###พระกริ่ง vs หลวงพ่อทวด นารายณ์รุ่งเรือง .....เสกครบตำนาน###

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 19 เมษายน 2010.

  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตำนานความเป็นมาของพระกริ่งและพระชัยวัฒน์
    [​IMG]
    คำว่า “กริ่ง” นี้ มาจากคำถามที่ว่า “กึ กุสโล” คือเมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรมมีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขา เวทนา ปฺญญาภิสังขารเปลี่ยนไป อเนญชา เป็นเหตุให้พระโยคาวจรเอะใจขึ้นว่า “กึ กุสโล” นี้เป็นกุศลอะไร เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดไม่เหมือนกับกุศลอื่นที่ผ่าน “ดับสนิท” คือ พระนิพพานนั่นเอง
    สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศเทพวรารามทรงสร้างพระกริ่ง และพระชัยวัฒน์นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

    ทรงเล่าว่า เมื่อพระองค์ทรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีมหาโพธิ์ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม เมื่อสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่าเคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์ให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่าพระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จสมณเจ้าจึงรับสั่งให้นำมาแล้ว อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์โรคอหิวาก็บรรเทาหายเป็นปรกติ
    พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นพระกริ่งเก่าหรือไม่ ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง
    ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งนี้ขึ้นเป็นลำดับ ค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณแล้ว เริ่มขึ้นที่ประเทศธิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีนและประเทศเขมร

    เรื่องกำเนิดพระกริ่งของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ เรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ชีวิต” ปีที่ 5 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2505 เป็นว่ามีสาระประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวเพื่อเชิดชูในเกียรติที่ท่านผู้มีปัญญาเลิศผู้หนึ่งในยุค 25 ความว่า ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่อง
    ฝ่ายพระผงเห็นจะได้แก่พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จ” วัดระฆัง”
    ฝ่ายพระโลหะเห็นจะได้แก่ พระกริ่งของสมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกร หรือที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศ”
    พิธีกรรมการสร้างพระผงแต่โบราณมาต้องทำผงวิเศษ ซึ่งสำเร็จจากสูตรสนธิต่าง ๆ ที่ขีดเขียนลงในกระดาษชนวน แล้วลบถมจนได้ที่ เป็นจำนวนผงที่ต้องการ สำหรับผสมกับการอื่นๆ พิมพ์เป็นองค์พระ

    การสร้างพระโลหะหรือพระกริ่งก็เช่นเดียวกันจะต้องลงเลขยันต์ในแผ่นโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมลงยันต์โดยมากท่านนิยมลงด้วยพระยันต์ 108 นปถมัง14 นะ ว่ากันว่าเป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การสร้างก็ต้องมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ ประกอบ
    พระกริ่งปวเรศนี้ เล่ากันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ ทรงสร้างพระกริ่งในเบื้องปัจฉิมสมัยแห่งพระชนมายุ แต่สร้างคราวละเล็กน้อยเชื่อกันว่ามี 2 คราวเท่านั้น ทรงแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิดและเจ้านาย ข้าราชการประชาชนที่มาสดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศวิหาร

    ฉะนั้นพระกริ่งปวเรศฯ จึงมีน้อยไม่แพร่หลาย ต่อมาเจ้าคุณวัดมกุฏกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองค์ท่าน ไปจัดสร้างขึ้นบ้างก็เป็นจำนวนน้อย ภายหลังตำราไปตกอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรรดิราชวาส ตามปากราษฎรเรียกว่า “ท่านเจ้ามา” เป็นพระเถระเชี่ยวชาญทางสมถภาวนา อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ำลงไปลงตะกรุด ณ ท่าแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดได้ ต่อมาท่านเจ้าก็มาเป็นประสาธน์ตำราแก่พระเทพโมฬี (แพ ติสฺสเทวา) วัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งภายหลังพระเทพโมฬีเจริญสมณศักดิ์โดยลำดับ จนได้ครองสมณอัครฐานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ 8 พระเทพโมฬีไดสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรก และได้สร้างติดต่อกันเรื่อยมาเป็นนิตย์ครั้งละมากบ้างน้อยบ้าง จนถึงดำรงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจำเดิมแต่นั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ต่างสำนัก-นแบบสร้างพระกริ่งกันแพร่หลาย
    พระพุทธลักษณะของพระกริ่งเป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทาง ประเทศธิเบต และปรากฏในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกันกับเราเรียกว่า “กริ่งปทุม” ประเพณีสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้ และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว

    ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้ว ก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาสมถธุระวิปัสสนาธุระ

    อันที่จริงพระกริ่ง ก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานยิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่งคือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร” แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันว่าดังนี้

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนี พุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก 8,000 องค์ พระโพธิ- 36,000 องค์ และพระราชาธิบดี เสนาอำมาตย์ตลอดจนปวงเทพก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉลียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดปรานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธานและคุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับ-ตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ” พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี โพธิ-แล้วจึงทรง-งพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า

    “ดูก่อนกุลาบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที 10 นทีรวมกัน ณ โลกธาตุหนึ่งนามว่าวิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ นั้นมีพระพุทธเจ้า ซึ่งมีทรงนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้รู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งทางโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ เป็นสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดา และมนุษย์เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอน- ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตกาล เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิ-บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน 12 ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพ-ให้บรรลุ
    มหาปณิธาน 12 ประการเป็นไฉน

    1. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรือง ส่อง-ทั่วอนันตโลกุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ขอให้สรรพสัตว์จึงมีวรกายดุจเดียวกับเรา
    2. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตข์ ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึกส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปราถนา
    3. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้เราได้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนเลย
    4. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรคหากมีผู้ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนิดปฏิปทาแบบมหายาน
    5. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมณ์จรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่างได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อสดับนามแห่งเราก็ขอให้ จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคคตินิรยาบาย
    6. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพ-มีกายอัน-ทรามมีอินทรีย์ไม่ผ่องใสโง่เขลาเบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนาม แห่งเราก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์
    7. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพ- ปราศจากวงศาคณาญาติอันความยากจนค้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่โสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายในอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติจนที่สุดก็จัดได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
    8. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปราถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปราถนา จนที่สุดก็จะได้สำเร็จแก่โพธิญาณ
    9. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะสามารถยัง-ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้-เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิและให้ได้บำเพ็ญโพธิ-จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด
    10. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี-เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตารางหรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอัววิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และมีคุณาภินิหาร ของเรา ขอให้-เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว
    11. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี-เหล่าใดมีความทุกข์ ด้วยความ-วกระหายและประกอบอกุศลกรรม เพราะเหตุแก่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจะได้ประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังให้เขาอิ่มหน่ำสำราญ แล้วจะประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข
    12. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี-เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้เขาจักได้สิ่งที่ปราถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆ ฯลฯ

    ครั้นแล้ว พระบรมสาสาคาศากยะมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรีพุทธนี้ มีพระโพธิ-ใหญ่ 2 องค์ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิ-ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรง-งอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี” ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแลไซร้ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้ายศาสตราวุธทำอันตรายมิได้ -ร้ายทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ

    นอกจากนี้ยังทรง-งถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีบูชาเครื่องนั้น ๆ และทรงประธานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรว-วทุกขภินทนาสมาธิ” ปรกฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้

    “นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไสฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺทเต สมฺยกสมฺพุทฺธาย โอมฺ ไภเษชฺเย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”

    ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ-ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ 108 หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ”
    พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิศดารอีกมากแต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่าท่านผู้ชมได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถามหาธารณีนั้นท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งได้และควรนับถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่ง โดยเฉพาะทีเดียว

    เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัดประเทศจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้ และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น

    อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ
    ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท” พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์ แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิ- อันเป็นพระโพธิ-แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิ-แห่งปัญญา อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102 แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่าพระกริ่งปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์

    ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้ เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป ฉะนั้น

