การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว

ก็เพราะความขี้เกียจไงถึงได้แค่นี้

ปฏิบัติได้แค่นี้เหรอ

มีอะไรมาโม้มั้ยล่ะ
อยากฟังคนโม้ มีอะไรโม้มั้ย

 

ได้แค่นี้แหละฮะ
เดี๋ยวถ้าระเบิดได้เมื่อไหร่จะมาโม้เพิ่มฮะ
อิอิ

 

พวกชอบโม้ว่าทำได้ตั้งแต่เด็ก
เป็นพวกที่ขาดมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน
พวกนี้ไม่ค่อยยอมรับความจริงที่มีเหตุมีผลพิจารณาตามได้
แค่เรื่องพื้นฐานคือเรื่องจิต เรื่องเดียว
ยังเข้าใจไม่ได้ ยังกล้าโม้ว่าทำได้แต่เด็ก
ต้นแบบยังไงบล๊อกที่แกะออกมาก็ยังงั้น....

;aa24

 

ขอบคุณคร้าบบ ที่ชม อิอิ
เดี๋ยวนี้มีคนชมบ่อยจัง

จริงๆนะฮะ เรื่องจิตนี่ยังไม่เข้าใจเลยฮะ
อ่านไปก็งง ลองทำดูก็ยังงง
ยังไม่รู้จักหน้าตามันเลยฮะ ว่ามันเป็นยังไง
เดี๋ยววันไหนรู้จักและเข้าใจจริงๆแล้วจะมาโม้ให้ฟังใหม่นะฮะ

แต่เรื่องนั่งสมาธินี่จริงๆนะฮะ พ่อนั่ง ผมก็นั่งข้างๆพ่อผมนั่นแหละ
หลังจากนั้นก็ทำบ้างเป็นโอกาส ลองทำตาเขๆซักพักแล้วมันก็วูบเลยฮะ
แล้วมันก็ไปค้างอยู่ตรงนั้นแหละฮะ ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้น
ก็เลยไม่อยากไปติดตรงนั้นอีก ก็เลยไม่เพ่งอีก
พอตอนหลังได้ฟังหลวงพ่อพุธ
ก็เลยลองเกิดอะไรขึ้นก็รู้ตามหลวงพ่อพุธนั่นแหละ

แต่ช่วงปีที่แล้วก็นั่งตอนอยู่ในร้านนะฮะ
ลูกค้าเข้าร้านทีแทบถอนไม่ทัน

แต่ก็ไม่เห็นได้อะไรจากการนั่งเลยฮะ
แค่รู้สึกเบาๆติดมานิดหน่อย แล้วก็ครั้งหลังๆมันก็เข้าง่ายขึ้นมังฮะ
แล้วก็ทนเหน็บชาได้ดีขึ้นมังฮะ เพราะมันไม่รู้สึกอะไร เหมือนมันแยกกันอยู่
หรือผมยังนั่งผิดอยู่ฮะ

วานท่านธรรมทูด กับ ว่าที่อาจารย์ช่วยแถลงไขหน่อยฮะ

 

เออ ลืมไป
มีบ้างครั้งฝืนๆแล้วมันรู้สึกหายใจไม่ออกอะฮะ
เลยกลัวตาย
เคยลองฝืนได้บางที แล้วมันก็ไปอยู่ตรงที่เคยเป็น
บางทีก็ไม่อยากฝืน
แล้วก็มีอีกหลายอาการฮะ
พอเพ่งแล้วมันจะตามมา

เคยลองแบบหลวงพ่อเทียน เดินจงกรม พุทโธ พองยุบ
พอเพ่งแล้วก็เกิดอาการเดียวกันหมดเลยฮะ

เลยสงสัยว่าอะไรที่ทำให้มันต่างฮะ
ก็ได้หลวงพ่อพุธกับหลวงพ่อปราโมทย์นี่แหละฮะ
มาช่วยแถลงไข

ไม่ทราบว่าผมยังเข้าใจอะไรผิดอยู่อีกหรือปล่าวฮะ
ช่วยชี้แนะด้วยนะฮะ

 

