พระนิพพานไม่สญ: พระนิพพานเป็นอัตตา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย artty, 16 สิงหาคม 2006.

  1. Sonny

    Sonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +156
    การโจมตีหลวงตาพระมหาบัวและพระป่า
    เรื่อง "นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา"
    ตรงจุดที่ท่านอธิบายว่า ทำไมท่านจึงปฏิเสธทั้งสองด้านอย่างนั้น มีข้อความดังนี้ครับ

    --------------------------------------------------------------------------------------------

    ผู้ปฏิบัติทั้งหลายพึงสังเกตให้รอบคอบ ไม่งั้นติดและทำให้ล่าช้าในการดำเนิน และอย่าเข้าใจว่าเป็นสูงเป็นต่ำ เป็นที่ยึดเป็นที่ไว้ใจที่ต้องใจเมื่อพิจารณาเข้าไป เมื่อถึงขั้นที่จะทำลายกันแล้วนั้น อันนี้แลที่เรียกว่าจะว่าขิปปาภิญญา หรือว่าอุคฆติตัญญูก็ได้เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ไม่นาน เป็นขั้นละเอียด ถ้าว่างานก็ง่ายแล้ว มีแต่ยุบยิบ ๆ อยู่ภายในจิตเท่านั้น นอกนั้นหมดปัญหาไปโดยประการทั้งปวง ประหนึ่งว่าเราไม่เคยพิจารณามาเลย คือจิตไม่สนใจกับสิ่งใดทั้งนั้น เพราะไม่ติดใจ ปล่อยมาแล้ว วางมาแล้ว รู้แล้วเห็นแล้วไปยุ่งทำไม มันรู้เอง ตรงไหนที่ยังมีสัมผัสสัมพันธ์ดูดดื่มอยู่ ตรงนั้นแหละเป็นจุดที่อยู่ของข้าศึก จึงต้องรบกันที่ตรงนั้นฟาดฟันหั่นแหลกกันที่ตรงนั้น

    พอจุดสุดท้ายพังทลายลงไปด้วยปัญญาอันทันสมัยแล้วก็หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง จะพิจารณาว่าอันนี้เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรอีก ใจเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได้ยังไง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานต่างหาก ใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนตฺตา ได้ยังไง ถ้าใจที่บริสุทธิ์แล้วเป็น อนตฺตา นิพพานเป็น อนตฺตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ เป็นของอัศจรรย์อะไร เพราะฉะนั้นธรรมชาตินั้นจึงไม่มีสมมุติที่จะพูดว่าเป็น อตฺตา หรือเป็น อนตฺตา เพราะทั้งสองนี้เป็นสมมุติด้วยกัน

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------

    อยากให้เพื่อนๆ ลองย้อนไปอ่านข้อเขียนข้างบนที่ผมเขียนไว้ว่า
    ผมเคยกล่าวบ่อยครั้งแล้วว่า การฟังธรรมของพระป่านั้น ต้องพิจารณาถึงสารัตถะของธรรม
    อย่าไปหลงกับถ้อยคำอันเป็นสมมุติบัญญัติ
    เพราะธรรมแท้นั้นถ่ายทอดกันด้วยจิตใจ ไม่ใช่ฟังกันด้วยหู
    ท่านไม่ตอบเรื่องที่จะให้เราคิดๆเอาหรอกครับ
    มีแต่สอนให้เราปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น
    เพื่อให้จิตของเราเข้าถึงธรรมด้วยตนเอง

    ทัศนะของหลวงตาที่ว่านิพพานไม่ใช่อัตตาหรืออนัตตานั้น
    สืบเนื่องจากท่านเห็นว่า คำว่าอัตตาและอนัตตานั้น ยังเป็นสมมุติบัญญัติอยู่
    ส่วนนิพพานจริงๆ พ้นจากสมมุติบัญญัติสิ้นเชิง
    จึงไม่จำเป็นต้องคิดนึกแขวนป้ายว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
    เพราะอัตตานั้นอย่าว่าแต่จะมีในนิพพานเลย แม้แต่ในขันธ์ก็ไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

