รับประทานเนื้อวัวบาปไหมครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย chiwgim, 2 เมษายน 2010.

  1. chiwgim

    chiwgim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +308
    [​IMG]

    คือผมมักจะกินแต่ไม่บ่อย ถ้าอยู่กับพ่อ หรือแม่ ท่านก็จะห้ามเพราะบอกว่าบาป เป็นสัตว์ใหญ่อย่าไปกิน แต่เนื้ออร่อยดียิ่งถ้าเป็นสเต๊กก็เลยแอบไปกินนอกบ้าน หรือไปกินกับเพื่อนอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2010
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ก็ตอบยากเหมือนกันนะครับ
    เอาแบบนี้ดีกว่านะครับ
    บริโภคเนื้อสัตว์มาก ( สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ) ก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บมาก
    ท่านลองพิจารณาดูนะว่าควรบริโภคไหม?????


    ทุกวันนี้การบริโภคเนื้อสัตว์กลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว !!!!!!!!!!
     
  3. สี่จุด

    สี่จุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    705
    ค่าพลัง:
    +3,659
    เรื่องวัฒนธรรมการกินเนื้อวัวแล้วบาปนั่น คนจีนเขาถือว่า วัวควายเป็นสัตว์มีบุญคุณกับมนุษย์ ไถนาให้ข้าวเรากิน ฉะนั้น ไม่ควรไปกินเนื้อวัวควาย พระแม่กวนอิมท่านถึงได้ห้าม
    กินเนื้อวัวควาย ส่วนผู้ที่ยังกินเนื้อสัตว์อื่นอยู่ท่านก็แค่มีเมตตาว่า อย่าเบียดเบียนชีวิตกันและกันเท่านั้น
    ถ้าขืนตอบว่า กินสัตว์ใหญ่แล้วบาปเนี่ย เด๋วเข้าแถวมายาวแน่ๆ ว่า กุ้งหอยปูปลาก็หนึ่งตัวหนึ่งชีวิต แถมต้องกินหลายตัวถึงจะอิ่ม ไม่เอา ไม่พูดกันแบบนี้ดีกว่า
    ในแนวทางชีวจิต เขาว่า เนื้อวัวควายเนี่ย กว่าจะย่อยและออกจากร่างกายต้องใช้เวลา 14 วัน เนื้อหมู 7 วัน เนื้อไก่ 3 วัน เนื้อปลา 1 วัน เอาเป็นข้อมูลไว้พิจารณาก็แล้วกันนะจ๊ะ
     
  4. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    ชาดก... พระโสดาบันมีสามีเป็นพรานล่าเนื้อ

    ถาม....กินเนื้อ อย่างไรไม่บาป

    ตอบ...ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไม่มีข้อใหนห้ามกินเนื้อนะโยม


    ภริยาของนายพรานกุกกุฏมิตร บรรลุโสดาปัตติผลในกาลที่ยังเป็นเด็กหญิงนั่นแล แล้วไปสู่เรือนของนายพรานนั้น ได้บุตร ๗ คน, นางอันสามีสั่งตลอดกาลเท่านี้ว่า ‘หล่อนจงนำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา’ ได้ให้สิ่งเหล่านั้นแล้ว นายพรานนั้นถือเครื่องประหารที่นางให้ไปทำปาณาติบาต ล่าสัตว์แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือหนอ?"
    พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยเรื่องชื่อนี้"
    ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต แต่นางได้ทำอย่างนั้น ด้วยคิดว่า ‘เราจักทำตามคำสามี’ จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต

    จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ฉันใด ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลาย มีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนาฉันนั้นเหมือนกัน" ดังนี้แล้ว
    อ่านเพิ่มเติมที่.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
     
