เรื่องเด่น สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต แนวคำสอนสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 26 มีนาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า237<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อตัดกิเลส 3 กองนี้ได้แล้วจิตก็จะพ้น โลกธรรม8ที่เป็นโลกียวิสัย ดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ มีจิตใจที่สงบสุข บริสุทธิ์มุ่งสู่แดนนิพพานด้วยการปฏิบัติตามหลัก อริยสัจ 4 <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    บทส่งท้าย สังโยชน์ 10 กิเลสที่ดึงเหนี่ยวร้อยรัดให้ตกอยู่ในวัฏฏะ เพื่อเป็นตารางเปรียบเทียบกับภาวะการปฏิบัติจิตที่ได้ลดละกิเลสแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า238<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สังขารหวัวผู้ว่า ตนทรนง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทรัพย์ย่อมหวัวคนจง ว่าเจ้า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หญิงหวัวแก่ชายปลง ชมลูก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มัจจุราชหวัวผู้เถ้า บ่รู้วันตาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากประชุมโคลงโลกนิติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า241<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทุกวันนี้ท่านที่ว่า จิตใจท่านคงวุ่นวายอยู่เพราะว่า ท่านยังคงอยู่ในสภาพยึดตน หลงตน จิตจึงอยู่กับตน โดยไม่สามารถยกจิตให้พ้นจากกิเลสภัยในกายได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ด้วยเหตุนี้แล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จึงให้ศึกษาบทนี้เพื่อให้มองเห็นว่าร่างที่เรายึดนี้ก็ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารักใคร่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราก็คือ ซากศพเดินได้ ที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอิทธิพลแห่งความนึกคิด โลภ โกรธ หลง ที่ผุดขึ้นและดับลงสลับกันอยู่ตลอดเวลาไม่มีแก่นสารสาระแน่นอน กิเลสเหล่านี้จึงเบียดบังธาตุแท้แห่งปัญญา มองไม่เห็นสัจจะว่า เหตุใดเราจึงต้องมาเกิดและควรเตรียมตัวว่าจะตายเมื่อใด ตายแล้วไปไหน ด้วยเหตุประการนี้ จึงจำเป็นต้องบำเพ็ญฝึกจิตให้เกิดสมาธิเป็นปัญญา พิจารณาเหตุและปัจจัยการเกิดดับของกิเลส<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า242<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งกิเลสเปรียบดังพายุฝุ่นที่พัดพาเอาฝุ่นผงขึ้นปกคลุมจิตอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดที่จิตเราสงบข่มกิเลสไว้ได้ชั่วขณะหนึ่งเหมือนพายุฝุ่นนั้นเงียบสงบลงทันใด จิตที่เหมือนตะเกียงก็พ้นจากการปกคลุมของฝุ่นผง ย่อมเปล่งแสงเจิดจ้า ส่องทั่วพื้นปฐพีแห่งความ นึกคิด เกิดปัญญามองเห็นสัจจะแห่งความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดนั้นเป็นทุกข์ทั้งสิ้น เป็นหลักแห่งการพิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจังความไม่เที่ยงแท้ ทุกขังการทนอยู่ไม่ได้ อนัตตาเป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตัวเรานี้หนอ ทุกวันนี้ที่เราหลงยึดตัวเองว่ารูปหล่อหรือว่าสวยงาม ซึ่งความจริงมันเป็นเพียงเรือนสังขารที่จิตวิญญาณอาศัยสิงสถิตอยู่เพื่อใช้กรรม เมื่อตายลงหรือผลิกร่างกายเอาข้างในออกข้างนอก จะได้เห็นว่าเป็นของไม่สวยไม่งามเป็นปฏิกูลที่น่าเกลียด โสโครก สกปรก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายของเรานี้ ก็คือการรวมตัวของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก่อตัวเป็นก้อนธาตุก้อนหนึ่งเท่านั้น ถ้าตายลง ธาตุที่รวมตัวอยู่ก็จะแตกดับ กายเนื้อก็จะสลาย<o:p></o:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า243<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ไปตามธรรมชาติ คืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง คือ เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ หาใช่ตัวตนเราเขาไม่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ ขึ้นชื่อว่าเกิดแล้วเป็นทุกข์ทั้งสิ้นการเกิดนั้นเป็นการเริ่มต้นของการสลาย ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มนุษย์ขณะที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา ก่อน คลอดออกมาก็ต้องนั่งทนทุกข์ทรมานอยู่นานถึง 9-10 เดือน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอคลอดเกิดออกมาก็เป็นทุกข์อีก คือ ต้องรับภัยธรรมชาติตั้งแต่หนาว ร้อน ความหิว ความกระหาย โรคภัยไข้เจ็บ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอโตขึ้นรู้ความก็เริ่มทุกข์อีก เพราะถูกเหล่ากิเลสโลภ โกรธ หลง รุมทำร้ายป้ายสีเบียดเบียน ตอนนี้มนุษย์ก็ป่วยเจ็บทั้งกายและใจไปตามปกติ ร่างกายก็ต้องเสื่อม โทรมคลายจากสภาพเดิมภายใต้กฎแห่ง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า244<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ธรรมชาติที่ทุกอย่างเริ่มเกิดก็เริ่มสลาย ไปในตัวซึ่งเป็นของไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่เมื่อโรคภัยไข้เจ็บทั้งกายและใจเสริมทับร่างกายเข้า ยิ่งทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็วยิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความแก่ของท่านเริ่มปรากฏชัด คือ ตาฟาง ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ตัวงอ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ร่างกายเรานี้เต็มไปด้วยโรค หมักหมมเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลโสโครกเน่าเหม็นมากไปด้วยขี้ทั้งหลายตั้งแต่ ขี้หัว ขี้หู ขี้ตา ขี้ฟัน ขี้มูก ขี้เล็บ ขี้ในท้อง มูตร คูถ และขี้ไคล สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เน่าเปื่อยผุพังมาตลอดชั่วชีวิตของท่าน เป็นความไม่เที่ยงแท้ของร่างกายที่ปรากฏในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นการให้เข้าใจถึงความไม่คงทนถาวร เป็นเหตุที่จะนำมาดับตัณหา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในภาวะที่ท่านเริ่มแก่นี้ ถ้าท่านไม่เริ่มรักษาร่างกายด้วยสุขอนามัย และรักษาใจด้วยยาธรรมะแล้ว ท่านก็จะต้องตายเร็วก่อนที่จะสิ้นอายุขัย อย่างแน่นอน เห็นได้จากคนบางคนที่เพรียบพร้อมด้วยปัจจัย 4 แล้วยังทุกข์ใจ อยู่ไม่เป็นสุข ก็เหมือนตายทั้งเป็น
