usก สวรรค์ ท่านเลือกได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย nunoiyja, 19 เมษายน 2010.

  1. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ลอกมาจากหนังสือ" นรก สวรรค์ ท่านเลือกได้"
    เรียบเรียงรวบรวมโดย ไขแสง กิตติวัชระชัย

    เพื่อความผาสุขร่มเย็นของเยาวชนผู้มีวาสนาปัญญาดี

    จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมทานเป็นพระราชกุศลถวายแด่ล้นเกล้า

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
    คณะผู้จัดทำ นำโดย คุณพ่อซุ่งไล้-คุณแม่เพชรสินทร์ กิตติวัชระขัย
    (หนังสือหนา 333 หน้า ผมจะพิมพ์ให้จบไม่ว่าจะมีคนอ่านหรือไม่อ่าน ที่กล่าวไว้นี้เพื่อต้องการบอกให้ผู้ที่บังเอินชอบ แน่ใจได้ว่าได้อ่านจบแน่นอน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  2. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    เปิดมาหน้าแรกจะเจอข้อความนี้
    อันธรรมดาคนตาบอดหัวดื้อ
    ย่อมปฏิเสธดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
    เพราะถือว่า ตัวเองมองไม่เห็น แสดงว่าไม่มี
    ส่วนคนตาดี มองเห็นดวงจันทร์ยามค่ำคืนสุกสว่างเย็นตาเย็นใจ
    เห็นดวงอาทิตย์สาดส่องแสงสว่างเจิดจ้าแจ่มใสอยู่ทุกวี่วัน
    เหตุฉะนี้ เราจะเชื่อใครดีระหว่างคนตาบอดกับคนตาดี
    เฉกเช่นเดียวกับเรื่องนรกสวรรค์
    ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดด้วยพระองค์เอง
    ส่วนสามัญปุถุชน ผู้มืดบอดด้วยอวิชาหลงติดในเหยื่อกามคุณ มองไม่เห็นนรก-สวรรค์
    เพราะตนเองไม่สามารถเห็นได้ จึงสรุปว่า นรก-สวรรค์ ไม่มี
    การตัดสินเช่นนี้ ถูกหรือควรประการใดเล่าท่านผู้เจริญ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  3. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    อาศิรวาท
    ด้วยอานิสงส์อันไพศาล แห่งธรรมทานนี้
    ขอถวายเป็นพระราชกุศล แด่ล้นเกล้าชาวไทย
    เฉลิมฉลองปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
    พระมหากษัตราธิราชเจ้า พระผู้ทรงธรรมยอดกตัญญู
    พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระเมตตาสุดล้นพ้นคณา
    เย็นศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคุณ ธ รักษา
    ปวงประชาเป็นศุขศานต์ ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด
    จงสถิต ดัง หวังพระหฤทัย ดุจจะถวายชัย ชโย
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ​

    ข้าพระพุทธเจ้า​

    นางเพชรสินทร์ กิตติวัชระชัย​

    สารบัญ
    อารัมภบท
    อรกานุสาสนี
    ปายาสิสูตร
    1.เทวดามีจริง 2.รอผลที่สุกเอง 3.ความพยายามของพระเจ้าปายาสิราช 4.กลลวงพญายักษ์ 5.บุรุษทูนห่อคูถบนศีรษะ 6.มรณะเพราะยาพิษ 7.ทิฏฐิแห่งคนโง่ 8. ปายาสิอุบาสก
    กำเนิดสี่1.โลกหน้ามีจริง 2.อบาย4
    นรกสวรรค์ ๓ ประเภท
    ๑.๑ สวรรค์ในอก นรกในใจ
    ๑.๒ นรกสวรรค์ในโลกมนุษย์
    ๑.๓ นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลก

    (สารบัญทั้งหมดมี 3 หน้าเอาแึค่นี้ก่อนละกันนะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  4. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    อารัมภบท
    สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกมนุษย์โลก ประทานความอุ่นใจอันเหลือคณา ทรงเป็นเสมือนประทีปแก้ว หาผู้ที่เทียบเสมอมิได้ในไตรภพด้วยพระคุณประเสริฐวิเศษบวร
    อุปมากระต่ายตัวน้อยนิด ฤาจะเทียมเสมอพญาคเชนทร์ช้างใหญ่
    อุปมาสุนัขจิ้งจอกแก่ ถอยกำลัง ฤาจะเทียมเสมอพญาไกรสีหราชมฤคาธิบดี
    อุปมากาปักษีชาติ ตำดำต่ำต้อย ฤาจะเทียมเสมอโคอุสุภราชทรงพลังมหาศาล
    ฮคนจัณฑาล สันดานต่ำ ฤาจะเทียบเสมอ สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราช ผู้ทรงบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เสมอด้วยสมมุติเทพ
    อุปมาปิศาจร้ายชอบคลุกฝุ่นฟุ้ง ฤาจะเสมอสมเด็จพระอมรินทร์เทวาธิราช ผู้สถิตอยู่ ณ ไพชยนต์ ปราสาททิพย์พิมานแดนสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ อันแสนรื่นรมย์เป็นยิ่งนัก
    พระองค์ทรงมีพระปัญญามาก พระปัญญาเฉียบแหลม ชำแรกกิเลส พระญาณอันแตกฉาน ทรงบรรลุพระปฏิสัมภิทาญาณ เป็นบุรุษผู้องอาจ ทรงเป็นบุรุษนาถะ เป็นบุรุษอาชาไนย เป็นนายกผู้นำโลก เป็นบุรุษสีหะ ผู้เห็นเหตุผล ยินดีในการยังชนอื่นให้ร่าเริง เห็นประโยชน์แจ่มแจ้งแท้จริง เพราะพระองค์ทรงคุณวิเศษกว่้าสามัญสัตว์ทั่วไปทั้งหมดทั้งสิ้น
    ทรงมีพระมังสจักษุแจ่มแจ้ง พระมังสจักษุมี ๕ สี คือ สีเขียว ๑ สีเหลือง ๑ สีดำ ๑ สีขาว ๑ ในที่ตั้งขนพระเนตรของพระองค์มีสีเขียวสนิท น่าดูน่าชม น่านิยมยิ่งนัก มีสีเหลืองนวลเหมือนทองคำ เปรียบดอกกรรณิการ์ เบ้าพระเนตรมีสีเขียวเลื่อมพราย ดังสีของปีกแมลงทับ ท่ามกลางพระเนตรมีสีดำงาม ไม่หมองมัวสนิทเปรียบดังสีสมอดำ ต่อจากนั้นมีสีขาวงามเปล่งปลั่งขาวนวลดังสีดาวประกายพรึก มีพระมังสจักษุเป็นปกติดีพิเศษ เพราะผลแห่งสุจริตกรรมในภพก่อน สามารถเห็นได้ไกลตลอด ๑ โยชน์ โดยรอบทิศ ทั้งกลางวันกลางคืน
    ในรัตติกาลมืดสนิทนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีพระนัียนาพิเศษมองเห็นตลอดได้ ๑ โยชน์ โดยรอบ สิ่งกำบังทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่สามารถที่จะบังพระเนตรของพระองค์ได้เลย หากใครผู้หนึ่งเอาเมล็ดงา ใส่ลงในเกวียนบรรทุกงาเต็มเล่มเกวียนโดยที่ทำเครื่องหมายไว้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสามารถหยิบเอาเมล็ดงาที่ทำเครื่องหมายไว้นั้นขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง
    พระพุทธฎีกาประกาศไว้ว่า เราตถาคตย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกชาติได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง หมื่นชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวิวัฏกัปป์เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีอาการอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เราตถาคตพ้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ดังนี้แล

    ทรงมีพระทิพยจักษุแจ่มแจ้งเป็นพิเศษ เห็นจุติและปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งปวงด้วยทิพยจักษุ สัตว์เหล่านี้ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายแล้วย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบกายสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    พระองค์เป็นบรมครูแห่งประชาสัตว์ทั้งหลายในไตรโลก ทรงกล่าววาจาอันเลิศเพื่อประโยชน์ในการดับไฟตัณหา ทรงพระปรีชาสามารถ หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ทรงทราบอัธยาสัย อนุสัยจริต อธิมุติ แห่งประชาสัตว์ทั้งหลาย นับเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปป์นี้แล้ว ด้วยลักษณะของมหาบุรุษรวม ๓๒ ประการคือ

