"สวรรค์ชั้นต่างๆไม่เป็นที่ปรารถนา"คิดอย่างนี้บาปไหม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย indear, 24 พฤษภาคม 2010.

  1. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733
    อืม...ต้องออกตัวก่อนนะคะว่า ตัวข้าพเจ้าเองนับว่าเป็นแค่คนหนึ่งที่แค่พยายามจะหาเวลาว่างจากภารกิจอันวุ่นวายในชีวิตสวดมนต์นั่งสมาธิและก็ไม่ได้ทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะลูกเล็กและนอนดึก แต่ในใจมีความเชื่อความศรัทธาในเรื่องบาปบุญ-นรก-สวรรค์-เวรกรรม-ภพภูมิและการหลุดพ้นจากการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่มีการพัฒนาสมาธิไปในขั้นใดๆเลย(เคยอ่านหลายๆท่านว่า มีการปรากฎหลายสิ่งที่น่าอัสจรรย์ใจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติก็รู้สึกอยากเป็นไปเช่นนั้นบ้างซักนิดก็ยังดี)
    แต่สงสัยตัวเองเช่นกันค่ะ ว่าทำไมตัวเองถึงไม่อยากไปสวรรค์ชั้นต่างๆที่มีความสวยงามความสะดวกสบายมีบริวารรับใช้เหมือนคนอื่นที่ปรารถนา(คือเคยเอาเรื่องสวรรค์ชั้นต่างๆมาอ่านเพราะชอบอ่านเรื่องแบบนี้ก็พอจำได้ว่าสวรรค์มีกี่ชั้นๆไหนเป็นไงต้องมีบุญอะไรถึงจะไปถึง) ทั้งๆที่ชีวิตบนโลกมนุษย์ทุกวันนี้ของข้าพเจ้าก็ยังลำบากยังเผลอทุกข์ใจอยู่บ่อยครั้งกับสิ่งแวดล้อมที่หลีกหนีไปไม่ได้ แต่แปลกใจตัวเองที่รู้สึกเฉยชากับรางวัลเหล่านี้
    คือที่สาธยายมาทั้งหมดมันเป็นแค่ความรู้สึกจริงๆนะคะ ถ้าจะเรียกว่าไม่เจียมตัวก็ยังรู้สึกว่าไม่ผิดเลย (อิอิ) เพราะรู้ตัวเองว่ายังไปไม่ถึงไหนแต่ยังบังอาจมารู้สึกในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จะเอื้อมถึงหรือเปล่าเลยเมื่อตายไป แต่ดิฉันก็ไม่ปรารถนานรกแน่นอนนะคะ (เดี๋ยวหลายท่านจะเข้าใจผิด)แค่อยากถามท่านทั้งหลายว่าเคยรู้สึกเช่นนี้ไหม และการรู้สึกเช่นนี้เป็นบาปและเป็นการปรามาสหรือเปล่าคะ รบกวนสอนสั่งข้าน้อยด้วยค่ะ
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

    ใช่ว่า ไปไม่ถึงไหน แต่คุณล้วนเคยไปมาแล้ว ทุกที่ที่ปรารภถึงนั้นแหละ

    ก่อนอื่น มาทำความรู้สึกให้ชัดๆ ให้มั่นคงในเรื่องทิฏฐิที่ว่า
    "การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง" ให้หนักแน่นเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า คุณจะอาศัยการ
    สดับเรื่อง ภพภูมิ นรก สวรรค์ แล้วทำให้ระลึกได้จางๆ แต่ตรงนี้จะต้อง "ตี" โจทย์
    เข้ามาที่เรื่อง "การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง" ให้ได้เสียก่อน

    ถ้า สัมมาทิฏฐิหัวข้อ เชื่อเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เมื่อไหร่ มันจะย้อนไป
    ตอบคำถามให้คุณเองว่า ทำไมถึง "รู้สึก" ว่ารู้จักคุ้นเคยกับ สวรรค์ จนเฉยชาต่อ
    มันเสียแล้ว .....ย่อมเป็นคำตอบอื่นไม่ได้นอกเสียจาก เคยไปมาหมดแล้ว นั่นแหละ

    เพราะ เคยไป จึงอ่านเรื่อง สวรรค์แล้ว ก็รู้สึก "จืดๆ" รู้ว่ามี รู้ว่าดี แต่ "จืด"

    เช่นเดียวกันกับ "นรก" หรือ อบายอื่นๆ ทุกคนก็ล้วนต่างเวียนว่ายตายเกิดมาในภพภูมิ
    เหล่านั้นมาพอๆ กัน "ชั่ว7ที ดี7 หน" มาด้วยกันทั้งนั้น

    ดังนั้น ไม่จำเป็นเลยสำหรับคนที่พอสดับธรรมะ บรรยายเรื่องนรก สวรรค์ จิตใต้สำนึก
    อันเป็นอินทรีย์จะน้อมฟังทันที แล่นไปด้วยศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาอินทรีย์(สติ
    ที่ระลึกได้จางๆ นั้นแหละ) จนไม่ต้องไปคิดหาทางพิสูจน์อะไรอีก ย่อมพอใจกับการ
    เห็น ภพในปัจจุบัน นี้นี่แหละ ที่เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการปฏิบัติ ภาวนา แต่ถ้าปัญญา
    อินทรีย์อ่อนก็จะเกิดอาการตื่นตา ตื่นใจ อยากรู้อยากเห็น ก็เหมือนให้เขาพอไปเขาดิน
    เพื่อดูสิงห์สาราสัตว์แล้วก็ดีใจที่ได้เห็น ปลื้มกับคนพาไปดู แต่ลืมดูตนว่าเคยผ่านมาหมด
    แล้วแต่ไม่ยอมรับรู้

