รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ผมอ่านที่พี่ชัดพิมแล้วก็สงสัยเลยครับ
    ที่ผมเคยสัมผัสถึงนิพพานผมไม่เคยเห็นนิพพานแม้ว่าจะในตา หรือให้จิต หากแต่คงอารมณ์ในสภาวะของนิพพาน ในอารมณ์หรือในสัมผัสเสียมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องพุทธภูมิ หรือสาวกภูมินี่ไหมครับ<!-- google_ad_section_end -->

    เพราะว่าอารมณ์มัน ยังเลือกไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าจะเอาแบบไหน

    เอางี้ไหมครับ ตอนนี้ลุยแบบพุทธภูมิไปก่อน

    เพราะยิ่งเราฝึกแบบพุทธภูมิมากๆ ช่วยคนเยอะๆ ฝึกกรรมฐานให้ครบทุกกอง

    พอเวลาเราตั้งใจจะลาขึ้นมา มันจะตัดกิเลส ได้รวดเร็วมาก เพราะบารมีมันเกินจากความเป็นสาวกภูมิ

    และพอเราสร้างบารมีไปเรื่อยๆ เราก็จะทราบเองครับ ว่าควรจะลุยหรือลาต่อ

    อย่างหลวงพ่อฤาษีท่านก็ตั้งใจเป็นพุทธภูมิ แล้วท่านก็บำเพ็ญแบบพุทธภูมิไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง เป็นวาระที่ท่านจะต้องลา เพื่อช่วยสืบอายุพระศาสนา

    ท่านจึงค่อยตัดสินใจว่าจะลาพุทธภูมิ

    ท่านไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่ต้นว่า จะลาหรือไม่ลา

    แต่ท่านลา ตามเหตุ ปัจจัย วาระ และพุทธประสงค์

    ตอนแรก ผมลาพุทธภูมิ ไปแล้วเกิน30ครั้ง

    ลาแบบจริงๆจังๆด้วย

    สุดท้าย ลาไม่ขาด ลาได้วันสองวัน ก็อยากช่วยคนอีก

    ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ลาพุทธภูมิแล้ว

    เราไม่ได้ บำเพ็ญบารมีเพื่อตัวเองอีกต่อไป

    เพราะถ้าเราจะทำเพื่อตัวเราเอง เราพอแล้ว เราไม่เอาแล้ว เราไม่ทำแล้ว

    ขี้เกียจเกิด เบื่อการเกิด

    แต่ที่เรายังทำ ยังลุยต่อ เราทำเพื่อผู้อื่นโดยส่วนเดียว ทำเพื่อให้ผู้อื่นเข้าถึงซึ่งความดี ทำเพื่อทดแทนคุณพระศาสดา

    ที่เราลุยต่อเนี่ย เป็นกำลังใจเพื่อสาธารณประโยชน์โดยส่วนเดียว

    แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น เราก็ทำไปเรื่อยๆ

    เราไม่ได้ทำเพื่อพระโพธิญาณอีกต่อไป

    แต่เราทำเพื่อ การเข้าถึงซึ่งพระนิพพานของผู้อื่น ตามกำลังความสามารถที่มี

    ให้เขาเข้าพระนิพพานได้โดยเร็วในชาตินี้ ชาติหน้า ไม่จำเป็นต้องมารอเข้ายุคของเรา ไม่รุ้อีกกี่ล้านล้านล้านปีข้างหน้า

    พอเราตั้งใจจะช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งใจจะทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

    ถ้าเราเป็นพุทธภูมิ มันจะรู้สึกว่า เราตื่นขึ้น สู่ความเป็นพุทธภูมิอย่างแท้จริง

    พอเราตื่น ญาณทัศนะ กรรมฐาน มันจะกลับมารวมตัวเอง

    เมื่อนั้น ก็จะเห็นพระนิพพานได้ สัมผัสอารมณืได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

    แต่ค่อยๆทำไป เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆบ่มเพาะ ขัดเกลา อยู่เสมอๆ

    เร่งรัดไม่ได้

    ถ้าเราคิดว่าพอละ ช่วยคนพอแล้วเมื่อไหร่ ก็ค่อยลาเมื่อนั้น

    หากเราจะลาเราก็ต้องลาต่อหน้าพระพุทธเจ้า

    และต้องอธิษฐานว่า ขอนำบารมีทั้งหมดที่เราได้ทำมา มาสืบอายุพระศาสนาของพระพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบัน ให้เจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทะกาลอีกครั้ง

    และสุดท้ายคือ ต้องอธิษฐาน ขอนำสาวกทั้งหมดที่ติดตามเรามา

    ไปฝากเอาไว้กับพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ในอนาคต

    ขอฝากกับพระศรีอริยเมตตรัยก็ได้ พระรามเจ้าก็ได้ พระอนาคตวงศ์ก็ได้

    พอเราฝากคนที่ติดตามเรามาเสร็จ จึงจะเป็นการลาโดยสมบูรณ์

    แม้จะลาได้ แต่ความเป็นพุทธภูมิจะขาดจริงๆ ก็ต่อเมื่อเป็นพระอริยเจ้า

    หากยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ก็พร้อมจะกลับมาเป็นพุทธภูมิทุกเมื่อ

    ลุยไปเถอะครับ อีก20-30ปีค่อยคิดว่าจะลาหรือไม่ลา

    ถ้าตายเมื่อไหร่ อย่างน้อย เราไปสวรรค์ ขั้นกลางก็ พรหม สูงสุดก็พระนิพพาน

    จะไปลาบนสวรรค์ ลาบนชั้นพรหมก็ได้ ลาง่ายกว่าลาตอนเป็นมนุษย์ด้วย


    ขอให้มีความแน่วแน่ ในการเลือกทางเดินของตัวเราเอง ยิ่งช่วยคนมากก็ยิ่งใกล้พระนิพพานมาก

    เราก็ตั้งใจเอาไว้แบบนี้ เดี้ยวญาณทัศนะต่างๆ จะรวมตัว จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เอง

    แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่างไปเร่งรัด ทำไปเรื่อยๆ ด้วยใจสบายๆดีที่สุดแล้ว

    ขอให้ตื่นขึ้นสู่คำอธิษฐานเดิมแท้ ได้โดยฉับพลันทันใด ได้ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ ธนกร ว ครับ

    ผมทำสมาธิแล้ว อีกวัน จะเวียนหัว ตาลาย รู้สึกเบลอๆ ก็เลยไม่ค่อยกล้าทำสมาธิเท่าไหร่ อาการนี้คืออะไร และควรจะทำอย่างไรต่อครับ ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยตอบด้วย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ???<!-- google_ad_section_end -->

    อารมณ์หนักไปครับ

    เวลาทำสมาธิ เครียดไป ตั้งใจมากไป หรือเกร็ง ฝืนร่างกายมากเกินไป

    ลองสังเกตตัวเองดูครับ ว่าทำสมาธิแล้วมัน อึดอัด หายใจไม่ออก ปวดศรีษะไหม

    เหล่านี้คืออาการ ของอารมณ์หนักครับ

    วิธีแก้ก็คือ

    ทำใจให้สบาย ทำร่างกายให้สบาย

    การทำสมาธิ คือ การฝึก...

    จิต

    ไม่ใช่ฝึกร่างกาย เราไม่ต้องฝึกไม่ต้องฝืนร่างกาย

    มันเมื่อยก็นั่งเก้าอี้ โซฟา นอน

    เราฝึกใจ ให้เข้าถึงซึ่งความสงบ

    เราไม่ได้บีบบังคับใจให้สงบให้นิ่ง

    แต่เราผ่อนคลายใจ ทำใจให้สบาย จนกระทั่งจิตนิ่ง จิตหยุดจากความคิด

    จิตนิ่งเพราะว่า จิต...