    ๑.ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ตั้งอยู่มั่นคง ทรงเหยียบพระบาทเสมอกันบนพื้น ทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน จรดภาคพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน
    บุพกรรม จากความเป็นผู้ประพฤติมั่นคงในกุศลธรรม ไม่ย่อหย่อนในความสุจริตทางกายวาจาในในการบำเพ็ญทาน ไม่ย่อหย่อนในความสุจริตทางกายวาจาใจในการบำเพ็ญทาน ในการรักษาศิล ๕ และศิล ๘ ในการปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในการปฏิบัติดีต่อสมณะ ในการปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ควรเคารพเป็นอันมาก (คือ มากกว่าชนทั่วไปแบบเทียบกันอย่างไม่อาจประมาณ) กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิต คือ ถ้าเลือกเป็นพระราชา มหาจักรพรรดิ จะทรงมีราชอาณาจักรมั่นคง มีพระราชโอรสจำนวนมาก ที่ล้วนแต่เป็นผู้แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสนาแห่งปรปักษ์ได้โดยธรรม ไม่ต้องใช้พระราชอาญา ไม่ต้องใช้ศาสตราอาวุธใดๆ ไม่มีข้าศึกใดข่มเหงได้เลย
    ๒.ลายฟื้นพระบาทปรากฏเป็นรูปธรรมจักรจำนวนมาก มีซี่กำพันหนึ่ง มีกงมีดุมบริบูรณ์ มีรูปมงคล ๑๐๘
    บุพกรรม จากการเป็นผู้นำความสุขมาให้แก่มหาชนเป็นอันมาก บรรเทาภัยร้าย ที่ก่อนให้เกิดความหวาดกลัวและหวาดเสียว จากการรักษาความปลอดภัยโดยธรรม และบำเพ็ญทานพร้อมด้วยวัตถุอันเป็นบริวารกรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร
    ๓.สันพระบาทยาว ลำแข้งตั้งตรงอยู่ส่วนที่ ๒ ใน ๔
    ๔.มีนิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทงามยาวเรียว
    ๕.พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหมผู้งามสง่า
    สามข้อนี้คือบุพกรรม
    จากการเป็นผู้ที่ละเว้นปาณาติบาต แล้วเว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้ไม่จับอาวุธ มีความละอายในการเบียดเบียน มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง กรรมดังกล่าวนอกจากจะตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิต คือ เมื่อเป็นพระราชา จะมีพระชนยืนดำรงอยู่นาน ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรู สามารถปรงประชนม์ชีพได้
    ๖.ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่มดังสำลี
    ๗.ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาท มีลายดุจตาข่าย
    สองข้อนี้คือบุพกรรม จากการเป็นผู้สงเคราะห์ประชาชน ได้แก่ การให้ทาน การกล่าวคำอันเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และความเป็นผู้ไม่ถือตัว กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิต คือ เมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร ข้าราชบริพาร

    (ยังไม่หมดนะครับพิมพ์เรื่องอื่นอยู่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  5. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    เมืองแก้ว
    พระราชนิพนธ์ในล้นกล้าฯ รัชกาลที่ ๖
    เมืองใด ไม่มีทหารหาญ เมืองนั้น ไม่นานเป็นข้า
    เมืองใด ไร้จอมพารา เมืองนั้น ไม่ช้าอับจน
    เมืองใด ไม่มีพาณิชย์เลิศ เมืองนั้น ย่อมเกิดขัดสน
    เมืองใด ไร้ศิลปโสภณ เมืองนั้น ไม่พ้นเสื่อมทราม
    เมืองใด ไม่มีกวีแก้ว เมืองนั้น ไม่แคล้วคนหยาม
    เมืองใด ไร้นารีงาม เมืองนั้น สิ้นความภูมิใจ
    เมืองใด ไม่มีดนตรีเลิศ เมืองนั้น ไม่เพริศพิสมัย
    เมืองใด ไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้น บรรลัยแน่นอน

    ถ้อยแถลง​

    เยาวชนไทยผู้ฉลาดควรเรียนรู้กฏแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิดเหมือนการเรียนประวัติศาสตร์ สิ่งใดทำผิดพลาดแล้วอย่าทำผิดซ้ำอีก ชาติกำเนิดไม่ใช่เป็นตัวกำหนดความดีความชั่วของตน หากแต่กรรมคือการกระทำของตนเองเป็นตัวกำหนด เพื่อควบคุมวิถีชีวิตตนไม่ให้ผิดพลาด ไม่สร้างปัญหาชีวิตให้กับตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ เพราะความประมาท ความเขลาเบาปัญญา ไม่อวดดีอวดเก่งเกินกว่าคำสอนของพระบรมศาสดาเอกของโลก อย่างน้อยควรที่จะต้องเชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เหมือนคนทั่วไปที่ยังไม่เห็นเชื้อโรคด้วยตนเอง ก็ต้องเชื่อหมอเอาไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตนเอง
    ปัจจุบันเด็กไทยกำลังมุ่งหน้าจะเลือกไปไหนกัน นรกหรือสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากไปหรือไม่อยากไปตามอารมณ์ต้องการของเราก็หาไม่ ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือให้ใครไปสู่สวรรค์ได้ ไม่มีใครสามารถจะสาปแช่งใครให้ไปลงนรกได้ ไม่มีใครสามารถบันดาลให้ใครกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก หากจำต้องถูกบังคับให้ไปที่ใด สุดแต่อำนาจกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ตนเองได้กระทำไว้เป็นตัวเหตุ มิใช่ใครคนใดมากำหนดเลือกให้เรา แท้ที่จริงคือฉันเลือกเอง
    เด็กนักเรียนที่รู้ข้อสอบก่อนล่วงหน้า ย่อมเตรียมพร้อมได้ถูกต้อง สามารถทำข้อสอบผ่านได้ ๑๐๐% โดยไม่ยากเลย ฉันใดก็ดี เด็กฉลาดที่โชคดีมีโอกาสรู้ความลับของนรกสวรรค์แล้ว รีบเตรียมพร้อมเลือกทำแต่กรรมดีล้วนๆ จึงไม่ยากเลยที่จะพบแต่ความสุขความเจริญทั้งชีวิตจิตใจอย่างจริงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน
    ดังนั้น เยาวชนและท่านผู้มีวาสนาจำต้องตั้งใจศึกษาพิจารณาใคร่ครวญในหลักคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิตอันจะเป็นประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์จักพึงได้ในฐานะที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติธรรม ก่อนที่ความตายจะทำลายร่างกายให้เน่าเฟะ ส่วนใจไม่ได้เน่าสลายตามร่างกาย จิตวิญญาณเป็นตัวสั่งสมบุญบาป และจำต้องเดินทางในปรโลก ซึ่งชีวิตหลังความตายจะไปไหนต่อ คำตอบมีอยู่ในหลักพุทธศาสนาทั้งหมด และตัวอย่างการเวียนว่ายตายเกิด จะเป็นประจักษ์พยานให้ได้เป็นข้อมูลในการพิจารณาวินิจฉัยว่าสมควรเชื่อหรือไม่เพียงไร ควรที่เยาวชนและท่านผู้มีปัญญาพึงใช้วิจารณญาณไตร่ตรอง ให้แจ้งประจักษ์ด้วยใจอันชอบธรรมของตนเองเถิด เพราะนรกสวรรค์ท่านเลือกได้
    ด้วยเจตนาในการพิมพ์หนังสือนี้ ขอนอบน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยความเคารพสักการะเทิดทูนอย่างสูงสุดเหนือชีวิต ขอพระสัทธรรมจงสถิตมั่นยั่งยืนสถาพรแผ่ไพศาล เพื่อประโยชน์สุขอันแท้จริงแก่เยาวชนและมวลมนุษย์โลกผู้สัมมาทิฏฐิ ได้เลือกเดินตามเส้นทางที่จะได้พบความผาสุกร่มเย็นทั้งในภพปัจจุบันและภพหน้าอย่างถาวรคลอดสิ้นกาลนานเทอญ
    ขอกราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอย่างสูงยิ่งกับทุกๆ ท่าน ที่มีบทความปรากฏในหนังสือเล่มนี้ และท่านเจ้าของข้อเขียนทุกเรื่องที่นำมาประกอบในการเขียน ตลอดทั้งท่านผู้อ่านผู้ร่วมทุนในการจัดพิมพ์ได้มีส่วนแห่งอานิสงส์ของกองบุญมหากุศลในการทำหนังสือนี้จงทุกประการ โดยทั่วกันด้วยเทอญ

    ด้วยจิตคารวะและปรารถนาดีอย่างยิ่ง
    คณะผู้จัดทำนำโดย คุณพ่อซุ่งไล้ คุณแม่เพชรสินทร์ กิติวัชระชัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  6. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ปายาสิสูตร
    สมัยหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ยังสัตว์ให้ห่างไกลอสืธรรม นิพพานไปแล้วไม่นาน พระเจ้าปายาสิ ผู้ครองเสตัพยนคร ผู้มีความเชื่อมั่นว่าตายแล้วสูญ ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี เคยโต้ตอบปัญหาเรื่องนี้กับสมณพราหมณ์ต่างๆ มามากต่อมาก จนสมณพราหมณ์ทั้งหลายเกิดครั่นครามไม่อยากโต้ตอบด้วย เพราะพระองค์ทรงมีความจัดเจนในการโต้คารมเป็นอย่างยิ่ง