    คนบางคนที่มีสติแก่กล้าปัญญาแล่นไป น้อมรับเรื่อง นรก สวรรค์ ด้วนศรัทธา จะไม่
    ขวนขวายกับปฏิบัติที่ต้องไปรู้ไปเห็น อะไรนอกตัวอีก ( คือเวลาเห็นสัตว์นรก หรือ
    เทวดา คือการไปเห็น คนอื่น แต่ลืมเห็นตัวเอง )

    เมื่อจิตไม่จำเป็นต้องไปเห็นอะไรนอกตัว จึงรู้อยู่ที่ตัว อยู่กับปัจจุบันในกายหนาคืบ กว้าง
    ศอก เป็นดั่งวัตถุเรือนถ้ำ ที่มีสัญญาหมายและมีวิญญาณครอง รู้แค่ภพ ปัจจบันแค่นี้ ก็
    เห็นว่า แม้แต่ในอัตตาภาพที่เป็นมนุษย์อยู่นี้ ก็ยังไม่วายต้องโดน ภพนรกก็ดี ภพสวรรค์ก็
    ดี่เข้ามาดึงรั้งหน่วงเหนียวให้มีให้เป็น ให้สุข ให้ทุกข์ อร่อยอยู่กับรสของ ภพย่อยๆ อย่าง
    ไร้สาระ

    สรุปแล้ว

    การปรารภอย่างนี้ ไม่ใช่การปรามาส เพราะ เรารู้รสของเราว่ามี ยอมรับว่ามี เห็นอยู่
    ด้วยสติสัมปัชัญญาปัญญาอินทรีย์ว่ามี แล่นไปด้วยศรัทธาบริบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่มีส่วน
    ไหนเลยที่เป็นเหตุปัจจัยไปปรามาส

    สิ่งที่ควรปรับคือ ให้เปลี่ยนคำที่ใช้ให้ จาก บาป/บุญ มาเป็นคำว่า อกุศล/กุศล เสีย

    แล้วตั้งคำถามใหม่ว่า หากเราติดสงสัย ลูบๆคลำว่า ทำอย่างนี้แล้วอกุศลไหม ให้เล็ง
    เห็นไปที่ ลักษณะอาการ "ติดสงสัย" หรือ "การลูบๆคลำ" นั้นนั่นแหละ คือส่วนอกุศล

    ที่นี้คุณก็ตอบโจทย์ตัวเองว่า ควรหรือที่จะมานั่งให้ อกุศล มันมาครอบงำอยู่ ถ้าไม่
    ก็อย่าให้ ความสงสัย มันครอบงำเรา เอาเวลาไประลึกคำสวดมนต์ เห็น ความวุ่นวาย
    (ภพย่อย สวรรค์ นรก ) นั้นกรุมรุมเราอยู่ตลอดเวลา แล้วหาอุบายที่ดี เพื่อดำริออกอย่าง
    บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่นดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2010
  3. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...อาจจะ ไม่ได้ผุดได้เกิด...หากเบื่อร่างกาย และทำตามคำสั้งสอนของพระพุทธเจ้า......(นฤพาน).....สาธุ
     
  4. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ศรัทธาตั้งมั่นและพิสูจน์ในสิ่งที่พระศาสดาตรัสสอนไม่ใช่สงสัยในสิ่งที่พระศาสดาตรัสสอน การพิสูจน์คำสอนของพระศาสดาคือการปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนส่วนการสงสัยนั้นคือการคิดสุ่มเดาไปต่างๆนานาๆ ด้วยความคิดและสิ่งต่างๆที่พาให้เราคิดไป นี่แหละถึงบอกว่าศรัทธานำหน้าปัญญาตามหลังสติวิริยะสมาธิหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อไรมีทั้งหมดพร้อมกันเท่ากันดีแล้วเมื่อนั้นก็ไม่เห็นต้องสงสัยอะไรเลย เพราะไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว
     
  5. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733
    ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ลองทบทวนไปที่กระทู้เก่า กระทู้ที่ว่า สวดมนต์แล้วก็ไม่ ขออะไรเป็นพิเศษ เลย

    ก็คล้ายๆ กันกับ กระทู้นี้ สติปัญญาที่กำลังออกทำงาน ออกหมุน ออกพิจารณา
    อย่างแยบคายตอนนี้คือ เนื้อหาสาระของคำว่า "อธิษฐาน" คือ องค์ธรรมอย่าง
    ไรกันแน่ มีความรู้สึกปรากฏอย่างไร มีลักษณะอย่างไร และมีหน้าที่อะไร

    ก็จะเห็นว่า คำว่า อธิษฐาน ที่ปรากฏในการตรึกตรอง โยนิโสมนสิการ ในเพลานี้
    มีรสมธรรมชัดประการหนึ่งว่า "ไม่ใช่การรอการบันดาลสุขจากสิ่งใดๆ"

    คุณจึงเห็นว่า สวดมนต์แล้วก็ไม่ได้ขออะไรพิเศษ (1) กับ ภพภูมิที่ดีหรือร้าย ก็
    ไม่ ปราถนาจะได้อยากมีอยากเป็น (2)

    ทั้งสองกรณี จะเห็นว่า อธิษฐาน ไม่ใช่เรื่องของการ รอกรรมบันดาล

    แต่ อธิษฐานที่แท้จริง คือ การดำริที่จะไปถึงจุดๆหนึ่ง เมื่อดำริแล้วก็ประกอบ
    กรรมโดยการสลัดวาง ประกอบกรรมอย่างคนทำจริงแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้อง
    ได้อะไรมา ไม่เสียอะไรไป แต่ศรัธทาที่ประกอบปัญญานั้นเป็นตัวผลักดันให้
    เกิด "กิจกรรมประกอบธรรม" อย่างสม่ำเสมอ และจะต้องถึงจุดหมายได้เมื่อสมควร
    แก่ธรรม