  5. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    อนุโมทนา...สาธุครับ
     
  6. winwinwin

    winwinwin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +1,267
    ผมเองเมื่อก่อนชอบกินเนื้อมาก กระทั่งเกิดนิมิต และมีคนทัก ตรงตามนิมิต จึงได้เลิกครับ แต่ประเด็นผมน่าจะเป็นปัญหาที่หนักอกมากกว่า พวกท่านมากมาย คือ แม่ผมเป็นมุสลิม พ่อผมไม่ ผมก็ต้องเป็นมุสลิมโดยหน้าที่ พุทธโดยศรัทธา (100% พุทธครับ) และแอบๆไป อยู่บ้านเนื้อก็ไม่กิน หมูก็อด ก็กุ้งปูปลาไก่ ออกนอกบ้านก็เพิ่มหมูเข้าไป ทุกวันนี้ ยูริกครับ จะทะลุปรอทแล้วครับอีก .1 เอง
    1 ตอนนี้ผมมองประเด็นว่า ทานไปเถอะ ทานเพื่อรักษาสังขาร เพื่อทำความดี ไม่ใช่กินด้วยอยาก แต่ต้องมีทางเลือกเพื่อบาลานซ์
    2 จริตแต่ละคนนั้นต่างกัน บางคนกินเนื้อมาก บางคนกินผักมาก ร่างกายก็ปรับกระบวนการกันไป ลองนึกนะครับ คนทานเนื้อมาก ให้มาทานผักมาก มันจะย่อยหรือ จงกินตามพอดีและสมควร
    3. คงจะหาผู้รู้ปรึกษาเรื่องนี้ล่ะครับ อาจต้องกลับมากินเนื้อ เก๊า มันทรมานมาก

    สรุปว่า ทานไปเถิด ถ้าทานแล้วทำความดี ทำบุญ ศีล ปฏิบัติ เพราะเขาที่เราทานเหล่านั้นจักได้บุญจากเราไปด้วย เพราะชีวิตเขาทำให้เราได้เจริญในความดี
     
  7. CheKuvara

    CheKuvara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,460
    ค่าพลัง:
    +19,342
    เคยได้ยินคนกล่าวไว้ในประเด็นนี้ หลวงปู่แหวนกล่าวไว้ยังงี้ว่า วัวควายมันกินหญ้าก็ไม่เห็นมันบรรลุอรหันต์
     
  8. chiwgim

    chiwgim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +308
    ขอขอบคุณทุกท่านมากครับ เข้าใจแจ่มแจ้ง กินก็ไม่ผิดแต่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง น้อมรับนำไปปฏิบัติครับ
     
  9. Konbarb

    Konbarb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +206
    กินไปเถอะครับ ถ้ากินแล้วเอากำลังวังชาที่ได้ไปทำดีช่วยเหลือสังคม ไม่ทำให้ตนเดือดร้อน ถ้ากินแล้วมีกำลังไปทำชั่วก็หยุดกินซะความชั่วจะได้น้อยลง กินแต่ผักแต่ปากว่าคนนั้นคนนี้ความดีไม่ทำ ดีอย่างเดียวยกตนข่มท่าน ว่าตนเองไม่กินเนื้อแล้วบริสุทธิ์เลิศเลอกว่าคนอื่น อย่างนี้กินแต่ผักก็ไม่ช่วยยกระดับจิตใจได้หรอกครับ
     
  10. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    หากอยากทานเนื้อจนทำให้คิดไปว่าอยากฆ่าสัตว์เพื่อให้ได้เนื้อมา หรืออยากให้คนอื่นเขาฆ่าสัตว์เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเนื้อทานทุกวันๆ จิตมีความปรารถนาลามกเช่นนั้น การทานเนื้อก็ย่อมบาปแน่

    แต่ถ้าเราทานเพราะเป็นอาหาร เหมือนกับเราไปซื้อรองเท้าหนัง กระเป๋าหนัง จิตเราไม่ได้ไปคิดไปปรุงแต่งว่าอยากให้เขาฆ่าสัตว์เพื่อให้ได้หนังมา แต่จิตเราคิดแค่ว่าจะซื้อกรเป่าหนัง ดังนี้ก็ไม่เกิดบาป แถมบางคนยังได้บุญอีกต่างหาก

    ได้บุญอย่างไร

    บางคน เห็นเนื้อสัตว์ หรือ กระเป๋าหนังสัตว์ เกิดความสงสารสัตว์ จนไม่กล้าฆ่าสัตว์ ก็มี เมื่อสงสารแล้วยังได้ทำบุญอุทิศสวดมนต์แผ่เมตตาให้สัตว์เหล่านั้นอีกก็มี ดังนี้หละที่กล่าวว่า เป็นบ่เกิดของบุญไม่ใช่บาป