โมทนา สาธุ
ไฟล์ประกอบเผื่ออาจนำไปสู่การพิจารณาความตายได้ชัดขึ้น

บทปลงสังขาร

สังขารร่างกาย ต้องตายเป็นผี
อยู่ในโลกนี้ ไม่มีแก่นสาร

ทรัพย์สินเงินทอง เป็นของสาธารณ์
ไม่ใช่ของท่าน ลูกหลานต้องลา

อย่ามัวประมาท โอกาสยังมี
อย่าหลงโลกีย์ จะมีปัญหา

โลกนี้แท้จริง เป็นสิ่งมายา
เป็นสิ่งลวงตา ใช่ว่าจีรัง

สังขารร่างกาย อยู่ไม่กี่ปี
ก็ตายเป็นผี ไม่มีความหวัง

เกิดแก่เจ็บตาย ร่างกายผุพัง
ทุกวันเดินทาง สู่ยังกองฟอน

จะห้ามไม่ฟัง จะรั้งไม่หยุด
เป็นสิ่งสมมุติ ตามพุทธะสอน

อำนาจใด ๆ อย่าไปวิงวอน
ให้ช่วยเราตอน ที่วันสิ้นใจ

สังขารเรานี้ เป็นสิ่งที่สังเวช
มันเป็นสาเหตุ สังเกตุเอาไว้

เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ปวดร้าวอาลัย
หิวอิ่มเกินไป ก็ไม่อยู่นาน

หนาวก็จะตาย ร้อนไปก็จะแย่
ลำบากแท้ ๆ นี่แลสังขาร

ต้องกินต้องถ่าย ทนไปทุกวัน
ดูน่าสงสาร คิดกันให้ดี

สังขารร่างกาย ทั่วไปเน่าเหม็น
มีของกากเดน มองเห็นทุกที

ไหลเข้าไหลออก ย้อนยอกมากมี
ล้วนเป็นสิ่งที่ มีอยู่ทั่วกัน

น้ำเลือดน้ำหนอง ล้วนของปฏิกูล
ไหลมาเป็นมูล พอกพูนหลายชั้น

ข้างนอกเน่าเหม็น มองเห็นทุกวัน
อีกข้างในนั้น ล้วนชั้นไม่งาม

สังขารร่างกาย ไม่ใช่ตัวตน
เกิดมาเป็นคน ไม่พ้นโดนหาม

ต้องนอนเปลือยกาย ให้ไฟลุกลาม
เมื่อเจ้าโดนหาม สู่เชิงตะกอน

ผู้ดีเข็ญใจ ก็ตายเหมือนกัน
อย่าหลงสังขาร ปลงกันไว้ก่อน

ลูกหลานหญิงชาย ส่งได้แน่นอน
ก็แค่กองฟอน แล้วย้อนกลับมา

----------------------------------------------------------------------------------------

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=4QyJxinflLI]YouTube - พิจารณาสังขาร.wmv[/ame]

 

โอก้าซังคะ

หลบภัยอยากรู้จังเลยค่ะ ตอนที่ท่านอัญญาโกทัญยะ บรรลุธรรม ท่านใช้ฌานไหนบรรลุธรรม มะมีไรค่ะ หลบภัยอยากทราบเฉยๆ ถือเป็นความรู้

 

นี่ ผมขอพูดแทน คุณ ธรรมสวนังนิดหนึ่ง

การถามคำถามนี้ ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หลบภัยกำลังจะบอกว่า

พระอัญญาโกญทัญญะ ไม่เห็นต้องใช้ ฌาณ ตอนบรรลุ ว่างั้นเถอะ

ผมจะชี้ให้เห็นสองข้อ

1 ท่านอัญญาโกญทัญญะ เป็น พราหมณ์ บวช บำเพ็ญ มาก่อนพระพุทธองค์จะเกิด
และ บำเพ็ญตามพระศาสดามาตลอด จนมาถึงครั้งที่พระศาสดา เลิกบำเพ็ญด้วยทางสุดโต่งนั่นแหละ ปัญจวัคคีย์จึงเลิกตาม นั่นแสดงให้เห็นว่า ท่าน บ่มเพาะ อินทรีย์มาอย่างอุกฤษณ์ นี่ประการแรก นะ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า การบรรลุธรรมของท่านอัญญาโกญทัญญะ ไม่ใช่ ปราศจากเหตุ หรือ ปรากฎลอยๆ ว่า ไม่ต้องใช้ ฌาณ ก็บรรลุ