    อธิษฐาน จึงไม่ใช่การ ขอ การอ้อนวอน การรอกรรมบันดาล การตอบแทนผล
    ในแบบคนงอมืองอเท้า

    อธิษฐาน คือ การกำหนด ฐานที่ตั้ง ที่จะไป ให้เป็น อธิ คือ เป็นใหญ่กว่าเรื่องอื่นๆ
    แล้วก็ไม่ลดละ ไม่เผิกเฉย ต่อการประกอบ ประพฤติปฏบัติ ให้สมควรแก่ธรรม

    สิ่งที่ควรพิจารณา เวลาตรึกในเรื่องอธิษฐานขึ้นมา ให้รับรู้ว่า ใจที่จางคลายต่อ
    รสสุขและทุกข์ คือองค์ธรรมที่ชื่อ "วิราคะธาตุ"

    สมัยใดเห็นความจางคลาย การปล่อยวางรสอร่อยใน ภพ ในโลก ให้รู้ว่า จิตมีวิราคะ

    สมัยใดเห็นความจางคลายที่หายไป ไม่ตรึกอยู่ในจิต จมภพ จมโลก ให้รู้ว่า จิตมีราคะ

    รู้รสธรรมไปอย่างนี้เนืองๆ ให้เห็น ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนิจจัง อนัตตาของ วิราคะธาตุ
    ที่ปรากฏให้รู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะตั้งมั่นรู้ลงที่จิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2010
  7. indear

    indear เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +733

    ได้อ่านข้อความของคุณเล่าปังแล้ว พยายามคิดตาม-ทำความเข้าใจให้ทันสายตาตัวเอง เมื่อเข้าใจแล้วก็มีความรู้สึกว่า"ตัวเราไม่เป็นตัวเราเองเลยค่ะ แต่รู้สึก อึ้งๆและซาบซ่านคล้ายมีพลังงานประหลาดแผ่ไปในจิตใจและสมอง มันคล้ายว่า"ฟู่"ขึ้นมาเลยทีเดียว (นี่เรียกว่าปิติหรือเปล่าคะหรือเรียกว่าอะไรหรือคิดไปเอง)เว่อร์หรือเปล่าก็ไม่รู้ค่ะ(แหะ...แหะ) แต่ขอขอบคุณในความกรุณาของคุณเล่าปังมากนะคะ ที่พยายามคลี่ปมดิฉันตั้งแต่เรื่องเก่ามาให้กระจ่างและทำให้เข้าใจที่มาที่ไปของความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นได้ว่ามันสัมพันธ์กัน ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ แต่ดิฉันยังด้อยปัญญานัก อาจจะเข้าใจไ้ด้ไม่ลึกซึ้งหรือปฏิบัติได้ทั้งหมด ะขอบคุณค่ะ
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไปเรื่อยๆครับ การศึกษาธรรมะ คือ การเข้าใจสิ่งที่เป็น แล้วก็ไม่ยึดแม้ในสิ่งที่เข้าใจนั้น

    การศึกษาธรรม จึงไม่ใช่เรื่อง การจะเป็น การจะมี

    มาอ่าน ชาดก กันต่อ เพื่อความบันเทิงธรรมให้แนบแน่น มีปิติ ก็ให้รู้ว่ามี เดี๋ยวก็มี
    เดี๋ยวก็หาย คือๆกัน ทุกอย่างมันก็ออกมาจาก "จิต" เผลอยินดีก็สร้างภพ เผลอยินร้าย
    ก็สร้างวิภาวะ(ภพอีกชนิด) สิ้นยินดียินร้าย ก็คลายตัณหา สิ้นตัณหาก็รู้ว่าหลุดพ้น :D


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>บทที่8 ชาดกในหมวดอธิษฐานบารมี



    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=p_content>8.1 เจ้าชายใจเพชร เผด็จศึกลวงฤทัย

    สาเหตุที่ตรัสชาดก สมเด็จพระชินสีห์ทรงมีพระธรรมเทศนาแก่ภิกษุเรื่องกายคตาสติตรัสว่า ภิกษุต้องไม่ปล่อยสติ เป็นผู้ไม่ประมาท เหมือนนักโทษประคองโถน้ำมันเต็มเปี่ยมเสมอขอบ มีเพชฌฆาตถือดาบพาไปสถานที่ของนางงามหยดย้อย ถ้านักโทษปล่อยให้น้ำมันหยดลงที่ใด เพชฌฆาตจะตัดศีรษะเขาทันที เขามีมรณภัยคุกคามแล้วมิอาจใส่ใจถึงนางงามด้วยความประมาทเลย ไม่ลืมตาดูนางงามหยดย้อยเหล่านั้นแม้สักครั้ง ภิกษุกราบทูลว่าทำได้ยาก พระทศพลตรัสว่า มิใช่เป็นการกระทำได้ยากเลย นั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายโดยแท้ เพราะว่ามีคนเงื้อดาบคอยขู่ตะคอกไปอยู่ แต่การที่บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนไม่ปล่อยสติ ไม่ทำลายอินทรีย์ ไม่มองดูรูปอันงดงามนั่นแหละ! ที่กระทำได้ยาก เมื่อภิกษุกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตมาดังนี้..

