้ฝนไม่ตก ชาวบ้านบางคนจึงไปทุบจมูกของพระพุทธไสยาสน์
    พอเป็นเคล็ดว่าได้ทำลายองค์พระแล้ว และหวังว่าต่อไปฝนจะตกตามปกติ
    แต่เมื่อรอแล้วรอเล่าฝนก็ไม่ตก จึงมีบางคนสำนึกผิดและเกรงกลัวบาปกรรมในครั้งนี้
    ส่วนพระพรหมมานั้นต่อมาไม่นานมรณภาพด้วยอาการไหลตาย
    ฝ่ายคนที่ไปทุบจมูกพระพุทธรูปก็มีอันต้องจบชีวิตลงด้วยเช่นกัน
    ในช่วงประมาณ ๑ เดือน ก่อนการมรณภาพของพระพรหมา
    พระอาจารย์เสาร์ได้ปรารภให้ลูกศิษย์ได้ยินอยู่เสมอว่า
    “สงสารอุปัชฌาย์พรหมาแท้เด๊!”


    [​IMG]
    พระพุทธไสยาสน์ วัดดอนธาตุ
    จาก
    http://www.luangpumun.org/Dontad/WAT/PAGE_01.HTM


    ภายหลังจากออกพรรษาแล้วได้มีการซ่อมแซมพระพุทธไสยาสน์ให้สมบูรณ์ดังเดิม
    แล้วมีการสมโภชน์องค์พระ โดยพระอาจารย์เสาร์เป็นประธาน
    พระพุทธรูปองค์นี้ยังเป็นที่กราบไหว้บูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน


    ชีวิตและปฏิปทาของพระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) นับเป็นแบบอย่างอันดียิ่ง
    ทั้งในฐานะของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สืบศักดิ์ศรีพระศาสนา เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส
    เป็นครูอาจารย์ที่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์
    ท่านสงเคราะห์สัตว์โลกด้วยการนำคณะพระกรรมฐานออกเผยแผ่พระธรรม
    เพื่อสร้างสัมมาทิฏฐิให้แก่ชาวบ้าน จนพ้นจากความงมงายและไสยศาสตร์ต่างๆ
    ท่านทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยการสร้างถาวรวัตถุ ทั้งวัด โบสถ์ พระพุทธรูป ฯลฯ
    ตลอดจนเป็นผู้ที่มีอภัยทานอย่างสูง แม้จะได้รับการปองร้ายต่างๆ นานา
    แต่ก็ไม่เคยถือโกรธ ตรงกันข้ามกลับมีเมตตากรุณาแม้แต่กับผู้ที่คิดประทุษร้าย
    จึงสมควรที่เราชาวพุทธจะได้นำไปเป็นคติแก่ชีวิตของตนสืบไป
     
  10. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ท่านเป็นผู้มีความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ดังคำยกย่องของท่านพระอาจารย์มั่น
    “เป็นผู้มีความพากเพียรสูงยิ่ง มีความตั้งใจแน่วแน่ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่สุด
    เป็นตัวอย่างที่ดีแก่พระภิกษุทั้งหลาย ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”


    หลวงปู่พรหมในสมัยเป็นฆราวาส ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน แห่งหมู่ที่ ๑ บ้านดงเย็น
    ได้ปกครองลูกบ้านด้วยความยุติธรรม จึงเป็นผู้ที่ได้รับการนับถือเป็นอย่างมาก
    พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินทั้งวัวควายและไร่นา
    ตลอดจนได้รับการเรียกขานว่า
    “นายฮ้อยพรหม” มีเกียรติสูงมากในสังคม
    (“นายฮ้อย” คือผู้ที่เป็นหัวหน้าในการนำโคกระบือจากภาคอีสานไปขายยังภาคกลาง
    ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็ง สามารถปกป้องชีวิตคนในขบวนเดินทาง
    และจัดการดูแลวัวควายจำนวนหลายร้อยตัวได้)


    แม้ว่าจะมีชีวิตทางโลกที่ควรมีความสุขเพียงใด แต่ท่านกลับพบว่าไม่ใช่เช่นนั้น
    เฝ้าสงสัยตลอดมาว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรจะได้พบ
    เมื่อได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์สาร (ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น
    และเป็นพระอาจารย์คนแรกของหลวงปู่พรหม
    ) ซึ่งวิสัชนาว่า