    ส่วนพระกริ่งเขมร พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินเขมรเป็นผู้สร้าง ที่ได้ยินชื่อเรียกบ่อย ๆ “เรื่องพระกริ่งปทุมนี้ข้าพเจ้าได้ทูลถามเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่าพระกริ่งของพระองค์ที่สร้างครั้งก่อน ๆ -นแบบจากพระกริ่งของประเทศใด สมเด็จฯ รับสั่งว่าได้แบบจากพระกริ่งปฐมวงศ์เพราะเห็นพระกริ่งที่ท่านทรงสร้างก่อน ๆ นั้นพระนั่งปางมารวิชัยพระหัตถ์ซ้าย ถือวชิราวุธประทับบนบัวคว่ำบัวหงาย 7 กลีบด้านหลังของพระเกลี้ยงไม่มีกลีบบัว และก็ไม่ได้มีเครื่อง-ยอะไร พระองค์ทรงสร้างกริ่งในตัวเนื้อโลหะเป็นทองชนิดเดียวกัน
    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อยังมีพระชนย์มายุอยู่เคยเสด็จมาคุยกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ สมัยเป็นพระพรหมมุนีบ่อย ๆ ครั้งเหมือนกันทราบว่ามาชมหลวงพ่อดำ (พระเชียงแสน) เจ้าคุณอาจารย์เล่าว่า พระบูชาที่หล่อในยุคนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นผู้แนะนำแบบพิมพ์ด้วยเหมือนกันของฉันหล่อ 2 องค์เลย

    อนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่าพระกริ่งเป็นของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเราแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าปทุมสุริวงศ์สร้างไว้ เพราะไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น เมื่อครั้งรั-าลที่ 4 พระอมรโมลี (นพ) วัดบุป้างราม ลงมาส่งพระมหาปานราชาคณะธรรมยุติ ในกรุงกัมพูชาองค์แรก ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จสุคนธ์นั้นมาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัมภันตริกามาตย์) ท่านให้แกเราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง เมื่อเราบวชเป็นสามเณรได้นำไปถวาวเสด็จฯ พระอุปัชฌาย์ ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์นั้นมี 2 อย่าง สีดำอย่างหนึ่ง สีเหลืององค์ย่อมมากกว่าสีดำอย่างหนึ่ง แ-่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้น
    ต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย พระครูเมืองสุรินทร์เขามากรุงเทพฯ เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่งก็เป็นอย่างสีดำได้เทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย จึงเขาใจว่าพระกริ่งนั้น เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีนมาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆนี้ ด้วยราชฑูตประเทศหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง ได้พระกริ่งทองทางของจีนมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่ง พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่าพระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบตำราในลัทธิฝ่ายมหายาน เรียกว่า “ไภษัชยคุรุ” เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องยาบำบัดโรค ถือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ เป็นต้น

    สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพระกริ่งจึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์ เรามาเที่ยวนั้นตั้งใจจะมาสืบหาหลักฐานว่าพระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองพนมเปญพบพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรือเคยพบเห็นพระกริ่ง มีออกญาจักรี่คนเดียวเห็นบอกว่า สัก 20 ปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่ครั้นมาถึงนครวัดมาได้ความจริงจากเมอร์ซิเออร์มาร์ชาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อสัก 2 – 3 เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขามาเก็บ พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์เอามาให้เราดู เป็นพระกริ่งสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างเนื้อดำและเนื้อเหลือง ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบายจึงเป็นอันได้ความแน่ว่า พระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่ แต่จะนำมาจำหน่ายจากเมืองจีน หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ไม่ทราบได้ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตอนนี้ก็เห็นชัดว่า พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ใครเป็นผู้สร้างและแพร่หลายมาเมืองไทยเรามากพอควร

    สมเด็จฯ จะได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาจากผู้ใดนั้นปรากฏหลักฐานตามหนังสือหลายเล่มได้สันนิษฐานไว้เป็นสองทาง คือ บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระพุฒาจารย์” (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระมงคลทิพย์มณี” (เทียบ) วัดพระเชตุพนฯ