2 การบรรลุ ธรรม ในขณะนั้น เป็น เพียงดวงตาเห็นธรรมครั้งแรก หาใช่ จบกิจไม่
และ ภายหลังจากนั้น เราจะไปสรุปไม่ได้ว่า นั่นคือ จบแล้วจบกัน
และปรากฎว่า พระศาสดาทรงสอนให้ กระทำ ฌาณ
พระวิสุทธิมรรค ก็สอนให้ ทำสมาธิ ในรูปแบบ
ครูบาอาจารย์ ก็สอนให้ทำสมาธิ ในรูปแบบ

แต่ เพิ่งจะมาระยะหลังนี้ ที่เหล่าดูจิต และ พระท่านหนึ่ง สอนให้คนออกห่างจากสมาธิ
อัน เป็นการสอน สวนทาง ต่อ พระอรหันต์ ที่ได้ดำเนินมาดีแล้ว

 

สาธุฯ อาจารย์ขันธ์กล่าวชอบแล้วค่ะ
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

(smile)

 

อนุโมทนา ลุงขันธ์ กับ โอก้าซัง หลบภัย ไม่ได้คิดอะไร
หลบภัยบอกแล้ว ถือเป็นความรู้ เอามาประกอบการ ปฏิบัติของหลบภัย

หลบภัย ดื่มนมตราหมี วัยกำลังอยากรุ้อยากเห็น 55+ สาธุ ค่ะ

 

แล้วไงครับ ทำในรูปแบบแล้วไงครับ มีใครก่อนหน้านั้นทำในรูปแบบ
แล้วได้ญาณทัศนะบ้างไหมหละครับ แค่ญาณทัศนะก็ยังไม่มีเลย จะ
ต้องมาสิ่งที่เป็น สัมมาทิฏฐิ เข้าไปสัมปยุตต่วนมด้วย ถึงจะมีโอกาส
ได้เห็นธรรม และความอุกฏฤษณ์นั่นมันใช่เหตุแท้จริงของการเห็นธรรม
หรือเปล่า คนที่เขาวภาวนาเป็นเขาจะเห็นว่าไม่ใช่ เพราะจิตมันต้องปล่อย
วางสิ่งนั้นเข้ามา มันจึงเข้ามาที่ฐานจิตที่ถูกต้อง จะไปชี้อินทรีย์โดยเห็น
ว่าความอุกกฤษณ์คือเหตุปัจจัย ขอโทษนะครับ อินทรีย์นั้นต้องถือว่าเป็น
โทษครับ เพราะมันต้องปล่อยออกมาจึงเห็น

แต่ทำไมพวกคุณจึงเห็นว่าต้องทำ ต้องมีรูปแบบ ต้องอาศัยรูปแบบเป็น
ใหญ่(อินทรีย์) ก็เพราะว่าธาตุมันเห็นได้แค่นั้น จึงกล่าวได้แค่นั้น ติด
ในรูปแบบเสียจนมองไม่ออกว่ากุศลอย่างอื่นเขาก็มี

นี่ล่าสุด สายของพวกคุณนี่ไปลากเอา พระสายคันธุระ จะมีอายุและอาวุโส
ขนาดไหน จะอายุอานามเลย70 หรือไม่ ก็ไปลากเขามา มายกขึ้นว่าเขา
ทำสิ่งไร้ประโยชน์ ไปลากท่านมายกว่าเป็นขี้ลอยน้ำสมาธิทำไมเป็น ไปลาก
ท่านมาว่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไปลากเขามาว่าเป็นแค่พวกวินัยธรที่ไร้แก่นสารความรู้แท้

ถามจริงๆเถอะครับ สิ่งเหล่านั้นควรกระทำจริงๆ หรือ ควรป่าวประกาศให้ทราบ
โดยทั่วกันจริงหรือ แล้วคนที่ทำกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา หรือแม้กระทั่ง
จิตตานุปัสสนามาจะไปรู้เรื่องของคนที่ทำธรรมานุปัสสนาได้หรือ เคยได้ยิน
ไหมว่า พระโมคคัลานะ(สมาธิอินทรีย์มาก) ไม่สามารถแก้ปัญหาของพระสารี
บุตรได้(สมาธิอินทรียน้อนกว่า) ทำไมแก้ไม่ได้หละบอกได้ไหม