    มีนิทานเซ็นเรื่องหนึ่งเล่าว่า
    มีพระองค์หนึ่งนั่งสงบอยู่และมีเทวดามาสรรเสริญว่า ท่านช่างอยู่กับสุญญตาได้ดีจริงๆ
    พระตอบว่า อาตมาไม่เคยคิดถึงสุญญตา
    เทวดาก็ตอบว่า เพราะท่านไม่คิดนึกปรุงแต่งนั่นแหละ ท่านจึงเข้าถึงสุญญตา


    ถ้าหลวงตาสัมผัสนิพพานแล้ว ก็ย่อมไม่มีคำพูดเรื่องอัตตาหรืออนัตตามาแปดเปื้อนจิตของท่านอีก
    แต่ถ้าจะให้ท่านกล่าวโดยสมมุติบัญญัติ ท่านไม่มีทางยืนยันว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอัตตาอย่างเด็ดขาด
    เพราะอันนั้นมันความหลงผิดชัดๆครับ
    (9 มี.ค. 2542)

    คืออยากจะขอความเมตตาจากบรรดาผู้เคารพนับถือหลวงตา
    และเห็นว่าหลวงตาเป็นพระสุปฏิปันโน อย่าออกมาตอบโต้เลยครับ
    เพราะจะยิ่งเป็นการยั่วยุให้มีคนทำบาปมากขึ้น
    หลวงตานั้น ท่านเลยสภาวะที่เราจะต้องสงสารท่านไปแล้ว
    ขอให้สงสารคนที่ว่าท่านให้มากไว้ ถ้ายิ่งตอบโต้
    เขาก็จะยิ่งโมโหแล้วลำบากมากขึ้นครับ
    [12 มี.ค. 2542]

    เราจะไปจริงจังอะไรกับเรื่องของหลวงตาล่ะครับ

    ท่านจะเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร ก็เป็นเรื่องเฉพาะองค์ท่าน

    ที่ผมสนใจก็คือ เดี๋ยวนี้ผมมีกิเลสอีกเยอะแยะ

    ยังต้องเจริญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ และปัญญาอย่างไม่หยุดหย่อน

    และก็มีหลวงตาเป็นแบบฉบับอยู่อีกองค์หนึ่ง

    ที่ท่านเจริญไตรสิกขามาก่อนในบรรดาท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกหลายๆ องค์

    ผมเข้าใจคุณพัลวันดี ว่าแม้โดยส่วนตัวคุณพัลวันจะเคารพหลวงตาเหมือนคนอื่นอีกหลายหมื่นคน

    แต่อยู่ๆถ้าไม่ใช่เพราะท่านถูกนำถ้อยคำไปอ้างอิงเพื่อค้านพระไตรปิฎก

    คุณพัลวันก็คงไม่ต้องมาโพสต์กระทู้เกี่ยวกับหลวงตา

    เพื่อแก้ความเข้าใจผิดของผู้ที่นับถือหลวงตา

    ไม่ให้หลงเข้าใจว่านิพพานเป็นอัตตา ตามที่บางฝ่ายต้องการ

    การที่เราจะอนุมานเอาว่าท่านใดเป็นพระอรหันต์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่

    ในครั้งพุทธกาลมีคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าพระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์

    แต่ก็มีอีกมากที่เชื่อว่าครูทั้งหกต่างหากที่เป็นพระอรหันต์

    อันนี้ต่างจิตต่างใจ ต่างมาตรวัด เถียงกันไปก็เท่านั้นแหละครับ

    มาปฏิบัติธรรมไปด้วย ช่วยกันรักษาพระไตรปิฎกไปด้วยจะเข้าท่ากว่านะครับ

    [13 มี.ค. 2542]


    การนับถือพระเถระองค์ใดเป็นสิทธิเฉพาะบุคคล

    แต่สิ่งที่เราควรเคารพที่สุดคือพระธรรมที่เป็นองค์แทนพระศาสดา

    และพระไตรปิฎกนั้นเป็นแหล่งรวมพระธรรมอันเดียวที่เราเชื่อได้มากที่สุดครับ

    เรื่องประวัติท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ผมเคยเรียนถามพระเถระสายพระป่าหลายองค์