    วันหนึ่งพระกุมารกัสสปะเถระ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากได้จาริกไปในแคว้นโกศล และได้แวะพักสั่งสอนประชาชน ณ ป่าไม้สีเสียด ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเสตัพยนคร มีประชาชนไปฟังธรรมกันมาก พระเจ้าปายาสิจึงได้เสด็จไปโต้คารมในหัวข้อที่ว่า “ตายแล้วเกิดหรือไม่ ? “ พระเจ้าปายาสิได้ตรัสว่า “มีแต่โลกนี้เท่านั้นโลกหน้าไม่มี”
    พระเถระถามว่า “ก็ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวดวงอื่นๆ ที่เห็นอยู่ เป็นโลกนี้หรือโลกหน้าเล่า?”
    พระเจ้าปายาสิตรัสว่า “เป็นโลกอื่น”
    พระเถระผู้แตกฉานสัจจธรรมจึงตอบว่า “เมื่อเห็นอยู่เช่นนี้ ไฉนพระองค์จึงยังตรัสว่าโลกอื่นไม่มีเล่า”
    พระเจ้าปายาสิยังไม่ทรงเชื่อแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้ขอยกไว้ก่อน ถ้าหากว่าโลกหน้ามีจริงไฉนญาติมิตรของข้าพเจ้าทำกรรมชั่วเอาไว้ เมื่อเขาจวนจะตายข้าพเจ้าก็สั่งเขาว่า “ถ้าท่านตายไปนรกแล้วให้กลับมาบอกข้าพเจ้าบ้าง แต่เมื่อเขาได้ตายไปแล้ว ข้าพเจ้ารอปีแล้วปีเล่า ก็ไม่เห็นใครกลับมาบอกสักคน? ก็แสดงว่านรกไม่มี เชื่อกันไปเอง คนเราตายแล้วก็สูญ”
    พระเถระยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ทรงสดับว่า “เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งเป็นโจรถูกตำรวจจับไป เพื่อนำไปฆ่ายังตะแลงแกง โจรผู้นั้นจะขอร้องต่อนายเพชฌฆาตว่า ให้ปล่อยตนไปก่อนเถิด เพื่อไปลาเมีย ลาพ่อแม่และลูกเสียก่อน แล้วจะกลับมาให้ฆ่า อยากถามว่าเพชฌฆาตผู้เฉียบขาดจะปล่อยไหม?”
    ตรัสว่า “ไม่ปล่อย ที่แท้นายเพชฌฆาตผู้เด็ดเดี่ยวเพิ่งตัดศีรษะของโจร ผู้กำลังอ้อนวอนขอชีวิตอยู่ที่เดียว”
    พระเถระก็กล่าวว่า “คนที่ตายไปตกนรกแล้วก็เหมือนกัน ถูกความทุกข์ความทรมาน อันแสนหฤโหด ทุรนทุรายในนรกแผดเผาอยู่ และย่อมไม่ได้รับอนุญาติจากนายนิรยบาล ให้กลับมาเล่าให้พระองค์ทรงทราบได้เลย”
    พระเจ้าปายาสิผู้มากด้วยทิฏฐิมานะ “ข้อนั้นยกไว้ก่อน เอาละ ทีนี้ในด้านของคนทำแต่เฉพาะซึ่งความดี
    มีสมณพราหมณ์ที่ประพฤติดีเป็นอันมาก เมื่อจวนจะตาย ข้าพเจ้าสั่งไว้ว่าถ้าท่านตายไปเกิดในสวรรค์แล้วแล้ว ขอให้กลับมาบอกแก่ข้าพเจ้าบ้าง แต่เมื่อเขาตาย ข้าพเจ้ารอปีแล้วปีเล่าก็ไม่เห็นใครกลับมาบอก แสดงว่าสวรรค์ไม่มี เขื่อกันไปอย่างนั้นเอง คนเราตายแล้วก็สูญ”
    พระเถระเจ้า ได้เปรียบเทียบถวายให้ทรงสดับว่า “เปรียบเทียบเหมือนกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินไปตกในหลุมคูถ(หลุมขี้) จนมิดศีรษะ พระราชาได้ทรงรับสั่งราชบุรุษว่าให้ช่วยกันยกชายหนุ่มนั้นขึ้นมาจากหลุมคูถ แล้วให้อาบน้ำ ให้สะอาด แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างดี แล้วเชิญขึ้นไปอยู่บนปราสาท ให้เสวยกามสุขอยู่บนปราสาทนั้น อยากจะถามว่าชายหนุ่มผู้นั้นอยากจะตกลงไปในหลุมส้วม อันสุดจะเน่าด้วยอาจมอันเหม็นโสโครกอีกไหม?”
    พระเจ้าปายาสิตรัสว่า “ใครจะอยากตกลงไปก็หลุมส้วมนั้นทั้งเหม็นเน่า น่าเกลียด ล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล”
    พระเถระก็ถวายพระพรเปรียบเทียบให้ทรงสดับว่า “คนที่ไปเกิดบนสวรรค์ก็เหมือนกัน เสวยกามคุณทั้ง ๕ อยู่บนสวรรค์นั้นด้วยความรื่นเริงแสนจะบันเทิงเป็นอันมาก แล้วมีความสุขอยู่บนสวรรค์นั้น ใครเล่าอยากจะกลับมาโลกมนุษย์ ซึ่งเปรียบเสมือนหลุมส้วม อีกประการหนึ่ง วันเวลาในสวรรค์กับวันเวลาในโลกมนุษย์ก็ไม่เท่ากัน เช่น วันเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๑ วัน กับ ๑ คืน เท่ากับ ๑๐๐ ปีในโลกมนุษย์ ฉะนั้น ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นอายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าหากว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นไปเกิดบนสวรรค์ และคิดว่าคอยอีก ๒-๓ วันจะกลับมาบอก”
    พระเจ้าปายาสิตรัสว่า “กว่าพวกเขาผู้ติดใจความสุขบนสวรรค์จะมาบอก โยมก็เห็นจักตายไปนานแล้ว เพราะ ๒-๓ วันของเขาก็คงเป็น ๒๐๐-๓๐๐ ปี อย่างนี้แล้วโยมจะคอยคำบอกเล่าของเขาได้อย่างไร”

    "ขออนุโมทนาบุญกับคุณป๋าของกระผมด้วยนะครับ ท่านพิมพ์ให้ตอนท่านว่าง"​

    เทวดามีจริง
    พระเถระกล่าวถวายพระพรว่า
    “มีบุรุษผู้หนึ่งตาบอดแต่กำเนิดตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นรูปสีดำต่างๆดวงดาวพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นต้นเขาไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้เลยเขาจึงพูดว่าเราไม่รู้เราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่มี
    องค์มหาบพิตรเองนี่แหละย่อมปรากฏเป็นเสมือนคนตาบอดโง่นั้นแอง เพราะพระองค์ทรงปฎิเสธสิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นว่าเทวดาไม่มี ไม่เชื่อว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนอันที่จริงเทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ และก็มีอายุยืนเช่นที่กำหนดไว้นั้นแต่สภาพที่ว่ามานี้จะพอเห็นด้วยมังสจักษุคือตาเนื้อธรรมดาก็หามิได้ สมณพราหมณ์พวกใดเสพเสนาสนะอันสงัดในป่าเป็นผู้ไม่ประมาทเร่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนแจ้งชัดยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของสามัญมนุษย์สมณพราหมณ์ย่อมมองเห็นทั้งโลกนี้โลกหน้าย่อมมองเห็นเหล่าสัตว์ผู้อุบัติขึ้นทั้งหลายก็โลกหน้านั้นย่อมแลเห็นเหล่าสัตว์ผู้อุบัติขึ้นทั้งหลายก็โลกหน้านั้นอันบุคลจะพอเห็นได้ด้วยประการฉะนี้มหาบพิตรหาเห็นได้ด้วยมังสจักษุเช่นที่มหาบพิตรเข้าพระทัยก็หาไม่”