แล้วประเภท ธรรมสังเวช เห็นพวกคันธุระเถียงกันเรื่องนิพพาน แต่แทนที่จะ
สังเวชที่สาวที่ไปคุ้ยเอาเรื่องมาเถียงกันที่อยู่ข้างหน้า ทำไมไม่ต่อว่าเฉพาะ
คนที่เถียงเรื่องนิพพาน วินัยก็ไม่มี ศีลก็ไม่มี ที่กำลังชงเรื่องทำทีเป็นพวกคันธุระ
อยู่ตรงหน้า ว่าสาวคนนั้นไปเลยสิครับว่า นกแก้วนกขุนทอง ว่าสาวคนนั้น
ไปเลยว่าเกิดมาแก่ตายเปล่า หากไปห่มผ้าขาวห่มชีหรือห่มผ้ากาสวภัทรก็เป็น
เพียงผ้าห่มก่อนขี้ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าสิครับ ไม่ใช่ไปไหลไปลากคนที่เขาทำดี
ประกอบหน้าที่แก่ศาสนาอย่างเต็มที่ว่าตายเปล่า

ของอย่างนี้นะครับ "พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้" การรักษาศาสนาให้ดำรงเป็นปึก
แผ่นสามัคคีกันหนะ "พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้" เหมือนกันนั่นแหละ เพราะไม่มี
บารมีจะทำ จะอาศัยวาสนาที่มั่นใจได้ว่ามี ไม่พอหรอก

หากงงว่า พวกสายคุณไปทำอะไรมา ก็ไปฟังซะ แล้วช่วยมาบอกหน่อย
ว่าสายพวกคุณนับวันจะ "สร้างวิวาทะ" ให้แผ่กระจายนั้น มันจริงหรือเท็จ
อย่างไร...ตั้งประเด็นถามนะ ตอบได้ก็แก้มา

http://www.sa-ngob.com/media/audio/y53/04/a03-04-53am.mp3

 

ผมขออนุญาต ตอบ ประเด็นหลังนะครับ เพราะประเด็นช่วงต้น คุณกล่าววาทะเหมารวม แบ่งแยกสาย และ เพ่งที่การกระทำของบุคคลมากกว่า ดูที่หลักเหตุผล หรือ ธรรมาธิปไตยเป็นหลัก

ประเด็นหลังนี้

บอกว่า สายของคุณ สร้างวิวาทะ

ตอบว่า ไม่มีสายใครนะครับ มีแต่ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ทีนี้ ผมก็ทำตาม คำสอนพระศาสดา ที่กล่าวว่า อานนท์ เมื่อตถาคตกายแตกดับไป พระธรรมและพระวินัยที่ตถาคตแสดงเอาไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของพวกเธอแทน เราตถาคต

พระธรรมและพระวินัย ที่พระศาสดาแสดงไว้ ทุกขั้นทุกตอน ก็ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า
ธรรมของ พ่อแม่ครูอาจารย์ และ แบบแผน การทำสมาธิ และวิปัสสนานั้นถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ผู้อื่นอย่างแท้จริง

แต่ ธรรมที่คุณพูดมา นั้นก็ถูกพิสูจน์แล้วเช่นกันว่า คำสอนของหลวงพ่อท่านหนึ่งที่ทำ cd เป็๋นไป เพื่อ ลาภสักการะ และ ปราศจากการ ไตร่ตรองในธรรม ไม่ใช่เป็นธรรมที่ถูกต้อง
ไม่ใช่ เป็นธรรมที่เป็น อกาลิโก ซึ่งแค่ เอาคำว่า อกาลิโกมา ก็เห็นแล้วว่า ธรรมที่ยกมาของคุณ ไม่เป็น อกาลิโก คือ
1 เปลี่ยนธรรมไปตามบุคคล 2 เปลี่ยนธรรมไปตามกาลเวลา 3 เปลี่ยนธรรมเพื่อแก้ข้อกล่าวหา

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า สายของคุณ สร้างวิวาทะ จึงเป็น คำกล่าวหาที่ไม่ได้พิจารณาไปที่ตนเองของ คุณเลย