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า245<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านต้องเข้าใจว่า “ ชีวิตเป็นของสั้น ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โดยอย่าประมาททะนงตน นึกว่ายังมีชีวิตอีกยาว รอให้ตัวแก่แล้วค่อยเข้าหาธรรมะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่า ขณะนี้หรืออีกสักครู่ท่านอาจจะตายได้ทันที โดยที่ท่านไม่เคยคิดอยากจะตายเดี๋ยวนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อท่านตายไป สังขารย่อมแตกสลายไปตามบทปลงอสุภะ เป็นช่วงเวลาที่ต้องพลัดพรากจากลูกจากสามีภริยา ญาติพี่น้องและทรัพย์สมบัติไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มนุษย์ทุกคนเมื่อมีเกิด ก็ต้องประสบกับความแก่ ความเจ็บ ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความดีใจ แล้วก็ต้องเศร้าโศก ลำบาก รำพัน คร่ำครวญเสียใจและถึงแก่ความตาย เป็นการจบสิ้นในที่สุด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า246<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดังนั้น ท่านไม่ควรหลง ไม่ควรติด ในความศิวิไลซ์ของโลก ซึ่งเป็นกิเลสนอกกาย และไม่ควรหลงระเริงกำเริบเสิบสานตามกิเลสภายในคือ โลภ โกรธ หลง เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ควรที่จะเสาะแสวงหาช่องทางให้พ้นโลก เป็นการปลดเปลื้องทุกข์ให้พ้นจากวัฏฏะ คือ ตื่นตามทันและอยู่เหนืออารมณ์กิเลส โลภ โกรธ หลง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อนั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านย่อมยืนอยู่ตรงสายกลางเดินไปสู่นิพพานได้แน่นอน<o:p></o:p>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า247<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พิจารณากายในกาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายในกายในที่นี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายถึงกายทิพย์จิตวิญญาณ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายทิพย์นี้ แยกออกจากกายเนื้อด้วยวิธีถอดจิตซึ่งเสนอให้ฝึกในภาคผลพลอยได้จากการฝึกสมาธิ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายทิพย์เมื่อถอดจากกายเนื้อแล้ว จะมีหน้าตารูปร่างเหมือนกายเนื้อ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อถอดจิตได้แล้ว เราก็บังคับให้มานั่งหันหน้าเข้าหากายเนื้อ และให้กายทิพย์นั้นเป็นร่างที่ผุพังเน่าเปื่อย เป็นภาพให้กายเนื้อพิจารณาปลงอสุภะ เห็นความไม่สวยงามของร่างกาย เมื่อพิจารณาจนถึงวาระสุดท้ายแล้ว เราก็สามารถถอดกายทิพย์ออกมาใหม่อีกครั้งแล้วครั้งเล่าให้ปลงอสุภะได้ เป็นการพิจารณากายในกาย จิตในจิต วิญญาณในวิญญาณ เป็นการซักฟอกล้างกิเลสอันละเอียดทั้งปวง ซึ่งเป็นอนุสัยที่ยึดติดอยู่กับวิญญาณในวิญญาณ ซักฟอกล้างจนจิตใจสะอาด สดใส<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า248<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ผ่องแผ้ว บริสุทธิ์เหลือแต่ดวงจิตที่รู้แจ้งโลก คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นอยู่เหนือกิเลสทั้งปวง เพราะไม่หลงยึดอะไรอีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความรู้สึกของกายเนื้อระหว่างปลงอสุภะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความรู้สึกขณะนั้น กายทิพย์จิตวิญญาณที่ถอดออกมานั้นเหมือนกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ทำหน้าที่สอดส่องและเป็นตัวกระทำการ แล้วจึงส่งเหตุการณ์เหล่านั้นมาตามสายแก้วทิพย์ที่เป็นความรู้สึกติดต่อกับกายเนื้อ ซึ่งกายเนื้อทำหน้าที่เหมือนจอโทรทัศน์พร้อมเป็นเครื่องบันทึกเสียงและภาพให้อยู่ในความทรงจำ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายทิพย์มีความรู้สึกเจ็บ กายเนื้อก็เจ็บตามไปด้วย แต่เป็นความรู้สึกเท่านั้นไม่ได้เจ็บที่เนื้อหนัง และความรู้สึกนั้นจะฝังติดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดังนั้น การปลงอสุภะนี้ กายเนื้อจึงเก็บข้อมูลความรู้สึกเหล่านี้ไปฟอกล้างจิตใจซึ่งเป็นภาวะความจริงที่เกิดขึ้นเป็นภาพยนตร์ให้พิจารณาเหมือนดำเนินเป็นไปตามบทปลงอสุภะ ไม่ใช่ภาพเกิดแบบจินตนาการ (ซึ่งคนที่ยังไม่ได้ฝึกถอดจิตจึงจำเป็นจินตนาการตามความรู้สึกที่จะสร้างขึ้นในจิตใจความนึกคิด)<o:p></o:p>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า249<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งที่ต้องเตรียมตัวเพื่อให้ซาบซึ้งเห็นภาพให้ชัดเจนในการปลงอสุภะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (สำหรับท่านที่ยังถอดจิตไม่ได้)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ก. ภาพ เพื่อสนับสนุนให้เกิดความทรงจำในการจินตนาการ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1.แม้ว่าจิตท่านรวมเป็นหนึ่ง จากการฝึกผ่านบทเรียนมา 4 บทแล้ว ถ้ายังไม่สามารถนึกสร้างภาพเห็นตัวเรากำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงข้ามกับเรา ให้ซื้อกระจกบานใหญ่มาตั้งไว้ตรงข้ามตัวท่าน ส่องดูหน้าตารูปร่างตัวเองหลายๆครั้ง จนหลับตาสามารถเห็นภาพตัวเองเกิดขึ้นในภาพแห่งความทรงจำ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. จัดหารูปเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายมาดูให้รู้ตำแหน่งของอวัยวะส่วนต่างๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. จัดหารูปโครงกระดูกมาเพื่อเน้นให้เห็นกระดูก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า250<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ข.