    รอผลที่สุกเอง
    พระเจ้าปายาสิกล่าวว่า “ถ้าท่านสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมผู้เห็นทุกข์โทษของรูปนามจักรู้แท้แน่แก่ใจว่าเมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้วผลแห่งคุณงามความดีของเราจักส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จักได้เสวยสุขในทิพย์พิมานเป็นเทวดาแน่ๆ เมื่อรู้แท้เช่นนี้แล้ว จะอยู่เป็นมนุษย์ให้ลำบากต่อไปทำไมเล่า? ทำไมไม่รีบดื่มยาพิษ เพื่อจะได้รีบไปน่าจะเปนเพราะตน ไม่ค่อยแน่ใจว่า จักได้เสวยความสุขเป็นเทวดากระมัง”
    พระเถระจึงยกเรื่องราวมากล่าวว่า
    “มีพราหมณ์ผู้หนึ่งมีภรรยา ๒ คน คนแรกมีบุตรอายุได้ ๑๐ ปี แล้วก็ตายจากไปอย่างกระทันหัน ภรรยาคนใหม่กำลังตั้งครรภ์จวนคลอด ต่อมาพราหมณ์นั้นก็ได้ทำกาละตายไป มาณพน้อยอายุได้ ๑๐ ขวบ จึงพูดแก่แม่เลี้ยงว่า “แม่จ๋า ทรัพย์สินข้าวของเงินทองทั้งหมดนั้นต้องเป็นของฉัน ขอแม่จงมอบมรดกของบิดาให้แก่ฉันเถิด”
    แม่เลี้ยงกล่าวว่า “ที่ถูกนั้นเจ้าต้องรอไปก่อน รอจนกว่าแม่จะคลอดน้องเจ้าเสียก่อนเถิด ถ้าน้องเจ้าที่คลอดออกมาเป็นชาย เขาจะได้รับมรดกครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นหญิงก็จักได้เป็นบาทบริจาริกาของเจ้า” เมาณพหาเชื่อฟังถ้อยคำไม่ ได้พูดจารบเร้าวันแล้ววันเล่า แม่เลี้ยงเกิดโทสะขัดใจขึ้นมา จึงถือมีดเข้าไปในห้องนอน แหวะท้องในครรภ์ของตน เพราะนางเป็นคนโฉดเขลา ต้องการทรัพย์สินมรดกโดยอุบายอันไม่แยบคาย อุปมาข้อนี้ฉันใด”
    “หากมหาบพิตรจะเกณฑ์ให้สมณพราหมณ์ผู้มีศิล อยู่ในพระธรรมวินัยด้วยความเคารพบูชายิ่ง ให้รีบฆ่าตัวตาย เพื่อจะได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เร็วๆ ก็เหมือนกับนางแม่เลี้ยงที่เอามีดแหวะท้องตนเองตาย
    ใครคนไหนเขาจะโง่ได้ถึงปานนั้นเล่า? ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า สมณพราหมณ์ผู้มีศิลมีกัลยาณธรรม ย่อมจักเป็นผู้มีปกติไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกตามกาล อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศิล มีกัลยาณธรรม ย่อมแปลกไปกว่าคนอื่นๆ คือ สมณพราหมณ์ผู้มีศิล มีกัลยาณธรรมดำรงชีวิตอยู่สิ้นนานเท่าใด ย่านย่อมประสบบุญมากเท่านั้น และได้ปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่กว่านาบุญทั้งหลาย เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน ผู้ยังสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์สงสาร เพื่อความสุขสงบแก่หมู่คนเป็นอันมาก”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2010
  7. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ความพยายามของพระเจ้าปายาสิราช
    พระเจ้าปายาสิกล่าวว่า “โยมได้ทดลองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น คราวหนึ่งเจ้าพนักงานของโยมจับโจร ผู้ประพฤติชั่วหยาบมาได้ จึงสั่งให้ทลโทษโดยจับใส่ลงในหม้อใหญ่ เอาหนังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกให้หนา แล้วยกขึ้นเตาไฟ เมื่อโจรนั้นตายแล้ว กระเทาะดินออก เปิดปากหม้อหวังจะเห็นชีวะบุรุษนั้นบ้าง แต่ไม่เห็นชีวะของเขาเลย จึงเป็นเหตุให้โยมมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดก็ไม่มี ผลกรรมดี กรรมชั่ว ก็ไม่มี”
    พระเถระขอถามมหาบพิตรบ้าง คือ “มหาบพิตรเคยบรรทมกลางวันสุบินได้เห็นสวนสระโบกขรณีบ้างหรือไม่”
    “เคยฝันท่านกัสสปะ”
    “ในเวลานั้น พนักงานที่ใกล้ชิด คอยเฝ้าปรนนิบัติ มีอยู่บ้างไหม และเขาได้เห็นด้วยหรือไม่เล่า”
    “เปล่าเลย ท่านกัสสป”
    “ขอถวายพระพร ก็คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ยังมิได้เห็นชีวะของมหาบพิตรผู้ยังทรงพระชนมชีพอยู่ มิไดเห็นชีวะของมหาบพิตรผู้ยังทรงพระชนชีพอยู่ เข้าหรือออกไป ก็เหตุไฉนมหาบพิตรจักได้ทอดพระเนตรเห็นชีวะของผู้กระทำกาละไปแล้วเข้าหรืออกอยู่เล่า ขอมหาบพิตรผู้ปรารถนาความจริง จงทรงใคร่ครวญดูให้ดีๆ เถิด”
    พระเจ้าปายาสิก็ถามอีกว่า “อีกคราวหนึ่ง เอาตาชั่งมาชั่งโจรร้าย เอาเชือกรัดคอให้ขาดใจตาย ครั้นตายแน่แล้วจึงเอาตาชั่งมาชั่งอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อโจรร้ายนั้นยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า แต่เมื่อเขาตายแล้ว กลับหนักว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด”
    ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษเอาตาชั่ง ชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้วันยังค่ำ ไฟติดทั่วลุกโพลงแล้วต่อมา เอาตาชั่ง ชั่งเหล็กนั้นซึ่งเย็นสนิท ทั้ง ๒ ขณะนี้ ในขณะใด ก้อนเหล็กนั้นจะเบากว่า อ่อนกว่า หรือควรแก่งานกว่า คือว่าเมื่อไฟติดทั่วลุกโพลงอยู่แล้ว หรือว่าเมื่อเย็นสนิทแล้ว ขอมหาบพิตรจงโปรดพิจารณาดูเถิด
    “ท่านกัสสปะ เมื่อใดก้อนเหล็กนั้นประกอบด้วยไฟ ประกอบด้วยลมไปติดทั่วลุกโพลงแล้ว เมื่อนั้นย่อมจะเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่าเป็นธรรมดา แต่เมื่อใด ก้อนเหล็กนั้นไม่ประกิบด้วยไฟ ไม่ประกอบด้วยลม ดับเย็นสนิทแล้ว เมื่อนั้น ย่อมจะหนักกว่า กระด้างกว่า และไม่ควรแก่การงานกว่า เป็นแน่นอน”
    “เหมือนกันนั่นเอง มหาบพิตร คือ เมื่อใดกายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้นย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า ความจริงเป็นเช่นนี้ ขอถวายพระพร”
    “ท่านกัสสป อีกคราวหนึ่งโยมสั่งให้ลงโทษโจรร้ายมีความผิดขั้นอุกฤษฏ์ โดยการทรมานมิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ เมื่อโจรนั้นเริ่มจะตาย สั่งให้ผลักโจรนั้นให้หงาย ด้วยหวังว่า “บางทีจะเห็นชีวะของเขาออกมาบ้าง” แต่ก็มิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย
    แม้ให้คว่ำลง ตะแคงข้างขวา เอาศีรษะลงทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยศาสตราวุธนานาประการ ลากไปลากมา ด้วยหวังว่าจะได้เห็นชีวะของเขาออกไปบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะกายของเขาอันนั้น โผฏฐัพพะกันนั้น แต่เขาจะรู้แจ้งโผฏฐัพพายตนะด้วยกายไม่ได้ การที่เห็นเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใดเล่า ท่านกัสสปะผู้เจริญ
    “ขอถวายพระพรมหาบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว มีคนเป่าสังข์คนหนึ่ง เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้ที่พื้นดินกลางบ้าน มนุษย์ชาวปัจจันตชนบท ได้ยินเสียงสังข์แล้วช่างไพเราะเหลือเกิน ชาวบ้านวิ่งไปจับสังข์นั้นให้หงายขึ้นแล้วบอกว่า “พูดสิ พ่อสังข์ๆ” แต่หามีเสียงไม่ เขาจึงจับสังข์ให้คว่ำลง คะแคงขวา ตะแคงซ้าย วางให้ต่ำ เคาะด้วยมือ ท่อนใ ศาสตรา ลากไปลากมา แต่สังข์นั้นก็ยังคงเป็นสังข์ ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นอีกตามเคย”
    “คือว่า เมื่อใดร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุ ไออุ่น และวิญญาณ กายนี้ย่อมก้าวไปได้ ฟังเสียงด้วยหูได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายได้ รับธรรมารมณ์ด้วยใจได้ แต่ว่าเมื่อใดกายนี้ไม่ประกอบด้วย อายุ ไออุ่น และวิญญาณเมื่อนั้นกายนี้ย่อมก้าวไปไม่ได้ ฟังเสียงด้วยหูไม่ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายไม่ได้ รับธรรมารมณ์ด้วยใจไม่ได้ เหตุผลก็มีอยู่เท่าที่ได้เล่ามานี้ ขอถวายพระพร”
    พระเถระทรงยกตัวอย่าง “เด็กทารกหาไฟด้วยการเอามีมาถากไม้สีไฟ ด้วยเข้าใจว่าบางทีจะได้พอไฟบ้าง กานแสวงหาไฟไม่ถูกวิธี ย่อมไม่พอไฟ ฉันใด มหาบพิตรมีพระทัยใคร่จะทราบว่า โลกหน้ามีหรือไม่ แต่แสวงหาไม่ถูกวิธี ย่อมไม่ได้ความรู้ฉันนั้น
    “พระเจ้าปายาสิ ผู้เพิ่งจะเลื่อมใสในสาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีใจเอ็นดูกรุณาวิสัชนาปัญหาต่างๆ มาก็ถูกต้องเป็นจริงทุกประการ โยมก็เห็นด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังสละคืนทิฏฐิอันลามกไม่ได้ เพราะบรรดาพระราชามหากษัตริย์ต่างๆ ในประเทศทั้งหลาย เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นต้น และปวงชนพากันศรัธาเคารพนับถือและร่ำลือทำนองว่า พระเจ้าปายาสิเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมนัก สามารถคิดค้นจนพบว่าโลกหน้าไม่มี ซึ่งเป็นความรู้ใหม่ลบล้างคำสอนของเหล่าสมณะพราหมณ์ทั้งหลาย สัตว์ผู้ผุดเกิดย่อมไม่มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วย่อมไม่มี ย่อมรู้กันโดยทั้ยไปอย่างนี้
    หากโยมจะสละทิฏฐิอันลามกนั้นเสีย แล้วประกาศว่า “โลกหน้ามี สัตว์ผู้ผุดเกิดมี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี” ดังนี้แล้วโยมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “ขอท่านกัสสปผู้ทรงธรรมอันน่าสรรเสริญจงเห็นใจโยมด้วยเถิด”
     