 

เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เกิดความสงสัยประเด็นที่ว่า "ดูจิต ต้องดูลมหายใจด้วยมั้ย" จริงๆก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วละ ก็มีอยู่คืนหนึ่ง จำได้ว่าประมาณใกล้จะสว่าง เพราะปกติจะนอนตื่นเช้ามืด ผมฝันครับ ฝันว่าได้เจอหลวงปู่เณรคำ องค์ที่ท่านสร้างพระแก้วมรกตจำลอง จ.ศรีสะเกษ นั่นแหละครับ ซึ่งในชีวิตนี้ผมไม่เคยเจอหลวงปู่เณรคำมาก่อน แต่ตั้งใจว่าจะต้องไปกราบท่านที่วัด
ผมก็ถามปัญหานี้กับท่านว่า "หลวงปู่ครับ ดูจิตต้องดูลมหายใจด้วยมั้ย" ท่านก็เมตตาตอบมา ซึ่งก็ตรงกับที่ผมเข้าใจ

หลังจากวันนั้น เว้นอีกวันหนึ่ง พอมาวันที่ 3 ก็ฝันว่าเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง จิตบอกกับตัวเองว่าชื่อวัด....... เห็นคนกำลังบวชนาคอยู่ 1 รูป ผมก็อนุโมทนาจะหันหลังกลับแล้ว ปรากฎว่ามองอีกครั้ง ก็พบว่า มีนาคใส่ชุดขาวอยู่อีก 4 รูป รวมเป็น 5 รูป ผมก็เลยคิดว่า ไหนๆเข้ามาที่วัดนี้แล้ว ก็ไปกราบพระประธานดีกว่า ก็เดินขึ้นบันไดไปกราบพระประธาน ตอนเดินขึ้นเนี่ย จำได้แม่นเลยว่า บันไดวนซ้ายหรือวนขวา และพระประธานปางอะไร อยู่ทางด้านซ้ายหรือด้านขวาของอาคาร

ก็เป็นเรื่องแปลกดี วัดนั้นผมก็ไม่เคยไป แต่เมื่อเห็นนิมิตไม่นาน ก็ได้ไปมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเจออะไรนั้น ก็ขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ขอให้ท่านทั้งหลายอนุโมทนาด้วยแล้วกัน

ย้อนกลับมาเรื่องประเด็นดูจิต เรื่องศรัทธาแนวคำสอนอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น อยากจะบอกว่า "มีวาสนาความผูกพันกันมาก่อน" เพราะฉะนั้น เมื่อได้มาเจอกัน ก็จูนกันได้ง่าย จะชักชวนชี้แนะให้ทำอะไร ให้เชื่ออย่างไรก็ทำได้ง่าย เพราะเคยเป็นพวกกันมาก่อน มีความสัมพันธ์กันมาก่อน ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจความเป็นมาเป็นไปอย่างนี้ ก็ชี้แนะแนวทางที่เราเห็นว่าเป็นแนวทางที่ถูกที่ควรไปพอประมาณ
แต่สุดท้ายเราก็ต้องวางอุเบกขา ..... อย่าให้ใจขุ่นข้องหมองมัว ใครทำใครได้ ว่างั้นเหอะ
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

 

เดี๋ยวหลบภัยจะไปวัด ไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสักหน่อย ค่ะ ถ้าท่านอยู่วัดนะ
ตอนเย็นจะกลับมาอ่าน ท่านผู้เมตตาตอบหลบภัย อนุโมทนา

หลบภัย ขอถามอีกหน่อยนะคะ บุคคลขั้นไหน ถึงสามารถทำสติปัฏฐาน 4
ได้ตลอดเวลา เพราะหลบภัยทำมานานแล้วแต่ไม่เคยทำได้ต่อเนื่องทั้งวันเลย
เลยไม่รู้ว่า ต้องธรรมระดับขึ้นไหนเหรอคะ อันนี้ก็อยากทราบจริงๆ เหมือนกัน
ขอบคุณค่ะ...ไปนะคะ

 