    สมเด็จฯ ภายหลังจากที่ได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาแล้วพระองค์ก็ทรงค้นคว้า มุ่งแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณมีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มาทดลองหล่อผสม หาวิธีการที่จะทำเนื้อโลหะ ให้เกิดความบริสุทธิ์และมีฤทธิ์สมดังคำบรรยายที่มีเขียนไว้ในตำรา และทรงค้นควาอย่างจริงจังดังปรากฏตามคำบอกของท่านเจ้าคุณราชวิสุทธาจารย์ (แป๊ะ) วัดสุทัศน์ฯ และอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร ว่า เมื่อคราวจัดงานพระศพของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ลงไปใต้ถุนตำหนัก เพื่อสำรวจสถานที่ที่เตรียมจัดงานพระศพได้พบก้อนแร่หลายชนิด พบอ่างเคลือบประมาณ 10 กว่าใบ พบครกเหล็กขนาดใหญ่วัดเ-ผ่าศูนย์กลางประมาณ 14 นิ้วฟุต มีรอยตำมาอย่างมากจนก้นทะลุ พบสูบนอนทำด้วยไม้สัก แต่ผุจวนจะหมด -งว่าเลิกค้นคว้ามานาน พบเบ้าหลอมแร่ที่แตก ๆ จำนวนมากเป็นกองโต พร้อมกับก้อนแร่เป็นจำนวนมาก เป็นที่น่าเสียดายว่าขณะนั้นเป็นการเวลาที่รีบเร่ง เพราะกำลังจัดงานพระศพ ประกอบกับการเสียใจในการจากไปของท่าน ทำให้ผู้ที่พบทั้งสองท่านไม่ได้คิดว่าจะอนุรักษ์ความเพียรพยายามของสมเด็จฯ ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังดูจึงได้ทำการเกลี่ยดินและกระทุ้งจนแน่น เทพื้นซีเมนต์ทับ ทำให้หลักฐานหมดไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อทรงพระชนม์อยู่เคยรับสั่งกับอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร ขณะอุปสมบทว่า “ค้นหาแร่ธาติที่นำมาสร้างพระกริ่ง ถ่านหมดไปหลายลำเรือ” เป็นความจริงตามหลักฐานปรากฏ และเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าทรงพยายามค้นคว้าอย่างจริงจัง ด้วยเจตนาที่ต้องการความเข้มขลัง


    การสร้างพระกริ่ง
    การสร้างพระกริ่งมีมาแต่โบราณ เริ่มขึ้นที่ประเทศทิเบต และจีน จึงเรียกติดปากว่า พระกริ่งทิเบต และ กริ่งหนองแส พระกริ่งเป็นพระพุทธเจ้าปางมาช่วยโปรด-โลก หรือเรียกกันว่า "พระไภสัชคุรุ" เป็นพระพุทธเจ้าปางหนึ่งของลัทธิมหายาน ซึ่งความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล ต่อมาได้แพร่หลายมานิยมสร้างในเขมรเรียกว่า "พระกริ่งอุบาเก็ง" หรือ "พระกริ่งพนมบาเก็ง" และ "พระกริ่งพระปทุมสุริยวงศ์"

    ตำราสร้างพระกริ่งดั้งเดิมอยู่กับ สมเด็จพระพนรัต วัดปาแก้ว (วัดใหญ่ชัยมงคล) จ.พระนครศรีอยุธยา แต่จะรวบรวมข้อมูลมาจากที่ใดบ้าง และท่านจะสร้างสร้างไว้บ้างหรือเปล่า ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ต่อมาตำราได้ตกมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระปรมานุชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ แต่ไม่มีหลักฐานการสร้างพระกริ่งของสมเด็จฯ ท่าน จนกระทั่งตำราตกทอดมาถึง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แห่งวัดบวรนิเวศ จึงได้ทรงสร้าง "พระกริ่งปวเรศ" ขึ้น โดยใช้โลหะ 9 อย่างที่เรียกว่า "นวโลหะ" คือ ทองคำ, เงิน, ทองแดง, สังกะสี, ปรอท, บริสุทธิ์, เหล็กละลายตัว, จ้าวน้ำเงิน, ชิน