    สบาย

    จิตไม่ได้นิ่งเพราะ เราเกร็ง บีบ บังคับ ให้นิ่ง

    ดังนั้นสิ่งที่เราทำ

    อันดับแรกหาอิริยาบถที่สบาย

    นั่งเก้าอี้ นั่งพิงกำแพง นั่งพิงโซฟา นอนไปเลยก็ได้

    สอง เราผ่อนคลาย ความรู้สึกทางร่างกายทั้งหมด

    เราไล่คลายความรู้สึก ไล่ลงไปตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ อก แขน มือ นิ้ว ท้อง ขา เท้า นิ้วเท้า

    ไล่คลาย ความรู้สึก ผ่อนความรู้สึก ให้รู้สึกสบาย เบา คลาย ยืด จากอาการตึง

    พอร่างกายผ่อยนคลาย ร่างกายพักผ่อน

    เราไม่สนใจ ไม่รับรู้ในร่างกายแล้ว

    เราวางความรู้สึกในร่างกายให้หมด

    พอเราวางกายหมด ก็เหลือแต่จิตใจ

    เราก็มาจับลมหายใจ หรือจะจับในอารมณ์ที่ เบา สบาย ผ่อนคลายก็ได้

    เราก็ประคองใจให้เบา ให้สบาย ให้ผ่อนคลายไปเรื่อยๆ

    นี่แหละคือสมาธิ ทำแค่นี้แหละครับ

    ไม่ต้องไปบีบบังคับ ไปเกร็ง ไปฝืน ไปทนเมื่อย ทนเจ็บ ไปทำอะไรให้มันยาก

    เราผ่อนคลาย จนจิตสบาย พอจิตสบาย จิตก็หยุดคิด

    หยุดนิ่ง ปราศจากความคิด มีแต่อาการที่นิ่งหยุด ประคองอยู่ในความสบาย

    จิตที่หยุดนิ่ง ตั้งมั่นในความสบายนี้ คือ อารมณ์ของสมาธิ

    ทำแค่นี้ก็เป็นสมาธิแล้วครับ

    รวมแล้วอยุ่ที่ ทำกายให้สบาย ให้ผ่อนคลาย

    พอกายผ่อนคลาย ก็มาทำจิตให้ผ่อนคลาย ให้สบาย

    เราตั้งใจว่า เราฝึกเพื่อทำใจให้สบาย ทำใจให้ยิ้ม ให้มีความสุข

    ถ้าวันนี้ใจเราสบาย ถือว่าเราฝึกแล้วเกิดผล

    ถ้าใจเราหนักใจมันเครียด ถือว่าไม่เกิดผล

    ไม่ต้องคิดเลยว่าจะทำจิตให้นิ่ง จะเข้าฌาณนั้นฌาณนี้

    คิดไว้อย่างเดียว จะทำใจให้สบาย ให้หยุดพัก ให้เบา

    ขอให้ลองปรับอารมณ์ที่ใช้ในการทำสมาธิ และเข้าถึงซึ่งสภาวะที่มีความเบา สบาย สุข ชุ่มเย็น หยุดนิ่ง ตั้งมั่น ของสมาธิ

    ได้โดยเร็วไว ได้โดยฉับพลันทันใด

    ได้ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  3. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอบคุณครับ ผมคงลุยแบบพุทธภูมิต่อไปเรื่อยๆแหล่ะครับยังอยากที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่ ให้ได้พ้นทุกข์พ้นภัยกันเสียที
     
  4. ธนกร ว

    ธนกร ว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณครับ
     
  5. chayapin

    chayapin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,115
    ขอรบกวนถาม สภาวะธรรมขณะปฏิบัติ ค่ะ หลายวันที่ผ่านมานั่งสมาธิแล้วจิดเข้าภวังค์ ค่ะ แต่ไม่ได้สัปงกนะคะ รู้ถึงสภาวะว่าขณะนั้นสมาธินิ่งและเบา และไม่ได้ดูลมหายใจด้วยค่ะ
    อยากขอให้อาจารย์ชัด แนะนำวิธีแก้ไขนะค่ะ

    ขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
     
  6. manussanun

    manussanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +202
    ผมได้ลองไปฝึกเพ่งกสินสีที่วัดยานนาวามา
    นิมิตขึ้นมาแล้วก็สลายไปเร็วมากเลยครับ
    ระหว่างฝึกพอรู้สึกหนักๆ ก็คิดถึงที่พี่บอกว่าอารมณ์หนักไป
    ก็พยายามผ่อนคลายไม่รีบมันจะเกิดหรือสลายก็ช่างมัน
    การฝึกก็ดีขึ้นเล็กน้อย


    ขอถามพี่สักหน่อยครับ ถ้าผมไปฝึกกสินสีแดงมา(ครั้งแรก)
    ผมจะเปลี่ยนไปฝึกอาโปกสินนี่จะดีไหมครับ กลัวจะสับสน
    จำได้ว่า หลวงพ่อฤาษีบอกว่าฝึกหลายอย่างมันจะไม่ก้าวหน้า - -'
    คือถ้าผมอยากจะเปลี่ยนมาฝึกกสินน้ำ เปลี่ยนเลยได้ใช่ไหมครับ
    ผมเพิ่งเคยฝึกกสิน จะทำอะไรก็เลยอยากถามคนที่ฝึกมาแล้ว
    จะได้ไม่ไปทำอะไรให้ผิดจากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาน่ะครับ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ chayapin ครับ

    ขอรบกวนถาม สภาวะธรรมขณะปฏิบัติ ค่ะ หลายวันที่ผ่านมานั่งสมาธิแล้วจิดเข้าภวังค์ ค่ะ แต่ไม่ได้สัปงกนะคะ รู้ถึงสภาวะว่าขณะนั้นสมาธินิ่งและเบา และไม่ได้ดูลมหายใจด้วยค่ะ
    อยากขอให้อาจารย์ชัด แนะนำวิธีแก้ไขนะค่ะ

    ขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    เรื่องทางโลกต้องวางครับ

    ความสว่างลดลง เพราะเรามีความกังวล กับเครียดลึกๆ

    จิตมันไม่สบาย ไม่เบา ไม่วาง จากภาระ

    สมาธิมันก็จะมีความหนักครับ

    สภาวะตามที่อธิบายมา โอเคแล้วครับ

    รักษาสภาวะจิต ประคองให้ได้แบบนี้ อยู่เสมอๆ

    แต่วิสัยของคุณไม่ควรจับของหนัก ของที่ใช้เวลา

    เพราะมันไม่ค่อยมีเวลาให้จับ

    ให้จับ อะไรง่ายๆ

    ผมแนะนำว่า เวลาจะทำสมาธิ

    ให้ทรงภาพพระพุทธเจ้า เห็นพระองค์แย้มยิ้ม

    เราทำความรู้สึก ระลึกรู้ และน้อมจิตว่า "พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระบิดาของเรา เราเป็นลูกของพระองค์"

    เวลากราบพระ เราต้องทำความรู้สึกเหมือนกราบบิดาของเรา และให้ยิ่งกว่านั้นทุกๆครั้ง

    เราเห็นพระองค์ยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มตามพระองค์

    ยิ้มจากจิต จากใจ ไปจนกว่าจะมีรอยยิ้มเต็มหัวใจ เต็มใบหน้าของเรา

    หลับตานึกถึงภาพพระยิ้ม แล้วก็ยิ้มตามท่าน ทำแบบนี้นะครับ

    แล้วเราก็มาพิจารณาต่อแบบนี้

    วันนี้เรามีศีล 5 ครบบริบูรณ์ไหม

    ศีล5ของเราเกิดจากเมตตาไหม

    ให้เราแผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ เจริญเมตตา จนเรารู้สึกว่าเราทำร้าย เราละเมิดศีลข้อใด กับผู้ใดไม่ลง

    พอจิตของเราอิ่มด้วยเมตตา อิ่มด้วยศีล5แล้ว

    ก็ให้เราพิจารณา ตัวตัดเข้าพระนิพพานเลย

    เอาง่ายๆ เราดูชีวิตของเราณขณะนี้ เรามีความสุขไหม

    มีความทุกข์ ความกังวลไหม มีภาระทางครอบครัวแล้วมันทุกข์ไหม

    มีความเครียด จากปัจจัยใหญ่ๆภายนอก แล้วมันทุกข์ไหม

    ทุกข์ใช่ไหม

    ถามตัวเองประโยคเดียว "จะเกิดมาเจอทุกข์แบบนี้ และหนักกว่านี้อีกไหม?"

    ไม่เอาแล้วนะ เราไม่อยากเกิดแล้ว

    แล้วจะต้องทำยังไง

    เราเคารพพระพุทธเจ้า เรารักพระพุทธเจ้าสุดหัวใจไหม

    เราเชื่อว่าพระองค์ช่วยเราได้จริงไหม

    อธิษฐานแบบนี้เอาไว้ทุกวัน

    "ข้าพเจ้ามีความเคารพ ความนอบน้อม ความศรัทธา ในพระพุทธองค์ อย่างสุดหัวใจ

    ลูกปรารถนาที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริง

    ตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

    ขึ้นเชื่อว่าความเกิด อันทุกข์เข็ญแบบนี้จะไม่มีอีกต่อไป

    ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเท่านั้น"

    ภาระหน้าที่ ที่หนักแบบนี้ เราแบกแค่ชาตินี้ ชาติหน้าเราไม่เอาแล้ว

    ขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    แต่ว่าขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราย่อมหลีกหนีความทุกข์ไม่ได้

    ให้พิจารณาว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา

    ธรรมดายังไง

    ทุกคนเขาก็ทุกข์แบบเรา หรืออาจจะหนักกว่าเรา

    บางคนมีลูกเยอะ แต่ตัวเองก็ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้

    บางคนมีลูก แต่ก็ไม่ได้ดั่งใจ

    บางคน รวยมีเงิน แต่ทุกข์เพราะอยากมีลูก แต่มีไม่ได้

    ความทุกข์ มันเต็มโลก ทุกๆคน ทุกข์คนละเรื่อง แต่ทุกข์เหมือนกัน

    ความทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดา ความไม่ได้ดั่งใจมันเป็นเรื่องธรรมดา ในโลกนี้