    บาปเกิดขึ้นได้เพราะการทำผิดศีลทำให้ศีลขาด
    ศีลจะขาดได้ต้องครบองค์จึงจะเป็นกรรมสมบูรณ์

    องค์ของปานาติบาท

    1 คิดจะฆ่า
    2 ลงมือฆ่า หรือ สั่งให้ผู้อื่นฆ่า หรือพยายามฆ่าไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ
    3 สัตว์นั้นตายลงเพราะการพยายามนั้นๆ

    สามข้อนี้จึงจะเป็นกรรมสมบูรณ์ ศีลขาด เป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ครบองค์บริบูรณ์ ดังนี้ย่อมเป็นบาปโดยสมบูรณ์

    เอวัง สาธุ
     
  11. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    เนื้อสัตว์ใดๆก็ตามที่จะได้มาเป็นมังษาหารสิ้นทั้งปวง ที่ไม่สำเร็จด้วยการฆ่าเป็นไม่มี
    เลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลบได้ก็หลบ เลิกไม่ได้ ก็ลด ละ เป็นดีที่สุด กรรมทั้งหลายก็สำเร็จที่เจตนาเป็นปฐม ถ้ามีไถย์จิตไปทางไหน ก็สำเร็จในทางนั้น......
    ปัญหานี้ ในสมัยพุทธกาลมีผู้เคยถามกับพระพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
    ทรงแก้ปัญหาว่า ให้ลด ละ และถ้าเป็นไปได้ก็ให้เลิก ถ้าเลิกไม่ได้ ก็ให้ ละและลด
    หรือให้ทำแต่น้อย ......ธรรมทั้งหลายพึงพิจารณาตามเหตุและปัจจัย
     
  12. เทพมารพรหม

    เทพมารพรหม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +26
    เนื้อ 10 ชนิด ที่พระพุทธองค์ทรงห้ามฉัน นอกนั้นฉันได้หมดไม่ผิด ได้แก่ มนุษย์ ช้าง ม้า สุนัข งู ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี และเสือดาว
    ดู ต้นบัญญัติ ได้ที่
    1. อุบาสิกาสุปปิยาถวายเนื้อขา
    http://dharma.school.net.th/cgi-bin/stshow.pl?book=05&lstart=1372&lend=1508
    2. พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
     
