ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย visut_p, 28 สิงหาคม 2008.

  1. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    หาก ใครเคยอ่านประวัติเพลงความฝันอันสูงสุด

    ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้า
    พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงร่วมกันพระราชนิพนธ์คำร้อง

    หลังจากมีพระสุบินนิมิตรถึง องค์สมเด็จพระนเรศวร

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO
    ที่มาแห่งเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด...
    พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า
    เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง
    หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ....................



    องค์พระนเรศวรมหาราช



    และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า.......


    พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า


    ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -ผู้เรียบเรียง) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้


    และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน


    และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป

    และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

    และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้


    ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว
    และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา.....


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


    นี่ถ้า คนไทยทั้งหลาย ไม่ฉุกคิด ด้วยสามัญสำนึกให้มากๆว่า

    ทำไมองค์สมเด็จฯท่านถึงต้องมีพระสุบินนิมิตรถึงสมเด็จพระนเรศวร

    ที่ทรงมาเตือนและให้กำลังใจในการปกครองบ้านเมือง


    ดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ตั้งแต่ทรงครองราชย์

    และ มาจนถึงปัจจุบัน


    หากวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ทำตามพระราชดำรัส

    เมืองไทย หรือ แผ่นดินสยาม จะเป็นเช่นไรต่อไป



    คนจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเอง ยังมัวหวังแต่

    จะให้มีพระเจ้าจักรพรรดิหลังเกิดภัยพิบัติ หรือ ยุคการฆ่าฟันกัน

    เพื่อให้โลกเป็นสุข


    ...แต่ทุกวันนี้ยังมีในหลวงฯ หลายคนกลับมองข้ามไป...


    อย่า รู้ตัว เมื่อสายเกินไป

    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ.(สมาชิกท่านหนึ่งของเว็บพลังจิต) [​IMG]



    ท่านมาเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ไทย

    ที่ทำสงครามกับความยากจน

    ของคนไทยทั้งประเทศ

    บอกเท่านี้ก็คงพอจะนึกออกแล้วนะครับ

    เรื่องนี้ผมไม่ได้เดาเองส่งเดชนะครับ

    ไม่เชื่อก็ไปถามศิษย์ของพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    คนไหนก็ได้ครับ ว่าเรื่องที่ผมบอกนี้เป็นความจริงหรือไม่?




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ตรงนี้ ผมได้รับทราบ ได้ยินมาอยู่

    แต่ จากข้อความที่ผมยกมาก็น่าฉงน?

    ทำไม??

    1.พระองค์จึงมาปรากฏนิมิตรต่อหน้าอีกพระองค์ ถ้า เป็นองค์เดียวกัน
    หรือ ทำไมไม่แสดงนิมิตรให้พระองค์ทราบเลยว่า..ท่านคือพระองค์เดียวกัน

    2.ถ้าเป็นเทวดาอื่นสำแดงนิมิตรมา เทวดาไม่ทราบหรือว่า
    ผู้ที่ตนกำลังแสดงนิมิตรให้เห็นคือ ตัวจริงของพระองค์มาเกิด
    จะมาแสดงนิมิตรให้พระองค์จริงเห็นทำไม

    ผมคิดว่า สองประการนี้ มีหลายท่านแคลงใจ<!-- google_ad_section_end -->


    ....และเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายท่านไม่อาจตกลงใจเชื่อได้เต็มร้อยว่า

    องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านคือ สมเด็จพระนเรศวร มาเกิด


    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มิถุนายน 2010
  2. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ในหลวงของเรา... มหากษัตริย์ยอดกตัญญู

    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>[​IMG] ในหลวงของเรา... มหากษัตริย์ยอดกตัญญู [​IMG]

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>แม่กับพระเจ้าแผ่นดิน
    ในหลวงของเรา... มหากษัตริย์ยอดกตัญญู
    โดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน
    ลูก ๆ ทุกคน... ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ

    ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
    ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
    เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
    หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
    ที่นี้... มาดูตัวอย่างบ้าง...บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้... ในหลวงของเรา...

    [​IMG]
    ในหลวง... นอกจาก จะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก... เป็นTHE KING OF KINGS แล้ว ในหลวง ของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่...ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฎิบัติได้ครบถ้วน...สมบูรณ์ เป็น ตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง? ตามอาจารย์มา...อาจารย์ จะฉายภาพให้เห็น

    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า...เฝ้ารับใช้... ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง... ประคองเดินไปตลอดทาง... เคยเห็น ไหม...? ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย... ขอบคุณ...เอามือลง
    ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย...มีคนเยอะแยะ... มีทหาร... มีองครักษ์...มีพยาบาล... ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า...
    “ไม่ต้อง...คนนี้...เป็นแม่เรา...เราประคองเอง”
    ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา... สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน...เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว... เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน...ไม่ต้องอายใคร... เป็นภาพที่...ประทับมาก... เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่... ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ... สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่นู้น... 8,000 คน ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง...สรรเสริญ "กษัตริย์ยอดกตัญญู..."

    [​IMG]
    ในหลวง...เดินประคองแม่... คนเห็นแล้ว... เขาประทับใจ ถ่ายรูป...เอามาทำปฎิทิน ...เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...
    ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้...ลูกชาย... แต่งตัวโก้...ลูกสาว...แต่งตัวสวย... แต่เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่... กลัวไม่โก้... กลัวไม่สวย... ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ... ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ... เต็มหน้าอก... แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่... กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี... ประคองแม่...เป็นเรื่องของ...คนใช้...หลายคน...ให้ประคองแม่...ไม่กล้าทำ อาย... เวลาทำดี...ไม่กล้าทำ...อาย, เวลาทำชั่ว...กล้า...ไม่อาย...ใครเห็นภาพนี้ ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน... เอาไว้สอนลูก เห็นภาพ ชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น ...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...

    [​IMG]
    หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา... ของสมเด็จย่า... มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า... ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง...เสด็จจากวังสวนจิตร... ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
    ไปทำไมครับ...? ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่...ชุ่มชื่น หัวใจ... พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง...
    โอ้โห!...ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา
    เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ? พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน?... 5 วัน มีใครบ้างครับ...? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่...สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก.....
    ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย... เป็นพันโครงการ... มีเวลาไปกินข้าว กับแม่... สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก...พลตรี...อธิบดี... ปลัดกระทรวง...ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่... บอกว่า...งานยุ่ง แม่บอกว่า... ให้พาไปกินข้าวหน่อย... บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง...?
    พ่อแม่...พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ...ฝนตก...น้ำเซาะ...อีกไม่นานก็โค่น... พอถึงวันนั้น... เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว... ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่ สมเด็จย่าอายุ...93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วันไปไหน ครับ...? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า... ในหลวงถือศีล 8 วันพระ ...ถือศีล 8 นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น... เลยไม่ได้ไปหาแม่... วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับ พระราชินี...กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน... ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?

    [​IMG]
    ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว...ทุกครั้ง...ที่ในหลวง ไปหาสมเด็จย่า...ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง... เข้ามากอด... กอดเสร็จก็หอมแก้ม... ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงบ้าง...?

    [​IMG]
    ภาพนี้...ถ้าใครมี... ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก...อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวง... อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร...เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม... สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ... เพราะ ท่านได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญ
    ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
    ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน ...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์... เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
    [​IMG]
    ในหลวงหน่ะ...เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็น พระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
    แต่ในหลวง... ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน... ก้มลงกราบ...คนธรรมดา... ที่เป็นแม่ หัวใจลูก... ที่เคารพแม่... กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว...
    คนบางคน... พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่... เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...เป็นชาวนา... เป็น ลูกจ้าง... ไม่เคารพแม่...ดูถูกแม่
    แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว... นี่แหละครับความหอม
    นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง... ท่านหอมความดี... หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู... ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย ...
    ตอนกินข้าวนี่...ปกติ.. .แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...
    นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ
    แม่ทั้งหลาย...ลองคิดดูซิ...อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...อันนี้ อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่... เอ้าแม่ ...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล...เอาใจใส่...
    กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่... ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง... ทราบไหม...? ตอนในหลวงเล็ก ๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ..."อยากฟังแม่สอนอีก" เป็นยังไงบ้าง...?
    เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ... อยากฟังแม่สอนอีก... พวกเรา เป็นยังไง...? เราคิดว่า...เรารู้มาก ...เราเรียนสูง...เรามีปริญญา... แม่จบ ป.4 เวลาแม่สอน...ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว... รำคาญ...พูดจาซ้ำซาก... เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที... เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่...

    [​IMG]
    สมเด็จย่าสอน...ในหลวงจะเอากระดาษมาจด... มีอยู่เรื่องหนึ่ง... ที่จำได้แม่น... สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ ...เข้ามาบอกว่า...อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
    แม่บอกว่า "ลูกอยากได้จักรยาน... ลูกก็เก็บสตางค์... ที่แม่ให้ไปกินที่ โรงเรียนไว้ซิ" ...เก็บมาหยอดกระปุก... วันละเหรียญ...สองเหรียญ พอได้มากพอ... ก็เอาไปซื้อจักรยาน...
    นี่คือสิ่งที่แม่สอน...แม่สอนอะไร...ทราบไหมครับ...?
    ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน...พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย... ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ... ฟุ่มเฟือย... เหลิง... และหลงตัวเอง

    [​IMG]
    พอโตขึ้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้... ยิงตำรวจ...ยังได้... เพราะหลงตัวเอง... พ่อตนใหญ่ เห็นไหม...? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน...
    แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่... สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก...ลูกอยากได้ ...ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้... ไปหย่อนกระปุก... แม่สอน 2 เรื่อง คือ...ให้ประหยัด...ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
    "ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี" ใครสอนลูกให้ประหยัดได้... คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
    พอถึงวันปีใหม่... สมเด็จย่าก็บอกว่า... "ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน..." "เอ้า...แคะกระปุก...ดูซิมีเงินเท่าไหร่...?" เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้... ส่วนที่ แถมนะ... มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...
    มีเมตตา...ให้เงินลูก... ให้...ไม่ได้ให้เปล่า... สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด สอนว่า...อยากได้อะไร... ต้องเริ่มจากตัวเรา... คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจน ทุกวันนี้...