    เพราะอะไร เพราะถ้าทุกอย่างมันได้ดั่งใจเราปรารถนาทั้งหมด

    เราจะไปพระนิพพานทำไม

    ที่เราไปก็เพราะโลกนี้ มันขัดข้อง มันมีความไม่พอ ไม่อิ่ม ไม่เต็มเป็นเรื่องธรรมดา

    แต่เรื่องของโลก มันไม่ใช่เรื่องของเรานะ

    เรื่องของเราจริงๆ มีแค่ ตายแล้วเราจะไปไหน

    ตายแล้วจะลงอบายภูมิ หรือจะไปสุขคติภูมิ

    จะไปนรก สวรรค์ พรหม หรือพระนิพพาน

    เรื่องจริงๆ ภาระจริงๆ ที่ใหญ่ที่สุดของเรา มีแค่นี้

    เพราะเรื่องทางโลกทั้งหมด ย่อมพังทลายเมื่อเราตาย

    ถ้าเราตายวันนี้เราจะไปไหน

    ถามตัวเองแค่นี้

    ตายแล้วเราขอไปพระนิพพานนะ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ตายแล้วลูกจะขอไปที่นั่น

    ที่อื่นไม่ไปนะ

    แล้วเราทรงภาพพระยิ้ม เห็นภาพพระองค์ยิ้มเอาไว้

    จนถึงลมหายใจสุดท้าย พร้อมตั้งใจไปพระนิพพาน

    ทำเท่านี้ก็พอ

    หลับตา แล้วเห็นภาพพระยิ้ม ใจเรายิ้มทุกวัน

    ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน

    ทำแค่นี้ตายแล้วถึงแน่นะ ถ้าไม่ถึงอย่างแย่สุดก็ไปสวรรค์ก็สบายกว่าเป็นมนุษย์หลายล้านเท่า

    ดีไหมครับ

    ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าดี ก็น้อมไปปฏิบัติดู ตราบจนลมหายใจสุดท้าย

    ตั้งแต่วันนี้ความทุกข์จะเริ่มหมดไป ใจเราจะเริ่มวางได้


    ขอให้มีความแน่วแน่ในการปรารถนาพระนิพพาน
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริงในชาติปัจจุบันนี้
    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  8. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    ฌานสมาบัติคือกำลังกาย วิปัสสนาเป็นอาวุธที่จะใช้ฟาดฟันกับแม่ทัพมารทั้งสาม

    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    "เท่าที่ผมทราบนะครับ คุณNICKAZ การทดสอบความเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมินั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเช่น อาจจะเป็นกรรมเก่า ที่ทำให้เขามาทดสอบเรา หรืออาจจะเป็น ขั้นตอนของเขาในการเข้าสู่ธรรมะ อ่ะครับ"

    ถ้าเป็นกรรมเก่า ผมก็ยอมรับอยู่นะครับ แล้วก็พยายามจะชดใช้ไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็จะพยายามหาทางไปให้ถึงแดนที่ผลของกรรมตามไปไม่ถึง เพราะตอนนี้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นั้น ผมหมดความสนใจแล้ว หวังไว้ในใจอยู่เพียงดินแดนเดียว ถ้าไปถึงได้ คงจะไม่เกินเลยไปที่จะพูดว่า ณ เวลานั้นคงจะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้พิชิตมัจจุราช" ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

    แต่ยังอีกนาน ตอนนี้มีกำลังแค่รูปภพ อรูปภพ ก็ยังเต็มกลืนแล้ว เรื่องแดนที่อยู่เหนือขึ้นไป ยังไม่ต้องพูดถึง


    ถึงคุณ Xorce ครับ

    ขอขอบคุณที่เจ้าของกระทู้ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจนะครับ

    "คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ ไม่งั้นเขาไม่มาทดสอบเยอะแบบนี้หรอกครับ"

    เราผ่าน ปีติ5 ฌาณ4 อรูป กสิณ อสุภะ จนถึงอารมณ์พระนิพพาน
    ก็จะครบหมดแล้ว

    ในอนาคต ถ้ามีวาระจะ คงจะได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไปครับ

    ผมยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยคิดพิจารณาสักทีนะครับว่า ผมเป็นวิสัยไหน พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ถ้าลองย้อนกลับไปดูในอดีต

    1.ผ่านปิติ 5 อันนี้เป็นของธรรมดาของสมถกรรมฐาน
    2.ฌาณ 4 นี้เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญา
    3.อรูป อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว ไม่ได้ตั้งใจ จิตเข้าไปของเขาเอง เข้าแล้ว ก็เข้าเลย เลยตามเลยครับ (อาจจะเป็นความมัน สะใจ ชอบใจส่วนตัวก็ได้)
    4.กสิณ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญาอยู่แล้ว เพราะมีความชอบ ฝังใจเป็นพิเศษกับเตโชกสิณอยู่ แล้วอันอื่นก็ตามมาเอง
    5.อสุภกรรมฐาน กายคติกรรมฐาน อันนี้ เห็นว่าบรรดาพระอรหันต์ทุกท่านล้วนต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ทั้งสิ้น ในฐานะที่เราต้องการยกระดับจิตใจของตัวเองตามแนวพระพุทธศาสนา เพื่อไปให้ถึงดินแดนที่ต้องการ ผมก็จำเป็นต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ไปให้ได้เช่นเดียวกัน
    6.อื่นๆ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติกรรมฐาน เทวตานุสติกรรมฐาน อาหาเรฯ จตุวัธฯ อันนี้มีอยู่ประจำใจอยู่แล้ว จิตเขาทบทวนของเขาเอง
    7.อารมณ์พระนิพพาน เป็นเรื่องปกติของมโนมยิทธิ ที่ไปกันเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเวลาใดสามารถละนิวรณ์จากจิตได้เป็นการชั่วคราวหรือฌานสมาบัติแนบแน่นจนจิตปลอดจากกิเลสเป็นการชั่วคราวในระหว่างทรงฌานอยู่นั้น

    ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมันเอง ไม่ได้ไปตั้งใจว่า เป็นพุทธภูมินะ ต้องจับ กรรมฐาน 40 อันนี้ไม่ใช่ครับ

    ถึงบอกว่า "คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ " อันนี้ยอมรับว่าไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ได้คิดอะไรครับ ทำไปเรื่อยๆ มาเรียงๆ มากกว่า

    ปัจจุบันจึงค่อนข้างจะสับสนกับตัวเองอยู่พอสมควร

    แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นสัญญาแต่เก่าก่อนล่ะก็ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าภพใด สมัยใด ในการท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ ที่เคยอธิษฐานไว้ในทำนองนี้บ้างหรือไม่?

    แต่ไม่เป็นไร เอาไว้ไปเรียนถามท่านครูบาอาจารย์เอาก็ได้ครับ

    อันนี้ผมขอทำตามที่เจ้าของกระทู้แนะนำนะครับว่า การทำสิ่งใด ขอให้พระท่านช่วย จะดีที่สุด ไม่ควรจะอาศัยพลกำลังของตัวเองเป็นอันขาด ตรงนี้ จำได้ และตระหนักอยู่ในใจเสมอครับ

    วันนี้ยังไม่มีอะไรจะเรียนถามท่านเจ้าของกระทู้เป็นการเพิ่มเติม มีก็แต่มาคุย แลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้นครับ

    อีกเล็กน้อย เรื่องไฟล์เสียงเกี่ยวกับอารมณ์พระนิพพานที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาเผยแพร่ อันนี้มีประโยชน์มากครับ ขอชื่นชมและขออนุโมทนาด้วยครับ ผมก็ได้อาศัยความอนุเคราะห์ไปหลายวาระเกี่ยวกับไฟล์เสียงต่างๆนี้ มีเรื่องขออนุญาตเสนออะไรบ้างได้ไหมครับ ขอให้ถือเสียว่าเป็นเสียงสะท้อนของผู้ฟังคนหนึ่งนะครับ

    เรื่องการสัมผัสความเย็นแห่งอารมณ์พระนิพพาน เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่อยากให้เจ้าของกระทู้เน้นในเรื่องวิปัสสนามากๆ (คือทำอย่างไรให้ตัดสังโยชน์สัก 3 ข้อก็พอ ให้เป็นการชั่วคราวให้ได้ จริงๆแล้ว ความเห็นของผมนะ สังโยชน์ 10 ตัวใหญ่สุดคือข้อ 1 ตัวเดียว ถ้าข้อ 1 ผ่านได้ ที่เหลือก็ไม่เป็นปัญหา)เพราะเรื่องอย่างนี้ ต้องอารมณ์วิปัสสนาถึงจริงๆ ถึงจะสัมผัสได้อย่างถูกต้อง ไม่มีอุปทานมาเจือปน อย่างที่ผมเคยเจอมาจนต้องมานั่งสับสนในตัวเองอยู่อย่างมากมายมาแล้ว (เจอมาอ่วมอรทัยเลยทีเดียวเชียว)