  8. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    กลลวงพญายักษ์
    พระกัสสปเถระ หวังประโยชน์สุขภายภาคหน้าแก่พระเจ้าปายาสิ จึงเมตตาธรรมถวายพระพรเล่าว่า
    ยังมีพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ แยกหมู่เกวียนเป็น ๒ หมู่ๆ ละ ๕๐๐ เล่ม ลำดับนั้นนายกองเกวียนหมู่หนึ่งผู้โง่เขลา เรียกลูกเกวียนมาแล้วบอกว่า พวกเราทั้งหลาย มีคนสวนทางมาและบอกว่า ในหนทางกันดารข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้าฟืนก็มีมาก พวกเราจงทิ้งหญ้าน้ำและฟืนของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้เร็ว โคเทียมเกวียนจักไม่ลำบาก
    แต่พอไปถึงที่พักเกวียน ตำบลที่ ๑,๒ ก็ไม่พบน้ำหรือหญ้าฟืนเลย จนถึงตำบลที่ ๗ กำหมดกำลังทั้งคนและโค ในที่สุดหมู่เกวียนที่น่าสงสารนั้นก็ถึงแก่ความตาย ด้วยกันทั้งหมด ไม่เหลือแม้มนุษย์หรือปศุสัตว์ เพราะชายอารีผู้บอกให้ทิ้งหญ้านั้น แท้จริงคือพญายักษ์ผู้อยากกินเนื้อมนุษย์และสัตว์ จึงหลอกด้วยเลห์ให้หลงเชื่อจนพากันถึงแก่ความตาย ด้วยความอดอยากขาดอาหารแล้วพญายักษ์ร้านก็มากินเนื้อจนเหลือแต่กระดูกเท่านั้น
    ฝ่ายนายกองเกวียนหมู่หลัง ก็เจอบุรุษแปลกประหลาดคนเก่า แต่ตัวแบบเดิม คือ ทัดดอกโกมุท นุ่งผ้าเปียก ผมเปียก ขันรถคันงดงาม มีล้อเปื้อนโคลนตม เลอะเทอะ สวนทางมา แนะนำให้ทิ้งน้ำ หญ้า และฟืนเสีย เพราะข้างหน้ามีเยอะแยะ จะเอาไปให้หนักเกวียนทำไม นายกองเกวียนผู้ไม่ประมาท ประชุมกับลูกเกวียน แล้วประกาศว่า ชายแปลกหน้าผู้นี้มิใช่มิตร มิใช่ญาติ พวกเราจักเชื่อถือได้อย่างไรกัน ว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนในภายหลัง ซึ่งตามธรรมดาฝนจะตก จะต้องมีเมฆฝนตั้งขึ้นก่อน
    จงอย่าทิ้งน้ำ หญ้าและฟืนอันเป็นของจำเป็นนั้นเลย และแล้วก็จับโกหกของมนุษย์เจ้าเล่ห์ได้ เพราะว่าพวกเขาขับเกวียนมาถึงที่พักเกวียนตำบลที่ ๑-๒ ก็พบแต่ความกำดาร จนถึงตำบลที่ ๗ ได้เห็นกองกระดูกของมนุษย์และปศุสัตว์มากมายกระจายอยู่ พร้อมกับเกวียน ๕๐๐ เล่ม ที่ล่วงหน้ามาก่อน ที่ถึงความวอดวายเพราะถูกอมนุษย์หลอกให้มาตาย และจับกินเป็นอาหารโอชะเสียแล้ว
    “เรื่องเคยมีมาแล้วดังนี้ ขอมหาบพิตรจงวินิจฉัยให้จงดี อย่าเป็นเสมือนพวกเกวียนบริวารถูกนายกองเกวียนพาไปสู่ความวอดวาย ต้องตายไป โดยมีกายตกเป็นเหยื่อโอชะแห่งอมนุษย์เจ้าเลห์อย่างมากมายฉะนั้น
    ด้วยเหตุนี้ขอมหาบพิตรผู้ไพบูลย์ จงสละละทิ้งปล่อยวางทิฏฐิอันลามกนั้น อย่างได้มีแก่มหาบพิตรเลย เพราะมิใช่ประโยชน์ แท้จริง คือ เพื่อความทุกข์ตลอดสิ้นกาลนาน ขอถวายพระพร”
     
  9. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    มรณะเพราะยาพิษ
    พระเถระทรงพระเมตตาถวายพระพรต่อไปว่า “มีนักเลงสกา ๒ คน คนหนึ่งมีสันดานเป็นคนโกงแอบกลืนกินเบี้ยแพพ้ที่แล้วมาเสีย ได้รับชัยชนะทุกครั้งไป เพื่อนที่เล่นด้วยกันเห็นการโกงเช่นนี้ จึงแอบเอายาพิษทาที่ลูกสกานั้นแล้วก็ชักชวนมาเล่นกันใหม่ นักเลงสกาไม่ทราบ ก็แอบกลืนกินเบี้ยแพ้ที่แล้วมาเสียตามเดิม นักเลงสกาคู่เล่นจึงพูดว่า “บุรุษกลืนกินลูกสกาซึ่งอาบด้วยยาพิษมีฤทธิ์กล้า ยังหารู้สึกไม่ นักเลงสกาพาลชนผู้น่าสงสารได้กลืนยาพิษเข้าไป ความเร่าร้อนทุรนทุรายเจ็บปวดทรมารภายใน จักต้องมีอย่างแน่นอน”
    ขอถวายพระพรมหาบพิตร การที่มหาบพิตรผู้ปรารถนาจะทราบความจริงของโลกนี้โลกหน้า ยังยึดถือทิฏฐิอันลามกที่ว่าโลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มีนั้น ก็น่าจะเปรียบเหมือนนักเลงสกาสันดานโกง ซึ่งกินยาพิษเข้าไปโดยไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น”

    ทิฏฐิแห่งบุรุษโง่
    พระเถระถวายพระพรต่อไปว่า “เรื่องเคยมีมาแล้วคือ ยังมีชายสองคน เขารักกันมาก ได้เห็นเปลือกป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย สหายคนหนึ่งจึงชวนให้ถือคนละมัด ครั้นได้เห็นด้ายป่านที่เขาทิ้งไว้มากมาย สหายคนที่หนึ่งจึงบอกให้เลือกเอามัดด้ายป่านไปดีกว่า แต่สหายของเขาคิดประหลาด กลับตอบว่า “มัดเปลือกป่านนี้เรานำมาไกลแล้ว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยนัก ทั้งก็มัดไว้เรียบร้อยดีแล้วด้วย เราไม่เอาด้ายป่าน เราจักเอาเปลือกป่านของเก่านี่แหละ”
    สหายคนที่หนึ่งจึงทิ้งเปลือกป่าน ถือเอาด้ายป่านไปเพียงผู้เดียว เมื่อไปยังตำบลต่างๆ ได้พบเห็นเปลือกไม้โขมะ-ด้ายเปลือกโขมะ-ผ้าเปลือกไม้โขมะ-ลูกผ้าย-ด้ายฝ้าย-ผ้าฝ้าย เหล็ก-โลหะ-ดีบุก-สำริด-เงิน และในที่สุดได้มีโอกาสพบทองคำมากมาย สหายคนที่หนึ่งจึงบอกว่า “สหายรัก นี่ทองคำมีค่ามากมาย เราทั้งสองจักนำเอาทองคำเหล่านี้กลับไปบ้านเรากันดีกว่า” แต่สหายผู้ไม่ฉลาดของเขาว่า “สหายเอ๋ย มัดเปลือกป่านนี้ เราอุตสาห์แบกมาไกลหนักหนา ทั้งมัดไว้ดีแล้วด้วย เราไม่เอาละทองคำ แต่เราจะเอาเปลือกป่านอันเดิมของเรานี่แหละ”
    เมือกลับถึงบ้าน สหายคนที่ถือเอาทองคำกลับไปบ้าน ได้รับการตอนรับจากบิดามารดาและบุตรภรรยาด้วยความยินดี มีความสุขโสมนัส เหตุที่ถือเอาห่อทองคำนั้นมาเป็นอันมาก ส่วนสหายของเขาผู้ซึ่งถูกปิศาจความโง่เขลาเข้าครอบงำ มีทิฏฐิอันลามก อุตสาห์แบกมัดเปลือกป่านมาไกลแสนไกล พอกลับถึงบ้านก็ไม่ได้การตอนรับจากบิดา มารดา บุตรภรรยาด้วยความยินดีเลย ไม่ได้รับความโสมนัส จากเหตุที่ได้มัดเปลือกป่านอันไร้ค่านั้นแม้แต่น้อย ยังคงยากจนต่อไปอีกตามเดิม
    “นี่แหละ การที่มหาบพิตรผู้มากด้วยความหลง ยังจะยึดถือเอาทิฏฐิอันลามกดั้งเดิมว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี ก็เปรียบเหมือนกับบุรุษผู้โง่เขลา ซึ่งแบกเอามัดเปลือกไม้เปลือกป่านกลับข้าน ขอมหาบพิตร จงสละคืนทิฏฐิอันลามกนั้นเสียเถิด จงปล่อยวางทิฏฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ทิฏฐิอันลามกนั้นจงอย่าได้มีแก่มหาบพิตร เพราะมิใช่ประโยชน์ แต่จะเป็นไปเพื่อความทุกข์ตลอดกาล ขอถวายพระพร”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2010
  10. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ปายาสิอุบาสก
    ธรรมดาท่านผู้มีบุญวาสนาที่เป็นนักปราชญ์ฉลาดในสัจจธรรมนั้นย่อมยินดีเคารพในเหตุผล พอใจที่จักได้สดับในเหตุผลมิรู้เบื่อ พระเจ้าปายาสิก็เช่นกัน ในที่สุดก็ตรัสว่า “ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ท่านกัสสปผู้เจริญ ภาษิตของท่านช่างไพเราะนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีดวงตาจักเห็นได้ ฉันใด ท่านกัสสปประกาศสัจจธรรมอันประเสริฐโดยเอนกบรรยายก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”
    โยมนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระเจ้าปายาสิผู้สัมมาทิฏฐิเริ่มให้ทานแก่สมณะพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก ยาจกอนาถา แต่ในทานนั้นได้สั่งให้บริจาคแต่สิ่งที่ไม่ประเสริฐ โดยแต่งตั้งมาณพนามว่า “อุตรมาณพ” เป็นเจ้าหน้าทีในการบริจาคทานโดยเฉพาะ
    อุตรมาณพผู้นี้ เป็นคนมีใจศรัทธา ยินดีในการบริจาคทานยิ่งนัก เมื่อเขาจำต้องบริจาคสิ่งของอันมีค่าต่ำ ตามคำสั่งของพระเจ้าปายาสิผู้เป็นเจ้าเหนือหัวเช่นนี้ ก็ให้ขัดใจอยู่ เมื่อเขาให้ทานเสร็จ จึงตั้งความปรารถนาว่า “ด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับพระเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้อยู่ร่วมกันในโลกหน้าเลย”
    เพราะเหตุที่อุตรมาณพเป็นผู้ยินดีในทาน ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนเอง ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างเสียมิได้ เมื่อตายไปได้เกิดเป็นเทพบุตรสุดโสภา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ส่วนพระเจ้าปายาสินั้นมิทรงให้ทานโดยเคารพ มิได้ทรงให้ทานโดยพระหัตถ์แห่งพระองค์เอง มิได้ทรงให้ทานด้วยความนอบน้อม แต่ทรงให้ทานอย่างเสียมิได้ ทั้งๆ ที่ทรงบริจาคทรัพย์ให้ทานเป็นอันมากก็ตาม ถึงกระนั้นทานของพระองค์ ก็ถึงการนับว่าเป็นทานที่ด้อยไปด้วยเจตนา(อันเป็นบุญกุศล) ครั้นสินพระชนม์ไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ สถิตอยู่ ณ เสรีสกวินาน ซึ่งเป็นเทพชั้นต่ำโดยศักดา ด้วยบุญญานุภาพกว่าอุตรมาณพ(บ่าวของพระองค์ผู้ซึ่งตั้งใจทำบบุญ ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพ ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันแสนสุข)
    พระเจ้าปายาสิราช บัดนี้มาอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรเสวยแต่ความสุขล้วนๆ อยู่ ณ เสรีกาวิมานนี้ ได้เล่าให้พระควัมปติเถระเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์พุทธสาวกฟังว่า “เมื่อก่อนข้าพเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีความเห็นผิด ต่อมาพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปเถระ ผู้มีปัญญาเลิศมากด้วยความเกื้อกูล กรุณไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฏฐิอันลามก แสดงตนเป็นอุบาสกให้ทานแก่สมณะพราหมณ์ ท่านควัมปติผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้ากลับลงไปยังมนุษย์โลกแล้ว ขอได้โปรดชี้แจงแก่ชาวมนุษย์ทั้งหลายว่า จงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อมเสมอ จงอย่าให้ทานอย่างเสียมิได้”
    “พระเจ้าปายาสิราชมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเพียงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ฝ่ายว่าอุตรมาณพซึ่งเป็นเพียงบ่าว มีหน้าที่บริจาคทาน แทนพระเจ้าปายาสิผู้เป็นเจ้านาย เขาให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของเขา ให้ทานด้วยความนอบน้อม มีจิตตั้งมั่นในอานุภาพแห่งคุณพระรัตนรัย ครั้นเขาตายแล้ว ได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสุดประเสริฐ ณ สวรงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขอพระคุณเจ้า จงโปรดกรุณาแจ้งข่าวนี้แก่ชาวมนุษย์ทั้งหลายด้วยเถิด”
    ลำดับนั้น เมื่อท่านพระควัมปติเถระเจ้าลงจากเสรีสกวิมานมาถึงโลกมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็แจ้งข่าวนี้แก่ชาวมนุษย์ทั้งหลาย บรรดาผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาพากันบริจาคทานโดยเคารพ ตั้งมั่นอยู่ในศิล เว้นทุจริตกาย วาจา ใจ เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เห็นทุกข์และโทษของความโลภ โกรธ หลง ในสังขารของตนเองและผู้อื่น มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว มีสุคติภพเป็นที่ไปในเบื้องหน้ามากกว่ามาก โดยทั่วกัน ทุกคนต่างมีจิตใจอิ่มเอิบเบิกบานผ่องใส มีใจชื่นชมยินดีมิรู้เบื่อในกองการกุศลกรรมทั้งปวง
     