    ซึ่งต่อมา เจ้าคุณเฒ่า วัดมกุฏกษัตริยาราม ได้นำแบบของพระองค์ไปจัดสร้างขึ้นบ้าง แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน หลังจาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ สิ้นพระชนม์ ตำราการสร้างพระกริ่งตกทอดมายัง "พระพุฒาจารย์ (มา)" หรือ "ท่านเจ้ามา" วัดสามปลื้ม เมื่อครั้งมีสมณศักดิ์เป็น "พระมงคลทิพมุนี" ท่านเคยดำริว่าเมื่ออายุครบ 80 ปีจะสร้างพระกริ่งตามตำรับเดิมที่ได้รับตกทอดมา แต่ท่านก็มรณภาพลงเสียก่อน ตำรานี้จึงตกไปอยู่กับ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ฯ และที่วัดนี้เองถือว่าเป็นตำนานในการพระกริ่งในประเทศไทย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนปัจจุบัน พระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ มีชื่อเสียงทรงคุณวิเศษหลายประการ มีผู้นิยมนับถือกันมาก ยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งหายาก เพราะ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงสร้างไว้จำนานไม่มาก

    สาเหตุที่ทรงสร้างพระกริ่งนั้น เนื่องจากเมื่อครั้งที่ สมเด็จพระวันรัต (แดง) พระอุปัชฌาย์ อาพาธเป็นอ-วาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ พระองค์ทรงเคยรักษาผู้ป่วยเป็นอ-วาตกโรคให้หายได้ ด้วยการอาราธนาพระกริ่งลงในน้ำทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ แล้วโปรด ให้น้ำนั้นแก่ผู้ป่วยดื่ม ปรากฏว่าหายอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว ก็อาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำน้ำพระพุทธมนต์ประทานแก่ สมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์นั้นแล้ว ก็บรรเทาหายอาพาธเป็นปกติ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ได้ทอดพระเนตรเห็นคุณวิเศษน่าอัศจรรย์ ของพระกริ่งในขณะนั้นแล้ว จึงเกิดความสนพระทัย และทรงเริ่มศึกษาค้นคว้าตำราที่จะสร้างพระกริ่งเรื่อยมา จนมีความรู้เชี่ยวชาญในการสร้างจนเจนจบ

    พระกริ่งของ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) หรือตำรับวัดสุทัศน์ฯ นั้น จะต้องเป็นเนื้อนวโลหะสัมฤทธิ์ ผิวเนื้อชั้นนอก ดำสนิทเป็นมัน ซึ่งผิวเนื้อสัมฤทธิ์นั้นมี 3 ชนิดคือ

    1. สัมฤทธิเดช เนื้อออกสีแดงหรือแดงแก่ เฉลิมพระนามว่า "พระกริ่งยอดฟ้า" เมื่อสัมผัสอากาศหรือไอเหงื่อจะกลับเป็นสีดำ เชื่อกันว่ามีคุณในทาง อำนาจ
    2. สัมฤทธิศักดิ์ เนื้อออกสีขาวหรือขาวอมชมพู เฉลิมพระนามว่า "พระกริ่งเลิศหล้า" เมื่อสัมผัสอากาศหรือไอเหงื่อจะกลับเป็นสีดำ เชื่อกันว่ามีคุณในทาง เจริญรุ่งเรืองยศสักดิ์ หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง
    3. สัมฤทธิโชค เนื้อออกสีเหลือง หรือเหลืองจัด เฉลิมพระนามว่า"พระกริ่งนั่งเกล้า" เมื่อสัมผัสอากาศหรือไอเหงื่อจะกลับเป็นสีดำ เชื่อกันว่ามีคุณในทาง เจริญ ลาภยศ สักการะ