    ครั้งอดีตกาลนานมา ณ เมืองอันกว้างใหญ่ไพศาล พระราชาแห่งแคว้นทรงมีพระราชโอรสมากมายถึง 100 พระองค์ วันหนึ่งได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าจาริกผ่านมา พระราชาทูลอาราธนาให้ฉันในพระราชวัง พระราชโอรสองค์เล็กสุดทรงทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถามพระคุณเจ้าถึงอนาคตของพระองค์ว่าจะได้สืบสันตติวงศ์ในพระนครนี้หรือไม่? พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า..
    "พระองค์จะไม่ได้ราชสมบัติในพระนครนี้ แต่จากนี้ไปอีก 120 โยชน์มีนครชื่อตักกสิลา ถ้าพระองค์สามารถไปถึงได้ก็จะได้ราชสมบัติในวันที่ 7 นับจากวันนี้ แต่ในระหว่างทางนั้นจะผ่านดงดิบใหญ่มีอันตรายอยู่ ย่านนั้นจะมีฝูงยักษิณีพากันเนรมิตบ้านและศาลาไว้ระหว่างทาง ตกแต่งที่นอนแพรวพราว ประดับร่างกายยั่วยวน มีร่างเป็นทิพย์ คอยหน่วงเหนี่ยวบุรุษผู้เดินทางผ่านด้วยคำอ่อนหวานยิ่งนัก แล้วจะพากันเล้าโลมจนใจอ่อนยอมตกอยู่ในอำนาจกิเลส เมื่อเสพสมกับบุรุษแล้วก็เคี้ยวกินทันที ถ้าพระองค์สามารถสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และคุมสติไว้มั่นคงผ่านไปได้ก็จะได้ราชสมบัติในพระนครนั้น"

    เจ้าชายได้ฟังโอวาทจากพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วทรงรู้สึกว่าหนทางนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ถ้าพระคุณเจ้าไม่เตือนไว้ก่อนเห็นจะรับมือลำบาก พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะเดินทางไปทันทีโดยไม่ลังเล ทรงตั้งพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะฟันฝ่าผ่านดงนี้ไปให้จงได้ จึงขอพรจากพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วเสด็จไปทูลบังคมลาพระราชบิดามารดา จากนั้นได้ตรัสกับขุนพลคนสนิทว่า..

    "เราจะไปเป็นกษัตริย์ในตักกสิลา พวกเจ้าจงอยู่ช่วยราชกิจที่นี่ให้ดี เราขอตัวลาไปก่อน"

    5 ขุนพลคนสนิทฟังดังนี้แล้วอยากขอติดตามไปด้วย 5 ขุนพลนี้นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการรบ และเจนจบในยุทธศาสตร์มาโชกโชน แต่ยังหารู้ไม่ว่าหนทางนี้สุดแสนอันตรายเพียงใด มาตรว่าจะมีทหารหมื่นกองพันมาห้ำหั่นกันในสนามรบก็ไม่อันตรายเทียบเท่าครั้งนี้ได้เลย เจ้าชายทรงรู้ว่า 5 ขุนพลของตนมีใจกล้าหาญ หากมีพลยักษ์สักร้อยหมื่นมาท้ารบ ขุนพลทั้ง 5 นี้ย่อมหาญนำทัพไปปราบ ศึกให้ได้ แต่สนามรบครั้งนี้กลับเป็นสนามยั่วเย้า เป็นศึกเล้าโลม ศึกครั้งนี้เกินแรง 5 ขุนพลไปแล้ว เจ้าชายทรงรู้แก่พระทัยในข้อนี้ดีจึงตัดสินพระทัยไม่พาไปด้วย แต่ขุนพลทั้ง 5 กลับมิรู้กำลังตน ร้องขอจะ ตามไปให้ได้ ด้วยว่าต้องการที่จะอารักขาคุ้มครององค์เจ้าชาย เนื่องเพราะพวกตนรักเคารพเจ้าชาย ผู้ดูแลแผ่น้ำใจให้เหล่าทหารหาญมาตลอด ทั้ง 5 จึงขอยอมตายเสียดีกว่าที่จะอยู่โดยไร้นาย แต่พระองค์จำต้องตัดพระทัยจริงๆ เพราะมิอาจเห็นยอดขุนพลไปตายได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงอธิบาย ให้เหล่าทหารหาญได้ฟังถึงหนทางที่น่ากลัวว่า มีนางยักษ์ร้ายคอยยั่วยวนสารพัดความที่มันไม่ร้ายก็คือความร้ายของมัน! มันจะทำให้เหยื่อไม่ทันตั้งตัวหรือแม้รู้ตัวแล้วก็ยังลุ่มหลงมันได้ มันจะแปลงร่างเป็นสาวสวยสะคราญปานเทพอัปสร เสกสรรอวัยวะน้อยใหญ่มาชอนไชสายตาผู้คนให้หลงใหล ทั้งยังทำสรรพสำเนียงได้ไพเราะเพราะพริ้งชวนให้ทิ้งทุกสรรพสิ่งแล้วเข้าไปหามัน ซ้ำยังเนรมิตอาหารให้ผู้ติดในรสได้เมามัวจนลืมตาย กระทั่งยังสรรหาที่หลับสบายเอาไว้นอนยามอ่อนล้ามาหลอกล่ออีกด้วย เช่นนี้แล้วท่านขุนพลทั้งหลายยังจะทนไหวได้อยู่ฤา?

    5 ยอดขุนพลฟังอย่างตั้งอกตั้งใจพลันให้รู้สึกระวังตัวขึ้นมาทันที เนื่องเพราะคนทั้ง 5 ล้วน แล้วแต่ชอบสิ่งยั่วยวนกันคนละประเภทครบทั้ง 5 พอดี!