    อันนี้พูดถึงท่านที่ทรงฌานโลกีย์เท่านั้นนะครับ (อย่างผมเป็นต้น ปุถุชนฌานโลกีย์ แต่จิตก็ยังไต่อยู่ที่ขอบนรกตลอดเวลาถ้ามีการเผลอเรอ) แต่ไม่ได้กล่าวรวมไปถึงท่านที่ทรงมโนมยิทธิ เพราะท่านพวกนี้ ท่านไปแก้อารมณ์กันข้างบนโน่น สบายไปแล้วครับ

    แต่ถ้าเจ้าของกระทู้เห็นว่ามีความเหมาะสมแล้ว ก็ไม่เป็นไรครับ ถือเสียว่าผมขอแลกเปลี่ยนความเห็นและสะท้อนมาในฐานะผู้ฟังก็แล้วกัน

    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณในคำแนะนำอีกครั้ง ตอนนี้ขอเก็บตัวฝึกวิชาต่อไปก่อนครับ กำลังเปิดศึกกับแม่ทัพมารทั้งสามอยู่ ตอนนี้มีกำลังไม่พอที่จะไปท้าดวลกับแม่ทัพใหญ่โดยตรง ก็อาศัยสงครามกองโจรคอยเข้าตีพวกนายกอง พลตะเวนตัวเล็กๆของมารทั้งหลายไปพลางก่อน เป็นการลดทอนกำลังทัพใหญ่ของแม่ทัพกิเลสมารทั้งสามไปเรื่อยๆครับ เพื่อหาทางสู่ดินแดนที่มุ่งหวังต่อไป ระหว่างทางหากมีสิ่งใดติดขัด คงต้องมาขอความอนุเคราะห์อีกครั้งนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2010
  9. chayapin

    chayapin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,115
    ขอขอบคุณ ในการตอบข้อธรรม นะคะคุณ xorce
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    คำถามจากpm

    นึกว่าฌานเสื่อมเสียอีก...เพราะว่าองค์ฌานไม่ครบ..ไม่มีปิติ..ไม่มีอะไรเลย....


    ฌาณ ลึกๆ จะไม่มีปีตินะครับ

    ถ้ายังมีปีติ จะเป็นแค่ ฌาณ ขั้น ต้น และกลางครับ

    ฌาณนั้น ผมจะขอเปรียบกับต้นไม้ต้นใหญ่

    จิตของคนปรกตินั้น เปรียบดั่ง สายลมที่พัดผ่านไปมา ในอากาศ

    หาความนิ่ง ความหยุด ความสงบไม่ได้ ผวนผัน ปรวณแปรทั้งร้อน หนาว เบา หนัก ไม่มีที่สิ้นสุด

    ขณิกสมาธิ เปรียบดั่ง ใบไม้บนยอดต้นไม้

    เมื่อมีลม มีอารมณ์กระทบพัดผ่านมา ก็สั่นไหว ก็คลอนแคลน ไม่หยุด ไม่นิ่ง

    พอลม อารมณ์สงบ ก็หยุดนิ่งได้ชั่วคราว ตราบจนลมระลอกใหม่พัดพามา

    อุปจารสมาธิ เปรียบดั่ง กิ่งไม้ มีความแข็งแรง มีความมั่นคงมากกว่าใบไม้

    แต่มียังอาการสั่นไหว อาการที่โยกโคลง ก็คือ อาการของปีติ ทั้ง5 น้ำตาไหล โยกไปมา ขนลุกซู่ ตัวพอง ตัวเบา

    อัปปนาสมาธิ เปรียบดั่ง ลำต้นของต้นไม้

    มีความตั้งมั่น ตั้งตรง นิ่ง หยุด ไม่โอนเอียง ไหวโคลง แม้ลมพายุจะพัดมา

    แต่ถ้าลมแรงมาก เป็นพายุคลั่ง ต้นไม้ก็อาจจะหักได้

    เพราะฌาณนั้นยังไม่เที่ยง ถ้ากิเลสกำเริบมาก ย่อมเสื่อมได้

    เมตตา พรหมวิหาร เปรียบดั่งน้ำ

    คอยหล่อเลี้ยงต้นไม้ ให้เกิดความสดชื่น ให้มีชีวิต สามารถดำรงความเขียวขจีเอาไว้ได้

    หากขาดเมตตา ก็เหมือนต้นไม้ขาดน้ำ ฌาณย่อมแห้งแล้ง ไม่สุข ไม่ชุ่มฉ่ำ ไม่อาจจะเจริญงอกงามได้

    อรูปฌาณ เปรียบดั่งรากของต้นไม้

    ซึ่งหยั่งรากลึก มีความตั้งมั่นมาก มีอาการยึดเกาะผืนดิน อาการที่แผ่ขยายออก

    เป็นอารมณ์ที่แผ่ขยายออกไปซึ่งความว่าง ยึดเกาะหน่วงเหนี่ยว ซึ่งอารมณ์ของความว่างเอาไว้ดั่งรากหน่วงเหนี่ยวซึ่งแผ่นดิน

    อรูปฌาณนั้น มีความละเอียด แม้ลมพายุจะแรงก็ไม่สะทกสะท้าน

    หากไม่เจอกิเลสที่แรงจริงๆ อารมณ์ของอรูปนั้นย่อมไม่เสื่อมลง

    สุดท้าย อารมณ์พระนิพพาน คือ ผืนดิน

    กว้างขวาง ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถึงซึ่งความเป็นผืนดินแล้ว

    แม้สายฟ้าจะผ่า แม้ลมพายุจะบ้าคลั่ง แม้อุกาบาตจะตกจากฟากฟ้า

    ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดมาทำลาย ทำอันตรายให้เสื่อมจากคุณธรรมที่เข้าถึงได้

    สิ่งที่เราต้องการ ก็คือ ความหนักแน่น มั่นคง ไม่เสื่อม ไม่ไหวติง

    ประดุจดั่งผืนดิน แห่งอารมณ์พระนิพพานนี้

    ดังนั้นถามว่ายิ่งฌาณยิ่งลึกเท่าไหร่ อาการหวั่นไหวจะยิ่งน้อยหรือมาก

    ก็ยิ่งน้อย จะสังเกตได้ว่า เมื่อฌาณสูงขึ้นอาการปีติจะหายไป

    ดังนั้นท่านใดที่รู้สึกว่าปีติหายไป ไม่มีขนลุก ไม่มีตัวสั่น ไม่มีตัวพอง

    ขอให้เข้าใจว่า ฌาณของท่านไม่ได้เสื่อม แต่ตั้งมั่นยิ่งกว่าเดิม

    ต้นไม้ยิ่งงอกงามก็ยิ่งเขียวขจี

    ฌาณสมาธิ ยิ่งเจริญก็ยิ่ง ชุ่มเย็น ชุ่มฉ่ำ เอิบอิ่ม ด้วยความสุข

    ขอให้ทุกๆท่านอย่ายึด ปีติ การรู้เห็นแสงสี ภาพ สิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของตัวเอง

    ขอให้ใช้ อารมณ์สบาย ความสุข ชุ่มเย็น งอกงามแห่งต้นสมาธิเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติแทน
     
  11. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ manussanun ครับ
    <O:p></O:p>
    ผมได้ลองไปฝึกเพ่งกสินสีที่วัดยานนาวามา
    นิมิตขึ้นมาแล้วก็สลายไปเร็วมากเลยครับ
    ระหว่างฝึกพอรู้สึกหนักๆก็คิดถึงที่พี่บอกว่าอารมณ์หนักไป
    ก็พยายามผ่อนคลายไม่รีบมันจะเกิดหรือสลายก็ช่างมัน
    การฝึกก็ดีขึ้นเล็กน้อย


    ขอถามพี่สักหน่อยครับถ้าผมไปฝึกกสินสีแดงมา(ครั้งแรก)
    ผมจะเปลี่ยนไปฝึกอาโปกสินนี่จะดีไหมครับกลัวจะสับสน
    จำได้ว่า หลวงพ่อฤาษีบอกว่าฝึกหลายอย่างมันจะไม่ก้าวหน้า - -'
    คือถ้าผมอยากจะเปลี่ยนมาฝึกกสินน้ำเปลี่ยนเลยได้ใช่ไหมครับ

    ผมเพิ่งเคยฝึกกสินจะทำอะไรก็เลยอยากถามคนที่ฝึกมาแล้ว
    จะได้ไม่ไปทำอะไรให้ผิดจากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาน่ะครับ<O:p></O:p>