  11. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    สวรรค์​

    สวรรคมี 6 ชั้น จึงมีชื่อเรียกว่า ฉกามาพจร ซึ่งมีความหมายถึง ภพภูมิ 6 ชั้น ที่ยังติดอยู่ในบ่วงกามตัณหา ยังมีความอยาก ความใคร่ มีการจุติ เกิด ดับ เหมือนโลกมนุษย์
    สวรรค์ชั้นที่ 1 ชื่อว่า ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นดินแดนแห่งราชาทั้ง 4 มีหน้าที่ดูแล ในแต่ละทิศ เป็นใหญ่เสมอกัน ซึ่งรู้จักกันในนามของ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ซึ่งหมายถึง ผู้ปกครอง ดูแล ปกปักษ์รักษา โลก ทิศเหนือ คือ ท้าวไพรศรพณ์ (มีหลายชื่อ เช่น ท้าวกุเวร ท้าวเวสสุวรรณ) เป็นหัวหน้า ของ ยักษ์ ภูติ ผี ปิศาจ และคน ทิศใต้ คือ ท้าววิรุฬหก เป็นหัวหน้า ผีเสื้อกุมัณฑ์ (เป็นยักษ์ประเภทหนึ่ง) ทิศตะวันออก คือ ท้าวธตรฐ เป็นหัวหน้าพวกคนธรรพ์ ทิศตะวันตก คือ ท้าววิรูปักข์ เป็นหัวหน้าพญานาค
    สวรรค์ชั้นที่ 2 ชื่อ ดาวดึงษ์ หรือ ไตรตรึง มีพระอินทร์ เป็นจอมเทพ
    สวรรค์ชั้นที่ 3 ชื่อ ยามา มี ท้าวสยามเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    สวรรค์ชั้นที่ 4 ชื่อ ดุสิต มี ท้าวสันดุสิตเทพยราช เป็นใหญ่ ซึ่งในชั้นนี้ จะเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต เทวดาชั้นนี้จะเป็นผู้รู้ธรรมะ
    สวรรค์ชั้นที่ 5 ชื่อ นิมมานนรดี มี ท้าวสุนิมมิต เป็นจอมเทพ
    สวรรค์ชั้นที่ 6 ชื่อ ปรนิมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายธรรมะ มีท้าวปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่
    ฝ่ายมาร มีพระยามาราธิราช หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า พระยามาร เป็นใหญ่ ทั้ง 2 ไม่ไปมาหาสู่กัน เพราะเป็นใหญ่เสมอกัน
     
  12. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    พรหมโลก
    พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหมซึ่งสถิตย์อยู่ชั้นมหาพรหมาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรกคือชั้นต่ำที่สุด แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบน สูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากมนุษยโลกนักหนา ไม่สามารถ นับได้ พระพรหมแต่ละองค์ ณ พรหมพิมานแห่งตนในที่นี้ล้วนแต่ มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย
    พรหมโลกชั้นที่ ๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่าน มหาพรหม
    ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า ทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๓ มหาพรหมาภูมิ = ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้น ไปอีก ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

    พรหมโลก ๓ ชั้นแรกนี้ ตั้งอยู่ ณ ระดับพื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกเป็น ๓ เขต
    พรหมโลกชั้นที่ ๔ ปริตตาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ ล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๖ อาภัสสราภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสง ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

    อนึ่งพรหมโลกชั้นที่ ๔ - ๖ นี้ทั้งสามชั้น ความจริงตั้งอยู่ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต



    พรหมโลกชั้นที่ ๗ ปริตตสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๘ อัปปมาณสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณ ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๙ สุภกิณหาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนานักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น
    พรหมโลกชั้นที่ ๗ ชั้นที่ ๘ และชั้นที่ ๙ นี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต
    พรหมโลกชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์อนึ่ง ผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ๙ ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่ามีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้
     
  13. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    1.เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟ นั้น ๔ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    2.เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำ นั้น ๖ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
    3.เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลม นั้น ทั้ง ๙ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วยไม่มีเหลือเลย
    พรหมโลกชั้นที่ ๑๑ อสัญญีสัตตาภูมิ = ที่อยู่ของ พระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา พระพรหมไม่มีสัญญาทั้งหลาย ผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจ แห่งสัญญาวิราคภาวนาและสถิตย์อยู่ในพรหมโลกชั้นนี้ ย่อมมีแต่รูป ไม่มีนามคือจิตและเจตสิก เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา ล้วนแต่มีคุณวิเศษยิ่งนัก โดย ได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จ จตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุด มาแล้วทั้งสิ้นทรงเพศเป็นพระพรหมผู้วิเศษ สถิตย์อยู่ในปราสาท แก้วพรหมวิมานอันมโหฬารกว้างขวางนักหนา มีบุปผชาติ ดอกไม้ประดับประดาเรียบเรียงเป็นระเบียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว โรยรา โดยรอบ ผู้ที่ไปอุบัติเกิดในพรหมภูมิชั้นนี้ มี มากมายนักหนาจนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่มีหน้าตาเนื้อตัว สวยสง่ามีอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี ใหม่ งามซึ้งตรึงใจสุดพรรณนา แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไม่ไหวติง จักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เฉยเสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาลนานนักแล
    อนึ่ง เวหัปผลาภูมิและอสัญญีสัตตาภูมินี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะ ห่างไกลกันมาก
    12.สุทธาวาสภูมิ [พรหมชี้นนี้เป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ต้องสดับรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะมาที่นี่ได้ ดูคำอธิบายไว้ท้ายบท] เป็นพรหมโลกอีกชนิดหนึ่ง ต่างจากทั้ง ๑๑ ชั้นแรก ภูมินี้ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมอริยบุคคลในบวรพุทธศาสนา ชั้นพระพรหมอนาคามีอริยบุคคล ผู้มีความบริสุทธิ์ เท่านั้น ส่วนท่านที่ทรงคุณวิเศษอื่นๆ แม้จะได้สำเร็จฌาน วิเศษเพียงใด ก็ไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสภูมินี้ไม่ได้ อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ ๕ ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิ หาได้ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันไม่
    ๑๒. อวิหาสุทธาวาสภูมิ สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อวิหาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิอันเป็นที่อยู่อัน บริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติของตน พระพรหมในพรหมโลกชั้นนี้ ย่อมไม่ละทิ้งสมบัติ กล่าวคือ สถานที่ของตนโดยเวลาเพียงเล็กน้อย เพราะว่าพระพรหม ที่อุบัติเกิดและสถิตย์อยู่ ณ ที่นี้ ท่านย่อมไม่จักจุติเสียก่อน จนกว่าจะสถิตย์อยู่นานถึงมีอายุครบกำหนด ซึ่งแปลก ออกไปจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก ๔ ภูมิ คือพระพรหมในอีก ๔ สุทธาวาสภูมินั้นอาจไม่ได้อยู่ ครบกำหนดอายุก็มีการจุติหรือนิพพานเสียก่อน พระพรหมในอวิหาสุทธาวาสภูมินี้ แต่ละองค์นั้น ล้วนแต่ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดาน น้อยนักหนา โดยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล มาแล้ว
     