สัมผัสรูปร่าง เพื่อสนับสนุนให้เห็นจริงเห็นจัง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. ใครที่ยังไม่เคยเห็นอวัยวะภายใน ให้ไปดูเครื่องในหมูที่ตลาดรวมทั้งสมองด้วย แล้วลองจับดูซิว่านิ่มหรือแข็ง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. ใครที่ไม่เคยเห็นกล้ามเนื้อให้ไปดูเนื้อหมูได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. ใครที่ไม่เคยสัมผัสรูปเนื้อหนังมังสาตอนเน่าเปื่อยให้ซื้อเนื้อหมูสามชั้นมาครึ่งกิโลกรัม (หรือรวมทั้งอวัยวะภายในทั้งชุด มาห้อยให้ต่อกันตามโครงสร้างเดิม) แขวนเอาไว้แล้วให้ค่อยๆเน่าเปื่อย สังเกตเห็นสีสันการเปลี่ยนแปลงผุพังเน่าเปื่อย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    4. ใครที่ไม่เคยเห็นโครงกระดูกคน ให้ไปขอจับดูที่โรงพยาบาล<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    5. ถ้าเป็นไปได้ ควรจะจัดเป็นห้องปลงอสุภะเต็มไปด้วยเครื่องเตือนใจเหล่านี้ มิฉะนั้นแล้ว ถ้ากลิ่นไปรบกวนชาวบ้าน คงจะต้องถูกต่อว่าอย่างแน่นอน<o:p></o:p>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า251<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ค. กลิ่น เพื่อสนับสนุนให้สัมผัสกับกลิ่นให้เห็นจริงเห็นจัง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1.กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ พิสูจน์ได้ตอนที่เห็นหมาเน่าเละข้างถนน มีแมลงวันตอมเป็นฝูง มีอีกาคอยจิกเศษเนื้อ หรือเนื้อที่เราซื้อมาเก็บจนเน่า (ตามข้อ ข. ตอน 3)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. กลิ่นเลือด คิดว่าทุกท่านคงจะเคยเลือดออกจำกลิ่นคาวได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. เรื่องกลิ่นนี้มีส่วนเตือนสติให้ท่านตั้งสติปลงให้ตกได้เพราะกลิ่นเหม็นทั้งปวง ประสาทคนไวต่อการรับรู้มากแต่ง่ายต่อการลืมกลิ่น ท่านจะต้องฝึกจนหลับตาจำกลิ่นได้ และเมื่อปลงจนเห็นความไม่จีรังยั่งยืนของกายเนื้อที่กำลังเน่าเปื่อย กลิ่นเหม็นเน่าทั้งปวงกำลังคุกรุ่นเต็มที่แล้ว ท่านจะต้องเฉยเมยต่อกลิ่นและภาพได้ โดยไม่มีอาการเคลื่อนเหียนอาเจียน แม้ลืมตามองเห็นภาพและได้กลิ่นเน่าทั้งปวงก็ต้องฝึกจนเดินผ่านได้อย่างปรกติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า252<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายเหตุ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ระหว่างฝึกนี้ ให้ทำจิตใจสบายๆไปเรื่อยๆตามสายกลาง โดยต่อไปนี้ให้จำไว้ว่าจะเป็นการใช้ความนึกคิดจินตนาการภายในให้เห็นจริงเห็นจังเหมือนหนึ่งเกิดกับตัวเราเองที่กำลังละลายทั้งรูปและนาม ระหว่างนี้กายเนื้อจะต้องอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีการเคลื่อนไหวทุกส่วน ไม่มีอาการเกร็งและบีบประสาทส่วนใดๆทั้งสิ้น<o:p></o:p>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    บทพิจารณาปลงอสุภะ

    หน้า255<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ต่อไปนี้เรากำลังจะมาพิจารณาร่างกายของเราว่าการที่ว่าไม่เที่ยงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเราให้ตื่นตัวรีบสร้างแต่ความดี ปลดเปลื้องจากการหลอกลวงของสังขารที่ยึดว่าเป็นตัวตน<o:p></o:p>
    สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกถอดจิตมา ก็จินตนาการให้ภาพค่อยๆเกิดที่ละชุด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สำหรับท่านที่ถอดจิตได้แล้ว ก็ส่งจิตใจความนึกคิดไปที่กายทิพย์ให้เป็นไปตามบทนี้
    <o:p></o:p>
    โดยนึกเห็นภาพร่างกายเรายกนิ้วที่มีเล็บนั้นกรีดไปที่หลอดเลือดตรงข้อมือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นกายเนื้อเรารู้สึกมีอาการเจ็บแสบปวดเป็นระยะ ที่ข้อมือทั้งสองข้างทันที เริ่มเห็นเลือดพุ่งไหลออกมาเป็นทางเปลื้อนเสื้อและกางเกงให้แดงไปเป็นหย่อมๆและจุดๆสีแดงของเลือดมองเห็นแล้วน่าหวาดกลัว เพราะมันเป็นสิ่งที่น่าบาดใจ กลิ่นคาวเริ่มโชยเข้าจมูก มันคือกลิ่นเตือนใจ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า256<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เราว่านั่นละเลือดเรากำลังไหลออกจากข้อมือ จากการที่ไหลพุ่งค่อยๆลดลงมาเหลือเป็นหยดๆและเลือดชักจะไม่แดงสดแต่มันกำลังไหลออกมาเจือจางมากขึ้นจากแดงชมภูที่ปนด้วยนํ้าเหลืองจนมันค่อยๆขาวลงเหลือแต่นํ้าเหลืองที่หยดลงที่ละหยด
    <o:p></o:p>
    เมื่อเลือดไหลออกจากร่างกายมากขึ้น กายเนื้อที่เคยมีสีเลือดเหลืองแดงผิวพรรณสดใสนั้น บัดนี้ค่อยๆซีดขาวเผือดลงจนเห็นว่ามองไปที่ใบหน้าก็ขาวซีดสักครู่หนึ่ง ที่เลือดออกหมดเหลือแต่นํ้าเหลืองที่ไหลซึมออกจากร่างกายนั้น สายใยของจิตวิญญาณกับกายเนื้อกำลังจะขาดออกจากกัน ขณะเดียวกันลมหายใจซึ่งเป็นธาตุลมของกายเนื้อนั้นกำลังเบาลงๆ ครู่หนึ่งต่อมาจากการที่เลือดไม่มีหล่อเลี้ยงกายเนื้อ จึงทำให้กายเนื้อหมดลมหายใจในบัดนั้น จิตวิญญาณได้แยกขาดออกจากกายเนื้อ<o:p></o:p>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า257
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อาการตอนนี้
    <o:p></o:p>
    ขอให้มองเห็นและรู้สึกว่า ลมหายใจเรานั้นไปเกิดรวมอยู่กับจิตวิญญาณ และจ้องมองดูมาที่กายเนื้อพบว่ากายเนื้อนั้นกำลังเขียวเข้มขึ้นทุกขณะ และเลือดที่ไหลกองเลอะรอบๆ ตัวนั้นจากสีแดงสดได้กลายเป็นสีเลือดหมูเข้ม จนส่วนใดที่ไหลออกมาก่อนก็แดงเข้มจนดำ เมื่อปนกับนํ้าเหลืองที่ซึมออกมาคละกัน จึงเกิดกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วรอบๆตัว
    <o:p></o:p>