    “ถ้าอยากประสบความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้น
    ต้องละอารมณ์คือรักใคร่พอใจในกามคุณ ๕
    คือ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส
    อันเป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในกองทุกข์ เสียให้หมดสิ้นไปจากใจ
    ความสุขที่ปรารถนาอยู่นั้นก็จะฉายแสงออกมาให้ปรากฏเห็น
    ตามสมควรแก่ความเพียร ที่ได้ทุ่มเทลงไปในทางที่ถูกที่ชอบ"


    อุบาสกพรหมซาบซึ้งในรสพระธรรมยิ่งนักและตัดสินใจออกบวชในที่สุด
    เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงได้ทำการมอบทรัพย์ทั้งหมดแก่คนทั่วไป
    เว้นแต่อุปกรณ์จับปลาล่าสัตว์ ที่ท่านนำไปทำลาย
    ใช้เวลาในการแจกทรัพย์สินทั้งหมดรวม ๓ วัน ๓ คืน
    หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านตั้งใจพากเพียรอย่างไม่ย่อท้อ
    หลังจากได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์สาร จนเพียงพอต่อการปฏิบัติแล้ว
    ก็กราบลาเพื่อออกธุดงค์ โดยนำหลานชายชื่อบุญธาตุ
    ซึ่งอายุน้อยและยังไม่ได้เข้าโรงเรียนไปด้วย


    ท่านจาริกจากเขตจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว
    การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก กว่าจะพบหมู่บ้าน แล้วจึงจะได้พักผ่อน
    ท่านดูแลจนหลานชายหลับไปแล้ว จึงบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อเอาชนะกิเลส
    พอรุ่งเช้าก็ออกเดินทางต่อไป วันแล้ววันเล่าที่ต้องบุกป่าฝ่าดง
    ปีนภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เต็มไปด้วยความยากลำบากและแร้นแค้น
    บางวันไม่พบหมู่บ้านที่จะบิณฑบาตได้ ก็ไม่มีอาหารสำหรับท่านและหลานชาย
    เด็กน้อยบุญธาตุร้องไห้ด้วยความหิว ได้แต่อาศัยน้ำประทังชีวิตไปเท่านั้น
    ท่านเล่าถึงการธุดงค์ในสมัยแรกๆ ว่า


    “ปฏิบัติธรรมเพื่อเอาความดีนั้น จะต้องอดทน มีความพยายามอย่างสูงสุด
    จึงจะได้มาซึ่งคุณงามความดี การเดินป่าหาธรรมะ ต้องต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมา
    บางวันก็ต้องหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดนี้ เช่น บาตร กลด กาน้ำ
    และยังต้องอุ้มหลานชายไปด้วย ทั้งนี้เพื่อจะได้เดินทางได้เร็ว ทำอยู่อย่างนี้ตลอดวัน"


    แม้ต้องเผชิญความยากลำบากเพียงไหนก็ไม่ย่อท้อ จนเดินทางถึงยังเมืองหลวงพระบาง
    ขณะที่พักอยู่ที่นี่ ท่านอาพาธหนักด้วยโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
    ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลและด้วยยาของหมอพระ แต่อาการไม่ดีขึ้น
    ในที่สุดท่านตัดสินใจว่าจะไม่ฉันยาขนานใดๆ อีก


    “ต่อไปนี้เราจะไม่รักษาด้วยยาอีก จะไม่ฉันยาขนานใดๆ อีกต่อไป
    ถ้าจะเกิดล้มตายลงไปก็ถือเป็นกรรมเก่าของเรา
    แต่ถ้าหากเรายังพอจะมีบุญอยู่บ้าง ก็คงจะหายไปเป็นปกติได้”


    หลังจากนั้นท่านได้เจริญสมาธิ ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง พิจารณาธาตุขันธ์
    แล้วเพ่งเพียรรักษาด้วยอารมณ์จิตใจที่เป็นสมาธิ
    ด้วยคุณธรรมและบุญบารมีของท่าน ในที่สุดอาการอาพาธก็ค่อยๆ หาย
    ได้เดินทางกลับประเทศไทย นำหลานชายกลับไปสู่พ่อแม่ของเขา
    และออกธุดงค์ต่อไปเพื่อตามหาจนได้พบกับพระอาจารย์ใหญ่มั่น
    และรับโอวาทในการปฏิบัติ ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย


    หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เป็นพระสงฆ์สาวกผู้ประเสริฐ
    ดำเนินตามพระธรรมคำสอนแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แม้ว่าจะพร้อมด้วยสถานะทางสังคมและทรัพย์ศฤงคาร แต่ก็สละเสียสิ้น
    แล้วออกบวชเพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
    นับเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นแบบอย่างของผู้สละชีวิตเพื่อโมกขธรรม
    ดังพระธรรมเทศนา ที่ท่านได้สั่งสอนไว้เป็นคติเตือนใจแก่สาธุชนทั้งปวง


    “คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนาม รูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง
    เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
    ไม่ว่าพระราชา มหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คนมั่งมี เศรษฐี และยาจก
    ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
    มีทางพอจะหลุดพ้นทุกข์ได้ คือทำความเพียร เจริญภาวนา
    อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด
    ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้”
     
  11. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    ถาม : อยากขอให้คุณดังตฤณช่วยสรุปสติปัฏฐาน๔ โดยย่อ ให้เข้าใจค่ะ

    โดยย่อก็คือคุณมีสภาวะอยู่ยังไงก็รู้ตามนั้น
    สภาวะของคุณเป็นยังไงอยู่
    มันประกอบขึ้นด้วยกาย มันประกอบขึ้นด้วยใจ
    ถ้าหากว่ากายคุณนั่งอยู่ แล้วคุณรู้ว่านั่งอยู่
    นั่นแหละต้นทางไปนิพพาน
    นั่นแหละต้นทางของการฝึกสติปัฏฐาน๔ ที่ถูกต้อง

    ถ้าหากสภาวะทางใจของคุณ มันไม่สามารถเห็นร่างกายได้
    เพราะมันเป็นทุกข์ มันมีความรู้สึกย่ำแย่อยู่มาก
    หรือมันมีความสุข มันมีความปลื้ม มันมีความ หัวใจมันพองฟูเหลือเกิน
    ไม่สามารถมองเห็นอะไรอย่างอื่นได้ นอกจากความรู้สึกภายใน
    อันนั้นก็ให้มองความรู้สึกไป
    ทุกข์อยู่ยอมรับว่าทุกข์อยู่ สุขอยู่ยอมรับว่าสุขอยู่
    ตรงความยอมรับตามจริงนั่นแหละเรียกว่า "สติ"

    สติปัฏฐาน๔ โดยย่นย่อที่สุด มันก็คือขอบเขตของกายใจนี้แหละ
    ถ้าเรารู้ว่าส่วนไหนของกาย รู้ว่าส่วนไหนของใจ
    มันกำลังปรากฏอยู่ มันกำลังปรากฏเด่นอยู่
    แล้วเราดูเข้าไปตรงนั้น ยอมรับเข้าไปตรงนั้น
    กับทั้งสามารถสังเกตเห็นได้ว่า
    ภาวะแบบนั้นๆ เนี่ย มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันแปรปรวนไป
    อย่างเช่นมีความสุขมากๆ เดี๋ยวมันค่อยๆ ลดลง
    มีความทุกข์อึดอัด กลัดหนองนะ อกกลัดหนอง
    เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ เบาบางลงมา มันมีช่วงเว้นให้บ้าง
    หรือแม้แต่ร่างกาย เนี่ย บางทีเราก็รู้สึกว่าอยากขยับ บางทีเราจะรู้สึกว่าอึดอัดบ้าง
    ภาวะต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ภายในขอบเขตของกาย ขอบเขตของใจนี้
    ถ้าคุณมองเข้าไปตรงไหนนะ มันใช่หมด
    มันอยู่ในขอบเขตของสติปัฏฐาน๔ หมด

    ขออย่างเดียว ให้มองด้วยความเข้าใจ ว่าจะมองไปเพื่อให้เห็นอะไร
    มองไปเพื่อให้เห็นว่าทุกภาวะในขอบเขตกายใจนี้เนี่ย มันไม่เที่ยง
    เพื่อที่ในที่สุด จิตของคุณมันจะมีความตั้งมั่น รู้อยู่เห็นอยู่
    ว่าทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นแค่อะไรอย่างหนึ่ง
    มันเป็นแค่ธรรมชาติหลายๆ ภาวะมาประชุมกันชั่วคราว
    แล้วก็จะต้องเสื่อมสลายลงเป็นธรรมดา
    นี่แหละสติปัฏฐาน๔ โดยย่นย่อนะครับ
     