  14. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    ๑๓. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อน หมายความว่า ท่านเหล่านี้ย่อมไม่มีความเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจิตใจของ ท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็น พระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนา กรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น
    ๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความแจ่มใส คือท่านเหล่านี้ ย่อมมีความเห็นอย่างชัดแจ้งแจ่มใส สามารถเห็น สภาวธรรมได้โดยแจ้งชัดเพราะเป็นพระพรหมที่บริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน จิตใจสงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น
    ๑๕.สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า คือนอกจากธัมมจักษุที่มีกำลังเท่ากับพระพรหมในขั้น สุทัสสาสุทธาวาสภูมิแล้ว พระพรหมในสุทัสสีพรหมโลกนี้ ประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง ๓ นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น
    ๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความ เป็นรองกัน
     
  15. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    เบื้องอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์ สำคัญ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่ เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์ เหล่าพรหมทั้งปวงในที่นี้ ย่อมเป็นผู้ทรงคุณวิเศษโดย ไม่มีการเป็นรองกัน คือไม่ต่ำกว่ากันทั้งในด้านความ สุขและความรู้ ทั้งนี้เพราะทรงล้วนแต่เป็นผู้มีวาสนาบารมี ในจิตสันดานมีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนา โดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่นฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดใน อกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้ง สุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้วด้วยก็เทียบไม่ได้
    พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง ๔ หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานแล้ว ครั้นสิ้นพรหมายุขัย ก็จำต้องจุติจาก สุทธาวาสพรหมโลกที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติเกิดใน อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ เมื่อมาอุบัติเกิดในที่นี้แล้วย่อมจะ ไม่ไปอุบัติเกิดเป็นอะไรและในที่ใดภูมิใดอีกเลย เพราะ จะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานอยู่ในพรหมโลกชั้นอกนิฏฐพรหมโลก นี่เอง จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ เป็นพรหมโลกที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้



    อรูปพรหม = พรหมไม่มีรูป เป็นพระพรหมผู้วิเศษเพราะเหตุอุบัติขึ้นด้วยอำนาจแห่งรูปวิราคภาวนา
    ๑.อากาสานัญจายตนภูมิ สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนานั้น บรรดาโยคีฤาษีสิทธิ์ตลอดจนชีไพรดาบส ที่ประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา ครั้นเขาผู้มีอำนาจฌานสูงรำพึงอยู่ดังนี้ ว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย มิได้อาลัยในสรีระร่าง พลางออกจากจตุตถฌานแล้วก็มีใจผ่องแผ้ว ปรารถนา อยู่แต่ในความไม่มีรูป อุตส่าห์เจริญสมถกรรมฐาน ต่อไปจนได้สำเร็จ อรูปฌาน ครั้นถึงกาลกิริยา ตายแล้วก็ตรงแน่วมาอุบัติเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ นาม อรูปพรหม จิตใจนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหัวหูตาตีนมือ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มีเลย เสวยสุขอยู่ด้วยภาวะไม่มีรูป ตามจิตปรารถนา อากาสานัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติซึ่ง ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์
    ๒.วิญญาณัญจายตนภูมิ พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป ซึ่งอุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตนวิบากจิต
    ๓.อากิญจัญญายตนภูมิ พ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อากิญจัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตนวิบากจิต
    ๔.เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่แห่งพระพรหมผู้วิเศษผู้เกิดจากฌานที่อาศัยความประณีตเป็นอย่างยิ่งมีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญา ยตนวิบากจิต มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ ๔ มาแล้วทั้งสิ้น
    **ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้อย่างชัดเจน ถึงพระพรหมอนาคามีบนชั้นสุทาวาส ที่รวมกลุ่มมาเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อย่างชัดเจนว่า ดังนี้
    -กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน(พระสมณโคดม)
    -กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระกัสสปะพุทธเจ้า
    -กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระโกนาคมพุทธเจ้า
    -กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระกกุสันธะพุทธเจ้า
    -กลุ่มพระอานาคามีที่บรรลุสมัยของพระสีขีพุทธเจ้าซึ่งย้อนไปหลายกัปจากปัจจุบันแต่ละกลุ่มต่างเข้ามารายงานบอกให้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทราบเป็นลำดับ.
    ในชั้นสุทาวาสพรหมนั้นเป็นที่เกิดที่อยู่ของพระอนาคามีซึ่งมีชั้นย่อยๆ ถึง 5 ชั้น
    พระอนาคามีบางองค์เมื่อมาเกิดไม่ว่าชั้นใดชั้นหนึ่งแล้วมีความเพียรในการปฏิบัติยังไม่ลดถอย บางท่านปฏิบัติต่ออีกไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านก็ไม่เกินกึ่งหนึ่งของอายุขัยของชั้นนั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านก็เต็มอายุขัยก็บรรลุพระอรหันต์ บางท่านหมดอายุขัยของชั้นนั้นก็ไปเกิดบนชั้นที่สูงขึ้นจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ มีบางท่านที่พิเศษ คือเป็นพระอนาคามี แล้วไปเกิดบนชั้นสุทาวาส ชั้นล่างสุด แล้วอยู่จนหมดอายุแล้วไปเกิดบนชั้นต่อไปตามลำดับ จนถึงชั้นสูงสุดแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์บนสุทาวาสชั้นสุดท้ายนั้นซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามความเพียรและวาสนาบารมีของแต่ละท่าน เมื่อรวมอายุขัยของพระพรหมอนาคามีทั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 5 แล้ว ก็จะยาวนานถึง สามหมื่นกว่ากัปที่เดียว ดังนั้นช่วงไหนที่ปรากฏมีพระพุทธเจ้าห่างกันเกินกว่า สามหมืนกว่ากัปขึ้นไป จนถึงอสงไขย ช่วงนั้นชั้นสุทาวาสพรหมก็ว่างเปล่า ไม่มีพระพรหมอนาคามีอยู่เลยครับ รอจนมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ชั้นสุทาวาสพรหมจึงค่อยมีพระพรหมอนาคามีมาเกิด
    ปฏิปทาให้เกิดในพรหมโลก มิใช่เพราะอานิสงส์ แห่งบุญกุศลอย่างสามัญธรรมดา คืออานิสงส์แห่งทาน และศีล...แต่เป็นอานิสงส์แห่งภาวนา
    อายุแห่งพรหม
    ๑. พรหมปาริสัชชาพรหมภูมิ อายุประมาณส่วนที่ ๓ แห่งมหากัป (๑ ใน ๓ แห่งมหากัป)

    ๒. พรหมปุโรหิตาพรหมภูมิ อายุประมาณครึ่งมหากัป

    ๓. มหาพรหมาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑ มหากัป

    ๔. ปริตตาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒ มหากัป

    ๕. อัปปมาณาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔ มหากัป

    ๖.อาภัสราพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘ มหากัป

    ๗. ปริตตสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖ มหากัป

    ๘. อัปปมาณสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๓๒ มหากัป

    ๙. สุภกิณหาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๔ มหากัป

    ๑๐. เวหัปผลาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป

    ๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป

    ๑๒. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิอายุประมาณ ๑๐๐๐ มหากัป

    ๑๓. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐ มหากัป

    ๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐ มหากัป

    ๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๐๐๐ มหากัป

    ๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖๐๐๐ มหากัป

    ๑๗. อากาสานัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐๐ มหากัป

    ๑๘. วิญญาณัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐๐ มหากัป

    ๑๙. อากิญจัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๐๐๐๐ มหากัป

    ๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๔๐๐๐ มหากัป
     
  16. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    โชคดีของโกเดี้ยน
    บันทึกจากหนังสือพิมพ์เหนือจักรวาล ฉบับที่ ๑๗ ปี ๒๕๒๗
    มีข้อความตามที่ "แดง ณ ชุมแสง"เล่ามาดังนี้