    ผมจะแก้อารมณ์ให้ก่อนครับ

    <O:p>คุณเป็นคนตั้งใจเกินไป อยากดีเกินไป มันเลยหนัก</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>เราต้องตั้งใจว่า ฝึกกสิณเพื่อ...</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>สำหรับคุณนะ ถ้าตั้งใจจะฝึกให้เห็นนี่มันหนักไปครับ</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>ให้ตั้งใจว่า ฝึกเพื่อ ให้ใจสบาย</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>นึกถึงภาพกสิณแล้ว มันสวยงาม มันสบายใจ มันสุขใจจังเลย แบบนี้ถึงจะถูกครับ </O:p>
    <O:p></O:p>
    และหาอันที่เราถูกใจเป็นกองแรก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วก็ทำให้สุด คือทำให้เป็นเพชร เป็นลูกเพชร ใส สว่าง ระยิบระยับแผ่แสงสว่างออกไปไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ

    [​IMG]<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แต่กสิณนั้น เราอย่าไปทำให้มันยาก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าอยากทำแบบยากๆ ก็ได้ แต่ผมจะไม่สอน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ผมจะสอนให้ทำแบบง่ายๆ ถ้าอยากได้แบบยากๆต้องไปขอเรียนกับท่านอื่น

    อยากรู้ไหมว่าภาพกสิณหายเร็วเพราะอะไร

    เวลาฝึกกสิณ ถ้าเราจะฝึกกสิณสีแดง

    แล้วเราก็นึกถึงภาพ ดวงกลม สีแดง

    ผมถามว่า มันเป็นสมาธิขั้นอะไร

    คำตอบคือขณิกสมาธิ ตามตำราว่าแบบนี้ถูกไหมครับ

    ในเมื่อมันเป็นขณิกสมาธิมันจะตั้งมั่นไหมครับ ก็ไม่สิครับ ที่มันหายเร้วก็ถูกแล้วครับ เพราะมันเป็นระดับขณิกสมาธิ

    แล้วต้องทำอย่างไร จึงจะทรงได้นาน ง่ายมากครับ ก็หันมาจับอารมณ์ของตัวสุดเลยสิครับ

    พอจิตเป็นอุปจารสมาธิ ดสิณจะเป็นเนื้อสีขาว

    พอเป็นอัปปนา จะเห็นเป็นแก้ว

    พอสุดอัปปนาสมาธิ เป็นฌาณ4 กสิณจะเป็นเพชร

    ตอนนี้เรารู้แล้วว่า เมื่อจิตเป็นฌาณ4 จะเห็นกสิณเป็นเพชร

    ในทางกลับกัน ถ้าเราทรงภาพกสิณให้เป็นเพชร จิตเราก็จะรวมลงเป็น...

    ฌาณ4 มันก็ตั้งมั่น ก็ทรงตัว ก็ประคองได้นาน

    ทรงภาพดวงกลมสีแดง ยังไงมันก็ไม่ตั้งมั่น ไม่สุขใจ ไม่อิ่มใจเท่า ทรงภาพดวงเพชร ใสสว่าง ประกายระยิบระยับ

    สรุปว่า เรานึกให้เป็นเพชรเลย ลัดตัดตรง เข้าสู่อารมณ์ปลายเลย <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    และเราสามารถสัมผัสได้ถึงคุณสมบัติของกสิณกองนั้นๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เช่นกสิณน้ำ ก็รู้สึกด้วยจิต ถึงความเป็นของเหลว การไหลเวียนไปมาของน้ำในลูกบอลน้ำ ซึ่งเป็นเพชร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าไฟก็สัมผัสได้ถึงความร้อน ความสว่าง อาการพริ้วไหวของเปลวไฟของดวงกสิณ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้นไม่ว่าเราจะจับกสิณกองไหน ท้ายสุด ให้เราทำให้เป็นเนื้อเพชรเหมือนกันทั้งสิบกอง

    ถ้าเราต้องการจะลัดตัดตรงเข้าสู่อารมณ์สุดของกสิณ

    ก็ให้เรานึกถึงภาพกสิณที่เราต้องกา

    แล้วก็เปลี่ยนให้เป็นเนื้อเพชร ใส สว่าง ระยิบระยับ แผ่รัศมีเพชรสว่างวาบออกไปทั้งจักรวาล

    ต้องเห็นรัศมีเพชรแผ่ไปทั้งจักรวาล เพื่อเปิดญาณทัศนะของเรา

    พร้อมทั้งต้องอธิษฐานกำกับด้วยว่า

    ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์ ให้ข้าพเจ้าบังเกิดญาณทัศนะ ญาณ8 ญาณรู้เห็นอันเป็นสัมมาทิษฐ เป็นไปเพื่อการตัด ละ วาง ซึ่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ
    ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ

    ญาณทั้งหมดสำคัญอยู่ที่จุดเดียว คือ เอาไว้เลือกว่าตายแล้วเราจะไปไหน

    จะเห็นอะไรไม่สำคัญเท่าเห็นว่าตายแล้วเราจะไปไหน และสามารถกำหนดที่ไปของเราได้เมื่อร่างกายตาย

    ผมบอกว่าร่างกายตาย เพราะเราไม่ตาย จิตเราเป็นอมตะ แต่ร่างกายมันไม่อมตะด้วย มันต้องตาย
    กสิณมีเอาไว้เห็นพระนิพพาน เห็นพระพุทธเจ้า เพื่อตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่จะไปอยู่กับพระองค์

    ถ้าเราจะลัดตัดตรงถึงที่สุด สำหรับสาวกภูมิ ถ้าตั้งใจจะไปพระนิพพานชาตินี้

    ให้ทำเพียงทรงภาพพระ ยิ้ม ให้เป็นเพชร ใสสว่าง ระยิบระยับ เห็นฉัพพัณรังสี แผ่สว่างจากภาพของพระองค์

    รู้สึกว่า พระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นประดุจพระบิดา พระมารดาของเรา

    อารมณ์ที่คนโบราณท่านบรรลุธรรมกันฉับพลันเวลาอาราธนา ไตรสรณคม

    ก็คืออารมณ์ที่ท่านตั้งใจ รู้สึก พิจารณา เชื่อ และศรัทธา อย่างไม่คลอนแคลนว่าพระรัตนตรัย เป็นประดุจบุพการีของเรา

    ถ้ามีคนมาบอกอารมณ์ให้ว่า ตั้งทำจิตแบบนี้ๆ เคลื่อนจิตแบบนี้ๆ แล้วจะบรรลุธรรมได้

    หากเราทำตามก็ย่อมบรรลุได้เช่นกัน แต่อย่าไปคิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว

    ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานฉันใด อย่าหลงคิดว่าตัวเองดี

    ใช้คำว่า หลง ก็เพราะ มันไม่ดีจริง ถ้ดีจริงป่านนี้เราไม่มีร่างกายที่มีโรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ ไม่ถูกคนอื่นเขาด่าว่าแบบนี้

    ที่ยังโดนอยู่ก็เพราะยังดีไม่จริง จึงไม่ควรหลงว่าตัวเองดีแล้ว

    สุดท้ายตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่จะขอไปอยู่กับพระองค์

    ทำเพียงเท่านี้พร้อมทรงภาพพระ ยิ้ม ให้เป็นเพชร ตราบจนวันตาย ถ้าใจของท่านแน่วแน่ท่านก็จะถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้

    แล้วถ้าท่านทรงอารมณ์ตามนี้ได้ เคารพพระพุทธเจ้าดุจพระบิดา ทรงภาพพระยิ่มเป็นเพชร ตายเมื่อไหร่จะขอไปพระนิพพานเท่านั้น

    ญาณทัศนะทั้งหมดจะแจ่มใส จะไม่แจ่มได้ยังไง

    ในเมื่อตั้งว่าตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพานมันคือ อารมณ์ที่สละโลก สละกิเลส สละสังโยชน์ไปแล้ว
    เคารพพระพุทธเจ้าประดุจพระบิดา เวลากราบพระ เราค่อยน้อมจิตกราบแบบ กราบคุณพ่อของเรา
    ก็คือไตรสรคม เมื่อมีไตรสรณคมญาณก็แจ่มใสหมด

    สุดท้ายภาพพระ ยิ้ม เป็นเพชร ก็คือ ฌาณ4ของกสิณ

    ที่ต้องให้เห็นท่านยิ้ม ก็เพื่อให้เรารู้สึกว่าพระท่านยิ้มให้เรา ให้เรายิ้มตามท่าน

    พอเห็นท่านยิ้ม พอจิตเรายิ้ม จิตมันก็เบิกบาน มันก็แช่มชื่น

    พอจิตเบิกบานแช่มชื่น จิตก็ใสสว่าง พอจิตสว่างญาณทัศนะมันก็แจ่มใส จะเห็นอะไรก็ได้

    ถ้าทำครบสูตรแบบนี้แล้วยังไม่แจ่มใส ก็แปลว่าศีล5เรามันไม่เกิดจากเมตตา

    มันเป็นศีลที่ยังฝืนใจ ถ้าจะให้แจ่มใสต้องเป็นศีล ที่เราฝืนใจจะละเมิด

    ไม่ใช่ฝืนใจรักษาศีลนะ ต้องให้ฝืนใจจะละเมิดศีล

    ถ้าได้ครบสูตรแบบนี้ รับรองเห็นด้วยจิตชัดยิ่งกว่าตาเนื้อ

    ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมตตาสงเคราะห์
    ให้ภาพกสิณเปลี่ยนเป็นเนื้อเพชร ใสสว่าง ระยิบระยับ แผ่รัศมีเพชรไปทั้งจักรวาลได้
    และทรง ประคอง รักษาเอาไว้ได้ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ


    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2010
  12. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    อนุโมทนา สาธุ กะข้อธรรมของพี่ชัช ที่นำมาฝากด้วยครับบบ ลึกซึ้งมากๆเลยครับบ
     
  13. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]


    ขอให้การปฎิบัติธรรมของทุกท่านสำเร็จได้สมปราถนาค่ะ
     
  14. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ทำให้ดีที่สุด
    และ
    เป็นกำลังใจให้ ทุก ๆ คนนะครับ
     
  15. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ทำสมาธิเวลาออกกำลังกายได้มั๊ยคับ

    มันถูกต้องมั๊ย เพราะผมเคยลองทำได้ 2 วัน แล้วรู้สึกว่า

    เวลาวิ่งออกกำลังกายจะไม่เหนื่อยเลย

    คือเวลาวิ่งผมตั้งจิตมองที่อากาศคิดอยู่ในใจว่าอากาศ ๆๆๆ

    และสักพักมันก็รู้สึกวูบมาที่หัวเหมือนขนลุกมาที่หัวและก็รู้สึกว่า

    เรารู้แค่ว่าเราวิ่งแต่มันไม่เหนื่อย การทำแบบนี้มีมั๊ยคับ มันถูกและสามารถ

    ทำได้มั๊ยคับ
     
  16. aforyou

    aforyou Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +72
    สอบถามเรื่อง การนั่งเจริญภาวนาสมาธิ..คับ

    สวัสดีคับ คือ ผมนั่งสมาธิมานานแล้วคับ แต่ช่วงหลังๆ นี้ จิตมักไม่ค่อยนิ่ง และปวดร้าวตามตัว ผมเลยลองเปลี่ยนคำภาวนาดูคับ ผมลองเลือกใช้คำว่า "โสตัตตะภิญญา" ในการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ปรากฎว่ามันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผมเคยฝึกมากมาคับ คือ ภาวนาได้สักพัก ผมก็รู้สึกถึงความนิ่งสงบในร่างกาย เหมือนว่าผมหลอมรวมไปกับความมืดในอากาศ แต่ผมก็สัมผัสถึงกายผมได้แต่เหมือนมันสูงมากคือ ผมสัมผัสได้มือที่ประสานกัน และศรีษะแต่มันราวกับห่างไกลกันมาก และเหมอืนตัวผมเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว ไม่มีแสงสว่างอะรัย มันมืดมนิท แต่ก็เงียบสงบ ต่างจากที่เคยสับสนในการภาวนาครั้งอื่นๆ ซึ่งแตกต่างจากที่ผมเคยฝึกมา ที่มันมีแสงสว่างๆ และไม่สัมผัสถึงกาารคงอยู่ของตนเอง (ลองปฏิบัติ 2-3 ครั้ง - ผลเหมือนกันคับ)

    ผมอยากรู้ว่าความแตกต่างนี้มันคืออะไรคับ และการภาวนานี้ที่ถูกต้อง คืออะไรคับ เมื่อก่อนผมจะใช้ สัมปจิตฉามิ กับ จะภะกะสะ คับ

    ขอบคุณมากคับ
     
  17. นามิกา

    นามิกา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +52
    ขอบคุณxorceมากๆค่ะสำหรับคำแนะนำ
     
  18. tin.s

    tin.s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +173
    สวัสดีครับ รบกวนถามผู้รู้ ผมนั่งสมาธิโดยเพ่งรูปพระชินราชเมื่อส่งจิตกำหนดภาพแล้วตัวเริ่มโยกไปมา ซ้ายขวา เมื่อเกิดอาการอย่างนั้นเลยเลิก ไม่ทราบว่าอาการอยย่างนี้คืออะไรปรกติหรืไม่ มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรต่อ ขอบคุณครับ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    "เท่าที่ผมทราบนะครับ คุณNICKAZ การทดสอบความเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมินั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเช่น อาจจะเป็นกรรมเก่า ที่ทำให้เขามาทดสอบเรา หรืออาจจะเป็น ขั้นตอนของเขาในการเข้าสู่ธรรมะ อ่ะครับ"

    ถ้าเป็นกรรมเก่า ผมก็ยอมรับอยู่นะครับ แล้วก็พยายามจะชดใช้ไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็จะพยายามหาทางไปให้ถึงแดนที่ผลของกรรมตามไปไม่ถึง เพราะตอนนี้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นั้น ผมหมดความสนใจแล้ว หวังไว้ในใจอยู่เพียงดินแดนเดียว ถ้าไปถึงได้ คงจะไม่เกินเลยไปที่จะพูดว่า ณ เวลานั้นคงจะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้พิชิตมัจจุราช" ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

    แต่ยังอีกนาน ตอนนี้มีกำลังแค่รูปภพ อรูปภพ ก็ยังเต็มกลืนแล้ว เรื่องแดนที่อยู่เหนือขึ้นไป ยังไม่ต้องพูดถึง

    ในความเป็นจริงแล้ว การทดสอบมักจะทำให้เราเดือดร้อนครับ
    เพราะถ้าเราไม่เดือดร้อน มันก็ไม่มีผลต่อสภาวะจิตใจของเรา

    แม้แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันยังถูกทดสอบ อย่างหนักหน่วง
    ลองไปดูพระเจ้าสิบชาติครับ หนักไหมครับ หนักนะครับ
    เป็นเรื่องธรรมดาของพุทธภูมิครับ

    มันก็เป็นกรรมเก่านั่นแหละครับ
    และในความเป็นจริงแล้วทุกๆคนก็ถูกทดสอบเหมือนกัน ทั้งสาวกภูมิและพุทธภูมิ

    เราจะสนใจ ไม่สนใจธรรมะ ก็ถูกทดสอบเหมือนกัน
    เพราะชีวิตคือ การถูกทดสอบ
    หากอยากจะพ้นจากอุปสรรคที่เข้ามาทดสอบได้ ก็มีทางเดียวครับ

    คือไม่เกิด คือพระนิพพานเท่านั้นแหละครับ

    ขอให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้ เราจะถูกทดสอบอยู่ร่ำไปครับ


    ถึงคุณ Xorce ครับ


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Xorce [​IMG]
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    2.แล้วอย่างผมนี่ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้ากับพวกไหน พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ที่ปฏิบัติอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดเสริมสร้างความดีให้กับตัวเอง (อีกเล็กน้อยของความคิดก็คือฝักใฝ่ในเชิงอภิญญาอยู่ด้วย เชิงโลกีย์ล้วนๆเลยครับ) แล้วเหตุไฉนถึงโดนรบกวน ทดสอบกันอยู่เรื่อยๆเลย ที่มาสั่งสอน แนะนำ ผมก็ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ที่มาทดสอบกันนี่ บางทีก็รำคาญน่าดู ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาความรำคาญได้บ้าง โดยเฉพาะพวกมารทั้งหลาย

    คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ ไม่งั้นเขาไม่มาทดสอบเยอะแบบนี้หรอกครับ

    ตอนนี้อยู่ที่จะลุยต่อ หรือจะลาเท่านั้น

    ถ้าจะลุยต่อ เราก็ต้องตั้งใจ ฝึกแบบพุทธภูมิ กรรมฐาน40กองให้ครบ ซึ่งก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว

    สาวกภูมิเขาไม่ค่อยจับกรรมฐาน40กอง กันหรอก

    เน้นช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าถึงซึ่งความดี ให้ได้เข้าถึงซึ่งไตรสรณคม เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน สอนให้เขาได้สัมมาอภิญญา

    เพื่อเสมือนทดแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้หลุดพ้นจากความทุกข์ ได้เข้าถึงซึ่งธรรมะ ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    ส่วนถ้าจะลานั้น

    เราก็ต้องพาคนไปพระนิพพานกับเราให้ได้เยอะๆ

    ให้ลองไปอ่าน "ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ

    เป็นการเล่าเกี่ยวกับการลาพุทธภูมิโดยตรง

    ถ้าอยากจะลาก็ต้องไปศึกษาดูครับ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ค่อยๆปฏิบัติไป อย่าเร่งรัด ทุกๆอย่างมีวาระ มีลำดับขั้น

    มันเร่งกันไม่ได้ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

    เร่งมากไปก็ วิบากเข้า ไปแบบทางสายกลาง ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ดีที่สุดครับ