  12. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    ถาม : ถ้าหากต้องการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ เราจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ให้มีสัมมาทิฏฐิไปทุกชาติคะ

    มันเป็นไปไม่ได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ
    เป็นมิจฉาทิฏฐิในตัวของมันเอง
    พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า ถ้าหากจะเดินทางไป คิดจะเดินทางไปเรื่อยๆ
    ท่านพูดอย่างนี้เลยนะ ถ้าคิดจะเดินทางไปเรื่อยๆ เวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยๆ
    ไม่มีทางที่จะหนีนรกได้พ้น

    เพราะว่าเงื่อนไขบังคับของสังสารวัฏนะครับ
    ในแต่ละครั้งที่เกิดมาคือการลืม ต่อให้อยู่ในชาติเดียวกันก็ลืม
    เคยทำอะไรไว้ ลองนึกดูสิ มันจำไม่ได้นะ
    แล้วก็เคยเข้าใจ เคยเรียนรู้ หรือว่าเคยตาสว่างอย่างไรนี่นะ มันก็ลืมได้
    บางคนเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาไว้เยอะ
    แต่ว่าไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดจากการทำบาปได้
    คงเคยเห็นนะครับ คงเคยใกล้ชิดกับคนที่มีความรู้ดี
    บางทีมียศมีศักดิ์ด้วยซ้ำนะครับ ทางศาสนาเนี่ย
    แต่ว่าเอาเข้าจริงก็ปรากฏว่าไปทำผิดทำพลาด
    นี่ขนาดในชาติที่มีพุทธศาสนา เจอพระพุทธศาสนานะ ยังพลาดได้
    แล้วในชาติที่ไม่เจอ ในชาติที่ลืม ลืมไปหมดแล้ว
    ว่าเคยร่ำเรียนอะไรมา เคยรู้อะไรมา มันจะไปเหลือหรือ

    เพราะฉะนั้นคำตอบนะครับ
    สรุปก็คือไม่มีทางที่คุณจะเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ
    ไม่มีทางที่จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีการเป็นสัมมาทิฏฐิ
    มันต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีการเป็นมิจฉาทิฏฐิเท่านั้น
     
  13. ballaman

    ballaman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5,440
    ค่าพลัง:
    +18,746
    เจ๊จัดชุดใหญ่...กันเลย
     
  14. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    ลงทุนก่อนรวยกว่า (มาก)
    แบ่งปัน
    13 มิถุนายน 2010 เวลา 20:32 น.
    ตามที่ได้เขียนบทความเรื่อง<WBR> "ชีวิตคือการลงทุน" (http://www.facebook.com/no<WBR>te.php?note_id=33205216576<WBR>2) ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน มานั่งคิดดูว่า จะถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่าน
    เห็นประโยชน์และพลังของการล<WBR>
    งทุนอย่างชัดเจนได้อย่างไร จึงได้ลองสร้างสถานการณ์ของ<WBR>การลงทุนระยะยาว 40 ปี (สมมติเริ่มทำงานอายุ 20 ปี เกษียณอายุ 60 ปี รวมเวลาทำงาน 40 ปี) ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยลองคำนวณใน 3 สถานการณ์คือ 1) มีเงินก้อนมาอยู่แล้ว 1,000,000 บาท 2) เริ่มต้นจากศูนย์แต่เก็บเงิ<WBR>นไว้ลงทุนได้ปีละ 60,000 บาท (เดือนละ 5,000 บาท) และ 3) เริ่มต้นจากศูนย์แต่เก็บเงิ<WBR>นไว้ลงทุนได้ปีละ 120,000 บาท (เดือนละ 10,000 บาท) โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือเงิน<WBR>เฟ้อที่จะลดทอนมูลค่าที่แท้<WBR>จริงของเงินลงทุน ปรากฎว่าได้ผลออกมาน่าสนใจม<WBR>าก ดังนี้

    1) มีเงินก้อนมาอยู่แล้ว 1,000,000 บาท

    [​IMG]



    2) และ 3) เรื่มจากศูนย์ แต่นำเงินลงทุนเพิ่มปีละ 60,000 บาท และ 120,000 บาท

    [​IMG]



    แหล่งข้อมูลอ้างอิง [​IMG]



    จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้่เห็นว่า
    • การฝากเงินหรือการลงทุนใดซึ<WBR>่งให้ผลตอบแทนต่ำว่าอัตราเิ<WBR>งินเฟ้อ เป็นการทำให้เงินด้อยค่าลงไ<WBR>ปมาก
    • ไม่ว่าท่านจะมีเงินก้อนมาอย<WBR>ู่แล้ว หรือ ทยอยสะสมเงินลงทุนเริ่มจากต<WBR>ัวเปล่า หากมองกันยาวๆ ก็สามารถมีความมั่งคั่งเพิ่<WBR>มขึ้นได้ไม่แพ้กัน
    • การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง จะส่งผลให้ความมั่งคั่งเพิ่<WBR>มขึ้นได้อย่างทวีุคูณในระยะ<WBR>ยาว

    หลังจากดูข้อมูลที่นำเสนอแ้<WBR>ล้ว ก็หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจ<WBR>ให้เริ่มลงทุน ไม่ว่าท่านจะมีเงินทุน
    ประเดิมอยู่แล้ว หรือยังไม่ได้เริ่มลงทุนเลย<WBR>ก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อความมั่งคั่ง<WBR>และมั่นคงในวันหน้าครับ
    อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนมีควา<WBR>มเสี่ยงเสมอ แต่ความเสี่ยงที่ร้ายแรงกว่<WBR>าคือการไม่กล้าลงทุนใดๆ
    เลยต่างหาก :)

    หมายเหตุ:
    • สามารถกดที่รูปเพิ่มชมภาพขน<WBR>าดใหญ่ขึ้นได้ครับ
    • ข้อมูลที่ยกมาเป็นช่วงหนึ่ง<WBR>ของเวลา ซึ่งหากเปลี่ยนช่วงเวลาก็จะ<WBR>ให้ค่าเฉลี่ยต่างกันไป และตัวเลขในอดีตไม่รับประกั<WBR>นตัวเลขที่ยังไม่เกิดขึ้นใน<WBR>อนาคต จึงพอใช้ดูได้เป็นแนวทางและ<WBR>ภาพรวมเท่านั้นครับ
     
  15. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    เรื่องเล่าวันนี้...

    หลังจากผมกลับจากพักกลางวัน.. พระอาจารย์สมชายท่านได้โทรมาคุยและเล่าให้ฟังว่า...เมื่อวานได้มีลูกศิษย์ที่เป็นศูนย์พระเครื่องที่หลักสี่ มาเพื่อขอบูชาวัตถุมงคลไปให้เขาบูชาที่ศูนย์.. (พระอาจารย์ไม่ส่งของให้ศูนย์แล้ว..ถ้าศูนย์พระต้องการนำไปออกให้บูชา ต้องไปบูชาที่วัดเอง..).. เมื่อมาถึงก็ ระหว่างที่รอวัตถุมงคลที่สั่ง จึงมานั่งกราบนมัสการและสนทนา กับพระอาจารย์ แต่ก็พบว่าพระอาจารย์ท่านกำลังจารตะกรุดหงสาวดี หรือตะกรุดมหาบุรุษแปดจำพวก.. เมื่อพระอาจารย์วางมือจากการจารตะกรุดแล้ว..จึงได้หันมาคุยด้วย.และชวนให้มาร่วมพิธีเปิดโลกหนุนดวงในวันที่20 ที่จะถึงนี้.. ลูกศิษย์ทีเป็นศูนย์พระก็บอกว่า.ช่วงนี้ขายของไม่ดีเลย...ไม่แน่ใจว่าจะมาได้หรือเปล่า..จากนั้นเขาจึงหันมาถามพระอาจารย์ว่าท่านกำลังทำตะกรุดอะไรหรือ... พระอาจารย์จึงตอบว่า.. ตะกรุดนี้คือตะกรุดหงสาวดี หรือตะกรุดมหาบุรุษแปดจำพวก..ซึ่งมีอิทธิคุณทางโชคลาภ ค้าขาย หนุนโชค หนุนลาภ..ดุจดังมีพระเจดีย์ที่หงสาวดีมาตั้งไว้นะที่ที่มีตะกรุดแล..ตะกรุดทุกๆเนื้อ บรรจุผงเก่า(ล้วน) ซึ่งเป็นผงของ หลวงปู่ศุข หลวงพ่อบุญยัง หลวงพ่อมหาโพธิ์ สืบทอดมา.. โดยเนื้อเงินสำหรับบูชา..ใส่กล่องอย่างดี(มีตะกรุดจินดามณีเนื้อเงินให้ด้วย) เนื้อทองเหลือง ทองแดง แจก...ในวันที่20 นี้..แต่ที่ทำนี่เรายังไม่ได้เสก..
    ลูกศิษย์ที่เป็นศูนย์พระ จึงขอตะกรุดมาดูและเอ๋ยปากขอท่าน..พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า..เรายังไม่ได้เสกเลย.. แต่เอา.. ถ้าอยากจะได้..เราจะเสกให้ไปใช้ดู.. แล้วท่านก็ทำการอธิษฐานจิตในราว 5นาที..ท่านบอกว่า.(หลังจากตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ 32 เรียกรูป เรียกนาม แล้วเราก็ เสกแค่ 9 คาบเอง). อืม.. ตะกรุดนี้เสกขึ้นดีจัง.. ร้อน..ขึ้นมาเลย..เมื่อท่านเสกเสร็จ.. จึงมอบให้กับลูกศิษย์ท่านนั้น..เมื่อเขาได้รับตะกรุดมาถึงกับอุทานว่า.. ทำไมตะกรุดร้อนจัง..แล้วจึงได้สนทนากับพระอาจารย์สักครู่ จึงได้ขอตัวลากลับ..