    ทั้งนี้ โลหะที่จะใช้หล่อสร้างพระกริ่งนั้น สมเด็จฯ จะทรงเป็นผู้ให้ส่วนผสมเองทุกครั้ง เพื่อที่จะให้เนื้อนวโลหะเป็นเนื้อ กลับดำสนิท หรือที่เรียกว่า "เนื้อสัมฤทธิ์ดำ" (สัมฤทธิ์ แปลว่า สำเร็จด้วยอิทธิฤทธิ์) แต่โบราณนิยมใช้สัมฤทธิ์รวมประกอบ ในการพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น ครอบน้ำพระพุทธมนต์สัมฤทธิ์ ขันน้ำสัมฤทธิ์ โถเจมิสัมฤทธิ์ เต้าปูนสัมฤทธิ์ ตะบัน-กสัมฤทธิ์ ฯลฯ ถือกันว่าเป็นมงคลป้องกันเสนียดจัญไร

    ด้วยเหตุนี้ พระกริ่งของสมเด็จฯ จึงมีคุณวิเศษที่หลากหลาย ทั้งในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภ แม้กระทั่งทางอยู่ยงคงกระพัน

    พระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ นับว่าเป็น สำนักที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากเป็น สำนักที่สืบทอดตำราการสร้างไว้อย่างครบถ้วน แม้จะมี สำนักอื่น ๆ จัดสร้างขึ้นมากมาย แต่ไม่ สามารถทัดเทียมได้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้พระกริ่งของ สมเด็จพระ สังฆราช (แพ), เจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์) และอดีตเจ้าอาวาส ทุกองค์ รวมทั้งพระกริ่งรุ่นใหม่ที่ สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันล้วนเป็นที่ต้องการในหมู่นัก สะสม และได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย

    นอกจากนี้การแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณต่างๆ นั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย ตามตำราการ สร้างพระกริ่งเนื้อ นวโลหะสายวัดสุทัศนฯ ประกอบไปด้วย
    1.ชินน้ำหนัก 1 บาท (1 บาท = 15.2 กรัม)
    2.จ้าวน้ำเงิน น้ำหนัก 2 บาท (แร่ชนิดหนึ่ง สีเขียวปนน้ำเงิน)
    3.เหล็กละลายตัว น้ำหนัก 3 บาท
    4.บริสุทธิ์ทองแดงบริสุทธิ์น้ำหนัก 4 บาท
    5.ปรอท น้ำหนัก5 บาท
    6.สังกะสี น้ำหนัก 6 บาท
    7.ทองแดง น้ำหนัก 7 บาท
    8.เงิน น้ำหนัก 8 บาท
    9.ทองคำ น้ำหนัก 9 บาท
    มาหล่อหลอมให้กินกันดีแล้วนำมาตีเป็นแผ่นแล้วจารยันต์ 108 กับ นะ ปถมัง 14 นะ ครั้งได้ฤกษ์ยามดีก็จะพิธีลงยันต์ในพระอุโบสถต่อไป จากนั้นก็กลับนำมาหล่อตามฤกษ์อีกครั้ง

    ด้วยมวลสารพิธีกรรม และฤกษ์ ทำให้พระกริ่งที่ สร้างในยุคก่อนมีความเข้มขลังสามารถแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกันรักษาโรคได้ แต่การสร้างยุคหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรัด แม้ว่าจะเป็นเนื้อนวโลหะครบตามสูตร แต่การจารยันต์และฤกษ์การเทนั้นไม่เป็นตามตำรา พระกริ่งยุคหลังจึงนำมาแช่น้ำทำน้ำมนต์มาดื่มกันรักษาโรคไม่ได้ดีเท่าในอดีต
    พระกริ่ง เป็นพระเครื่องที่คนในวงการพระเครื่องเชื่อมากันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ "เซียนพระกริ่ง" ยังเชื่อกันอย่างแน่วแน่ว่า สามารถช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ทุกโรค โดยเฉพาะโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ และรักษาด้วยยาไม่ได้ ยามใดที่เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจงอธิษฐานขออำนาจพุทธคุณในพระกริ่ง แล้วนำพระแช่น้ำ จากนั้นก็เอามาดื่ม บ้างก็นำมาอาบ เพื่อความเป็นสิริมงคล โรคภัย ไข้เจ็บป่วยอยู่นั้น ก็จะหายโดยอัศจรรย์