  13. สนังกุมารพรหม

    สนังกุมารพรหม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +992
    พระไตรปิฎก เล่มที่ 05
    ครั้นสีหะเสนาบดีเห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว หยั่งลงสู่ธรรม
    แล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่
    ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาค
    พร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล
    และปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดย
    ดุษณีภาพ ครั้นสีหะเสนาบดีทราบอาการที่ทรงรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้วได้ลุกจากที่นั่ง
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป ต่อมาสีหะเสนาบดีใช้มหาดเล็กผู้หนึ่งว่า
    พนาย เจ้าจงไปหาซื้อเนื้อสดที่เขาขาย แล้วสั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตโดย
    ผ่านราตรีนั้นแล้ว ให้มหาดเล็กไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าข้า
    ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
    ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนิน
    ไปทางนิเวศน์ของสีหะเสนาบดี ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมกับ
    ภิกษุสงฆ์.
    ก็โดยสมัยนั้นแล พวกนิครนถ์เป็นอันมาก พากันประคองแขน คร่ำครวญไปตามถนน
    หนทางสี่แยก สามแยกทั่วทุกสายในพระนครเวสาลีว่า วันนี้ สีหะเสนาบดีล้มสัตว์ของเลี้ยงตัว
    อ้วนๆ ทำอาหารถวายพระสมณะโคดม พระสมณะโคดมทรงทราบอยู่ยังเสวยเนื้อนั้นซึ่งเขาทำ
    เฉพาะเจาะจงตน ขณะนั้น มหาดเล็กผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าสีหะเสนาบดีทูลกระซิบว่า ขอเดชะ
    ฝ่าพระบาทพึงทราบว่านิครนถ์มากมายเหล่านั้น พากันประคองแขนคร่ำครวญไปตามถนนหนทาง
    สี่แยกสามแยกทั่วทุกสายในพระนครเวสาลีว่า วันนี้สีหะเสนาบดี ล้มสัตว์ของเลี้ยงตัวอ้วนๆ
    ทำอาหารถวายพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบอยู่ ยังเสวยเนื้อนั้น ซึ่งเขาทำเฉพาะ
    เจาะจงตน.
    สีหะเสนาบดีตอบว่า ช่างเถิดเจ้า ท่านเหล่านั้นมุ่งติเตียนพระพุทธเจ้ามุ่งติเตียนพระธรรม
    มุ่งติเตียนพระสงฆ์มานานแล้ว แต่ก็กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นด้วยถ้อยคำอันไม่มี เปล่า
    เท็จ ไม่จริง ยังไม่หนำใจ ส่วนพวกเราไม่ตั้งใจปลงสัตว์จากชีวิต แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย.
    ครั้งนั้น สีหะเสนาบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหาร
    อันประณีตด้วยมือของตน จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร
    ห้ามภัตรแล้ว นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้สีหะเสนาบดีผู้นั่ง
    เฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุก
    จากที่ประทับเสด็จกลับไป.
    เรื่องสีหะเสนาบดี จบ.
    -----------
    พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อที่ทำเฉพาะ
    ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิด
    นั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ไม่พึงฉันเนื้อที่เขาทำจำเพาะ
    รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต ปลา เนื้อ ที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม คือ ไม่ได้เห็น
    ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจ.
    พระพุทธบัญญัติห้ามภัตตาหารบางชนิด
    [๘๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พระนครเวสาลีมีภิกษาหารมาก มีข้าวกล้างอกงาม บิณฑบาต
    ก็ง่าย ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหาก็ทำได้ง่าย ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค
    ประทับหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ทรงปริวิตกนี้ว่า ภัตตาหารที่เราอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคราว
    อัตคัดอาหาร มีข้าวกล้าน้อย บิณฑบาตได้ฝืดเคือง คืออาหารที่เก็บไว้ภายในที่อยู่ ๑ อาหารที่
    หุงต้มภายในที่อยู่ ๑ อาหารที่หุงต้มเอง ๑ อาหารที่จับต้องแล้วรับประเคนใหม่ ๑ อาหารที่ทายก
    นำมาจากที่นิมนต์นั้น ๑ อาหารที่รับประเคนฉันในปุเรภัต ๑ อาหารที่เกิดในป่าและเกิดในสระบัว ๑
    ภัตตาหารเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายยังฉันอยู่ทุกวันนี้หรือหนอ.
    ครั้นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ประทับพักเร้น แล้วรับสั่งถามท่าน
    พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ภัตตาหารที่เราอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคราวอัตคัดอาหาร
    มีข้าวกล้าน้อย บิณฑบาตได้ฝืดเคือง คืออาหารที่เก็บไว้ภายในที่อยู่ ๑ อาหารที่หุงต้มภายในที่อยู่ ๑
    อาหารที่หุงต้มเอง ๑ อาหารที่จับต้องแล้วรับประเคนใหม่ ๑ อาหารที่ทายกนำมาจากที่นิมนต์นั้น ๑
    อาหารที่รับประเคนฉันในปุเรภัต ๑ อาหารที่เกิดในป่าและเกิดในสระบัว ๑ ภัตตาหารเหล่านั้น
    ภิกษุทั้งหลายยังฉันอยู่ทุกวันนี้หรือ?
    ท่านพระอานนท์ทูลว่า ยังฉันอยู่ พระพุทธเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น ผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิด
    นั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัตตาหารที่เราอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อคราวอัตคัดอาหาร มีข้าวกล้าน้อย บิณฑบาตได้ฝืดเคือง คืออาหารที่เก็บไว้ภายในที่อยู่ ๑
    อาหารที่หุงต้มภายในที่อยู่ ๑ อาหารที่หุงต้มเอง ๑ อาหารที่จับต้องแล้วประเคนใหม่ ๑ อาหาร
    ที่ทายกนำมาจากที่นิมนต์นั้น ๑ อาหารที่รับประเคนฉันในปุเรภัต ๑ อาหารที่เกิดในป่าและเกิด
    ในสระบัว ๑ ภัตตาหารเหล่านั้น เราห้ามจำเดิมนี้เป็นต้นไป
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันอาหารที่เก็บไว้ภายในที่อยู่ อาหารที่หุงต้มภายในที่อยู่
    อาหารที่หุงต้มเอง อาหารที่จับต้องแล้วประเคนใหม่ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอาหารที่ทายกนำมาจากที่นิมนต์นั้น อาหารที่รับประเคนฉันใน
    ปุเรภัต อาหารที่เกิดในป่าและเกิดในสระบัว ยังไม่เป็นเดน ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตแล้ว
    ไม่พึงฉัน รูปใดฉัน พึงปรับอาบัติตามธรรม.
    พระพุทธานุญาตกับปิยภูมิ
    [๘๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนชาวชนบทบรรทุกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง
    ของขบฉันบ้าง ไว้ในเกวียนเป็นอันมาก แล้วตั้งวงล้อมเกวียนอยู่นอกซุ้มประตูพระอารามคอยท่า
    ว่าเมื่อใด เราทั้งหลายได้ลำดับที่จะถวาย เมื่อนั้นเราจักทำภัตตาหารถวาย ฝนตั้งเค้ามาจะตกใหญ่
    จึงคนเหล่านั้นพากันเข้าไปหาท่านพระอานนท์กราบเรียนว่า ท่านพระอานนท์เจ้าข้า เกลือ น้ำมัน
    ข้าวสาร และของขบฉันเป็นอันมาก พวกข้าพเจ้าบรรทุกไว้ในเกวียนตั้งอยู่หน้าวัดนี้ และฝน
    ตั้งเค้ามาจะตกใหญ่ ท่านพระอานนท์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าพึงปฏิบัติอย่างไร? จึงท่านพระอานนท์
    กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จง
    สมมติวิหารที่ตั้งอยู่สุดเขตวัด ให้เป็นสถานที่เก็บของกัปปิยะ แล้วให้เก็บไว้ในสถานที่ที่สงฆ์
    จำนงหมาย คือวิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น หรือถ้ำก็ได้.
    วิธีสมมติกัปปิยภูมิ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้
    ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
    กรรมวาจาสมมติกัปปิยภูมิ
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง
    สมมติวิหารมีชื่อนี้ ให้เป็นกัปปิยภูมิ นี้เป็นญัตติ
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติวิหารมีชื่อนี้ให้เป็นกัปปิยภูมิ การสมมติ
    วิหารมีชื่อนี้ให้เป็นกัปปิยภูมิ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
     