    ถ้าจะลา เราผ่านสิ่งใดในการปฏิบัติมาบ้าง ลองทบทวนดู

    เราผ่าน ปีติ5 ฌาณ4 อรูป กสิณ อสุภะ จนถึงอารมณ์พระนิพพาน

    ก็จะครบหมดแล้ว

    ในอนาคต ถ้ามีวาระจะ คงจะได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไปครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณที่เจ้าของกระทู้ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจนะครับ

    "คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ ไม่งั้นเขาไม่มาทดสอบเยอะแบบนี้หรอกครับ"

    เราผ่าน ปีติ5 ฌาณ4 อรูป กสิณ อสุภะ จนถึงอารมณ์พระนิพพาน
    ก็จะครบหมดแล้ว

    ในอนาคต ถ้ามีวาระจะ คงจะได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไปครับ

    ผมยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยคิดพิจารณาสักทีนะครับว่า ผมเป็นวิสัยไหน พุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ถ้าลองย้อนกลับไปดูในอดีต

    1.ผ่านปิติ 5 อันนี้เป็นของธรรมดาของสมถกรรมฐาน
    2.ฌาณ 4 นี้เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญา
    3.อรูป อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว ไม่ได้ตั้งใจ จิตเข้าไปของเขาเอง เข้าแล้ว ก็เข้าเลย เลยตามเลยครับ (อาจจะเป็นความมัน สะใจ ชอบใจส่วนตัวก็ได้)
    4.กสิณ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝักใฝ่ในเชิงอภิญญาอยู่แล้ว เพราะมีความชอบ ฝังใจเป็นพิเศษกับเตโชกสิณอยู่ แล้วอันอื่นก็ตามมาเอง
    5.อสุภกรรมฐาน กายคติกรรมฐาน อันนี้ เห็นว่าบรรดาพระอรหันต์ทุกท่านล้วนต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ทั้งสิ้น ในฐานะที่เราต้องการยกระดับจิตใจของตัวเองตามแนวพระพุทธศาสนา เพื่อไปให้ถึงดินแดนที่ต้องการ ผมก็จำเป็นต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ไปให้ได้เช่นเดียวกัน
    6.อื่นๆ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติกรรมฐาน เทวตานุสติกรรมฐาน อาหาเรฯ จตุวัธฯ อันนี้มีอยู่ประจำใจอยู่แล้ว จิตเขาทบทวนของเขาเอง
    7.อารมณ์พระนิพพาน เป็นเรื่องปกติของมโนมยิทธิ ที่ไปกันเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเวลาใดสามารถละนิวรณ์จากจิตได้เป็นการชั่วคราวหรือฌานสมาบัติแนบแน่นจนจิตปลอดจากกิเลสเป็นการชั่วคราวในระหว่างทรงฌานอยู่นั้น

    ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมันเอง ไม่ได้ไปตั้งใจว่า เป็นพุทธภูมินะ ต้องจับ กรรมฐาน 40 อันนี้ไม่ใช่ครับ

    ไปตามครรลองของมันเองจนได้หลายกองแบบนี้ ก็เกินสาวกภูมิแล้วครับ
    ลองถามท่านที่เป็นสาวกภูมิกันก็ได้ เห็นจะจับกรรมฐานกันแค่กองสองกองสามกองเท่านั้น
    ในสมัยพุทธกาลท่านเล่นกันกองเดียว และจับวิปัสสนาก็จบกิจแล้วครับ

    แต่ไม่เป็นไร ถึงวาระเมื่อไหร่ เราเป็นอะไรก็รู้เองครับ
    เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นครับ


    ถึงบอกว่า "คุณ เป็นวิสัยใดก็ทราบตัวเองอยู่ " อันนี้ยอมรับว่าไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่ได้คิดอะไรครับ ทำไปเรื่อยๆ มาเรียงๆ มากกว่า

    ปัจจุบันจึงค่อนข้างจะสับสนกับตัวเองอยู่พอสมควร

    แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นสัญญาแต่เก่าก่อนล่ะก็ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าภพใด สมัยใด ในการท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ ที่เคยอธิษฐานไว้ในทำนองนี้บ้างหรือไม่?

    แต่ไม่เป็นไร เอาไว้ไปเรียนถามท่านครูบาอาจารย์เอาก็ได้ครับ

    อันนี้ผมขอทำตามที่เจ้าของกระทู้แนะนำนะครับว่า การทำสิ่งใด ขอให้พระท่านช่วย จะดีที่สุด ไม่ควรจะอาศัยพลกำลังของตัวเองเป็นอันขาด ตรงนี้ จำได้ และตระหนักอยู่ในใจเสมอครับ

    วันนี้ยังไม่มีอะไรจะเรียนถามท่านเจ้าของกระทู้เป็นการเพิ่มเติม มีก็แต่มาคุย แลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้นครับ

    อีกเล็กน้อย เรื่องไฟล์เสียงเกี่ยวกับอารมณ์พระนิพพานที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาเผยแพร่ อันนี้มีประโยชน์มากครับ ขอชื่นชมและขออนุโมทนาด้วยครับ ผมก็ได้อาศัยความอนุเคราะห์ไปหลายวาระเกี่ยวกับไฟล์เสียงต่างๆนี้ มีเรื่องขออนุญาตเสนออะไรบ้างได้ไหมครับ ขอให้ถือเสียว่าเป็นเสียงสะท้อนของผู้ฟังคนหนึ่งนะครับ

    เรื่องการสัมผัสความเย็นแห่งอารมณ์พระนิพพาน เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่อยากให้เจ้าของกระทู้เน้นในเรื่องวิปัสสนามากๆ (คือทำอย่างไรให้ตัดสังโยชน์สัก 3 ข้อก็พอ ให้เป็นการชั่วคราวให้ได้ จริงๆแล้ว ความเห็นของผมนะ สังโยชน์ 10 ตัวใหญ่สุดคือข้อ 1 ตัวเดียว ถ้าข้อ 1 ผ่านได้ ที่เหลือก็ไม่เป็นปัญหา)เพราะเรื่องอย่างนี้ ต้องอารมณ์วิปัสสนาถึงจริงๆ ถึงจะสัมผัสได้อย่างถูกต้อง ไม่มีอุปทานมาเจือปน อย่างที่ผมเคยเจอมาจนต้องมานั่งสับสนในตัวเองอยู่อย่างมากมายมาแล้ว (เจอมาอ่วมอรทัยเลยทีเดียวเชียว)

    ที่แนะนำมาถูกต้องแล้วครับ
    แต่ขอให้เข้าใจว่าผมนำสมาธิให้ ตามวาระจิตของบุคคล
    อย่างในไฟล์นั้นจิตของเขา เป็นคนศรัทธาแรง ผมนำเขาตัดไตรสรณคมจิตเขาก็สะอาดพอจะสัมผัสได้แล้ว
    ผมจึงไม่ต้องวิปัสสนามาก เอาพอแก่วาระจิตของเขา
    แต่หากผมนำให้คนอื่น ก็จะต้องสอนอีกแบบ

    ทุกครั้งที่สอนจึงไม่เหมือนกันครับแล้วแต่จิตของผู้ฟัง

    ถ้าวิปัสสนามาก จนเลยอารมณ์ จิตจะเริ่มเบื่อ พอสัมผัสก็จะได้ไม่ชัด
    ถ้าวิปัสสาน้อยไป ก็จะไม่ได้อีก เพราะสะอาดไม่พอ

    เวลาสอนจึงปรับตามแต่วาระจิตของผู้มาฝึกครับ

    เป็นอะไรที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละครั้ง

    ดังนั้นขอให้ใช้เป็นไกด์ไลน์ครับ หากอยากจะได้แบบพอดีกับจิตของเราก็ต้องลองติดต่อมาฝึกกับผมโดยตรงครับ


    อันนี้พูดถึงท่านที่ทรงฌานโลกีย์เท่านั้นนะครับ (อย่างผมเป็นต้น ปุถุชนฌานโลกีย์ แต่จิตก็ยังไต่อยู่ที่ขอบนรกตลอดเวลาถ้ามีการเผลอเรอ) แต่ไม่ได้กล่าวรวมไปถึงท่านที่ทรงมโนมยิทธิ เพราะท่านพวกนี้ ท่านไปแก้อารมณ์กันข้างบนโน่น สบายไปแล้วครับ

    มโนมยิทธิก็ยังเป็นฌาณโลกีย์นะครับ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า
    และก็ไม่ใช่ผู้ทรงมโนมยิทธิทุกคน จะแก้อารมณ์ตัวเองข้างบนเป็นครับ

    ผมไม่อยากจะให้คิดว่าผู้ทรงมโนมยิทธิ จิตจะเนี๊ยบหมดทุกคน ยังมีพลาดกันได้
    สุดท้ายอยู่ที่ความเป็นสัมมาทิษฐิ ไตรสรณคม และความปรารถนาในพระนิพพานครับ