    หลวงปู่ดูลย์ท่านว่า หลวงปู่มั่นเป็นแบบฉบับพระธุดงคกัมมัฏฐานที่เลิศที่สุด

    ตลอดเวลาที่หลวงปู่ดูลย์อยู่ในสำนักของท่าน ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องปาฏิหารย์ใดๆเลย

    มีแต่สอนกัมมัฏฐานและธุดงควัตร

    สำหรับเรื่องที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วมาแสดงธรรมนั้น

    ครูบาอาจารย์หลายองค์บอกผมว่านั่นเป็นสภาวะที่จิตสอนจิต

    แต่ละท่านบางคราวก็พบเห็นเหมือนกัน บางคราวก็เห็นหลวงปู่มั่นมาสอนธรรม

    แต่ท่านก็ยืนยันตรงกันหมดว่า เป็นเรื่องของจิต(ของท่านเอง) แสดงบุคลาธิษฐานออกมา

    เพื่อสอนธรรม หรือแสดงธรรมเป็นเครื่องอยู่อันเบิกบานเฉพาะองค์ท่าน

    เพราะจิตแท้ธรรมแท้นั้น เงียบสนิท พ้นความปรุงแต่ง ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรได้

    เมื่อจะแสดงตัว หรือแสดงธรรม จึงอาศัยสมมุติบัญญัติเป็นเครื่องแสดงออกมา

    เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่จะมีท่านจากโลกนิพพานกลับมาแสดงธรรมจริงๆ

    สำหรับสิ่งที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเขียนไว้นั้น

    ก็ได้ทราบว่าท่านเขียนตามคำบอกเล่าของหลวงปู่มั่นจริง

    และองค์ท่านก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

    แต่เนื่องจากท่านเคารพหลวงปู่มั่นมาก

    เมื่อเขียนประวัติหลวงปู่มั่น สิ่งใดที่หลวงปู่มั่นพูดไว้ ท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติมเด็ดขาด

    เพราะถือเป็นการต่อเติมคำพูดของครูบาอาจารย์ จนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนตลอดมา

    ที่มา http://santidharma.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2006
  2. jomr0547

    jomr0547 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +261
    ผมขอมีความยึดติดพระนิพพานอย่างเหนียวแน่นครับ และจะไม่แปลเปลี่ยนไป อย่างเด็ดขาด
    เพราะผมอยากได้พระโสดาบันในชาตินี้เป็นอย่างต่ำครับ
     
  3. พระพล

    พระพล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    เห็นด้วเป็นอย่างมากเลย
    หัวข้อนี้เสี่งต่อการเข้าใจผิด ถ้าเรากล่าวผิดกับคน ๑ คน เขาเชื่อแล้วเอาไปพูดต่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไปอีกจะมีคนเชื่อเพิ่มมากขึ้แค่ไหน คนเราเมื่อฟังมาผิด ถือผิดการปฏิบัติก็ผิดไปด้วย
     
  4. พระพล

    พระพล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    หนังสือเล่มหนึ่งน่าอ่านมากเลย เป็นคำสอนของหลวงปู่ชา เรื่องนอกเหตุ เหนือผล แค่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจแล้ว
     
  5. พระพล

    พระพล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    หลวงปู่พระราชสุพหรมยานท่านก็สอนง่ายดีนะ
     
  6. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,937
    เพื่อนๆเถียงกันไปก็ไม่จบครับ ได้แต่ยกคำครูบาอาจารย์มาสงสัย หรือมาพูด มาเกทับ ถล่มกัน เพราะผู้ที่ยกมาหรือผู้อ่านที่ยังไม่เคยลิ้มรสหรือไม่เคยถึงพระนิพพานจริงๆ มาสงสัยกันเรื่องพระนิพพาน มันไม่มีจบครับ เต็มที่ก็เลิกสงสัยแบบเดิม แล้วก็ไปสงสัยแบบใหม่อีก เหมือนผู้ที่ไม่เคยไปเชียงใหม่ แล้วมัวมาเถียงกันว่า เมืองเชียงใหม่เป็นยังไร คุยกันได้เป็นวันๆเรื่องเมืองเชียงใหม่ ทั้งๆที่ไม่ได้เคยไปเชียงใหม่เลยสักครั้ง