    ระหว่างที่กายเนื้อกำลังจะหมดลมหายใจนั้น ธาตุไฟเริ่มรวมตัวไม่ติด และแตกกระจายออก จึงไม่สามารถควบคุมประสาทต่างๆได้ อันเกิดผลทำให้ทวารเปิด ปัสสาวะไหลซึมออกมาอยู่อย่างไม่หยุด อุจจาระก็ไหลออกมากองรวมกัน กลิ่นเหม็นแอมโมเนียของปัสสาวะ อุจจาระที่เละๆเหลืองๆดำๆนั้นก็แสนจะเหม็นยิ่งกว่าอุจจาระในวันปกติ ที่เคยถ่ายอยู่เป็นประจำ
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า258
    <o:p></o:p>
    กายเนื้อได้ทรุดโทรมลงตามลำดับ
    <o:p></o:p>
    สามวันผ่านไป กายเนื้อเริ่มอึดบวมพองขึ้นกว่าเดิมชักจำหน้าตัวเองไม่ได้
    <o:p></o:p>
    เจ็ดวันผ่านไป กายเนื้อยิ่งบวมฉุมากขึ้นจนจำหน้าตัวเองไม่ได้ ใบหน้าที่เคยหล่อเหล่า ที่เคยสวยงามติดตาติดใจชาวบ้าน บัดนี้ บวมอย่างกับลูกแตงโม ตาที่ยึดว่าหวานหยาดเยิ้มก็บวมโป่งนูนขึ้นมา ถลนเกือบจะหลุดออกจากเบ้าตา ลิ้นที่เคยพูดสารพัดสารพันเล่าก็บวมใหญ่คับจุกอยู่ในปาก แลบปลายลิ้นยืดออกมานอกฟันเล็กน้อย ผิวที่เคยสวยเรียบนั้น บัดนี้พองตึงจนใส และเขียวแดงดำเป็นจํ้าๆกลิ่นเหม็นเน่าเริ่มกระจายออก บางที่ก็รู้สึกเหม็นสางๆโชยเป็นระยะๆบัดนี้ร่างกายที่เคยมีทรวดทรงกระทัดรัดหุ่นงาม ก็ไม่น่ารักแล้วเพราะร่างกายอยู่ในสภาพเหมือนฟักต้มที่พองโต เนื้อฉุๆ
    <o:p></o:p>
    สิบห้าวันผ่านไป ผิวหนังที่เต่งตึงนั้น เริ่มปริออกเป็นทาง นํ้าเหลืองเริ่มเกิดทั่วทุกแห่งที่กายเนื้อแตกออก ความเหม็นของกายเนื้อแผ่กระจาย<o:p></o:p>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า259<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ไปไกลจนแมลงวัน แมลงหวี่ต่างมาตอมมากขึ้นๆบินกันว่อนเสียงหึ่งๆดังรอบกายเนื้อ ต่างก็เข้าตอมที่รอยแผลเน่า ช่วยกันชอนไชดูดกินนํ้าเหลืองนํ้าหนองและช่วยกันไข่ ใส่กายเนื้อเป็นของแถมนอกรายการกิน
    <o:p></o:p>
    เจ็ดวันผ่านไป หนอนตัวสีขาวๆเล็กๆโตไม่เกินเมล็ดข้าวสารเริ่มเกิดเป็นจำนวนหมื่นๆแสนๆตัวเกาะทั่วทุกตารางนิ้วของกายเนื้อ รุมชอนไชดูดนํ้าเหลืองกินเนื้อเน่าเป็นการใหญ่ ด้วยเหตุที่หนอนมากและกินเร็ว จึงเกิดเสียงจากการกิน ยุบยับๆคลานเข้าออกตาหูจมูกปาก และทวารหนัก ทวารเบา
    <o:p></o:p>
    หน้าท้องที่บอบบางนั้น การบวมมากจนเน่าเปื่อยและหนอนไช ลมในท้องในไส้ได้เบ่งจนผิวหน้าท้องได้ระเบิดแตกออกดังปรุ๊ฟ ปอด ตับ ไต หัวใจ ม้ามพังผืด มันข้นเปลวมัน มันไขข้อ และลำไส้เป็นขดๆที่เน่าไหลออกมา ปนกับอาหารเก่า อาหารใหม่ที่เป็นปฏิกูล กลิ่นเหม็นซากศพยิ่งคลุ้งกันใหญ่ นํ้าตา นํ้ามูก นํ้าลาย เสลด นํ้ากาม อุจจาระปัสสาวะ นํ้าเหงื่อ นํ้าเหลือง นํ้าเลือด หนอง
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า260<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รอบๆตัวผสมกันเป็นธาตุนํ้าที่เมือกๆ ยางๆแมลงวัน แมลงหวี่ ต่างบินว่อนร่อนลงรุมกินกองนํ้าเน่ามากขึ้นทันตาเห็น
    <o:p></o:p>
    ขุมขนที่เน่าเละนั้น ทำให้ผมและเส้นขนทั่วกายก็หลุดร่วงลงมาหมด
    <o:p></o:p>
    ตอนนี้ท่านจงรวมจิตที่มีลมหายใจนั้นทบทวนไตร่ตรอง พิจารณากายเนื้อทั้งร่างอีกครั้ง ร่างกายเราที่เคยยึดหวงมากนั้น บัดนี้มันเปลี่ยนไปมากดูตั้งแต่ข้างบนลงมา
    <o:p></o:p>
    ศีรษะที่เคยผมดกก็เป็นหัวล้านหมด และหนังหัวที่เน่าเละๆมีทั้งนํ้าเหลืองและนํ้าหนอง หนอนชอนไชเข้าออก ใบหน้านั้นเล่า ตาก็ถลนเละจวนจะหลุดออกจากเบ้าตา จมูกก็บี้บุบลงไป ซํ้ายังแหว่งๆ ไม่เป็นจมูก ริมฝีปากก็เละๆแหว่งๆไม่เป็นปาก แก้มก็เน่ายุบลงไปและแหว่งหายไปเป็นรูๆ ลิ้นหรือก็เละๆอุดอยู่ในปาก ลำตัวทั้งหมดหรือก็เละเหลวไปหมดเหมือนหุ่นขี้ผึ้งที่กำลังถูกเปลวไฟลนละลายลงมา เนื้อหนังมังสาชักจะเกาะไม่ติดกับกระดูก กลิ่นซากศพอันเหม็นยิ่งกว่า<o:p></o:p>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า261<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งอื่นใดนั้น โชยไปทั่วสารทิศ เรียกร้องให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายเข้ามาเห็น สุนัขตามกลิ่นมาแทะซากดึงไส้ยวงๆยาวเป็นเมตรออกไปขาดออกเป็นท่อนๆตอนๆ แร้งฝูงใหญ่ลงมาจิกเนื้อแย่งกินกันฉีกแหวะออกลากเอาตับ ไต ปอดหัวใจ ออกมากินอย่างเอร็ดอร่อยมาก มันควักลูกตาข้างหนึ่งออกไปทำให้มองเห็นเบ้าตาโบ๋ลึกเข้าไปเป็นโพลงสีดำ หนอนไต่ออกมาจากเบ้าตาตั้งหลายตัว แมลงวันยังคงบินว่อนรอบกาย หนูก็ไต่ขึ้นโครงร่างกายเนื้อไปยังศีรษะเจาะกินสมองและเศษเนื้อทุกส่วนที่มันสนใจเนื้อหนัง เอ็นค่อยๆเละมากขึ้นหลุดลงมากองกับพื้นร่วมด้วยผม ขน เล็บ ฟัน ส่งกลิ่นเหม็นตามสภาพความเน่าเปื่อยของร่างกาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เนื้อหนังค่อยๆละลายลงมาจนหัวกระโหลกไม่มีเนื้อหนังหุ้มอยู่อีก มองเห็นเศษเนื้อและเศษเอ็นเส้นประสาทยังคงเกาะติดอยู่บ้าง ที่ไม่มีส่วนเหมือนหน้าตัวเองเลย เบ้าตาก็ไม่มีตา มันเป็นเพียงรูกลมๆที่ลึกเข้าไป จมูกก็ไม่มี มันเห็นแต่เพียงรูโพรงสามเหลี่ยมเท่านั้น หูหรือก็เน่าละลายหายไปหมดแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า262<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แก้มก็ไม่มีเหลือ ปากก็ไม่มี มันเห็นเพียงกระดูกกรามที่ขบคู่กับกระดูกแก้มที่มีฟันผุๆ ของเราเกาะติดอยู่เป็นแถว มันไม่ต่างอะไรกับกระโหลกที่เขาล้างป่าช้าเลย ดูมาที่คอหรือ ครั้งหนึ่งเคยใส่เครื่องเพชรหรือสร้อยทองคำหรือว่าห้อยพระเครื่องนั้น บัดนี้ไม่มีเนื้อเลย เห็นแต่เศษเอ็นเกาะติดอยู่บ้างเท่านั้น มันเป็นเพียงกระดูกคอไม่กี่ข้อที่ต่อลงมาติดกับกระดูกไหปลาร้า และมองลงมาอีกเห็นซี่โครงเรียงลำดับเป็นระนาดที่ไม่มีเนื้อเรียงเป็นคู่ๆลงไปกับกระดูกแผ่นหลัง ที่มีกระดูกสันหลังต่อลงมาถึงสะโพก หน้าท้องหรือก็ไม่มีเนื้อห่อหุ้มอยู่เลย มันมีแต่ความว่างเปล่า เห็นแต่กระดูกสันหลังเป็นโครงสร้างของคนนั่งขัดสมาธิอยู่ โดยทุกส่วนไม่มีเนื้อเลย แม้แต่มือและเท้าก็มีแต่กระดูกที่เรียงต่อเป็นรูปเท่านั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รูปโครงกระดูกนั้น เมื่อเทียบกับรูปคนเราที่มีชีวิตอยู่ จะต่างกันคนละโลก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คนมีชีวิตอยู่ เขาเรียกว่าคน ใครๆก็รัก เมียรักผัว ผัวรักเมีย พ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่<o:p></o:p>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า263<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ยามตายจากไป ซากศพเน่าเปื่อยเหลือแต่กระดูก คนเป็นต่างเรียกคนตายว่า “ ซากผี ” เมียรักก็กลัวผัวผี ผัวรักก็กลัวเมียผี ลูกรักก็กลัวพ่อแม่ผีๆ เพราะมันไม่มีความสวยงามของกายเนื้อให้ยึดหลงว่าสวยเลย เรายังไม่เคยได้ยินใครๆบอกว่า “ ซากผี ” นั้นน่ารักสักคน เคยได้เห็นได้ยินคนชมคนเป็นว่า รูปหล่อ รูปสวย เท่านั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นี่ละหนอ อารมณ์คนที่เรียกว่า “ อารมณ์ปุถุชน ” ที่ยึดหลง อยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงแท้ทั้งสิ้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดอกไม้มีวันบาน ก็มีวันร่วงโรย มีเกิดก็มีดับแต่การเกิดดับนั้น ไม่ได้จำกัดวันเวลาให้แน่ชัดเท่านั้น โครงกระดูกของเราที่นั่งขัดอยู่ในท่าสมาธินั้น นั่งอยู่มิได้นานนักก็ค่อยๆ เสื่อมคลายออกและกระดูกส่วนต่างๆก็หลุดกระจุยกระจายกองลงมากับพื้น ไม่เป็นรูปเป็นร่างของโครงเดิมเลย มองไกลๆแลเห็นนํ้าค้างซึมออกมา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า264<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากเบ้าตา มันเหมือนนํ้าตาแห่งความเศร้ากับร่างกายที่ได้พังทลายลงไป เสียงพายุยามคํ่าคืนพัดส่ายดังหวิวๆเหมือนโครงกระดูกนั้น กำลังร้องไห้สะอื้นอาลัยอาวรณ์กับการพังสลายของตัวมันเอง ท่ามกลางความมืดของยามคํ่าคืน แห่งการสลายของโครงกระดูกที่กองเรียราดกับพื้นที่ถูกดินฟ้าอากาศกัดกร่อนสลายไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คืนนั้นเราจำได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ลมหายใจข้ายึดเกาะติดแน่นกับดวงจิตวิญญาณพยายามพิจารณาเพ่งไปที่โครงกระดูกนั้นขณะหนึ่ง เห็นดวงแสงหิ่งห้อย 2 ดวง ที่บินคู่วนไปมารอบกองกระดูกเหมือนแววตาของมันกำลังรบหรี่ๆค่อยๆดับและจางห่างออกไปเป็นสัญญาณบอกอำลาวิญญาณข้าว่า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ ถึงเวลาแล้วที่ต้องจากช่วงละครชีวิตตอนนี้ไปก่อน ” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครู่หนึ่งต่อมา เสียงร้องไห้ของสายฝนและสายลมไว้อาลัยเป็นการใหญ่ สายฟ้าแลบแปลบปลาบชั่วแวบผ่านโครงกระดูกและ ผม ขน เล็บ ฟันที่เป็นธาตุดินนั้น มันกำลังถูกลมฝนและกาลเวลาละลายมันให้ชำรุดทรุดโทรม<o:p></o:p>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า265<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ย่อยยับลงอย่างรวดเร็ว กองกระดูกนั้นกำลังดิ้นรนที่อยากจะรวมตัวมาเป็นคนใหม่ แต่มันสิ้นกาลเวลาแล้ว เพราะมันเป็นวาระสุดท้ายของกฎแห่งกรรมคือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตายในภพนี้แห่งการมีกายเนื้อ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เสียงฟ้าผ่าลงมา เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เสียงฟ้าผ่าดังยิ่งกว่าเสียง ระเบิดปรมาณูเป็นการแจ้งเหตุว่า ทุกอย่างหมดสิ้นเพียงนี้ สำหรับฉากมนุษย์ชาตินี้และแล้วทุกอย่างก็เงียบสงัดตามปกติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อรุโณทัยค่อยๆสาดส่องมาจากทิศบูรพา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ดวงวิญญาณของข้า ที่มีลมหายใจเกาะติดอยู่ ค่อยๆมองดูที่เดิมที่เป็นกองกระดูกของข้ากองอยู่นั้น ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีผงกระดูกเหลืออยู่ ทุกอย่างแปรสภาพคืนสู่สภาพธาตุแท้เป็นดินโดยธรรมชาติไปหมด ไม่มีแม้แต่คราบเลือดหนองติดกับธรณี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า266<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ข้าเห็นแต่แสงสว่างของพระอาทิตย์ค่อยๆ จ้าจัดขึ้นมา มันส่องสาดมายังใบหน้าของดวงจิตข้า ดวงจิตข้ารู้สึกว่า มองไปทิศไหนๆรอบตัวของดวงจิต เห็นแต่ความสว่างไสวของแสงสีทองโผล่ขึ้นมา ท่ามกลางบรรยากาศที่ขาวบริสุทธิ์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ข้าไม่มีตัว ไม่มีตน ข้าเหลือแต่จิตวิญญาณและลมหายใจ ข้ากำลังพ้นจากการใช้กรรมภพหนึ่งชาติหนึ่งแห่งการเกิดเป็นมนุษย์แล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครู่หนึ่งต่อมา จิตวิญญาณคิดได้ว่า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ ด้วยกรรมวิบากกุศล และอกุศลของข้ายังใช้ไม่หมด ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จิตวิญญาณจึงได้รวมกับลมหายใจ กลับมาอาศัยร่างกายเพื่อใช้กรรมอีก เพราะยังไม่สิ้นอายุขัยแห่งกายนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายเหตุ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. ท่านที่จะฝึกสมาธิต่อ ก็อาศัยช่วงที่ได้ละลายร่างกายจนหมดสิ้น เห็นแสงสีทองท่ามกลางบรรยากาศที่ขาวบริสุทธิ์นั้น แล้วฝึกสมาธิต่อไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถ้าอยู่ในระดับยังยึดนิมิตอยู่ ก็ตั้งนิมิตวงกลมหรือดวงแก้ว ตรงศูนย์กลางแสงสว่างนั้นแล้วเจริญสมาธิบทนั้นต่อไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฝึกจนชำนาญดีแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอนั่งสมาธิเข้าที่แล้วก็ปรับตัวเองให้รู้สึกว่า ร่างกายได้ละลายสูญหมด เหลือแต่จิตวิญญาณ และลมหายใจจะรู้สึกว่า จิตนิ่งสงบ ไม่มีร่างกายเป็นภาระให้ยึดเหนี่ยว จิตจึงเจริญสมาธิต่อได้ดี<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. ท่านที่ไม่เจริญสมาธิต่อ ก็เตรียมตัวถอนออกจากการปลงอสุภะ ด้วยการค่อยๆถอนลมหายใจลึกๆ 10 ครั้ง และหายใจแบบปรกติ 10 ครั้ง จึงค่อยๆลืมตาขึ้น ครู่หนึ่งต่อมา