    วันนี้..ลูกศิษย์ที่เป็นศูนย์พระ.. ก็โทรมาหาพระอาจารย์..ด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมากๆๆ ว่า.."พระอาจารย์..ตะกรุดพระอาจารย์แสดงฤทธิ์..ทำงานแล้ว.. วันนี้มียอดบูชาวัตถุมงคล..หลายหมื่นบาท.. และมีลูกค้าเข้ามามากเลย..ตะกรุดพระอาจารย์ดีมากๆๆ เลย" พระอาจาีรย์ท่านก็ได้แต่รับฟังเฉยๆๆ เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าอิทธิคุณของตะกรุดเป็นเช่นไร..

    ลูกศิษย์ที่เป็นศูนย์พระก็พูดต่อไปว่า.. "ตกลงวันที่ 20 นี้จะมาร่วมพิธีด้วย.. และเพื่อที่จะมาบูชา และขอรับตะกรุดที่แจกในงานนี้ด้วย.."

    จากนั้นพระอาจารย์ท่านก็โทรมาคุยกับผม..และเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง.. ท่านบอกนี่ขนาดเราเสกแค่ 9 คาบเองนะ.. จริงๆๆ ต้องเสก108 คาบ..แต่เขาอยากได้ก็เลยเสกให้เขาไปใช้ก่อน...นี่ละครับคือเรื่องเด่นวันนี้... สำหรับท่านที่ไปวันที่ 20นี้ ก็ต้องขอแสดงความยินดี..ที่ท่านจะได้ของดีๆๆ เสกเต็มๆๆ ไว้ติดตัวกันครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  16. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    เยี่ยมมากๆเลยคร๊าบท่านอ.
     
  17. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    ใครไปงานนี้..ได้ของดีแน่นอนก่อนใครครับ..พี่น้องๆๆๆ...อิอิอิ
     
  18. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    เริมคึกๆๆ คักๆๆ
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 10 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </center"></td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> suttip, amen666, ballaman+, eicalos, myammyaa, nipat2552, pichedv, zaneer, กะจะสัก</td></tr></tbody></table>
     
  19. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    พระคาถาประจำวันนี้...[FONT=&quot]

    พระคาถาบันทึกในข่อยหลวงปู่ศุขว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]....ยอดพระมงกุฏอิติปิโส พระอิติปิโสสารพัดสะเดาะประแจ ขื่อคาทั้งปวง โซ่ตรวนก็ได้แล อาวุธ หาอุปเท่ห์เอาเถิด[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]@ อิติปิโส ปิโสสะอิ อิสะโสปะการาปิอิ อิปินาภูตาปะโสอิ อิติพุทธาติปิติอิ ฯฯ<o></o>[/FONT]
     
  20. suttip

    suttip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    8,672
    ค่าพลัง:
    +31,433
    สำหรับพระคาถา.. ถ้าเห็นว่าพอจะลงได้ก็จะลงให้ ..

    สำหรับวันนี้ ..กลับบ้านก่อนครับ...
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...