    [​IMG] [​IMG]
    เขาบอกว่า...ในสวนจิตรเนี่ย... คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง... ประหยัดที่สุด... ทั้งน้ำ...ทั้งไฟ... เรื่องฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย..ไม่มี ...เป็นอันว่า... ภาพนี้ชัดเจน...
    หวังที่ 2. ยามป่วยไข้... หวังเจ้า... เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับ แม่ยังไง...? สมเด็จย่า...ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช... ในหลวงไปเยี่ยม... ตอนไหนครับ...? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ...จึงเสด็จกลับ... ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง...
    แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม...ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
    ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า... เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต ...ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลาว่า... จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม...? จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น... ทำให้สมเด็จย่า... ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น... เห็นภาพไหม...?

    [​IMG]
    กลางคืน...ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...คืนละหลายชั่วโมง...ไปให้ความ อบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเองซิ... ตอนพ่อแม่ป่วย... โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า...ตอนนี้...อาการเป็นยังไง...? พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว...โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท... แล้วก็กลับ... เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู... เราไม่ได้ไปเพื่อ ทดแทนพระคุณท่าน...น่าอายไหม...?
    ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่... ตอนแม่ป่วย...ไปทุกวัน... ไปให้ความ อบอุ่น...ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง... นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ
    คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย... สมเด็จย่า...ก็ป่วย … ไปอยู่ศิริราช...ด้วยกัน ...อยู่คนละมุมตึก... ตอนเช้า... ในหลวงเปิดประตู....แอ๊ด.....ออกมา... พยาบาลกำลัง เข็นรถสมเด็จย่า... ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง...พอเห็นแม่... รีบออกจากห้อง... มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า ไม่เป็นไร...ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรัยสั่งว่า...
    "แม่ของเรา...ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น...เราเข็นเองได้..."
    นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน... เป็นกษัตริย์... ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่... ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่... เลี้ยงหัวใจ แม่... ยอดเยี่ยมจริง ๆ ... เห็นภาพนี้แล้ว....ซาบซึ้ง
    มาตามดูต่อ....
    หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา ...หวังลูกช่วย....ปิดตา ...เมื่อสิ้นใจ วันนั้น...ในหลวง...เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน... จับมือแม่...กอดแม่...ปรนนิบัติแม่... จนกระทั่ง..."แม่หลับ…" จึงเสด็จกลับ

    [​IMG]
    พอถึงวัง... เขาโทรศัพท์มาบอกว่า... สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์... ในหลวง...รีบเสด็จกลับไป...ศิริราช... เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง... ในหลวง ทำยังไงครับ...?
    ในหลวงตรงเข้าไป... คุกเข่า...กราบลงที่หน้าอกแม่... พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่... "ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้ง สุดท้าย..." ซบหน้านิ่ง...อยู่นาน... แล้วค่อย ๆ เงยพระพักตร์ขึ้น.... น้ำพระเนตรไหลนอง....
    ต่อไปนี้... จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว... เอามือ...กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ .....ที่ ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก...จนได้เป็นกษัตริย์... เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...ชีวิตลูก....แม่ปั้น...

    [​IMG]
    มองเห็นหวี... ปักอยู่ที่ผมแม่... ในหลวงจับหวี...ค่อย ๆ หวีผมให้แม่...หวี... หวี...หวี.... หวีให้แม่สวยที่สุด... แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด... ในวันสุดท้าย ของแม่....
    เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์เป็นที่สุด... เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู.... หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว.....
    กษัตริย์.....ยอดกตัญญู
    ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

    คัดลอกจากหนังสือ หยุดความเลว...ที่...ไล่ล่าคุณ โดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ในหลวงจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล!!

    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>"ครูบาอาจารย์"กับ"ในหลวง"

    จากการที่ได้หาโอกาสศึกษาและมีวาสนาได้กราบไหว้ใกล้ชิดพระอัจฉริยเถราจารย์ผู้ทรงคุณธรรมเบื้องสูงจำนวนมาก ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องอันพิเศษๆเป็นอันมาก ที่นอกเหนือจากสามัญมนุษย์ทั่วไป ซึ่งไร้ซึ่งญาณปรีชาจะพึงทราบชัดให้ถูกถ้วนตามความเป็นจริงได้เป็นอันเอนกปริยาย ดังที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและความรู้รอบตัวต่างๆเป็นธรรมวิทยาทานมาโดยลำดับ ความย่อมเป็นที่แจ้งใจอยู่โดยทั่วไปแล้วนั้น

    บัดนี้ เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จะได้นำเอาเรื่องราวที่บรรดาพระอริยคณาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดง เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่พระมหาธรรมราชา ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแห่งประชาชาติไทยพระองค์นั้น และเพื่อยังความเป็นสวัสดิมงคลอันยิ่งให้บังเกิดขึ้นแก่แผ่นดินและมหาชนทั้งหลายสืบไปตราบชั่วจิรัฏฐิติกาล... <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!"
    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า
    "การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!" <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    และความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า
    "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ..!!!!!" <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ
    ในลำดับนั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอันมาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ

    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร แต่กาลก่อนล่วงลับไปแล้วช้านาน ช้างปาลิไลยตัวนี้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นสมเด็จพระบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ในภัทรกัปป์อันนี้ และมีแก้ว
    ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ได้เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวาร พระองค์ทรงพระสำราญอบู่เป็นปรกติ มาจนถึงกาลสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดในโลก กาลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสในโลกแล้ว

    จึงตรัสประกาศสั่งจักรแก้วว่า ดูก่อนจักรแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังท้องพระมหาสมุทรถือเอาซึ่งดวงแก้วมณีมาให้แก่เรา จักรแก้วนั้นก็ไปยังท้องพระมหาสมุทร ดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ นำเอาแก้วมณีมาถวาย ฯ

    แล้วอยู่มาภายหลังพระองค์จึงตรัสสั่งช้างแก้วว่า ดูก่อนช้างแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปที่ฉัตรทันต์สระ แล้วพาช้างแก้วมาให้แก่เราฯ ครั้งนั้นช้างแก้วก็เหาะไปยังฉัตรทันต์สระ พาเอาช้างชาติฉัตรทันต์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งกับม้าแก้วว่า ดูก่อนม้าแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังท่าสินธพนที แล้วพาม้าแก้วทั้งหลายมาให้แก่เรา ม้าแก้วนั้นก็เหาะไปในอากาศ ถึงริมฝั่งสินธพนที แล้วพาม้าแก้วมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งนางแก้วพระราชมเหสีนั้นว่า ภทฺเท ดูก่อนเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เจ้าจงไปยังแว่นแคว้นอุดรกุรุทวีปพานางแก้วทั้งหลายมาให้แก่เรา ฯ ขณะนั้นนางแก้วผู้เป็นพระราชมเหสีก็เหาะไปยังอุดรกุรุทวีป พาเอานางแก้วทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่งแก้วมณีโชติว่า ดูก่อนแก้วมณีโชติผู้เจริญ ท่านจงไปยังเขาวิบุลบรรพต นำเอาแก้วมณีมาให้แก่เรา ฯ อันว่าแก้วมณีโชติก็เลื่อนลอยไปยังเขาวิบุลบรรพตพาเอาแก้วมณีทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นดวงมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์ตรัสสั่งปรินายกขุนพลแก้วของพระองค์ว่า ดูก่อนปรินายกแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังอุดรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป และบุพพวิเทหทวีป ทั้ง ๓ ถอดเอาดวงแก้วในยอดเขากัมพูฉัตรมาให้แก่เรา ฯ ฝ่ายขุนพลแก้วผู้เป็นปรินายกรับพระราชโองการแล้ว ก็เหาะไปยังทวีปทั้ง ๓ จึงถอดเอาดวงแก้วมณีที่ยอดเศวตฉัตรแห่งมหากษัตริย์ผู้เสวยศิริราชสมบัติในทวีปทั้ง ๓ มาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์ก็ตรัสสั่งคฤหบดีแก้วผู้เป็นขุนคลังว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว ท่านจงไปในโสฬสมหานครใหญ่ทั้ง ๑๖ เมืองนั้น นำเอาดวงแก้วมณีมาให้แก่เรา ฯ คฤหบดีแก้วก็เหาะไปในโสฬสมหานคร ครั้นถึงแล้วได้ทัศนาการเห็นสมเด็จพระพุทธกุกกุสนธสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอยู่ในพระวิหารในกาลนั้น คฤหบดีแก้วก็มิได้รู้จักซึ่งสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า ว่าเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทโธ จึงเข้าไปยังสำนักกุกกุสนธเจ้าแล้วถามว่า มณว ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ตัวท่านนี้มีนามชื่อไร จึงมีรูปโฉมงามบริสุทธิ์เป็นอันดี ฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้า จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราหรือมีนามชื่อว่าพระศาสดาจารย์ คฤหบดีจึงถามอีกว่า ฯ ดูก่อนมาณพผู้เจริญท่านมีนามชื่อว่าศาสดาจารย์ด้วยเหตุเป็นดังฤา ฯ จึงทรงพระมหากรุณาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราชื่อพระศาสดาจารย์นั้นเพราะเหตุประกอบไปด้วยอาจริยคุณ ๓๑ ประการ ฯ

    คฤหบดีจึงถามว่า คุณ ๓๑ ประการแห่งท่านปรากฏเป็นประการใด จึงได้ชื่อว่าอาจริยคุณฯ สมเด็จพระกุกกุสนธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว คุณเป็นอาทิคือ อิติปิ โส ภควา นี่แหละเป็นคุณแห่งเรา ปรากฏกิตติศัพท์ไปทั่วโลก จึงมีนามว่า พระศาสดา จริยคุณทั้ง ๓๑ ประการ ฯ เมื่อคฤหบดีแก้วได้สดับพระพุทธวจนะดังนั้น จึงจารึกเอาพระอิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ ลงไว้ในแผ่นทองเป็นตัวอักษรเสร็จแล้ว จึงถามพระผู้ทรงพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ท่านรู้คุณวิเศษมีประมาณเท่านี้แลหรือ หรือว่าคุณวิเศษอย่างอื่นยังมีอยู่เป็นประการใด ฯ

    จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่าดูก่อนคฤหบดีแก้ว อันว่าคุณวิเศษอย่างอื่นแห่งเรามีอยู่เป็นอันมาก ฯ คฤหบดีแก้วก็ให้พระกุกกุสันธเจ้าแสดงต่อไป ฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา ทรงแสดงซึ่งคุณในกายคตาสติกัมมัฏฐาน บอกอาการ ๓๒ มี เกศา โลมา เป็นอาทิ ให้แก่คฤหบดีแก้ว