     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    นับวันถอยหลังอีก13วันจะถึงวันเททองเเล้ว เรียกว่าจวนเจียนเวลาจริง ต้องเป็นสุดยอดฝีมือช่างหล่อพระกริ่งดินไทยชั้นครูจริงๆหาช่างเทยากมากๆเเละค่าใช้จ่ายสูงจริงๆ<!-- google_ad_section_end -->


    ติดต่อร่วมบุญได้ที่
    0819596937
    หรือ
    0819299151
     
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ภัยในโลกทุกวันนี้มากมายและใหญ่หลวง มิได้เว้นภัยของประเทศไทย ผู้รักความเป็นไท
    รักแผ่นดินไทย จึงต้องรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในการคิด ในการพูด ในการทำ
    มิฉะนั้นก็อาจเป็นคนไทยที่ทำลายไทยเองได้

    ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
    ประมาทแล้วพาตัวเองตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ประมาทแล้วพาชาติตายนั้นเรื่องใหญ่ที่สุด
    พึงรอบคอบให้ที่สุด ระวังให้ที่สุดที่จะไม่คิดอย่างประมาท ไม่พูดอย่างประมาท ไม่ทำอย่างประมาท
    เพื่อไม่พาประเทศชาติไปสู่ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวง

    ไทยจะสวัสดีหรือไม่สวัสดีอยู่ที่คนไทย ม่ใช่อยู่ที่คนอื่น ศัตรูแม้ร้ายกาจเพียงใดก็ทำอะไรไทยไม่ได้
    แม้คนไทยไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ทำลายไทย

    การมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าจะรักษาประเทศชาติไทยของเราอย่างสุดความสามารถ
    จะไม่ให้ความโลภ จะไม่ให้ความโกรธ จะไม่ให้ความหลง มามีอำนาจเหนือ ความรักชาติ รักประเทศไทย ของเรา





    [​IMG]




    แสงส่องใจ วันจักรี ๖ เมษายน ๒๕๔๘
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  4. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เมื่อกี้มีญาติธรรมร่วมบริจาค10100บาทร่วมสร้างพระประธานโดยไม่รับพระอนุโมทนานะครับ:cool::cool::cool:<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. อิ่นน้อย

    อิ่นน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +246
    เมื่อไหร่คุณหมอจะหล่อหนุมานบ้างคะ เพราะพูดถึงเมืองลพบุรี
    ก็นึกถึงลิงกัน...ช่วงนี้กำลังสะสมหนุมานอยู่
    เห็นและได้สัมผัสอำนาจอิทธิฤทธิ์ของหนุมานแล้ว ชอบมากเลยค่ะ..เพราะเพื่อนโดนลุมตีแทงด้วยขวดเบียร์แต่ไม่เข้า ที่ใหนได้ในตัวมันไม่ได้พกอะไรเลยมีห้อยหนุมานแค่องค์เดียวเอง
     
  6. night_club

    night_club เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    710
    ค่าพลัง:
    +1,134
    สุดยอดครับ หนุมานของสายไหนหรอครับ
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    สมเด็จวัดชนะฯบิณฑบาตชีวิต



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    บิณฑบาตชีวิต - สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ขอบิณฑบาตชีวิต ขอให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรงประหัตประหารกัน แล้วใช้ธรรมะเข้าแก้วิกฤตปัญหาบ้านเมือง เมื่อวันที่ 15 พ.ค.