    เย็นวันหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าไ้ด้ทราบว่าโกเดี้ยน ผัวแม่ค้า เจ้าของโรงเลื่อยเมืองเหนีอตลาดชุมแสงได้ตายเสียแล้วด้วยโรคลมปัจจุบันเมื่อตอนบ่าย กว่าข้าพเจ้าจะไปถึงบ้านของโกเดี้ยนก็พลบค่ำ และได้แสดงความเสียใจกับแม่ค้าภรรยาผู้ตาย และช่วยเงินทำบุญเล็กน้อยตามประเพณี ข้าพเจ้าได้ตั้งใจมาแต่เดิมว่าคืนวันนี้จะต้องอยู่เป็นเพื่อนศพเพราะผู้ตายและำรรยาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือมาก และแม้คนในตำบลนี้ก็นับถือแกมากเช่นกัน เพราะโกเดี้ยนเป็นคนดี มีใจโอบอ้อมอารีไม่เลื้อกชั้นวรรณะนั่นเอง จึงทำให้มีผู้คนมาช่วยงานกันอย่างคับคั่ง ส่วนศพนั้นได้จัดการรดน้ำใส่โลงเรียบร้อยแล้วแต่ตอนเย็นนั้นเอง เวลาประมาณทุ่มเศษพระก็มาสวดหน้าศพ ซึ่งตามปกติผู้ตายไม่เคยเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาเลย แต่ญาติของภรรยาผู้ตายได้จัดการนิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรม แม่คำเคยปรารภกับเพื่อนบ้านเนื่องๆ เกี่ยวกับเรื่องสามีของแกที่ชอบพูดว่า"ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน"
    แม่ค้าซึ่งเคยเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ต้องประสบกับความอัดอั้นตันใจตลอดมาแต่ก็ได้เคยฝากของไปร่วมทำบุญกับญาตินานๆ สักครั้ง แม้ว่าโกเดี้ยนจะรู้ก็ไม่เคยพูดว่าอะไรเพียงแต่ไม่สนับสนุน แม่คำจึงเกรงใจอยู่ไม่กล้าเปิดเผย และศพนั้นจะต้องเก็บไว้รอญาติบ้านไกลๆ อีก ๓ เดือน จึงให้ญาติไปนิมนต์พระมาสวดหน้าศพตามประเพณี ส่วนข้าพเจ้านั้นก็นั่งฟังพระสวดพระอภิธรรม แต่พอตอนดึกพระสวดอภิธรรมกลับวัดแล้ว พวกเราก็หันหน้าเข้าวงเหล้าบ้าง เล่นหมากรุกบ้าง เป็นการแก้ง่วงและฆ่าเวลาจนกว่าจะรุ่่งสว่าง
    พอสว่างแล้วเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงก็นำเอาข้าวปลาอาหารมาร่วมทำบุญตักบาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายตามประเพณี เมื่อพระฉันเสร็จกล่าวคาถาอนุโมทนา ให่ศิลให้พร ญาติมิตรกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญกุศลให้แก่คนตายเสร็จพระท่านก็กลับวัดประมาณ ๒ โมงเช้าเศษ พวกเราก็เริ่มตั้งวงสุราอาหารเลี้ยงกันในหมู่พวกที่มาช่วยงาน แต่ในวงของข้าพเจ้าออกจะคุยกันครึกคลื้นเพราะล้วนแต่คอดี ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งๆ ที่วงอยู่ไกล้หีบศพห่างกันไม่ถึงศอก แต่ไม่มีใครเอาใจใส่ คงจัดการกับสุราอาหารเรื่อยไปเพราะศพยังไม่มีกลิ่นอะไรมารบกวน ครั้นเวลาล่วงเลยไปสักครู่ใหญ่ในวงสุราบางคนก็อิ่มแล้ว แต่ก็ยังคงนั่งคุยเป็นเพื่อนกันอยู่อีก ข้าพเจ้าอิ่มแล้วก็เหมือนกันแต่ก็ยังนั้งคุยอยู่ในวงนั้น พอนั่งสักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียง “กุกๆ” เสียงดังจากหีบศพข้างหลัง จึงคิดว่าหูจะเฝื่อนไป เพราะฤทธิ์สุรากระมัง แต่ก็ได้รวบรวมความรู้สึกเหล่านี้เงี่ยหูฟังอีกครั้ง “กุก” เสียงดังมาอีกแน่แล้ว เสียงดังอยู่ในหีบศพ จึงหันไปดูทางข้างหลังก็ไม่เห็นมีอะไร ข้าพเจ้าจึงหันไปดูตาพวกที่อยู่ข้างๆ เขาก็เพ่งสายตากันกลับมาเช่นเดียวกัน และต่างฝ่ายต่างก็มองดูตากัน เพราะเขาก็คงได้ยินเช่นนั้นเหมื่อนกัน และยังไม่ทันจะพูดอะไรกัน “กุก” เสียงดังขึ้นมาอีก เสียงคุยกันนั้นก็เงียบลงทันที เพราะคงได้ยินกันทั้งหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ชักหายมึนจึงค่อยขยับตัวออกห่าง คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน แล้วต่างก็มองดูตากันล่อกแล่ก ข้าพเจ้าก็คิดว่าโกเดี้ยนนี้ แกจะเฮี้ยนถึงกับแสดงฤทธิ์กลางวันแสกๆ เชียวหรือนี่ ทันใดนั้นเสียง “กุกๆๆๆ”ก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ทุกๆ คน ลุกขึ้นยืนจับกลุ่มโกลาหลกันโดยทันที พร้อมกับลุงวันสัปเหร่อ ซึ่งนั่งร่วมวงอยู่ด้วยก็ถอยห่างออกจากกลุ่ม แล้วก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2010
  17. nunoiyja

    nunoiyja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2010
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,733
    "เอ๊ โกเดี้ยนเอาแน่หรือหว่า"
    พอขาดคำ เสียงจอแจก็ดังเซ็งเเซ่
    "เบาก่อน อะไรกันกลางวัีนเเสกๆ คนตั้งเยอะแยะตื่นกันไปได้นี่"
    ลุงสุกผู้อาวุโส เคร่งในธรรมเอ่ยขึ้น เสียงเซ็งแซ่ จึงค่อยสงบลง
    "เออจริงๆ ละ เงียบๆ ฟังดูที กลังอะไรกันนัก" ลุงวันสัปเหร่อได้สติก็เอ่ยขึ้นอย่างรักษาเหลี่ยมคมคนกล้า
    เสียง"กุกๆ" กับเสียงดิ้นในหีบศพก็ดังขึ้นอีก "เฮียวัน เข้าไปกับข้าเถอะ ดูซิว่ามันเป็นอะไรกันแน่" ลุงสุกกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปติดๆ เมื่อทั้งสองลุกไป พวกเราก็เคลื่นกลุ่มตามไปห่างๆ หลังกลุ่มผู้ชายก็เป็นผู้หญิง เพราะคนทั้งหมดที่มารวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าค่อยได้สติขึ้นก่อนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที จึงก้าวล้ำหน้าพวก รีบเข้าไปอย่างครึ่งกลัวครื่งกล้า พอสองเฒ่าถึงหีบศพ ก็เอื้อมมือเปิดผ้าขาวบนหีบศพที่ยังไม่ได้เอาฝาทึบมาผนึก ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีมือมาจับที่แขน รีบหันหน้าไปดูโดยทันที ก็เห็นหน้าแม่คำมายืนเกาะอยู่ข้างหลัง ก็ค่อยโล่งใจไปหน่อย แม่ำก็คงอยากเดินเข้าไปดู แต่ไม่กล้าจึงมายืนเกาะอยู่อยู่ข้างหลัง ลุงวันกับลุงสุกพากันมองดูในหีบศพ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจเดินตรงเข้าไป แม่คำก็เดินตามหลังเข้าไปด้วย พอจวนจะถึง ลุงวันก็เงยหน้าขึ้นโดยทัีนที พูดละล่ำละลักว่า "ถ้าจะฟื้นละโว๊ย...จริงๆ"

    ลุงสุกเงยหน้าขึ้นสนับสนุน ข้าพเจ้ากับแม่คำก็รีบเดินไปดูโดยทันที แลเห็นโกเดี้ยนนอนทำตาปริบๆ ปากพะงาบๆ แต่ไม่ได้ยินเพราะเสียงแกเบามาก ซึ่งเสียงคุยจากกลุ่มคนก็มากลบเสียงอีกด้วย แม่คำก็ซัดขึ้นโฮใหญ่ คงจะเป็นด้วยความปิติอย่างสุดซึ้ง ใครๆ ก็คงเหมือนกัน แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนเฮเข้ามา ได้ยินลุงสุกพูดขึ้นมาว่า "เบาๆ ก่อนถอยออกไป เดี๋ยวก็ได้เห็นกันดอกน่า" พลางหันมาพยักหน้าให้ข้าพเจ้าและลุงวัน พร้อมกับพูดว่า "อ้าว ช่วยกันยกขึ้นเถอะ"
    แล้วลุงวันก็เข้าทางศรีษะ ลุงสุกเข้าทางปลายเท้า ข้าพเจ้าตกหน้าที่กลางตัว พร้อมกันชข้อนยกคนที่ตายไปแล้วตั้ง ๑๘ ฃั่วโมง แล้วกลับฟื้นขึ้นมาได้ รู้สึกว้าวุ่นอยู่ในสมอง คล้ายๆ กับเชื่อครื่งไม่เชือครื่ง ลุุงสุกหันหน้าไปทางแม่คำ เห็นยืนสะอื้นฮักๆ อยู่จับอะไรไม่ถูกก พร้อมกับพูดขึ้นว่า "แม่คำไปเอาฟูกมาปูเร็วๆ" แม่คำจึงวิ่งไปจัดการเอาฟูกมา และมีคนวิ่งมาช่วยอีก ๒ คน ลุงสุกหันมาทางข้าพเจ้าแล้วพูดว่า "อ้าว ช่วยกันแก้ด้ายตราสังเถอะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...