    คฤหบดีแก้วก็จารึกพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้าอันงาม พร้อมด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะเป็นอันดีลงในแผ่นทอง แล้วจึงกำหนดพระองค์สูงประมาณ ๖๐ ศอก ลงในแผ่นทองทั้ง ๒ เสร็จแล้ว คฤหบดีแก้วก็เหาะนิวัตตนากลับมายังสำนักสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทถวายซึ่งแผ่นพระสุวรรณบัตร ให้ทอดพระเนตรพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า กับทั้งตัวอักษรที่จารึกพระพุทธคุณมานั้น ฯ

    ฝ่ายสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาททอดพระเนตรพระอักษร ซึ่งจารึกพระพุทธคุณในแผ่นพระสุวรรณบัตรนั้น ฯ ทรงอ่านแล้วก็มิได้ทรงรู้จักว่าเป้นพระพุทธคุณจึงตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ อันว่าอักษรที่คฤหบดีจารึกมานั้น จะเป็นพระพุทธคุณจริงแลหรือประการใด ฝ่ายว่าพราหมณ์ปุรหิตนั้น เป็นผู้ทรงคุณวิชชาไสยศาสตร์ จึงกราบทูลว่า มหาราชข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐอันว่าอักษรนี้เป็นคุณอันวิเศษแน่แล้ว เป็นยอดคุณทั้งปวงสิ้น ก็คุณวิเศษอย่างอื่นๆ นั้นจะได้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้หาบ่มิได้ อักษรนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแล้ว สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทำด้ทรงฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัส ปิติ ปลาบปลื้มพระทัย สลบลงกับที่ ฯ

    ครั้นพระองค์ฟื้นสมประดีแล้ว ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ เราได้ฟังว่า คุณวิเศษนี้เป็นพระพุทธคุณจริงดังนั้นหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ อันว่าคุณวิเศษนี้ พระองค์อย่าได้สงสัยในพระกมลหฤทัยเลย เป็นพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเที่ยงแท้แล้ว

    ครั้นได้ทรงสดับฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลซ้ำอีกดังนั้น พระองค์ทรงปิติ ปลื้มพระทัย สลบลงอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๒ แล้วพระองค์ก็ฟื้นขึ้น จึงตรัสถามปุโรหิตอีกว่ารูปภาพที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ เป็นอย่างพระพุทธรูปจริงหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระรูปพระโฉมที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ คือ พระรูปพระโฉมของสมเด็จพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์อย่าได้สงสัยเลย ฯ สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทได้ทรงฟังว่าเป็นพระพุทธรูปของสมเด็จพระพุทธเจ้าจริงแน่ ก็สลบสิ้นสติสมปฤดีไปอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๓ ฯ

    ครั้นได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสแก่คฤหบดีแก้วว่า บัดนี้เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้ เพราะเหตุตัวของท่านอันเราใช้ไป เครื่องสักการบูชาสิ่งอื่นหาควรจะกระทำสักการบูชาแก่ท่านไม่ ด้วยท่านมีความชอบครั้งนี้แก่เราเป็นที่สุด เราจะยกสมบัติจักรพรรดิอันยิ่งในมนุษย์โลกนี้ กระทำสักการบูชาแก่ตัวท่าน ตรัสประภาษสรรเสริญคฤหบดีแก้วดังนี้แล้ว จึงอภิเษกคฤหบดีแก้วให้เสวยศิริราชสมบัติจักรวรรดิยศ ยกให้เป็นบำเหน็จความชอบแก่คฤหบดีแก้ว ในครั้งนั้นคฤหบดีแก้วก็ตั้งอยู่ในศิริราชสมบัติบรมจักร เสวยอิสริยยศสมบัติสืบต่อไป ฯ

    ส่วนสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทนั้นแต่พระองค์เดียว ก็เสด็จบทจรไต่เต้าไปตามมรรคาหนทางโดยทิศาภาค ในที่สถิตแห่งสมเด็จพระบรมครูกุกกุสนธเจ้านั้น ฯ ครั้นไปถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ก็ทรงประทับนั่งอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรนั้นพอหายเหนื่อยเป็นอันดีแล้ว ก็ยกอัญชลีประนมถวายนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์อันได้สดับว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ทรงกระทำอธิษฐานปรารถนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม ความปิติโสมนัสแห่งข้าพระพุทธเจ้าบังเกิดมีในพระองค์แล้ว ด้วยเดชะความสัตย์นี้ ขอให้เครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการ อันเป็นทรัพย์มรดกแห่งพระภิกษุสงฆ์ จงเลื่อนลอยมายังสำนักแห่งข้าพระพุทธเจ้า ด้วยเเถิด ฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสนธสัพพัญญูทรงทราบวาระน้ำจิตแห่งบรมจักรมหาปนาท ปรารถนาจะบรรพชาบวชในพระพุทธศาสนา จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการ บัดนี้บุคคลมีชื่อโน้น ปรารถนาจะทรงบรรพชา ท่านจงไปยังสำนักแห่งบุคคลผู้นั้นเถิด ฯ” ขณะนั้นเครื่องอัฏฐบริขารทั้ง ๘ ประการ ก็ลอยมาตกลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทด้วยพุทธานุภาพ ฯ

    ครั้นสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาท ทรงเห็นเครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการพร้อมแล้ว ด้วยพระเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ก็ทรงยกเครื่องอัฏฐบริขารขึ้นทูนเหนือพระเศียรเกล้าแล้วออกพระวาจาว่า ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการผู้เจริญ เราอาศัยซึ่งท่านจักใคร่ออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบเห็นพระนิพพานอันประเสริฐสุดโลกวิสัย ตรัสเท่านั้นแล้วก็เปลื้องเครื่องราชอาภรณ์ของพระองค์ออกจากพระสรีรกาย ทรงสบง จีวร สังฆาฏิ คาดกายพันมั่นคง ทรงบรรพชาเป็นพระภิกษุภาวะเสร็จแล้ว จึงเอาพระมงกุฎแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ตรัสว่า ดูก่อนมงกุฏแก้ว ท่านจงไปยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า กราบทูลแจ้งประพฤติเหตุข่าวศาสน์แก่พระองค์ว่า บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักร เสียสละศิริราชสมบัติออกทรงบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูลศาสน์แด่องค์สมเด็จพระพุทธองค์ด้วยประการดังนี้ ฯ

    พระองค์ทรงพระอธิษฐานฉะนี้แล้ว มงกุฏแก้วก็ลอยเลื่อนไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาสุวรรณราชหงส์ลงยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่แทบฝ่าพระบาท กราบทูลประพฤติเหตุดังนั้นแก่สมเด็จพระกุกกุสนธ ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ สมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ก็มีพระพุทธฎีการับว่าสาธุ ฯ

    ลำดับนั้น พระยามหาปนาทซึ่งทรงเพศเป็นภิกษุ ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามบ้าน ได้อาหารพอเป็นยาปนมัตต์ บริโภคสำเร็จแล้วก็เจริญพระกัมมัฏฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณมีพระ อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ และพระกายคตาสติกัมมัฏฐาน มีเกศาเป็นต้น เจริญไปด้วยความอุตสาหะดังนั้น ยังโลกียฌานให้บังเกิดขึ้น

    ในขณะนั้นแล้วเหาะไปโดยอากาศเวหาถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ทัศนาการพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธ อันประดับไปด้วยพระทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ และพระอสีตยานุพยัญชนลักษณะ งามบริบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็บังเกิดความปิติเต็มตื้นซาบทั่วสรรพางค์ ตลอดสิ้นสกลกายก็สลบลงในที่นั้น สมเด็จพระภควันตบพิตรเจ้าก็ทรงเอาอุทกวารีมาประพรมลงเหนือพระอุระ ก็ฟื้นสมปฤดีขึ้นมา แล้วถวายนมัสการกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา ฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสนธบรมทศพลญาณ ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า “ดูก่อนภิกษุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานเถิด” มีพระพุทธบรรหารตรัสดังนี้ ฝ่ายพระเจ้ามหาปนาทบรมพุทธางกูรได้ทรงสดับกระแสพระพุทธฎีกาตรัสเป็นนัย ดังนั้นพระองค์ก็มีปิติซาบซ่านทั่วสกลกาย จึงทรงพระอธิษฐานเด็ดพระเศียรเกล้าด้วยเล็บของพระองค์ ทรงกระทำสักการบูชาแทบพระบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเศียรเกล้านั้นจึงกราบทูลพระกรุณาว่า

    “ภนเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเจ้า พระองค์ได้โปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อนข้าพระบาท ข้าพระบาทก็มีความปรารถนาเป็นเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อภายหลัง ด้วยผลศีลทานของข้าพระบาทในครั้งนี้ ขอเชิญองค์อัครมุนีผู้ทรงพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้าสู่พระนิพพานก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทขอตามเสด็จพระพุทธองค์เจ้าเข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง” พอขาดคำลงแล้วพระเจ้ามหาปนาทก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตอินทรีย์ ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์ เสวยทิพยศิริสมบัติเป็นสุขสถาพร ไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ฯ
    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ฝูงสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มรรคและผลธรรมวิเศษในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระตถาคตเป็นต้น มีพระติสสะเป็นปริโยสานแล้ว ก็ให้มหาชนปรารถนาไปให้พบเห็นพระศาสนาช้างปาลิไลยหัตถี ที่ได้เป็นพระบรมจักรมหาปนาทนี้ ซึ่งจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ทรงพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะได้มรรคและผลธรรมอันวิเศษสิ้นสังสารทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระอมตะมหานครนิพพาน ฯ
    ที่มา,คัมภีร์อนาคตวงศ์


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เพราะด้วยเหตุที่ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร)ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต"
    (http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-071204131122160) ได้ตามอัธยาสัย
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    "พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย.."
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    ครั้งหนึ่ง มีผู้พูดถึง"ผู้ยิ่งใหญ่"ระดับประเทศบางท่านให้หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พระมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมากล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองว่า"เป็นหนึ่งในสิบแห่งอนาคตพุทธวงศ์เบื้องหน้า"ฟัง สังเกตว่า ดูหลวงพ่ออุตตมะท่าน"เฉย"มากๆ ก่อนที่จะปรารภออกมาอย่างราบเรียบที่สุด เหมือนมิได้ไยดีใดๆว่า
    "เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวงหรอก..!!!!!"
     