    แต่ทว่า ทั้ง 5 ไม่เชื่อว่าตนจะมิอาจทนทานได้ ยิ่งเมื่อรู้ตัวก่อนว่าจะพบสิ่งดังกล่าวกลับยิ่งให้มั่นใจว่าตนสามารถฟันฝ่าไปได้อย่างแน่นอน และด้วยมานะศักดิ์ศรีแห่งทหารองค์รักษ์ย่อมมิอาจทอดทิ้งพระองค์ไปได้ คนทั้งหมดจึงพร้อมใจกันทูลอ้อนวอนหนักแน่น..
    "ข้าแต่สมมติเทพ! หากพวกข้าพระบาทได้เสด็จตามพระองค์ไปด้วยแล้ว ข้าพระบาททั้งหลาย จะไม่สนใจมองดูพวกเหล่านั้นเลย พระเจ้าข้า พวกข้าพระบาทจะต้องไปให้ถึงที่ตักกสิลาให้ได้เช่นกัน"

    เจ้าชายสุดจะทรงทัดทานได้อีกแล้ว จึงตรัสว่า..
    "ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็อย่าประมาทแล้วกัน"

    แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางกันทันที เจ้าชายและ 5 ขุนพลเดินทางมาถึงดงดังกล่าวแล้ว บรรยากาศเริ่มอึมครึมเงียบเหงาอย่างยิ่ง ยังคล้ายมีเสียงแปลกๆ แว่วมาแต่ไกล คนทั้ง 6 เดินไปได้ ระยะหนึ่งก็พลันพบบ้านหลังหนึ่ง! บ้านที่ไม่ค่อยสวยแต่กลับสวยที่คนนั่งหน้าบ้าน ทุกคนเตรียมใจไว้ก่อนแล้วจึงมีดวงตาคล้ายดั่งรู้ทันว่านั่นคือยักษ์สาวแปลงมา แต่ห้าขุนพลกลับคาดมิถึงว่าหญิงงามจะสวยสะคราญถึงปานนี้! ช่างเป็นความสวยที่รัดรึงใจบุรุษให้หลุดออกจากร่างโดยแท้! ทุกคนแน่แก่ใจแล้วว่าดงนี้อันตรายอย่างยิ่งและไม่สงสัยเลยว่าเหตุไฉนจึงไม่เคยมีชายใดสามารถผ่านดงนี้ไปได้เลย ทั้ง 6 เริ่มสัมผัสถึงความน่าสะพรึงกลัวที่เกินกว่าจะพรรณนาได้อีกแล้ว! ทุกคนเดินผ่านไปอย่างสำรวม ระวังตัวเป็นที่สุด แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นในกลุ่ม เมื่อเหลียวมองกันพลันพบว่ามีขุนพลคนหนึ่งคล้ายกับตายไปแล้ว! ดวงตาเหม่อลอย มือสั่นวางเปะปะ ตัวอ่อนเข่าอ่อนล้าระทวยเหมือนจะเดินตามทุกคนไม่ทันร่ำไป เจ้าชายรีบตรัสเตือนสติถามว่า..
    "ท่านขุนพล! ทำไมจึงเดินช้าลงไปเล่า?"

    "เท้าของข้าพระบาทบาดเจ็บ! ขอนั่งพักในศาลาสักหน่อยแล้วจะตามไป พระเจ้าข้า" ขุนพลตอบอย่างใจลอย

    "นั่นมันฝูงนางยักษ์นะ! เจ้าอย่าไปสนใจมันเลย" เจ้าชายตรัสย้ำ

    "องค์ชายขอรับ จะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นไปเถิด ข้าพระบาททนไม่ไหวแล้ว" ยอดขุนพลทูลอย่างไม่อาจยับยั้งอะไรได้อีก เจ้าชายสุดจะทรงห้ามปรามได้ หนึ่งขุนพลตายไปแล้วจริงๆ ขุนพลท่านนั้น รีบเดินเข้าไปหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ก็มิสนใจทุกสิ่งอีกแล้ว..

    บัดนี้เสียขุนพลไปหนึ่ง ทั้ง 5 ยังคงมุ่งหน้าต่อไป พบศาลาอีกหลัง! ในศาลามีวงดนตรี ในวงดนตรีมีสาวสวยขับร้องนำ เสียงช่างไพเราะจับใจจนสามารถจับบุรุษมามัดไว้ได้ บุรุษทั้ง 5 แม้ปิดตาไม่ดูแต่มิอาจปิดกั้นหูมิให้ได้ยิน จึงคิดจะรีบรุดเดินผ่านไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ขุนพลผู้หนึ่งล้าหลังลงอีกแล้ว! เพียงแค่ล้าหลังฟังน้ำคำอันอ่อนหวานจับใจมิทันไรก็ถูกยักษ์จับเคี้ยวกินทันที เสียงได้คร่าวิญญาณขุนพลไปอีกหนึ่ง..

    ทั้ง 4 ยังมุ่งหน้าต่อไป บังเอิญพบร้านขายข้าวแกง! ช่างตั้งร้านได้เหมาะเจาะพอดี ทุกคนกำลังหิว คนหิว ยักษ์ก็หิว บุรุษทั้ง 4 เดินทางมายาวนานซ้ำยังเร่งรีบอย่างยิ่ง อากาศก็ร้อนจัดและยังต้องคอยระวังภัยสารพัดจนความกดดันได้ดันอาหารให้หายไปจากกระเพาะนานแล้ว เวลานี้ช่างหิวจนยากจะทนทาน กลิ่นข้าวแกงก็โชยมากระทบจมูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าดุจคลื่นกระทบฝั่ง แต่ใจคนมิใช่ฝั่ง ในที่สุดใจคนก็แตกทำลาย! มี 2 ขุนพลหิวจนตาลายทนไม่ไหวถึงกับเดินไปหายักษ์เพื่อขอข้าวกิน เมื่ออิ่มท้องแม้สำนึกเสียใจก็สายเกินไป..
    เจ้าชายสูญเสียทหารหาญไป 4 นายแล้ว ทรงข่มกลั้นความเจ็บปวดพระทัยเอาไว้ อย่าว่าแต่ ก่อนมาพระองค์ก็ทรงเตรียมพระทัยไว้แล้วว่ามาคราวนี้ต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เข้าสู่สนามรบย่อมต้อง มีบาดแผล ย่อมต้องมีสูญเสีย! นี่คือธรรมดาแห่งการรบ อีกประการยามนี้พระองค์จำต้องมีสมาธิให้มากที่สุด ไม่มีเวลาให้พระทัยวอกแวกแม้สักวินาทีเดียว เนื่องเพราะวินาทีเดียวก็เป็นวินาทีแห่งความตาย! หากใจพระองค์ไขว้เขวจนกิเลสในใจพระองค์ฟุ้งขึ้นมาเมื่อใด ในสถานการณ์เช่นนี้นับว่ายากที่จะ ข่มมันลงได้อีกแล้ว ฉะนั้นเวลานี้พระองค์ยังคงต้องสงบใจเข้าไว้แล้วรีบเสด็จรุดหน้าต่อไปให้เร็วที่สุด