    </TD></TR></TBODY></TABLE>วันที่ 15 พ.ค. สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม กล่าวถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ว่า ขอพูดในฐานะสงฆ์และประชาชนคนไทยคนหนึ่ง เหตุการณ์ปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุมและทหาร จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากนั้น เกิดขึ้นเพราะสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนหมู่มาก

    แต่ขอให้เราคิดว่าผู้ชุมนุมและทหาร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน เปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน การใช้ชีวิตร่วมกันฉันพี่น้องอยู่อย่างใกล้ชิดกัน ย่อมมีวันที่มีการกระทบกระทั่ง มีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง ถ้าเราคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ก็ขอให้รู้จักอภัยกัน แล้วทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนทุกคนมีความคิดเห็นตรงกันทุกครั้ง เวลาเรามีความเห็นไม่ตรงกันก็จะเกิดตำหนิติเตียน หากเป็นเช่นนี้ก็ขอให้เรารับฟังคำตำหนิติเตียน ถ้าเป็นจริง ขอให้เราแก้ไข ถ้าไม่เป็นความจริง เราก็นิ่งเฉยบริสุทธิ์ใจในการนิ่งเฉยด้วยขันติธรรม

    "สุดท้ายนี้ อาตมาขอบิณฑบาตให้ทุกฝ่ายเลิกใช้ความรุนแรง อย่าคิด อย่าทำ อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ดี ขอให้แต่ละฝ่ายมองฝ่ายตรงข้ามที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นพี่น้องคนไทย แม้จะมิใช่พี่น้องร่วมสายเลือด แต่ก็เป็นคนไทยด้วยกัน เป็นคนไทยใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ทุกฝ่ายหยุดยุติการกระทำ เลิกการชุมนุมและการปะทะกัน ขอให้ทุกฝ่ายให้อภัยกัน สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วของทุกฝ่าย ก็ขอให้ยกโทษกัน และทำการแก้ไขปรับปรุง ไม่คิดเอาชนะกัน หากเราทำได้เช่นนี้ ความสันติสุขในบ้านเมืองเราก็จะบังเกิดขึ้น ขออำนวยพร"สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าว
     
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    วันวิสาขะบูชา 28 พฤษภาคม 2553 ยืนยันการหล่อพระกริ่งเททองดินไทยเหมือนเดิมครับ ที่ วัดเชิงท่า อำเภอเมือง ลพบุรี
     
  9. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ห้ามพลาดนะครับ
     
  10. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ร่วมบุญกันนะครับ
     
  11. อิ่นน้อย

    อิ่นน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +246
    สายสุพรรณบุรีค่ะ..
     
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    วันนี้ฝันถึงท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อด้วยครับเเปลกมากฝันยาวทีเดียว
     
  13. นว

    นว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +2,445
    เล่าหน่อยซิครับหมอฟอร์ด อยากฟังครับ
    ผมแฟนพันธ์แท้หมอฟอร์ดนะครับ ติดตามมาตั้งแต่หลวงปู่ทวดรุ่นแก้วสารพัดนึกแล้วครับ
     
  14. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    :cool::cool::cool:
     
  15. อัสดงส์

    อัสดงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,319
    ค่าพลัง:
    +3,697
    เคยอ่านหนังสือเจอ ครูบาอาจารย์บอกว่าท่านยังอยู่รอพระศรีครับ
     
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    แฟนพันธุ์เเท้จริงๆนะครับเนี้ย วันนี้นอนกลางวันฝันเเปลกผมว่าคงมีนัยสำคัญบางอย่าง
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    ฝันถึงท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ว่าท่านนั่งภาวนาอยู่เเล้วท่านลืมตามาบอกกับผมว่าเจ้าเคยเจอข้าเเล้วเเต่จำไม่ได้เเล้วรูปของท่านตั๊กม้อก็เปลี่ยนเป็นพระไดบุชซึหรือพระคามากูระเเล้วท่านก็เปลี่ยนรูปเป็นหลวงพ่อทวด ฝันกลางวันสงสัยผมจะกินมากไป ฝันเเปลกดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2010
  18. นว

    นว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +2,445
    อนุโมทนาครับ ฝันดีเป็นมงคลครับ
    หรือว่าท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ คงจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทวด
     
  19. Si_V

    Si_V เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +437
    ได้โอนเงินร่วมบุญเมื่อวันที่ 15/5/2553 เวลาประมาณ 10:49น. เป็นเงิน 7,210.19 บาท แล้วครับ
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    วันนี้ฝันเเปลกจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...