  4. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    สัจจบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับความอัศจรรย์แห่งพระบารมีของพระองค์

    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>

    [​IMG]

    สัจจบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดย พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์


    <HR width=500>​



    "สัจจบารมี" เป็นบารมีหนึ่งในทศบารมีซึ่งเป็นชาดกกล่าวถึงเรื่องของการเสวยพระชาติของพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อบำเพ็ญบารมีต่างๆ รวม ๑๐ ชาติ ก่อนที่จะเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออกบวชจนกระทั่งทรงบรรลุพระโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด คำว่า "สัจจะ" หมายถึง "จริงใจ คือ ความซื่อสัตย์", "จริงวาจา คือ พูดจริง" และ "จริงการ คือ ทำจริง" ส่วนคำว่า "บารมี" หรือ "ปารมี" มีความหมายอยู่ ๒ ประการ คือ "อย่างยิ่ง, เลิศประเสริฐที่สุด" และ "คุณธรรมที่ได้สั่งสมกันมาโดยลำดับ หรือ การสะสมคุณงามความดี ทำบุญกุศลกันโดยลำดับต่อเนื่อง

    " "สัจจบารมี" จึงหมายความว่า "บารมีที่เกิดขึ้นโดยวิธีการฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์ พูดจริง กระทำจริง

    " นอกจาก "สัจจบารมี" แล้ว ยังมีอีกบารมีหนึ่งที่จำเป็นต้องบำเพ็ญควบคู่กันเสมือนพี่น้องฝาแฝด คือ "อธิษฐานบารมี"

    คำว่า "อธิษฐาน" หมายถึง "ความตั้งใจมั่น เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้บรรลุความมุ่งหมายของตน" คำนี้มักถูกนำมาใช้ควบคู่กับคำว่า "สัตย์" ซึ่งเรียกรวมกันว่า "สัตยาธิษฐาน หรือ ตั้งสัตย์อธิษฐาน"

    ในการตั้งสัตยาธิษฐานเพื่อให้บรรลุผลตามที่ได้ตั้งจิตปรารถนาไว้นั้น จะบังเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อในคำอธิษฐานนั้น ได้มีการกล่าวอ้างอิงถึงสิ่งที่เป็นความจริง และหรือ คุณธรรมที่ตนเชื่อมั่น และได้ถือปฏิบัติอย่างจริงจัง

    พระสูตร หรือ พระปริตร เป็นบทสวดมนต์ที่พระภิกษุสงฆ์นำมาสวด หรือ เจริญพระพุทธมนต์ในพิธีมงคลต่างๆเป็นการตั้งสัตยาธิษฐาน หรือ การกล่าวสัจจวาจาของผู้สวดเพื่ออวยพรแก่เจ้าภาพ และผู้ที่มาร่วมพิธี เช่น บทสวดที่ว่า
    นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
    พุทโธ เม สรณัง วรัง พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยคำกล่าวสัตย์นี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ เป็นต้น


    อย่างไรก็ตาม ความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดมนต์จะปรากฏผลได้ ก็ต่อเมื่อผู้สวด ได้ถือปฏิบัติตามข้อความ หรือ สัจจวาจาที่ได้แสดงไว้ในบทสวดนั้นได้จริงๆ กล่าวคือ ผู้สวดจะ ต้องมีความเคารพ เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจริงๆ มิใช่กล่าวออกไปเฉยๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น

    การกล่าวสัจจวาจานั้น ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงคุณพระรัตนตรัยเสมอไป ผู้กล่าวจะอ้างอิงความจริงในเรื่องอื่นๆ ของตนก็ได้ เช่นอ้างเรื่องการบำเพ็ญบุญกิริยาของตน คือ การรักษาศีล การบริจาคทาน การภาวนา เป็นต้น เมื่อได้กล่าวอ้างอิงถึงความจริงแล้ว ก็ให้อธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาสิ่งที่พึงเป็นไปได้ไว้ในใจเช่น อธิษฐานขอความคุ้มครองให้ตนพ้นจากทุกข์โศกโรคภัย มีบทสวดมนต์บทหนึ่งในบทสวด ๗ และ ๑๒ ตำนาน คือ วัฏฏปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า อัตถิ โลเก สีเลคุโณ บทสวดนี้ เป็นที่รู้จัก และนับถือกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันว่า "คาถา(นกคุ่ม)ดับไฟ"

    บทสวดมนต์ หรือ คาถาดังกล่าวนี้มีตำนานว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จไปจำพรรษาที่ตำบลหนึ่งในแคว้นมคธ เช้าวันหนึ่ง ได้เสด็จออกบิณฑบาต ระหว่างทาง ได้เกิดไฟป่าลุกไหม้ และไฟได้ลามมาใกล้ที่ประทับของพระพุทธองค์ แต่ก็ได้ดับลงไปเองอย่างน่าอัศจรรย์ บรรดาพระภิกษุสงฆ์จึงได้ขอให้พระสาริบุตรทูลถาม พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเล่าวัฏฏชาดกซึ่งเป็นเรื่องที่ได้เกิดมาแล้วในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้เสวยพระชาติเป็นลูกนกคุ่ม (บางทีเรียกว่า นกคุ่มไฟ) ว่า ครั้งหนึ่งได้เกิดไฟป่าไหม้มาโดยรอบรังนกที่อาศัยอยู่ในป่า และรังหนึ่งเป็นรังของนกคุ่มผัวเมีย มีลูกเล็กๆ อาศัยอยู่ด้วย เมื่อไฟป่าได้ลุกลามมาใกล้จะถึง บรรดานกทั้งหลายก็พากันบินหนี รวมทั้งนกคุ่มที่เป็นพ่อแม่ด้วย ปล่อยให้ลูกนกคุ่มที่ยังเดินไม่ได้ บินไม่ได้รอความตายอยู่ในรัง ลูกนกคุ่มนั้นจึงได้ตั้งสัจจกิริยา คือ การกล่าวสัจจวาจาโดยอ้างอิงถึงคุณของศีล รวมทั้งคุณธรรมอื่นที่มีอยู่ ที่ได้กระทำมาในอดีตชาติ คุณของพระพุทธเจ้า รวมทั้งความจริงที่เกี่ยวกับตัวเอง คือ มีปีกก็ยังบินไม่ได้ มีเท้าก็ยังเดินหนีไปไม่ได้ แล้วจึงอธิษฐานอยู่ในใจว่า ขอให้อำนาจแห่งความจริงต่างๆ ที่ตนได้กล่าวไว้จงดลบันดาลให้เกิดผลคือ ขอให้ไฟป่าที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้รอบตัวได้ดับลง

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงแปล มีข้อความตอนหนึ่งในบทสวดนี้ไว้ว่า "คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก ความสัตย์ความสะอาดและความเอ็นดูกรุณามีอยู่ในโลก ด้วยคำสัตย์นั้น ข้าพเจ้าจะทำสัจจกิริยาอันเยี่ยม ข้าพเจ้ารำลึกถึงกำลังแห่งธรรม รำลึกถึงพระชินเจ้าทั้งหลายในปางก่อน อาศัยกำลังแห่งสัจจะ ขอทำสัจจกิริยา ปีกทั้งหลายของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่ก็ยังบินไปไม่ได้ เท้าทั้งหลายของข้าพเจ้ามีอยู่ก็ยังเดินไม่ได้ มารดาและบิดาของข้าพเจ้าก็ออกไปแล้ว ดูก่อนไฟป่า ขอท่านจงถอยไป ครั้นเมื่อสัจจะอันข้าพเจ้าทำแล้ว เปลวไฟอันลุกโพลงมากก็สงบ.… ประหนึ่งเปลวไฟที่ตกถึงน้ำ สิ่งใดเสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา"

    ผู้ที่สามารถรักษาสัจจวาจาได้จนเป็นนิสัย ก็เท่ากับผู้นั้นได้มีโอกาสบำเพ็ญ สะสมสัจจบารมีของตนให้มากขึ้นโดยลำดับ และเมื่อนำมาประกอบกับอธิษฐานบารมี บารมีที่ได้สะสมไว้ทั้งสองประการย่อมมีพลังรุนแรง แสดงผลให้ได้ทันตาเห็น ดังที่ได้แสดงไว้ในบทสวดวัฏฏปริตรดังกล่าวข้างต้น

    เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ได้มีเหตุการณ์สำคัญที่น่าระทึกใจยิ่งครั้งหนึ่งคือ ภัยพิบัติที่เกิดแก่หลายจังหวัดในภาคใต้ตอนบน อันเนื่องจากพายุใต้ฝุ่น “ลินดา” พัดผ่าน พายุนี้ได้เริ่มก่อตัวในทะเลจีนตอนใต้ห่างจากแหลมญวนไม่มากนัก โดยเริ่มก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำมาเป็นดีเปรสชันเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ แล้วได้ทวีความ รุนแรงกลายเป็นพายุโซนร้อนเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ต่อจากนั้นได้แปรสภาพเป็นพายุ ไต้ฝุ่นมีความเร็วสูงสุดรอบศูนย์กลางประมาณ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนที่ผ่านแหลมญวน เข้าสู่อ่าวไทย มุ่งหน้าเข้าสู่บางจังหวัดในภาคใต้ตอนบนซึ่งได้แก่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพร ลักษณะการก่อตัว ความรุนแรง และทิศทางการเคลื่อนที่ของพายุใต้ฝุ่นนี้คล้ายกับพายุใต้ฝุ่น “เกย์” ซึ่งได้เคยก่อภัยพิบัติให้แก่จังหวัดเหล่านี้มาแล้วอย่างมหาศาลเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๒

    ด้วยความเป็นห่วงใยต่อพสกนิกรที่พำนักอาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่พายุ "ลินดา" จะเคลื่อนที่ผ่าน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงเฝ้าติดตามสังเกตการณ์การก่อตัว การเปลี่ยนแปลงของพายุใต้ฝุ่น “ลินดา” ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

    คำพยากรณ์ที่ได้รับรายงานจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาทั่วโลกระบุอย่างแน่ชัดว่า ในวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ตามเวลาท้องถื่น ๑๙.๐๐ น. พายุนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด ๑๐.๘ องศาเหนือ ลองจิจูด ๑๐๐.๘ องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดที่จุดศูนย์กลางรุนแรงถึง ๗๕ นอต หรือ ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเคลื่อนที่มาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความ เร็วประมาณ ๑๑ นอต หรือ ๑๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงเข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ ๒๘ กิโลเมตร และจะเคลื่อนที่ถึงฝั่งภายใน ๑ ชั่วโมงเศษเท่านั้น หากเป็นเช่นคำพยากรณ์ ทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพรคงจะถูกกวาดล้างโดยพายุใต้ฝุ่น “ลินดา” จนหมดสิ้น สิ่งบอกเหตุดังกล่าวนี้จึงได้สร้างความกังวลและความเคร่งเครียดพระทัยให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง

    แต่โดยที่มิได้คาดคิด อีกไม่กี่นาทีก่อนที่จะเคลื่อนที่มาถึงฝั่ง พายุนี้ได้กลับอ่อนกำลังลงโดยฉับพลันมาเป็นพายุโซนร้อนมีความเร็วสูงสุดที่จุดศูนย์กลางเพียง ๕๐ นอต หรือ ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ทั้งทิศทางการเคลื่อนที่กลับเบี่ยงเบนขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อยและถึงฝั่งที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เวลา ๐๒.๐๐ น.จังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมพรจึงได้รับภัยพิบัติจากพายุนี้ไม่รุนแรงนัก
    ดูจะเป็นการผิดปกติอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันของพายุไต้ฝุ่นใน ลักษณะนี้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ถ้าพายุยังเคลื่อนที่อยู่เหนือพื้นน้ำทะเลหรือมหาสมุทร พายุนั้นจะเพิ่มความแรง ความเร็วที่จุดศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น และจะลดลงเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งแล้ว พายุโซนร้อน “ลินดา” นี้ก็เช่นกัน เมื่อเคลื่อนที่พ้นจากประเทศไทยลงสู่ทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย ก็ได้เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับแปรสภาพกลับไปเป็นพายุไต้ฝุ่น หรือ ไซโคลน อีกครั้งหนึ่งในวันเวลาต่อมา

    เหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว จะไม่แตกต่างกับเหตุการณ์ที่ได้มีแสดงไว้ในวัฏฏปริตร จึงน่าจะยืนยันได้ว่า การที่พายุไต้ฝุ่น "ลินดา" ได้เปลี่ยนทิศทางโดยกระทันหันเป็นมหัศจรรย์ในครั้งนั้น เป็นผลมาจากพลังสัจจบารมี และอธิษฐานบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงสะสมมาตั้งแต่ในอดีตพระชาติ และที่ได้ทรงบำเพ็ญสะสมเพิ่มเติมขึ้น อย่างต่อเนื่อง อย่างยิ่งใหญ่มหาศาลในพระชาติปัจจุบันได้ส่งเสริมกันจนเป็นพลังที่รุนแรง สามารถมีส่วนช่วยให้ประเทศชาติ พสกนิกรรอดพ้นจากภัยพิบัติธรรมชาติในครั้งนั้นได้

    ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีที่ได้มีพระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงสมบูรณ์ด้วยพระบารมี และทศพิธราชธรรม ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพ สูงส่ง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกเราเหลือคณานับ ดังนั้นในวโรกาสที่สำคัญยิ่งที่วัน เฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ท่านที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนจะร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐาน ด้วยการระลึกถึงคุณธรรมที่เป็นความจริงต่างๆ ซึ่งตนได้บำเพ็ญมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การรักษาศีล การบริจาคทาน การ ภาวนา เป็นต้น เป็นสัจจบารมี แล้วตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรว่า ขอให้สัจจบารมีที่ตนได้ บำเพ็ญมาโดยตลอดนั้นจงบังเกิดเป็นพระราชกุศลให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานตลอดไป



    <CENTER>********************* </CENTER>
     
  5. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ในหลวงสนทนาเรื่อง"พุทธภูมิ"
    กับหลวงตามหาบัว

    "...เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง เรายังจำได้.. วันนั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมังคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติ ศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิ ท่านให้เราควบคุมดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น
    เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึง เรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถวรอรับเสด็จ แล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันได ส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินี พระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ หมดทั้งครอบครัวเพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง
    พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก ( พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า "หลวงปู่" )
    "หลวงปู่...สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร"
    โอ้... พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้
    หลวงตาตอบว่า...
    "พุทธภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละพุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ...สาวกภูมิ เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะ ๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง"
    พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า
    "เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะ หลวงปู่"
    หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"

    และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า) ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า... "พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ... "พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง" ท่านบอกไปเลยนะว่า... ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเอง จัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า "เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว ท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า

    "การเป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป ตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ ... อาตมาจะให้พร"

    พอฟังมาถึงตรงนี้นะ เรายังจำได้แม่น เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านถามเรื่องพุทธภูมิ เสร็จแล้วพอท่านจะลากลับ หลวงตาท่านสรุปให้เสร็จสรรพเลย... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยทำงานปรารถนาความเป็นอะไร... ทำงานกันจนไม่มีเวลาพักผ่อน... เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จลงมา ท่านก็ตรัสว่า อยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงตาไปนาน ๆ ...เราก็ได้ตอบท่านว่า เจริญพร...มหาบพิตร อาตมาก็อยากจะอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาที่อาตมาจะต้องเอาตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงเวลาไปก็ต้องไปเหมือนกัน แล้วพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็บอกขอทำบุญกับหลวงตา 200,000 ถวายอาจารย์ 20,000 แล้วท่านก็ถามว่าพระที่อยู่ในวัดนี้กี่รูป เราก็ตอบท่านทั้งหมด 29 รูปรวมหลวงตานั่นแหละ... ท่านจึงถวายให้รูปล่ะ 2,000 "แล้วปัจจัยจะให้ไว้กับใคร" ท่านถาม...ท่านหยิบออกมาให้เลยนะ ท่านผู้ว่าฯ ยังรับมือสั่น พระเจ้าอยู่หัวไม่เพียงมากราบหลวงตา ท่านมาที่วัดท่านยังมาทำบุญกับพระด้วยปัจจัยที่เตรียมพร้อมจากพระหัตถ์ของ ท่านเอง จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จออกไปเยี่ยมประชาชนแล้วก็ขึ้นรถไป

    นั่นแหละเราได้ฟังมา เรื่องของพุทธภูมิ เรื่องของพระโพธิสัตว์ สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร เสร็จแล้วพอตอนจบขอพร หลวงตาท่านก็สรุปและให้พร จึงบอกได้ว่าเป็นบทสนทนาของจอมปราชญ์...
    ที่มานิตยสาร น่านฟ้า ปีที่1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนธันวาคม 2550 หน้า 18

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ปาลิเลยยกะ" เพื่อนแท้ที่แสนดีของพระพุทธองค์


    ที่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี มีพระคณาจารย์ใหญ่อยู่ ๒ คณะ คือคณะพระวินัยธร (ผู้ทรงวินัย-ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย) กับคณะพระธรรมกถึก (ผู้กล่าวธรรม-ผู้เชี่ยวชาญทางแสดงธรรม) อาจารย์ใหญ่ทั้งสองนี้มีศิษย์คนละประมาณ ๕๐๐ คน

    วันหนึ่ง พระธรรมกถึกเข้าไปในถาน (ส้วม) ทำสรีรกิจแล้วเหลือน้ำชำระไว้ในภาชนะแล้วออกมา พระวินัยธรเข้าไปภายหลัง เห็นน้ำนั้นจึงถามพระธรรมกถึก
    "ท่านเหลือน้ำไว้หรือ?"
    "ใช่ครับ ผมเหลือไวัเอง" พระธรรมกถึกบอกความจริง
    "ท่านรู้หรือไม่ว่า การเหลือน้ำไว้อย่างนี้เป็นอาบัติ?"
    "ผมไม่รู้" พระธรรมกถึกตอบ
    "ถึงไม่รู้ก็เป็นอาบัติ" พระวินัยธรว่า
    "ถ้าอย่างนั้น ผมจะทำคืนเสีย คือผมจะแสดงอาบัติ" พระธรรมกถึกยอมรับ
    "แต่ถ้าท่านไม่แกล้งทำ ท่านทำเพราะไม่มีสติ อาบัติก็ไม่มี" พระวินัยธรว่า

    ด้วยคำพูดตอนหลังของพระวินัยธรนี้ พระธรรมกถึกจึงมิได้แสดงอาบัติ คงปล่อยไว้อย่างนั้น

    หากเรื่องจบเพียงแค่นี้ก็เป็นอันจบ แต่พระวินัยธรมิไดันิ่งเฉย กลับนำเรื่องนั้นมาพูดกับศิษย์ของตนว่า "พระธรรมกถึกแม้ตัองอาบัติก็ไม่รู้" เมื่อศิษย์ของพระวินัยธรเจอศิษย์ของพระธรรมกถึก ก็พูดใส่หูเป็นเชิงดูหมิ่นว่า "อุปัชฌาย์ของพวกท่านด้องอาบัติแล้วก็ไม่รู้"

    ศิษย์ของพระธรรมกถึกได้ฟังดังนั้น จึงไปถามอุปัชฌาย์ของตนว่าเรื่องเป็นอย่างไร ศิษย์ของพระวินัยธรจึงพูดเช่นนั้น พระธรรมกถึกเล่าเรื่องให้ศิษย์ฟังแลัวกล่าวว่า "พระวินัยธร ทีแรกพูดว่าไม่เป็นอาบัติ มาบัดนี้ ไฉนจึงพูดว่า เป็นอาบัติ พระวินัยธรพูดมุสา"

    ศิษย์พระธรรมกถึก เมื่อพบศิษย์ของพระวินัยธรก็พูดบ้างว่า "อุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดมุสา"

    ทั้งสองฝ่ายต่างทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก แลัวการทะเลาะก็แผ่วงกว้างออกไปด้วยประการฉะนี้

    ต่อมาภายหลัง พระวินัยธรได้โอกาส จึงได้ทำอุกเขปนียกรรม (คือประกาศไม่ให้สงฆ์ร่วมอุโบสถสังฆกรรม ไม่ให้ร่วมฉัน ร่วมที่อยู่อาศัย)แก่พระธรรมกถึก เพราะการไม่เห็นอาบัติ

    ตั้งแต่นั้นมา พระสงฆ์ในโฆษิตารามก็แตกกันเป็น ๒ พวก แม้อุบาสก อุบาสิกาก็แตกกันเหมือนกัน ตำรากล่าวว่า แม้พวกเทวดาก็แตกกัน

    ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลความที่พระภิกษุสองพวกเเตกกัน พวกพระวินัยธรถือว่า การที่พระวินัยธรประกาศอุกเขปนียกรรมแก่พระธรรมกถึกนั้นสมควรแล้ว ส่วนพระธรรมกถึกถือว่า อุปัชฌาย์ของตนไม่ไดัรับความเป็นธรรม เป็นต้น การแตกร้าวได้แผ่ไปอย่างกว้างขวาง

    พระผู้มีพระภาคทรงส่งพระโอวาทไปถึง ๒ ครั้งว่า "ขอให้ภิกษุทั้งสองฝ่ายจงพร้อมเพรียงกัน" ทรงสดับว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาจะพร้อมเพรียงกัน ครั้นครั้งที่สามทรงทราบว่าภิกษุทั้งหลายแตกกันเเล้ว เสด็จไปสู่ที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น ตรัสโทษในการทำอุกเขปนียกรรมของภิกษุผู้ทำอุกเขปนียกรรม และตรัสโทษของการไม่เห็นอาบัติของภิกษุผู้ต้องอาบัติ แต่ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ภิกษุทั้งหลายยังพอใจจะแตกแยกกัน แม้พระผู้มีพระภาคทรงห้ามแล้ว ทรงสั่งสอนแล้วก็ไม่ปรารถนาฟังและทำตาม

    พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทานุศาสน์เป็นอันมากเพื่อประสานรอยร้าวให้หาย เช่นว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! การแตกร้าว แตกแยก และแก่งแย่งกันนั้น นำมาแต่ความพินาศ ไม่เป็นไปเพื่อความดีแก่ใครเลย" ดังนี้แล้วตรัสชาดกเป็นอันมาก มีลฏกิกชาดกเป็นต้น

    ครั้งนี้มีภิกษุผู้เป็นธรรมวาที (พูดเป็นธรรม) รูปหนึ่งไม่ประสงค์ให้พระตถาคตเจ้าทรงลำบาก ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    "ข้าแด่พระผู้มีพระภาค! ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย ขอพระองค์จงอยู่เป็นสุขในปัจจุบันเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรากฏด้วยกรรมของตนเอง"

    พระผู้มีพระภาค ทรงมีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ และไม่มีที่สิ้นสุดได้ตรัสเล่าเรื่องพระเจ้าฑีฆีติโกศล ซึ่งพระเจ้าพรหมทัตให้ปลงพระชนม์พร้อมทั้งพระอัครมเหสี ต่อมาฑีฆาวุกุมาร โอรสพระเจ้าโกศลจับพระเจ้าพรหมทัตได้ ประสงค์จะปลงพระชนม์เสีย แต่กลับเป็นมิตรกันได้เพราะฑีฆาวุกุมารยกพระชนม์ใหัแก่พระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์ทั้งสองได้สมานสามัคคีกันต่อมาพระศาสดาตรัสย้ำว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย! กษัตริย์ทั้งสอง คือ ฑีฆาวุ และ พระเจ้าพรหมทัตเป็นผู้มีศัสตราอาวุธ ยังมีความอดกลั้นและความสงบเสงี่ยมให้อภัยกันได้ ทำไมเล่าเธอทั้งหลาย จักปรองดองสามัคคีกันไม่ไดั ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นความงามหาน้อยไม่ หากเธอทั้งหลายผู้บวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้ว จะพึงเป็นผู้อดกลั้นและสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"

    แต่พระองค์ไม่สามารถให้ภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกันได้เลย

    พระศาสดาทรงระอิดระอาต่อการทะเลาะของภิกษุเหล่านั้น มีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกจากหมู่ อยู่โดดเดี่ยว

    เช้าวันหนึ่ง จึงเสด็จไปบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ทรงถือจีวรและบาตรด้วยพระองค์เอง มิได้ตรัสบอกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเลย เสด็จไปทางพาลกโลณการาม ตรัสเอกจาริกวัตร คือวัตรแห่งภิกษุอยู่ผู้เดียวแก่พระภคุเถระที่พาลกโลณการามนั้น ตรัสอานิสงส์เเห่งสามัคคีแก่กุลบุตร ๓ คนในมิคทายวัน ชื่อปาจีนวังสะ แล้วเสด็จไปทางหมู่บ้านชื่อ ปาลิเลยยกะ

    ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่อาศัยบ้านปาลิเลยยกะ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ใต้ต้นสาละใหญ่ในราวป่ารักขิตวัน ได้รับอุปฐากจากช้างชื่อปาลิเลยยกะ เสด็จอยู่จำพรรษาอย่างผาสุก

    พวกชาวบ้านไปสู่โฆษิตารามไม่เห็นพระศาสดา จึงถามภิกษุทั้งหลาย ทราบความโดยตลอดแล้ว คิดว่าเพราะภิกษุพวกนี้เราจึงมิได้เห็นพระศาสดา ภิกษุพวกนี้บวชในสำนักพระศาสดา แม้เมื่อพระองค์ทรงพยายามเพื่อให้สามัคคีกันอยู่ ก็หาสามัคคีกันไม่ พวกเราจักลงโทษภิกษุพวกนี้โดยการไม่ถวายอาสนะ (ที่นั่ง) ไม่ทำสามีจิกรรมมีการไหว้เป็นต้น"

    ตั้งแต่นั้นมา พวกอุบาสก อุบาสิกาก็ไม่ยอมทำสามีจิกรรมมีการไหว้เป็นต้น ไม่ยอมถวายอาหารบิณฑบาต ภิกษุพวกนั้นซูบซีดลง เพราะมีอาหารน้อย สองสามวันต่อมา ก็คลายพยศ กลับเป็นคนตรง ต่างก็ขอโทษซึ่งกันและกัน และได้กล่าวกับอุบาสก อุบาสิกาว่า

    "อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย! บัดนี้พวกเราพร้อมเพรียงกันแล้ว ขอใหัท่านทั้งหลายจงประพฤติต่อเราเหมือนอย่างเดิมเถิด"
    "พวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้วหรือ?! ชาวบ้านถาม
    "ยังไม่ได้ขอขมา"พระตอบ
    "ถ้าอย่างนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงขอขมาพระศาสดาเสียก่อน เมื่อพวกท่านทูลขอขมาพระศาสดาแล้ว พระองค์ทรงรับขมาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจักเป็นเหมือนอย่างเดิม"

    ภิกษุเหล่านั้น มิอาจไปขอขมาพระศาสดาได้ เพราะอยู่ในพรรษาจึงอดทนอยู่จำพรรษาด้วยความยากลำบากในเรื่องอาหารเป็นอย่างยิ่ง

    ได้กล่าวแล้วว่าในพรรษานั้น พระศาสดาประทับจำพรรษา ณ ป่ารักขิตวัน ใกล้หมู่บ้านปาลิเลยยกะ ได้ช้างชื่อ"ปาลิเลยยกะ"(ป่าเลไลยก์)อุปัฏฐากอยู่

    ช้างปาลิเลยยกะนั้น หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว เพราะระอิดระอาในความเกลื่อนกล่นด้วยหมู่คณะ สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นช้างปาลิเลยยกะ(ป่าเลไลยก์) ได้ออกจากหมู่อยู่แต่ตัวเดียวแล้ว เพราะคิดว่า
    "เราอยู่เกลื่อนกล่นด้วยช้างพลาย ช้างพัง ช้างสะเทิ้น และลูกช้าง เราต้องกินหญ้าที่ปลายขาด เพราะพวกลูกช้างแย่งกินเสียก่อน พวกช้างทั้งหลายคอยแย่งกินซึ่งกิ่งไม้ที่เราหักลง เราต้องดื่มน้ำขุ่น เมื่อเราลงสู่ท่าน้ำ หรือขึ้นจากท่าน้ำก็ต้องเดินเสียดสีกับลูกช้างและช้างทั้งหลายทำอย่างไรหนอ เราจึงจะหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว"


    ช้างปาลิเลยยกะนั้นจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หลีกออกจากโขลงเข้าไปยังป่ารักขิตวัน ณ ควงไม้สาละใหญ่ใกล้หมู่บ้านปาลิเลยยกะ

    ก็ครั้นเมื่อช้างปาลิเลยกะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์เสด็จมาจำพรรษาในป่ารักขิตวันแห่งเดียวกับตนแล้ว บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงเข้าไปถวายบังคมแล้วเข้าไปหา ปัดกวาดบริเวณใต้ต้นสาละให้สะอาดเรียบ เอางวงจับหม้อตักน้ำเสวยและน้ำใช้มาตั้งไว้ เมื่อพระศาสดามีพระประสงค์น้ำร้อนก็ถวายน้ำร้อน
    วิธีการทำน้ำร้อนของช้างเป็นดังนี้ โดยได้เอางวงจับไม้แห้งสองอันแล้วสีกันให้เกิดไฟ ใส่ฟืนให้ไฟลุกขึ้นเผาศิลาในกองไฟนั้น แล้วเอาท่อนไม้กลิ้งศิลาให้ลงไปในแอ่งน้ำ เมื่อต้องการจะรู้ว่าน้ำร้อนแล้วหรือไม่ ก็เอางวงหย่อนลงไปในน้ำ เมื่อรู้ว่าน้ำอุ่นแล้ว ก็ไปถวายบังคมพระศาสดา เป็นทำนองทูลให้ทรงใช้น้ำร้อนได้ จากนั้น ก็ได้เที่ยวไปนำผลไม้ประเภทต่าง ๆ มาถวายพระศาสดาด้วยเหมือนกัน
    เวลาพระศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ช้างปาลิเลยยกะได้วางบาตรและจีวรของพระองค์ไว้บนตระพอง ตามเสด็จพระศาสดาไป เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเขตบ้านจึงรับสั่งว่า "ปาลิเลยยกะ ตั้งเเต่นี้ไป เจ้าจะเข้าไปไม่ได้ จงเอาบาตรและจีวรของเรามา" ช้างจะยืนอยู่ที่นั่นเอง จนกว่าพระพุทธองค์จะเสด็จกลับ ช้างปาลิเลยยกะจึงได้เข้าไปทำการต้อนรับ ถือบาตรเเละจีวรไปโดยนัยที่กล่าวแล้วไปวางไว้ ณ ที่ประทับแล้วนำกิ่งไม้มาต่างพัด ยืนพัดพระศาสดาอยู่
    เวลากลางคืน ช้างปาลิเลยยกะจะถือท่อนไม้ท่อนใหญ่ เดินวนเวียนอยู่ในบริเวณอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา และที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันอันตรายให้พระผู้มีพระภาค จนรุ่งอรุณ เมื่อรุ่งอรุณแเล้วก็ทำกิจอย่างอื่นอย่างที่เคยทำมาทุกวัน มีการถวายน้ำสรงพระพักตร์เป็นต้น