    เจ้าชายกับขุนพลคนสนิทอีก 1 นายเดินไปได้ระยะหนึ่งก็เห็นทางออกจากดงอยู่ไม่ไกล ขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกจากดงก็พลันพบที่นอน! นับเป็นที่นอนใหญ่โตขนาดภูเขาย่อมๆ มันดู นุ่มนิ่มอ่อนละมุนไปหมด ที่หลับนอนมาปรากฏในยามนี้ ยามโพล้เพล้อาทิตย์ใกล้ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีแดงอ่อนๆ ช่างชวนให้ผู้อ่อนล้าให้ผู้อ่อนล้าได้เคลิบเคลิ้มง่วงนอนขึ้นมาทันที ทหารองครักษ์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็พลันรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนมิอยากจะก้าวต่อไป ทั้งที่อีกไม่นานก็จะออกจากดงเข้าสู่เมืองตักกสิลาแล้ว ทั้งที่รู้ว่านั่นคือเตียงมรณะ! แต่นายทหารได้เดินเข้าไปนอนแล้ว การนอนพักย่อมต้องสบายแน่ สบายไปชั่วชีวิต เมื่อไร้ร่างกายแล้วไหนเลยจะเมื่อยล้าอีก ขุนพลพลันพบเห็นตนนอนอยู่บนผืนทราย ชาตามร่างกาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แม้สำนึกเสียใจก็สายเกินไป..
    เป็นอันว่า ทหารองครักษ์ทั้ง 5 ที่ขอติดตามมาและยืนยันมั่นคงว่าจะต้องผ่านดงนี้ไปให้ได้ บัดนี้ได้ตายหมดสิ้นแล้ว! ตายเพราะลืมเป้าหมายไปชั่ววูบ วูบเดียวก็เกินพอ! เป็นวูบแห่งความตาย วูบแห่งการทิ้งเป้าหมาย หากมิได้ผูกเป้าหมายให้มั่นในใจดั่งโซ่รัดไว้ย่อมต้องพบจุดจบเช่นนี้ ..ตาย อย่างไร้เป้าหมาย!

    พระราชโอรสยังคงเสด็จมุ่งหน้าต่อไป นางยักษ์ได้กินคนมาตลอดทางแต่ให้เจ็บใจเหลือกำลังที่ยังกินเจ้าชายองค์นี้ไม่ได้สักที จึงเกิดมานะว่าถ้ากินไม่ได้ก็จะไม่กลับเมืองยักษ์ นางยักษ์เดินตามราชโอรสไปเรื่อยๆ.. พ้นปากดงแล้ว นางยักษ์ยังคงตามมา พวกชาวบ้านใคร่รู้เข้ามาถามสาวสวยว่า..

    "นี่! เธอเดินตามชายคนนี้ต้อยๆ เขาเป็นอะไรกับเธอรึ?"

    "เขาเป็นสามีของฉันเองค่ะ" นางยักษ์มารยาตอบ

    "โอ้! พ่อมหาจำเริญ! สาวน้อยนางนี้ช่างเปราะบางอ่อนแอน่าทะนุถนอมดั่งกลีบบุปผา ผิวก็งามเยาว์วัยปานนี้ นางอุตส่าห์ทิ้งบ้านตามท่านมาก็เพราะรักท่านดอกนะ ทำไมท่านถึงปล่อยให้นางลำบากอยู่ล่ะ ไม่จูงนางไปเล่า? "ชาวบ้านกล่าวกับชายหนุ่ม

    "ท่านทั้งหลาย! นั่นมิใช่เมียเรา มันเป็นนางยักษ์! คนของเรา 5 คนถูกมันกินไปหมดแล้ว" ราชบุตรอธิบายให้ชาวบ้านฟัง

    "โถ.. พวกผู้ชายยามโกรธก็ชอบหาว่าเมียตัวเองเป็นยักษ์บ้าง เป็นเปรตบ้าง.." นางยักษ์กล่าวไปพลางสะอื้นไป
    พระโอรสไม่คิดเจรจาต่อไปอีก รีบเสด็จเดินทางต่อไป นางยักษ์แปลงเป็นหญิงคลอดหมายให้ชาวบ้านเข้าใจพระโอรสผิด แต่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัย ทรงรีบมุ่งหน้าโดยเร็วจนถึงพระนครตักกสิลา พระองค์ประทับนั่งพักอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง นางยักษ์เนรมิตรูปเป็นนางฟ้ายืนอยู่หน้าประตูศาลารอคอย โอกาสอยู่ ครานั้น พระราชาเสด็จออกประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นสาวสวยดั่งเทพธิดาที่หน้าประตูศาลา ทรงมีจิตปฏิพัทธ์เต็มพระหฤทัย ตรัสรับสั่งให้ทหารไปไต่ถามว่ามีสามีรึยัง เมื่อนางตอบว่าสามีนางคือคนในศาลาแต่ชายในศาลากลับตอบว่านางคือยักษ์แปลงมา ทหารจึงนำความไปกราบ ทูลพระราชา พระราชาทรงยินดีสดับความข้างฝ่ายหญิง ทรงเทพระทัยให้หญิงงามด้วยความลุ่มหลงมัวเมาจนขาดวิจารณญาณ ตรัสเรียกนางให้มานั่งเหนือพระคชาธารร่วมกับพระองค์ ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีทันที ตกค่ำพระราชาทรงรื่นรมย์บรรทมหลับกับนางยักษ์ เมื่อพระราชาทรงบรรทมแล้ว นางยักษ์ไปเมืองยักษ์ชวนพรรคพวกมาเคี้ยวกินคนในวังจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงกระดูก รุ่งเช้าชาวเมืองเห็นประตูวังยังไม่เปิดก็พากันเอาขวานจามประตูบุกเข้าไป ต้องตกตะลึงเพราะเห็นทุกแห่งหนเกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูก แล้วพูดต่อๆ กันไปว่า..