  14. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    สัตว์ละสังขารโดยธรรมกินได้ เพราะอยาก
    สัตว์ถูกเบียดเบียนถูกกินเพราะอยาก ไม่ใช่ธรรม
    ถ้าเป็นโยมเลือกกินได้ ไม่กินก็ได้
    ถ้าเป็นพระเลือกกินไม่ได้
    ความอยากเป็นบ่อเกิดความเศร้าหมองของจิต
     
  15. กุนเชียง

    กุนเชียง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,593
    ห้ามกินเด็ดขาด! ถ้าคุณนับถือพระจีน พวกหน่าจา อั่งไฮยี่ เจ้าแม่กวนอิม ก็ห้ามกินแต่ทางฮินดู กะอิสลาม เค้าชอบกินกันคับ พวกเนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อแพะ เนื้อหมา เนื้อแมว เนื้อฉลาม แต่พวกกุ้ง ปลา หมู กินได้ครับ แต่ห้ามกินวัว

    โปรดอ่าน หากท่านอ่านอยู่ที่สีแดงนั่นคือห้ามกิน และสีชมพูคือกินได้ แต่บรรทัดสุดท้าย
    ห้ามกิน
     
  16. comkung

    comkung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +3,075
    ถาม : มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
    ตอบ: ไม่จำเป็น รักษาศีล กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า อย่าลงมือฆ่าเอง ที่เขาขายกันทั่ว ๆ ไป ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็ขายอยู่แล้ว ถ้าพวกนั้นไปถึง ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง ฆ่าเองก็แล้วกัน สำหรับพระละเอียดหน่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ถึงจะฉันได้ ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง ยกแกงออกมาแล้ว อ้าว !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย ? หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้ สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้ ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง

    ที่มา : กระโถนข้างธรรมมาสน์ ฉบับที่ ๕ หน้า ๑
     
  17. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    มองได้หลายแบบ ถ้าบริโภคเนื้อสัตว์มาก สัตว์ก็ต้องถูกฆ่ามาก ถ้าหากบริโภคเนื้อสัตว์น้อย สัตว์ก็จะฆ่าน้อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วย เช่น ไปร้านอาหารที่เป็นซีฟู๊ด มีปลาที่มีชีวิตอยู่ในตู้ปลา เราสั่งอาหาร เขาฆ่าสด ๆ คนสั่งก็บาป คนฆ่าก็บาป นั้นคือเราสั่งเขาฆ่าแล้ว
    แต่บางครั้งก็มีบทความว่าบริโภคเนื้อสัตว์มักเสี่ยงต่อโรค
    แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อบัญญัติในทางศาสนาพุทธว่า กินเนื้อสัตว์ต้องบาป เว้นไว้แต่วินัยสำหรับภิกษุสงฆ์เท่านั้น
     
  18. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    ก็เลือกเอาตามอัธยาศัยครับ ใครคิดมากว่าบาปก็อย่ากิน ใครคิดว่าไม่บาปก็กินไป ครับเพียงแต่เราไม่ได้สั่งให้เค้าฆ่า ไม่ฆ่าเอง ไม่ยินดีที่เห็นสัตว์โดนฆ่า คิดเสียว่ากินเพื่อดำรงชีวิต ก็แค่นั้นครับ
     
  19. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    อนุโมทนาสาธุกับทุกท่านด้วยค่ะ เคยทานเนื้อวัวตั้งแต่เด็กเพราะชอบมากโดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยว แต่แล้วก็ต้องมีเหตุให้เลิก คือ จะมีอาการแน่นและเจ็บบริเวณกึ่งกลางระหว่างไหปราร้า กลืนน้ำลายยากต้องเดินก้มตลอด ลักษณะคล้าย ๆ คอบวม (เหมือนคอพอกด้วยค่ะ) ซึ่งวันนั้นมื้อเย็นเป็นมื้อล่าสุด คือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าประจำ ไปตรวจที่โรงพยาบาลคุณหมอบอกว่าระบบน้ำเหลืองไม่ดี ซึ่งอาการก็ยังไม่หายซะทีเดียว อยู่ ๆ ก็เลยคิดว่าสงสัยจะเป็นเพราะกินเนื้อหรือเปล่า ถามคุณแม่ท่านบอกว่า ก็อาจเป็นได้ เลยเลิกก็ดีขึ้นค่ะ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ)

    หลังจากนั้นอาการก็ไม่มีอีก มีเพื่อนที่นับถือพระโพธิสัตว์กวนอิมแนะนำว่า ถ้านับถือท่านต้องงดเนื้อสัตว์ใหญ่ด้วย ก็ประจวบเหมาะค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักพระโพธิสัตว์กวนอิมเลย พอได้ศึกษาแล้วก็ได้ทราบและนับถือเรื่อยมา

    ทุกวันนี้ อาการบางอย่างที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ (น้ำเหลือง) การอักเสบของต่อมทอลซินก็มีอยู่บ้าง (แต่ไม่หนักเท่ากับช่วงนั้น) ก็เลยเข้าใจว่า อาจเป็นเพราะสภาวะของร่างกาย+ความเครียด อาหารการกินที่ต้องให้มีสมดุลไม่มากหรือน้อยเกินไป อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยง (เห็นเค้าตักปลาไปปรุงให้ต่อหน้าเลย เครียดหนักอีก เฮ้อ อนิจจังหนอ...?!)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2010
  20. Sawadruksa

    Sawadruksa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +90
    a noe mo tha na sa thoe ka
     

แชร์หน้านี้

Loading...