    กาลนั้น มีลิงตัวหนึ่ง เห็นช้างทำอยู่เช่นนั้นก็อยากจะทำอะไรบ้างวันหนึ่งเห็นรังผึ้งที่กิ่งไม้ไม่มีตัวผึ้ง จึงหักกิ่งไม้นั้นไปถวายพระผู้มีพระภาคนั่งจ้องมองดูว่าพระผู้มีพระภาคจะเสวยหรือไม่ พระศาสดารับแล้วทรงเฉยอยู่ ลิงคิดว่าทำไมหนอพระองค์จึงไม่เสวย จึงจับกิ่งไม้พิจารณาดูอีกทีหนึ่งเห็นตัวอ่อน จึงค่อย ๆ นำตัวอ่อนเหล่านั้นออกแล้วถวายใหม่ พระศาสดาเสวยแล้ว

    เมื่อเห็นดังนั้น ลิงมีความยินดีอย่างยิ่ง ยืนฟ้อนอยู่ไป-มาบนกิ่งไม้ มันกระโดดไป-มาด้วยความยินดี บังเอิญกิ่งไม้หัก มันตกลงมาตรงตอไม้แหลมอันหนึ่ง ถูกตอนั้นแทงสิ้นใจตาย มันมีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค ไปเกิดในภพดาวดึงส์

    การที่พระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกเร้นไปอยู่ในป่ารักขิตวันนั้น เป็นข่าวอันแพร่สะพัดไปเกือบทั่วชมพูทวีป ทางเมืองสาวัตถี ท่านอนาถปิณฑิกะ และวิสาขา มหาอุบาสิกา ได้จัดการส่งสาส์นไปถึงพระอานนท์ว่าขอให้นำเสด็จพระศาสดาไปสู่สาวัตถี

    ฝ่ายภิกษุจำนวนมากผู้จำพรรษาอยู่ในทิศต่างๆ เมื่อออกพรรษาแล้ว ต้องการได้เฝ้าและฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ จึงไปหาพระอานนท์ วอนขอว่า "ท่านผู้เจริญู นานนักหนาแล้วที่ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมจากพระศาสดา ขอท่านได้โปรดให้พวกข้าพเจ้าไดัฟังธรรมจากพระพุทธองค์อีกเถิด"

    พระอานนท์พาภิกษุเหล่านั้นไปเฝ้าพระศาสดา ณ ป่ารักขิตวัน เมื่อไปถึงชายป่า ท่านคิดว่าการนำภิกษุทั้งหมดเข้าเฝ้ายังไม่สมควรก่อนควรให้ภิกษุเหล่านั้นพักรออยู่ภายนอก ส่วนตัวท่านเองเข้าไปรูปเดียวก่อน นี่เป็นความรอบคอบของพระอานนท์ คิดดังนี้แล้วจึงเข้าไปเฝ้าเพียงรูปเดียว

    ช้างปาลิเลยยกะเห็นพระอานนท์มาแต่ไกล จับท่อนไม้ได้วิ่งไปเพื่อไล่พระอานนท์ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสว่า

    "ปาลิเลยยกะ! หลีกไปก่อน อย่าห้ามภิกษุนั้น เธอเป็นอุปัฏฐากของเรา"

    ช้างรู้เช่นนั้นจึงรีบทิ้งท่อนไม้ แล้วแสดงอาการเอื้อเฟื้อในการรับบาตรเเละจีวร แต่พระอานนท์ไม่ยอมให้ ช้างยืนมองดูอยู่ คิดว่า

    "ถ้าภิกษุรูปนี้ เป็นผู้มีวัตรจริยามารยาทดี จะต้องไม่วางบริขารของตนไว้บนแผ่นศิลาอันเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาค"

    พระอานนท์ได้วางบาตรและจีวรของตนไว้ที่พึ้น ช้างได้เห็นดังนั้น มีจิตเลื่อมใส จริงอยู่ศิษย์ผู้มีมรรยาทดี ย่อมไม่วางเครื่องใช้ของตนไว้บนที่นั่งที่นอนของครู

    พระอานนท์ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่อันควรแก่ตนแห่งหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามว่า
    "อานนท์! เธอมาเพียงผู้เดียวหรือ?"
    "มีภิกษุมาด้วยเป็นอันมาก พระเจ้าข้า"
    "เธอเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?"
    "ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทราบน้ำพระทัยของพระองค์ จึงพักภิกษุเหล่านั้นไว้ภายนอกก่อน พระเจ้าข้า"
    "ไปนำมาเถิด"
    พระอานนท์ นำภิกษุเหล่านั้นเข้าเฝ้า พระศาสดาทรงปฏิสันถารกับเธอทั้งหลายด้วยพระอัธยาศัยอันนุ่มนวล ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
    "พระเจัาข้า ! พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นพระพุทธเจ้าอันสุขุม (ละเอียดอ่อน) ทรงเป็นกษัตริย์อันสุขุม พระองค์เสด็จอยู่พระองค์เดียวตลอดไตรมาส ชื่อว่ากระทำกิจอันทำได้โดยยาก ผู้ปฎิบัติพระองค์ คงมิได้มี ณ ที่นี้"
    พระศาสดาตรัสว่า
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ช้างปาลิเลยยกะ ได้ทำกิจทั้งปวงอันควรทำแก่เรา การอยู่ร่วมกับสหายเห็นปานนี้สมควรแท้ หากไม่ได้สหายอย่างนี้ การเที่ยวไปผู้เดียว อยู่ผู้เดียวเป็นสิ่งประเสริฐกว่า"
    ดังนี้แล้ว ตรัสพระพุทธพจน์ดังนี้
    "ถ้าบุคคลได้สหายผู้มีปัญญูา มีคุณธรรม มุ่งประโยชน์อันดี ไว้เป็นมิตรสำหรับไป-มาด้วยกันไซร้ ก็ควรมีใจยินดี มีสติ ตั้งใจบำบัดอันตรายแก่สหายนั้น ถัาไม่ไดัสหายเช่นนั้นก็ควรเที่ยวไปคนเดียว เหมือนพระราชาทรงสละราชบัลลังก์เที่ยวไปผู้เดียว หรือเหมือนช้างชื่อมาตังคะเที่ยวไปแต่ผู้เดียวในป่า การเที่ยวไปผู้เดียวนั้นประเสริฐกว่า เพราะความเป็นสหายไม่มีในคนพาล เมื่อไม่ได้สหายที่มีปัญญาคุ้มครองตน ก็ควรเที่ยวไปแต่ผู้เดียวและไม่ควรทำบาปทั้งหลาย"

    เมื่อพระศาสดาตรัสจบ ภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้สำเร็จพระอรหัตตผล

    พระอานนท์ทูลสาส์นที่ตระกูลใหญ่ ๆ มีท่านอนาถปิณฑิกะเป็นต้น ส่งมาส่งมาทูลเชิญเสด็จพระศาสดาสู่นครสาวัตถีพระศาสดาตรัสกับพระอานนท์"ถ้าอย่างนั้นเธอจงรับบาตรและจีวรไป" ดังนี้แล้วเสด็จออกไป ช้างปาลิเลยยกะได้ยืนขวางทางไว้ ภิกษุทั้งหลายได้เห็นแล้วทูลถามพระพุทธองค์ว่า ทำไมช้างจึงยืนขวางทาง พระศาสดาตรัสตอบว่า "ช้างมีความ ประสงค์จะถวายอาหาร ช้างนี้มีอุปการะต่อเรามานาน การทำให้จิตใจของเขาขัดเคือง ไม่ควรเลย ภิกษุทั้งหลายพวกเราอย่าเพิ่งไปเลย กลับกันก่อนเถิด" ดังนี้แล้ว พระศาสดาได้พาภิกษุทั้งหลายกลับมาประทับที่เดิม

    ฝ่ายช้างปาลิเลยยกะรีบเข้าไปในป่า รวบรวมผลไม้ต่าง ๆ มีผลขนุนและกล้วยเป็นต้นมากองไว้ วันรุ่งขึ้นพระศาสดาได้เสวยและภิกษุทั้งหลายได้ฉันผลไม้เหล่านั้น แต่ฉันไม่หมด เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระศาสดาทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เองเสด็จออกไปก่อน ช้างได้ติดตามไปและยืนขวางพระพักตรไว้ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถาม พระศาสดาตรัสว่า ช้างประสงค์จะให้พวกเธอทั้งหลายกลับไป แต่จะให้พระองค์เสด็จกลับ

    พระศาสดาตรัสกับพญาช้างปาลิเลยยกะ ว่า "ปาลิเลยยกะเอย ในอัตตภาพนี้ เธอเป็นดิรัจฉาน ไม่อาจบรรลุฌานหรือวิปัสสนา หรือมรรคผลได้ เจ้าจงอยู่ที่นี่เถิด อย่าติดตามไปเลย"

    ช้างฟังแล้วเอางวงเข้าปากร้องไห้ และติดตามไปเบื้องหลัง ยังมีความประสงค์จะอัญเชิญพระศาสดาให้เสด็จกลับ

    เมื่อเสด็จถึงเขตบ้านปาลิเลยยกะ พระศาสดาผินพระพักตร์มาตรัสกับซ้างว่า
    "ปาลิเลยยกะ! ต่อไปนี้เป็นแดนของมนุษย์ มิใช่ถิ่นของเจ้า มีภัยอยู่รอบด้านสำหรับเจ้า จงหยุดอยู่เพียงแค่นี้เถิด อย่าเดินต่อไปอีกเลย" ช้างไม่อาจติดตามไปอีกได้ ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น ยืนมองดูพระศาสดา พอพระองค์ลับคลองจักษุไป ใจของช้างก็แตกด้วยอำนาจแห่งความรัก

    ช้างปาลิเลยยกะ นั้นสิ้นชีพแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเทพบุตรชื่อปาลิเลยยกะ

    ฝ่ายภิกษุชาวเมืองโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า บัดนี้พระศาสดาเสด็จถึงเมืองสาวัตถีเเลัวได้พากันไปยังสาวัตถีเพื่อขอให้พระศาสดาประทานอภัย

    พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทราบว่า พวกภิกษุชาวโกสัมพีมา จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจัา ทูลว่าจะไม่ยอมให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าเมือง ฝ่ายอนาถปิณฑิกะเศรษฐีก็เหมือนกัน กราบทูลพระศาสดาว่า จะไม่ยอมใหัภิกษุเหล่านั้นเข้าวัดเชตวันของตน แต่พระศาสดาทรงชี้แจงว่า ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มีศีล แต่ไม่เชื่อคำของพระองค์ เพราะการทะเลาะกัน บัดนี้ภิกษุเหล่านั้นชวนกันมาเพื่อขอขมาพระองค์ ขอให้พวกเธอมาเถิด

    เมื่อภิกษุเหล่านั้นถึงสาวัตถีแล้ว พระศาสดารับสั่งให้จัดเสนาสนะแห่งหนึ่งเป็นที่สงัดให้เป็นที่อยู่ของพวกเธอ ไม่ให้ภิกษุเหล่าอื่นปะปนอยู่

    ในการประชุมก็ทรงให้ภิกษุชาวโกสัมพีรวมอยู่ด้วยกันที่หนึ่ง ประชาชนที่มาประชุมกันก็ถามพระศาสดาว่า พวกไหนคือภิกษุชาวโกสัมพี พระศาสดาตรัสชี้ให้ดูว่า "พวกนั้นๆ" ใครมาก็ถามจนภิกษุพวกนั้นละอาย นั่งก้มหน้านิ่งไม่อาจเงยหน้าได้ ฟุบลงแทบพระบาทแห่งพระผู้มีพระภาคทูลขอขมา

    พระศาสดา ทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายทำกรรมหนักเสียแล้ว เธอทั้งหลายบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าเช่นเรา เมื่อเราสมานสามัคคี เธอทั้งหลายก็หาทำตามไม่ ส่วนบัณฑิตในกาลก่อนสดับโอวาทของมารดาผู้ต้องถูกประหารชีวิตแล้ว มิไดัขัดขืนโอวาทของมารดาบิดา ปฏิบัติตามโอวาทของท่าน ภายหลังได้ประสบโชคดี ได้ครองแคว้นถึง ๒ เเคว้นคือกาสีและโกศล" ดังนี้แล้ว ตรัสฑีฆาวุกุมารชาดก และตรัสต่อไปว่า
    "คนพวกอื่น ไม่รู้ดอกว่า เราทั้งหลายย่อยยับอยู่ (เพราะการทะเลาะวิวาท) ส่วนพวกใดรู้ เห็นโทษของการทะเลาะวิวาท ความหมายมั่นซึ่งกันและกันย่อมระงับลง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2010
  7. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ...พ่อหลวง(พ่อของแผ่นดิน)ของเราชาวไทย...ท่านเป็นพระโพธิสัตว์...ระดับ...''นิตยโพธิสัตว์''ตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ให้รู้ไว้ว่าเราได้เกิดใต้ร่มโพธิ์...พระพุทธเจ้าในอนาคต...เป็นบุญของเราชาวไทยที่ควรเคารพและเทิดทูนท่านด้วยหัวใจที่บริสุทธ์...สมที่ได้เป็นลูกของ...พ่อหลวง...พ่อพระของเราชาวไทย... ....สวัสดีครับ
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,168
    กระทู้เรื่องเด่น:
    20
    ค่าพลัง:
    +29,715
    แม้บางคนอาจได้ทราบด้วยวิถีจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว หรือ บุคคลผู้เชือถือในคุณธรรมได้บอกไว้ว่า......


    ตนไม่ได้เป็นทหาร ผู้ใกล้ชิด ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆนานา

    ไม่ได้เป็นข้ารองพระบาทอย่างใกล้ชิด

    ไม่ได้แม้จะเคยเห็นองค์พระนเรศ ในกาลนั้น

    ....แต่หากแม้นตัวท่านเอง
    จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
    ที่ปกติไม่ได้เบียดเบียนใคร
    ...หรือ เป็นเพียงข้าราชบริพาร ที่ห่างไกล รับหน้าที่อย่างลำบากในแดนไกล
    แต่ยามแผ่นดินถูกรุกราน บ้านเมืองเดือดร้อน
    ท่านไม่ได้เป็นไส้ศึก ไม่ได้ร่วมมือกันทำลายบ้านเมือง
    แต่ยอมสละสุขส่วนตัว ออกรบร่วมกับพี่น้องชาวสยาม ปกป้องแผ่นดิน

    ...นั่น คือเกียรติอย่างยิ่ง ในฐานะข้าแผ่นดิน




    ตรงกันข้าม

    หากท่าน เคยเกิดใกล้ชิด แต่...

    กลับทำตัว เป็นไส้ศึก
    สยบยอม แก่คนชั่วที่มุ่งทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์

    เป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองแผ่นดิน...


    ( เจ้าชีวิตที่ทรงคุณธรรม กับ ไม่มีคุณธรรม , แผ่นดินบ้านเกิด และ แผ่นดินที่รุกราน )
    เป็นผู้ลุ่มหลงมัวเมาในตำแหน่ง อำนาจ ยศศักดิ์
    จนลืมยึดถือความมั่นคงของแผ่นดินมาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

    มัวแต่แก่งแย่งชิงดี จนลืมความสามัคคี และ การร่วมมือร่วมใจกัน
    สนองพระราชดำริ พระราชโองการ

    มัวแต่หลงระเริงกับภาพเก่าๆ จนลืมฐานะของท่านในปัจจุบันที่มีต่อทิศทั้งหก


    ท่าน..จะมีค่าน้อยกว่า ชาวบ้านที่สละชีพตนเพื่อรักษาแผ่นดิน

    มีค่าน้อยกว่า...สามัญชน คนธรรมดา ที่สำนึกในคุณของชาติ ศาสน์ กษัตริย์
    พยายามทำดีทุกอย่าง ในฐานะประชาชนพลเมืองที่ดี ในภพชาติปัจจุบัน
    สามัญชนคนธรรมดา ที่พยายามทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย ที่ควรทำ
    และ ไม่ลืม ที่จะอุทิศถวายความดี กุศลผลบุญ แก่ เหล่าบรรพชนทุกท่านผู้มีคุณต่อแผ่นดิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มิถุนายน 2010
  9. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    สวัสดีครับๆๆๆๆสหายๆๆๆทั้งหลาย
    ผมก็ได้มีส่วนร่วมในงานบุญเปิดสามแดนโลกธาตุด้วยกับท่านพี่ชานนคนไทย ท่านวิสุทธิ์ ท่าน ญ ผะอบ และอีกหลายๆๆท่าน เลยขอนำรูปหลวงตามาฝากทุกท่านครับ
    IMGP1835.JPG

    IMGP1834.JPG

    IMGP1836.JPG
     
  10. นารถะสุญญตา

    นารถะสุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +676
    ช่วงวันหยุดนี้ก็ได้ไปทำบุญไหว้พระ และบังเอิญได้ห่มผ้าพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยได้ห่มมา เพราะไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก แต่พอเห็นพระนอนแล้วก็รู้สึกอยากห่มผ้าให้ท่าน ก็เลยไปถามคนขายดอกไม้บริเวณนั้นว่าอยากห่มผ้าพระนอนต้องใช้ผ้ายาวเท่าไรถึงจะห่มท่านได้ คิดว่าไว้วันหน้าจะมาห่มผ้าท่าน แต่ก็เป็นเรื่องบังเอิญที่คนขายดอกไม้และไวทยากรของวัดพูดถูกป่าวจำไม่ได้ว่าเรียกแบบนี้ป่าว (อย่างงัยก็ขออภัยท่านผู้อ่านทุกคนท่านด้วยนะขอรับ) อยู่บริเวณนั้นด้วยบอกว่าเขามีผ้าอยู่ผืนหนึ่งถ้าอยากห่มเขาจะนำมาให้ ก็เลยถามราคาผ้ากับเขา เขาก็บอกแล้วแต่จิตศรัทธาครับถวายให้วัดไปเลย เอาซิครับถ้าเป็นบางที่เขาคงเรียกราคาแล้วหล่ะว่าเท่านั้นเท่านี้ แต่ที่นี่กลับไม่เรียกเงินเลย แล้วแต่เราจะถวายวัด ยิ่งเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกปิติยิ่งนัก ก็เลยนำมาให้เพื่อนๆๆในกระทู้นี้ได้ร่วมอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ทุกคนขอรับ...
    IMGP2057.JPG

    IMGP2051.JPG

    IMGP2054.JPG

    IMGP2056.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2010
  11. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
    รูปไม่ขึ้นอะ..โพสใหม่ได้ป่าว อยากดูมั่ง
     
  12. visut_p

    visut_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ไม่รู้คุณนารถฯแกมามุขไหนนะเนี่ย ลิ้น 2 แฉกยังไม่พอ ยังซ้ำด้วย full option 5 หัวอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น... สาวๆ ในกระทู้ต้องระวังตัวให้ดีๆ (ล้อเล่นน้าาาาาา.......)
     
  13. visut_p

    visut_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ไม่รู้ว่ารูปเดียวกันรึเปล่า แต่ผมได้จาก fwd mail


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  14. อบ.

    อบ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,538
    [​IMG]
     
  15. อบ.

    อบ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +1,538
    [​IMG]

    มีจริงๆ เหรอ .. น่ากัวอะ ..
     
  16. Unique_Angel

    Unique_Angel ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +6,546
    in valid attach นะยั่วให้อยากดูแล้วก็จากไป -_-"
     
  17. pichayapasit

    pichayapasit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +28
    มาใหม่ครับ... ผมอยากรู้เหมือนกันว่า ผมเป็นใคร...?
    จะเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่ให้มารายงานตัวหรือเปล่า

    ถึงยังงัยก็ช่าง ผมก็ยังจำตอนเป็นลูกนเรศวร
    ตอนเรียนมัธยมต้นได้ เพราะผมชอบไปนั่งในศาล
    ของพระองค์ท่าน มันร่มเย็น สงบ และสบายใจดี

    ศิษย์เก่า พิษณุโลกพิทยาคม ปีรหัส19175
     
  18. visut_p

    visut_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,763
    ผมไม่ชอบรูปนี้เลยอะพี่อบ เอาพระพุทธเจ้ามาทำท่าเด็ดดอกบัวได้ยังไง ผิดศีลนะเนี่ย
     
  19. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    ดูให้ดีว่าไม่ได้เด็ด พระพุทธองค์กำลังตรัสสอนเรื่องบัวสี่เหล่าครับ
     
  20. Unique_Angel

    Unique_Angel ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +6,546
    ยังไม่ได้เด็ดนะวิสุทธิ์ ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...