จึงลุกขึ้นจากที่นั่งได้<o:p></o:p>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า269<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อท่านออกจากการปลงอสุภะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพ่งการเน่าเปื่อยของซากศพตัวเราแล้ว ขอให้ท่านอย่ามีอุปาทานที่รู้สึกสะอิดสะเอียนติดอยู่ความทรงจำที่จะหลอกหลอนตนเอง จนใบหน้าแสดงออกซึ่งความเซื่องซึมเศร้าสลดโดยรู้สึกจิตใจรังเกียจร่างกายตนเอง เบื่อหน่ายการเป็นคนต่อไป ขอให้เข้าใจว่า ท่านยังไม่หมดกรรม และยังไม่หมดอายุขัยในชาตินี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านต้องระลึกอยู่เสมอว่า พุทธศาสนิกชนเป็นผู้กล้าเผชิญกับความจริง โดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย เป็นการเตือนสติให้เลิกการยึดเหนี่ยวในตัวตน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ตามหลักความจริงของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าร่างกายเรานี้ก็คือ รูปที่มาจากการปรุงแต่งของธาตุทั้ง 4 หล่อหลอมเป็นตัวเป็นตนให้สมมติเรียกกันว่า “ คน ” ที่มีกรรมของตนเป็นที่ตั้ง ซึ่งวิญญาณมาเกิดอาศัยอยู่เพื่อใช้กรรมตามวาระ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า269<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กายเนื้อนี้เป็นของไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืนจีรังพร้อมแล้วที่จะแตกดับเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เราจึงไม่กลัวความตาย พร้อมแล้วที่จะตาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะเราเข้าใจว่า “ ตายแล้วไม่สูญ โลกหน้ามีจริง ” ชีวิตคือวัฏฏะที่ต้องเดินทางไกล เราจึงไม่ประมาท ได้เตรียมใจโดยการอบรมจิตให้สูงขึ้นด้วยการไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี ทำบุญสร้างกุศลและชำระจิตให้ผ่องแผ้วด้วยการลดกิเลสให้เบาบางที่สุดเป็นการจัดเสบียงเตรียมใจพร้อมที่จะตายเดินไปสู่ปรโลกโดยบุญกุศลที่ทำย่อมติดตามไป <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า270<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ห้ามปากหรือไม่ฟังคำพูดเพศนินทา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ไป่ฟังคนพูดฟุ้ง ฟั่นเฝือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เท็จและจริงจานเจือ คละเคล้า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถือมีดเที่ยวกรีดเถือ ท่านทั่ว ไปนา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฟังจะพาลลอบเข้า พวกเพ้อรังควาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (พระราชนิพนธ์พระพุทธเจ้าหลวง)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากสุภาษิตและคำพังเพยของไทย<o:p></o:p>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    วิปัสสนา

    หน้า271<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ชีวิตมนุษย์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาให้ละเอียดจนเกิดความเข้าใจ ซึ่งเป็นการเข้าใจตนเองส่งผลให้รู้จักตนเองและส่วนรวมด้วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มนุษย์ คือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งมีชีวิตซึ่งประกอบด้วยสังขารร่างกายรวมทั้งจิตใจควบคู่กันอยู่โดยสมมติเรียกกันว่า คนหรือสัตว์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ร่างกาย ก็คือ รูปขันธ์ (รูปกลุ่มหนึ่ง)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จิตใจ ก็คือ นามขันธ์ (นามกลุ่มหนึ่ง)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รูปขันธ์ คือ ร่างกายที่มองเห็นได้ด้วยตาที่ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อิงอาศัยซึ่งกันและกันรวมตัวเป็นก้อนธาตุ ถ้าขาดเสียธาตุหนึ่งธาตุใด ร่างกายก็ต้องแตกสลาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า272<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อนึ่ง พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ เช่น เย็น ร้อน แข็ง อ่อน หนัก เบา สี แสง เสียง กลิ่น รส ซึ่งก็จัดเป็นรูปขันธ์ที่มีลักษณะที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นามขันธ์ คือ จิตใจ และตัวการที่ปรุงแต่งจิตซึ่งเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างที่จะให้สัมผัสจับต้องได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ด้วยความรู้สึกทางจิตใจ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นามขันธ์กลุ่มนี้ประกอบด้วย 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์ในความรู้สึกว่า สุขสบาย หรือ ทุกข์โศก เสียใจ หรือ ไม่สุข ไม่ทุกข์ คือ รู้สึกเฉยๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ผ่านเข้ามาจากการสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ใจรับรู้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา )<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนที่เป็นความกำหนดจดจำแจกแจงได้นัดหมายให้เกิดความจำหมายรู้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ผ่านเข้ามาจากการ<o:p></o:p>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า273<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ใจรับรู้ว่า ตาดูแล้วจำได้ว่า นี่คือสีขาว ฟังแล้วจำได้ว่าเสียงนี้ของนายแดง เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. สังขารขันธ์ (กองสังขาร)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนที่เป็นสภาพเจตนาที่เข้าไปประกอบจิตแล้วปรุงแต่งจิตให้คิดดีเป็นกุศล หรือคิดชั่วเป็นอกุศล หรือ คิดเป็นกลางๆอันหมายถึงคุณสมบัติต่างๆของจิต เช่น ศรัทธา หิริโอตตัปปะ เมตตา กรุณา โลภะ โทสะ โมหะ มานะ หรือ (กลางๆ) ฉันทะ วิริยะ เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    4. วิญญาณขันธ์ ( กองวิญญาณ)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วนที่เป็นธรรมชาติของความรู้แจ้ง ซึ่งเป็นความรู้สึกของอารมณ์ซึ่งแจ้งทางใจที่ผ่านจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้ามากระทบ เช่น การได้เห็น การได้กลิ่น การได้รส การได้สัมผัส<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รูปขันธ์ 1<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นามขันธ์ 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อรวมกันเข้าแล้วเรียกว่า ขันธ์ 5 สรุปลงก็เพียงรูปกับนาม อันประกอบ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า274<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กันเข้าเป็นสังขารร่างกายที่สมมติเรียกกันว่า นี่สัตว์ นั่นบุคคล ตัวตน เราเขา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และเมื่อนำร่างกายเข้าสู่หลักการพิจารณาปลงอสุภะครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดความเบื่อหน่ายในการครองสังขารที่แบกเป็นภาระอยู่จิตจึงละจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จิตเริ่มผ่องใส เกิดปัญญาคิดออกจากาม และรู้แจ้งเห็นจริงตามปรากฏการณ์แห่งสัจธรรมว่า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้เมื่อรวมแล้วล้วนเป็นสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น ที่หนีไม่พ้นการทรุดโทรมแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัยของกฏแห่งพระไตรลักษณ์ ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งเป็นสามัญลักษณะที่เกิดขึ้นกับทุกสิ่งเสมอกัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สังขารธรรมทั้งปวงเมื่อมีเกิดแล้ว ย่อมไม่เที่ยงแท้ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ ต้องสลายไปในที่สุดไม่มีเขา ไม่มีเราไม่เป็นอัตราตัวตนที่น่าจะยึดมั่นถือมั่น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ภาวะเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์อันแท้จริงของธรรมชาติที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรู้จากการศึกษาตาม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังต่อไปนี้<o:p></o:p>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า275<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. อนิจจัง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เมื่อเริ่มเกิด ขึ้นย่อมแปรเปลี่ยนแตกดับเสื่อมสลายไปทุกเสี้ยววินาที เราได้เห็นความไม่แน่นอนอยู่ตลอดที่สลายไปตามกาลเวลา คือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อนิจจาตาปัจจัยซึ่งไม่คงทนอยู่ได้ตามสภาพเดิม ที่เป็นรากฐาน มูลเหตุแห่งความทุกข์ของคน ที่ได้หลงยึดเหนี่ยวอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ในความสุขที่เลื่อนลอยย่อมเป็นทุกข์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. ทุกขัง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความทุกข์นี้มีความหมายครอบคลุมทั้งทุกข์ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทุกข์หมายถึง สภาวะของสิ่งทั้งปวงที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตามลำดับตลอดเวลาเป็นธรรมดา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อาการค่อยๆเปลี่ยนแปลงนี้ คือ " ทุกข์ "<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า276<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. อนัตตา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความเป็นของ ไม่ใช่ตนที่ใครจะบังคับให้อยู่ในสภาพได้ ไม่มีตัว ไม่มีตน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คือ ปราศจากแก่นสารที่เที่ยงแท้ เพราะไม่ใช่ตัวตนที่จะให้บังคับบัญชาได้ตามใจเราได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกนี้ที่ประกอบขึ้นเป็นบุคคล สิ่งของ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งตลอดเวลาที่เกิดขึ้นดับไป จึงไม่มีแก่นสารอะไรที่น่าจะเป็นอัตราตัวตนให้น่ายึด น่ารักใคร่ น่าเสียดาย หรือน่ายึดในอารมณ์แห่งความดีใจ เสียใจ สมหวัง หรือผิดหวัง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อคนเราถูกความไม่รู้ลวงหลงไปยึดในสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่าถาวร จึงตกเป็นทาสแห่งความเปลี่ยนแปลงเกิดทุกข์ใจ เพราะยึดว่า มีตัวตน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่ออบรมอยู่เสมอจนเกิดความเคยชิน รู้แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา<o:p></o:p>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า277<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความจริงนี้ ก็จะแทรกซึมเข้าไปตั้งมั่นยั่งยืนในชีวิตจิตใจของเรา เป็นการปรุงแต่งจริตอัธยาศัยไม่ให้โอนเอียงหลงเข้าไปยึดเหนี่ยวในรูปนาม และกิเลสที่ล้อมรอบจิตใจ ทำให้จิตเกิดปัญญาอันเฉียบแหลมรู้แจ้งจริงตามสภาวะธรรมหลุดจากการยึดมั่นในความไม่เที่ยงแท้ได้ อันเป็นเหตุปัจจัยในการกำจัดความเห็นแก่ตัวดับทุกข์แห่งกิเลส 3 กอง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า277<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อวิชชา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความไม่รู้หรือความโง่เขลาครอบงำ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    (ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายถึง ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อจิตไม่รู้แจ้งตามอริยสัจ 4<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า278<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จึงทำให้เกิดตัณหาพาให้ต้องตกอยู่ในวัฏฏะสงสารด้วยเหตุดังต่อไปนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. เข้าใจผิดคิดว่า การทำบุญสร้างกุศลจะเป็นกุศลเกื้อหนุนไปเกิดในภพมนุษย์ โลก เทวโลก พรหมโลก