ไม่มีใคร เจริญ สติปัฎฐานได้ตลอดเวลาหรอก

คำว่า สัมมาสติ ก็คือ มหาสติปัฎฐาน จะต้องเจริญ ให้แจ้ง

ทีนี้ พอฝึกบ่อยๆ เข้าก็จะ เป็น สติอัตโนมัติ แต่ คำว่า อัตโนมัติ นี้จะไม่ไปมีสติกับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์นะ แต่ จะต้องเป็นสติ ที่เราเอาใจไปจ่อ เพราะยังไม่รู้แจ้งกับสิ่งนั้น
หรือ เป็นไปเพื่อฝึกสติ ให้มีกำลังกล้า

ไม่ใช่ ทำทั้งวัน หรือ ทำอย่างไม่รู้ว่า เราจะได้อะไร

จะปฏิบัติธรรมอะไรก็ตาม ให้เดินทางสายกลาง ให้เอาสติ อยู่กับทางสายกลาง

 

ประเภทไม่สืบสาวหาข้อเท็จจริง ละเมอไปตามความคิดโดยไม่ดูข้อเท็จจริง
นี่เมื่อไหร่จะเลิกครับ

คุณยังคิดว่า ณ วันนี้ พระท่านนั้นเป็นแค่ประเด็นเดียว คนเดียวที่ถูกยกขึ้นมา
เบียดบังให้อยู่ยาก แสดงธรรมลำบาก อีกหรือครับ

ไปฟังก่อนสิครับว่า ณ วันนี้ มีพระชื่อเสียงเรียงนามใดโดนยกขึ้นมาเป็นขี้อีกบ้าง

ไปฟังเสียก่อนแล้วค่อยมาพูด....เถอะ...

แล้วคุณจะเห็นว่า พวกคุณหนะเป็นบ่อน้ำมันให้กับ พวกทำลายศาสนาอย่างไรบ้าง ณ วันนี้

 

คุณ เล่าปัง ถ้าผมเป็นบ่อน้ำมันให้พวกทำลายศาสนา
กรรมเวร ก็๋คงจะตามทันผม อย่างแน่นอน

แต่ ก็ปรากฎว่า ผมก็ใช้แต่หลัก ธรรมาธิปไตย มาตลอดไม่ใช่หรือ

ไม่ได้ใช้ เล่ห์เหลี่ยม กลโกง ในการแสดงธรรมและเหตุผล

ส่วน ใครจะทำลายศาสนา ก็เรื่องของเขาเหล่านั้น จะเอามาโยงใยกันไม่ได้หรอกครับ

 

ก็เขาอาศัย ความไม่ถ้วนในหลักการยังการศาสนาในพวกคุณไงครับ

ป่านนี้ยังไม่เข้าใจความที่ผมสื่ออีกหรือ

หลักธรรมที่คุณอ้างหนะ มันมีในพวกคุณ แต่ คนในสังคมเขาต้องอาศัยสิ่งที่ควรแก่เขา
พวกคุณอ้างตัวเป็นหลัก แต่ทำลายกลไกสังคมเขา หลักเดียวมันหมุนอะไรไม่ได้หรอกคุณ

 

คุณ เล่าปัง

พูดแบบนี้ ก็แสดงว่า หลักของคุณ ถ้วนถี่ ไม่เปิดช่องทางในการทำลายศาสนาเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ

ตรงกันข้ามนะครับ ผมกล่าวแต่ธรรม แต่เหตุแต่ผล มีแต่ คุณเล่นเล่ห์ เพทุบาย

กล่าวธรรมบิดเบือน ยกยอคุณธรรม อันไม่มีในกันและกันของ ใครก็ตามที่มาปฏิบัติตามแนวคุณ ให้เขาได้หลง ได้เชื่อ ว่า เขาทำแล้วได้ผล

ดังเช่น การพยากรณ์ อริยมรรค อริยผล ของอาจารย์ของคุณ

การกระทำเช่นนี้ หากคุณจะบอกว่า นั่นคือ กุศลโลบายให้คนปฏิบัติธรรม แต่สำหรับผมนั่นคือ หลอกลวง

 

ยังจะกลับไปอาศัยเรื่องในวงแคบๆ อีกหรือครับ

ทำไปเถอะนะ เอาแต่ดูละครช่อง7 ก็แบบนั้นแหละ

โลกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ก็ไม่ได้รู้เรื่องหลอก