    "ชายในศาลาคนนั้นพูดไว้เป็นความจริงทุกประการ เขาบอกว่านางคนนี้มิใช่เมียของเรา มันเป็นนางยักษ์ แต่พระราชากลับไม่ทรงเชื่อ ทรงพามันมาแต่งตั้งให้เป็นมเหสี พอตกค่ำมันก็ชวนพรรคพวกมากินกันเสียหมดวัง"
    วังร้างไร้กษัตริย์ ชาวเมืองเกรงจะไม่ปลอดภัยจึงประชุมปรึกษากันว่าจะหาพระราชาองค์ใหม่

    "เมื่อวาน บุรุษนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นบุรุษอาชาไนยโดยแท้ มีสาวงามขนาดนั้นเดินตามต้อยยังอุตส่าห์ตัดใจได้ มิได้หลงใหลเหลียวแลดูเลย เขามีใจหนักแน่น เป็นสัตว์ประเสริฐแท้! สมบูรณ์ด้วยสติจริงๆ หากบุรุษเช่นนี้มาปกครองแว่นแคว้น เราก็จะมีแต่สุขสันต์แน่แท้ พวกเรายกให้เขาเป็นพระราชากันเถิด" เสียงหนึ่งในที่ประชุมกล่าวขึ้น
    ในยามนั้น พระราชโอรสได้ทรงถือพระขรรค์ประทับยืนระวังพระองค์อยู่ในศาลาจนรุ่งอรุณ

    พวกอำมาตย์และชาวเมืองทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ เข้าไปเฝ้าเจ้าชายในศาลาแล้วสถาปนาให้เป็นกษัตริย์แห่งตักกสิลา แต่นั้นมาพระราชาพระองค์ใหม่ได้ทรงบริหารบ้านเมืองโดยธรรม ทรงไร้ซึ่งอคติ 4 ดำรงมั่นในทศพิธราชธรรมไม่ทรงทำให้ชาวเมืองผิดหวัง คือทรงปราบโจรผู้ร้ายทำให้ชาวเมืองเดินเหินสะดวก ทรงผนวกเศรษฐกิจกับจิตใจไปด้วยกันทำให้ชาวเมืองสุขสันต์ด้วยธัญญาหารและการแบ่งปัน ทรงสรรค์สร้างการศึกษาให้ประชาชนมีความรู้ควบคู่คุณธรรม ทำให้มีคนฉลาดเต็มเมือง ลือเลื่องคุณธรรม ข้าศึกต่างเกรงขาม อีกทั้งยังทรงแนะนำให้ชาวเมืองประกอบกุศล สั่งสมบุญ ทำทาน รักษาศีล เมื่อละโลกก็ไปพักมีสุขในสวรรค์กันถ้วนหน้า
    น่าเสียดาย.. ขุนพลทั้ง 5 ที่ร่วมทุกข์กันมาตลอด มิอาจมาร่วมสุขเคียงข้างพระองค์ได้อีกแล้ว..

    ประชุมชาดก
    พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชกุมารผู้ครองราชสมบัติครั้งนั้นมาเป็นตถาคตแล