ซึ่งจะเป็นภพที่ดีมีพร้อมด้วย อายุ วรรณะ สุข พละ และสมบัติเป็นสุขที่เที่ยงแท้ โดยมองไม่เห็นว่า “ ขึ้นชื่อว่า “ เกิด ” แล้วเป็นไปเพื่อทุกข์ทั้งสิ้น ” เพราะยังไม่สิ้นภพชาติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. เพราะความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 จึงมองไม่เห็นโทษของอกุศลกรรม เป็นเหตุให้งมงายเข้าใจผิดคิดว่า การทำชั่วสร้างบาปเป็นความสุข เช่นการล่าฆ่าสัตว์ เป็นต้น ซึ่งเป็นการก่อกรรมชั่วที่เป็นเหตุพาให้ทุกข์เพราะต้องมาเกิดใช้กรรมอีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. การไม่รู้ข้อปฏิบัติ คือ มรรค มีองค์ 8 ซึงเป็นหนทางปฏิบัติดำเนินไปถึงพระนิพพานอันเป็นสภาพพ้นจากทุกข์ จึงมีการบำเพ็ญเพียรให้ถึงอรูปฌาน เพราะเข้าใจว่า “ การไปเกิดเป็นอรูปพรหมนั้นเป็นความสุขที่มั่นคงแน่นอน เป็นแดนนิพพาน ” <o:p></o:p>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า279<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งตามความเป็นจริง อรูปพรหมยังไม่พ้นทุกข์จากการที่ต้องมาเกิดอีก เพียงแต่อายุขัยแห่งการเป็นอรูปพรหมนั้นยาวนานมากเท่านั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตัณหา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความดิ้นรนทะยานอยากอย่างไม่หยุดหย่อน 3 ประการ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1. กามตัณหา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความทะยานอยากได้และชื่นชมชอบ ความยินดี พอใจ ติดใจ หลงใหลน่ารักใคร่ เพลิดเพลินในกาม เป็นความสุขแบบโลกียะ คือ ความสุขทางเนื้อหนังที่เกิดจากการสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กามแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ กิเลสกาม และวัตถุกาม<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    กิเลสกาม คือ กิเลสที่เป็นเหตุทำให้จิตใจหลงยึดมั่นเกิดความอยาก เกิดความใคร่ ติดใจพอใจอยากได้กับวัตถุ และเมื่อได้แล้วก็เกิดความรักใคร่ยินดีติดใจเพลิดเพลินอยู่กับวัตถุนั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า280<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    วัตถุกาม คือ วัตถุที่ทำให้รู้สึกอยากได้ซึ่งเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพื่อสนองความใคร่ ความต้องการของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ทั้งนี้กามตัณหาที่นี้หมายถึงกิเลสกาม<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2. ภวตัณหา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความทะยานอยากจะเป็นไปในสภาพ ในภพที่ตนต้องการ เช่นอยากเกิดเป็นคนรวย เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. วิภวตัณหา <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความทะยานอยากไม่เป็นในสภาพ ในภพ ที่ตนไม่ต้องการ ไม่ปรารถนา เช่น ไม่อยากเกิดเป็นคนจน เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    อุปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การยึดมั่นติดแน่นในกิเลสที่ตนนิยม 4 ประการ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1.กามุปาทาน <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความยึดมั่นติดใจในกาม แห่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสว่า เป็นของน่ารักใคร่น่าพอใจ<o:p></o:p>
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หน้า281<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2.ทิฏฐปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความยึดมั่นถือมั่นตามทิฏฐิหรือ ทฤษฎี ความเห็นหลักคำสอนที่ตนนิยมว่าถูกต้อง เช่น กฎแห่งกรรมไม่มี กรรมที่ทำไปนั้นไม่มีผล ชาติหน้าไม่มี วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดไม่จริง เป็นต้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    3. สีลัพพตุปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความยึดมั่นในศีลและพรตที่ตนนิยม ซึ่งมิใช่ทางนิพพานว่าเป็นทางนิพพาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คือ ยึดมั่นในหลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธีขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิ พิธีต่างๆ โดยถือว่า จะต้องเป็นอย่างนั้น ที่ตนเชื่อว่าถูก โดยสักแต่ว่า กระทำสืบเนื่องต่อๆกันมา หรือ ปฏิบัติตามๆกันไปอย่างงมงาย โดยนิยมว่า ขลังศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผลอันถูกต้อง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หน้า282<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    4.อัตตราทุปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความยึดมั่นในวาทะถือว่า มี อัตตาตัวตน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มองไม่เห็นว่า สภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่า เพียงแต่เป็นสิ่งหนึ่งที่มวลสารประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กัน ไม่ใช่เป็นอัตราตัวตน มีเรา มีเขา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อจิตได้คลายออกจากกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จิตจึงไม่ใฝ่หาความสุขสำราญ ความสนุก คึกคนอง ทั้งกาย วาจา ใจ อันเป็นกิเลสที่ผูกมัดสามัญชนให้ตกสู่ห่วงแห่งวัฏฏะสงสารการเวียนว่ายตายเกิด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะรู้ตามสภาพความเป็นจริงของกฎแห่งกรรมว่า<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ การกระทำกรรมใดย่อมจำแนกส่งผลให้ผู้นั้นเสวยกรรมนั้น ”<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การทำดีย่อมได้ดี <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การทำชั่วย่อมได้สิ่งที่ไม่ดี<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...