    แต่ถ้าเจ้าของกระทู้เห็นว่ามีความเหมาะสมแล้ว ก็ไม่เป็นไรครับ ถือเสียว่าผมขอแลกเปลี่ยนความเห็นและสะท้อนมาในฐานะผู้ฟังก็แล้วกัน

    ขอบคุณมากครับ จะนำมาปรับในครั้งต่อๆไปครับ

    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณในคำแนะนำอีกครั้ง ตอนนี้ขอเก็บตัวฝึกวิชาต่อไปก่อนครับ กำลังเปิดศึกกับแม่ทัพมารทั้งสามอยู่ ตอนนี้มีกำลังไม่พอที่จะไปท้าดวลกับแม่ทัพใหญ่โดยตรง ก็อาศัยสงครามกองโจรคอยเข้าตีพวกนายกอง พลตะเวนตัวเล็กๆของมารทั้งหลายไปพลางก่อน เป็นการลดทอนกำลังทัพใหญ่ของแม่ทัพกิเลสมารทั้งสามไปเรื่อยๆครับ เพื่อหาทางสู่ดินแดนที่มุ่งหวังต่อไป ระหว่างทางหากมีสิ่งใดติดขัด คงต้องมาขอความอนุเคราะห์อีกครั้งนะครับ<!-- google_ad_section_end -->

    แม่ทัพสามตัวผมว่า ไม่น่ากลัวเท่า
    แม่ทัพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหน่วยลอบสังหารให้คนตายจากความดี
    แม่ทัพนั้นชื่อว่า มานะทิษฐิ

    เป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด และคนมักจะมองข้ามความน่ากลัวของมันไป

    ถ้าโดนลอบโจมตีด้วยมานะทิษฐิเสียแล้ว จะเสียหายอย่างหนัก โอกาสเพี๊ยนสูง

    พอเราคิดว่าเราเก่งเราดีแล้ว มันกู่กลับมายากครับ

    ส่วนมากจะไปแล้วไม่กลับ

    มานะทิษฐิก็คือ เราคิดว่าเราเก่งแล้ว เราวิเศษแล้ว เราเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว

    เราได้นู่นได้นี่ ได้นั่น เหนือกว่าชาวบ้านเขาแล้ว

    อารมณ์แบบนี้ต้องอย่าให้มีครับ

    ทุกคนเป็นเพื่อนเราหมด มีความดีหมดทุกๆคน

    จึงขอให้ระวังเอาไว้เป็นพิเศษ ให้มากกว่าสามตัวที่กล่าวมาข้างต้นครับ

    ขอให้เรามีความตั้งมั่น ประคองรักษา และคล่องตัว ในกรรมฐานทุกๆกองที่ได้เข้าถึงแล้ว เอาไว้ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ทำสมาธิเวลาออกกำลังกายได้มั๊ยคับ

    มันถูกต้องมั๊ย เพราะผมเคยลองทำได้ 2 วัน แล้วรู้สึกว่า

    เวลาวิ่งออกกำลังกายจะไม่เหนื่อยเลย

    คือเวลาวิ่งผมตั้งจิตมองที่อากาศคิดอยู่ในใจว่าอากาศ ๆๆๆ

    และสักพักมันก็รู้สึกวูบมาที่หัวเหมือนขนลุกมาที่หัวและก็รู้สึกว่า

    เรารู้แค่ว่าเราวิ่งแต่มันไม่เหนื่อย การทำแบบนี้มีมั๊ยคับ มันถูกและสามารถ

    ทำได้มั๊ยคับ<!-- google_ad_section_end -->

    ได้ครับ ทำเลยครับ

    เราจะต้องสามารถฝึกทรงสมาธิให้ได้ตลอดเวลา

    ยิ่งพวกต้องการอภิญญานี่ วิ่ง ว่ายน้ำ กระโดดก็เข้าฌาณได้ ตีลังกาก็ต้องทำได้

    และเมื่อจิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิ ลมหายใจก็จะเบา ร่างกายจะใช้ลมหายใจน้อยกว่าปรกติ

    ย่อมส่งผลให้เราเหนื่อยน้อยกว่าปรกติด้วยเช่นกันครับ

    มีท่านหนึ่งซึ่งผมได้เคยพบ ท่านทรงอารมณ์ของความเป็นพระอริยเจ้า

    ท่านเดินขึ้นเนินแห่งหนึ่ง มีผมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งไปด้วย

    แดดร้อนเปรี้ยงๆเลย เวลาประมาณเที่ยงวันพอดี

    ทุกๆคนเหงื่อไหลเต็มหน้าทั้งหมด เมื่อเดินถึงยอดเนิน

    ปรากฏว่าท่านไม่มีเหงื่อแม้เพียงหยดเดียว

    เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า ถ้าจิตเป็นสมาธิจริง ร่างกายจะไม่เหนื่อยครับ

    ท่านที่ผมกล่าวถึง ท่านอายุประมาณ50-60แล้ว

    ส่วนพวกที่เหงื่อเต็มหน้านั้นอายุเพียง20-30เท่านั้น

    พลังที่แท้จริงอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่เหนื่อย กายก็ไม่เหนื่อยครับ

    ต้องเชื่อว่าจิตอยู่เหนือร่างกาย

    เมื่อเราเชื่อแบบนี้ ไม่ว่าเราจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม

    ถ้าไม่เกินกฏของกรรม ย่อมสามารถรักษาจนหายได้ ด้วยกำลังของสมาธิ และบารมีพระ

    ให้ลอง ทรงจิตที่หยุดนิ่ง ลมหายใจที่หยุดนิ่ง ลมสบาย พร้อมๆกับออกกำลังกาย

    วิ่งได้โดยที่จิตนิ่ง ร่างกายไม่หายใจ

    หรือเราจะวิ่งไป ออกกำลังกายไป แผ่เมตตาไปก็ได้

    ถ้าเราวิ่งเราก็ตั้งใจว่าที่ใดที่เราย่างก้าวไป ขอให้สถานที่นั้นมีแต่ความสุข ความรักความเมตตา แผ่กระจายในทุกหย่อมหญ้า

    ให้ทุกๆคนมีแต่ความสุข มีแต่รอยยิ้มในดวงจิต

    เรานำสมาธิมาใช้ในทุกๆอย่างของชีวิต ทำจนมันเป็นส่วนนึงของเรา

    จนกระทั่งจิตของเราจะทำอะไรก็ทรงอยู่ในสมาธิตลอด

    ตื่นนอนขึ้นมา อาบน้ำก็ตั้งใจจะล้างทั้งกายและใจ อธิษฐานให้น้ำเป็นน้ำมนต์ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า แค่อธิษฐานก็เป็นแล้ว

    กินข้าวเราก็น้อมจิต นำอาหารนี้ตั้งใจว่าขอถวายตรวต่อพระพุทธเจ้า ให้อาหารเป็นอาหารทิพย์ เข้าไปปรับธาตุ รักษาโรคของเรา แผ่เมตตาให้เจ้าของเนื้อที่เรากิน ให้คนเลี้ยงสัตว์ ชาวนา แม่พระธรณี

    เดินไปทำงานก็แผ่เมตตาตลอดเส้นทาง

    พอทำงานก็เข้าสมาธิ งานที่ทำจะได้เนี๊ยบ ได้สมบูรณ์ไม่มีความผิดพลาด

    เวลานอนหลับเราก็เขาสมาธฺ หยุดจิตจนนิ่ง แผ่เมตตา นึกถึงพระ ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน

    ถ้าเราทำแบบนี้ก็เท่ากับเราทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา

    และเราสามารถไปเจาะลึกใช้สมาธิตามสายอาชีพที่เราทำได้อีก

    ถ้าเป็นหมอ ก็ใช้สมาธิวินิจฉัยโรค แผ่เมตตาให้คนไข้

    เป็นครู ก็แผ่เมตตาให้นักเรียน

    เป็นจิตรกร สาปนิก ก็ใช้สมาธิในการทำงาน ให้เกิดความสวยงามที่สุด

    ถ้าพ่อครัวแม่ครัว ก็แผ่เมตตาในอาหารทั้งหมดตัง้ใจให้อาหารเป็นอาหารทิพย์

    เรื่องจริงแล้วเราใช้ได้หมด แล้วแต่จะพลิกแพลง

    และคนโบราณเขาทำแบบนี้กันหมด จึงทำให้อาหารก็ดี โรคภัยไข้เจ็บก็น้อย คนก็มีความสุขมาก จิตใจไม่เร่าร้อน อยู่กับสมาธิทั้งวัน

    ทุกๆอย่างมันอยู่ที่เคล็ด กับหลักการ ถ้าจับหลักได้

    คือ จิตนิ่ง จิตหยุด คือ เมตตา จิตยิ้ม จิตเบิกบาน จิตเผื่อแผ่ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเสมอๆ

    แล้วเอามาใช้กับทุกอย่าง

    เราก็ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดทั้งวัน โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องฝืนใจทำ

    ทรงสมาธิจนเป็นปรกติของตัวเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2010
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...