    จากชาดกเรื่องนี้ ขุนพลทั้ง 5 ล้วนกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจน แต่ทุกคนก็ทิ้งเป้าหมายลงไปในช่วงเวลาวิกฤตทั้งสิ้น! ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใจถูกยึดการปกครอง ถูกกิเลสควบคุมไว้จนหมด หากผู้ใดมีเป้าหมายที่มั่นคงจะสามารถดึงตนให้หลุดจากกระแสกิเลสในช่วงวิกฤตนั้นได้ การสร้างอธิษฐานบารมีเป็นการสร้างนิสัยที่ทำเป้าหมายให้มั่นคง เพื่อป้องกันมิให้ลืมเป้าหมายไปในช่วงวิกฤตนี้
    ทุกคนสามารถมีเป้าหมายเหมือนกันได้ แต่ความมั่นคงย่อมต่างกัน ผู้ใดมีอธิษฐานบารมี ผู้นั้นย่อมประคองตนไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ความรักเป้าหมาย รักอุดมการณ์ นับเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง อธิษฐานบารมี หากสะสมความรักนั้นอย่างจริงจังจนฝังแน่นเป็นสันดานจะทำให้มีความสุขและสนุกสนานกับการสวนกระแสกิเลส และเดินทางไปสู่จุดหมายอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย เนื่องเพราะ รู้ว่ายิ่งฝ่าฟันไปมากเท่าไหร่ เป้าหมายที่ฝันไว้ก็ใกล้เข้ามาทุกที
    นิสัยแห่งอธิษฐานบารมี มีพร้อมในอิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นคุณเครื่องแห่งความสำเร็จคือ
    1. ฉันทะ ผูกสมัครรักใคร่ในเป้าหมายนั้น นึกถึงบ่อยๆ ทั้งหลับทั้งตื่นในอิริยาบถต่างๆ
    2. วิริยะ (เมื่อนึกถึงบ่อยๆ) จนเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจถึงระดับที่ไม่อยากทำสิ่งใดที่ขัดต่อเป้าหมาย เพราะกลัวจะไม่สำเร็จ
    3. จิตตะ (เมื่อตั้งใจจริง) ทำให้ใจจดจ่อ ตรึกถึงความสำเร็จอยู่ตลอด จนมองข้ามอุปสรรคทั้งหมดไปได้
    4. วิมังสา (เมื่อเฝ้าจดจ่อ) ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันตนเองไปสู่จุดหมายให้ได้
    "ความรัก" จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสร้างอธิษฐานบารมี หากเพียงฝันลมๆ แล้งๆ ไม่มุ่งมั่นให้จริงลงไป กระทั่งยังทำสิ่งที่ขัดต่อเป้าหมาย ความรักในเป้าหมายเยี่ยงนี้มีปริมาณน้อยเกินไป เพียงแค่บรรจุเป้าหมายไว้ในใจ แต่มิได้ผูกรักผูกพันเอาไว้ หากปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เป้าหมายก็จะค่อยๆ เลือนลางไปเอง กระแสกิเลสจะล่อให้มุ่งหาแต่ความเพลิดเพลินเรื่อยไป ตราบใดยังหาความเพลิดเพลินได้จากที่ใดก็ติดอยู่กับที่นั้น หากไม่พบความเพลิดเพลินอีก หรือเบื่อหน่ายจนทนทานไม่ไหวก็ออกนอกเส้นทางไปหาสิ่งสนุกสนานสนองกิเลสต่อไป ดังนั้นผู้ที่กล้าทิ้งทุกสิ่งเพื่อเป้าหมาย จึงต้องผูกใจรักมั่นในเป้าหมายดั่งหวายรัดไว้ จนสามารถตั้งมั่นฟันฝ่ากิเลสไปได้ ดั่งภูเขาหินแท่งทึบที่ไม่หวั่นไหวต่อแรงลม ฉันนั้น

    "นิสัยรักเป้าหมาย, ไม่ชอบทำสิ่งที่ขัดต่อเป้าหมาย, นึกถึงประโยชน์ของเป้าหมาย, ชอบตอกย้ำซ้ำเดิมเป้าหมาย, จดจ่อเป้าหมาย, ผลักดันให้สำเร็จตามเป้าหมาย, รักการวางแผน, ชอบความสำเร็จ, มีเป้าหมายเป็นหลัก มองข้ามอุปสรรค, ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว, มีใจเพชรเด็ดเดี่ยว ตัดใจได้ขาด, ไม่บรรลุเป้าหมายไม่ยอมเลิกรา, ไม่ชอบลดระดับเป้าหมาย และรักษาเป้าหมายด้วยชีวิตและจิตใจ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในอธิษฐานบารมี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ที่มา : SB 405
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    สนใจอะไรมากครับ.....ทำวันนี้ให้ดีที่สุด.....
     
  10. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ถ้าสังเกตุ การเกิด ดับของความ ชอบ-ไม่ชอบนั้น
    มีการเกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป
    จิตมีสังขารขันธ์ คือการปรุงแต่ง อยู่ ตลอดเวลา หากยิ่งเห็นชัด เท่าไร ก็เท่ากับเห็นธรรม คือเห็นตามความเป็นจริง
    หาก เห็น บ่อยๆ เห็นตลอดเวลา ก็จะเริ่ม เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในอัตภาพคือความเป็นตัวเรานี้ เมื่อสละละทิ้งหมดได้ แม้กระทั่งเครื่องมือที่พาเราไป ก็ถือว่าถึงที่สุดแห่งธรรม
     
  11. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ

    ถ้าหากเป็นที่บ้านของหนูแล้วหนูจะพูดกับแม่ หรือคนในบ้านขึ้นมาเมื่อไหร่ว่า

    นี่ๆๆหนูอยากนิพพานนะ ก็จะมีเสียงเข้ามาเลยค่ะ บ้า โรคจิต= =

    เวลาไปทำบุญหรือถือศีลแปดที่วัดก็มาอีกแล้วค่ะก่อนไป บ้าโรคจิต^^

    ยังไงก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ ไม่ไปสวรรค์ อยากไปนิพพานเลยใช่มั้ยคะ หนูเข้าใจถูกมั้ยคะ

    ทำบุญทุกครั้งหนูอธิษฐานจิตทุกครั้งเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2010
  12. inthon-514

    inthon-514 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    kengkenny ครับแต่พระพุุทธองค์ทรงตรัสว่าอย่าเชื่อใครจนกว่าจะพิจารณาความเชื่อด้วยตนเอง หาก จขกท. เขาสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
     
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ควรทำแต่พอดี ควรคิดอย่างพอดี เพราะการเชื่อนั้นก็เป็นไปโดยลำดับ อาศัยทั้งเหตุปัจจัยของตนเองและการปฏิบัติตามคำสอน มันไม่แปลกครับ แค่เน้นลงไปเท่านั้น เพราะหากสงสัยจริงๆต้องปฏิบัติให้ได้ แต่หากเพียงสงสัยเฉยๆแต่ไม่ทำอะไร นั่งดูนั่งคิดไม่พิสูจน์สิ่งที่ควรทำควรพิสูจน์ ผมก็ว่า ยังตอบไม่ได้เต็มปากว่าที่พระศาสดาสอนว่า อย่าเชื่อใครจนกว่าจะพิจารณาความเชื่อด้วยตนเอง ก็คงเป็นเพียงความคิด และความคิดก็นำไปสู่ความฟุ้งซ่าน ท่านinthon ว่าจริงไหมครับ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    มนุษย์ไม่เอา สววรค์ไม่เอา พรหมไม่เอา

    ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น

    คิดเอาไว้แบบนี้เลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...