    ข้อเท็จจริงถ้าว่ากันตามสมมุติเนื่องจาก ตัวจริงหรือสภาวะของพระนิพพาน เป็นอะไรอย่างหนึ่งที่สร้างหรือกำหนดให้เกิดขึ้นไม่ได้ "พูดง่ายๆว่าเกิดเอง ในอริยบุคคลเท่านั้น" ท่านที่ถึงหรือท่านที่ได้รู้ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง ท่านเหล่านั้นไม่มาเถียงกันแล้ว ว่านิพพาน เป็นอัตตา หรืออนัตตา

    ท่านเหล่านั้นรู้แค่ว่าท่านสัมผัสหรือได้รู้ถึงอะไรอย่างหนึ่งซึ่งมันเหนือการปรุงแต่ง ซึ่งไม่รุ้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกันเพื่อให้คนอ่านเข้าใจหรือรู้สภาวะนิพพานได้ทั้งหมด เพราะในสิ่งที่ท่านเหล่านั้นได้สัมผัส ได้ลิ้มรสแล้ว มันไม่มีการปรุงแต่ง เพราะแม้แต่ความว่าง....มันก็ไม่มี

    แต่ด้วยความเมตตา พระอริยเจ้าเหล่านั้นก็ปรุงแต่งหาถ้อยคำมาอธิบายให้ผู้ที่ยังไม่ถึง ไม่เคยสัมผัสได้รับทราบ เพื่อเป็นกำลังใจหรือเพื่อได้รู้ตามว่า "มีสภาวะอะไรบางอย่างเหนือการปรุงแต่งทั้งหลาย" เราจะเรียกนิพพาน ,วิราคะ ,การตื่นจริงๆ , การพักผ่อนตลอดกาล ฯลฯ หรือเรียกว่าอะไรก็ได้ ซึ่งมันก็หมายถึงสภาวะนั้นอยูดี ส่วนคำพูดที่ครูบาอาจารย์นำมาปรุงแต่งเพื่ออธิบายให้ชาวโลกได้ยินได้ฟังแล้วแตกต่างกัน ย่อมขึ้นอยู่กับอุปนิสัยหรือคำสมมุติบัญญัติ ที่ครูบาอาจารย์ยกมาอธิบายตามสัญญาของท่านเหล่านั้นซึ่งก็แตกต่างกัน แต่ก็หมายถึงสิ่งเดียวกัน

    ดังนั้น การพูดคุย การถกเถียงกันไป เถียงกันมา ในเรื่องนิพพานในที่นี้ ถึงมีผู้ที่ชนะ ชนะไปก็เท่านั้น ผู้ที่แพ้ แพ้ไปก็เท่านั้น ท้ายสุดก็ปิดเครื่องคอมฯ แยกย้ายกันเข้านอน ไมได้ทำให้ทั้งคู่ถึงสภาวะนิพพานกันทั้งนั้น

    อยากจะถึงนิพพาน แค่ความอยากอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องลงมือ ทุ่มเท พากเพียรทางจิต มีครูบาอาจารย์หรือกัลยาณมิตรที่รู้แจ้งในพระนิพพานแล้ว จึงสอนให้เราเดินไปถึงพระนิพพานได้

    การทุ่มเท พากเพียรเป็นสิ่งที่ดี แต่การพากเพียร หรือทุ่มเทในแบบที่ผิดๆ รังแต่จะทำให้เราห่างไกลจากพระนิพพาน โมทนาสาธุกับทุกท่านที่หวังในพระนิพพานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2006
  7. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    อะไรเอ่ย.....


    อยาก กลับไม่ได้ครอบครอง
    ยึดว่าไม่อยาก ก็ยังไม่ได้ครอบครอง
    .
    .
    .
    ปรุงแต่ง ก็กลายเป็นของเทียม
    ยึดว่าไม่ปรุงแต่ง ก็ยังไม่ใช่ของจริง
    .
    .
    .
    ยึดไว้ ยิ่งหลุดออก
    ยึดว่าต้องปล่อยไป ก็ยิ่งไม่ได้มา






    สาธุ......
    เจริญพรเถิดท่านสมาชิกใหม่
     
  8. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    ดูจิตตนสำคัญที่สุด ในขณะที่ท่านกระทำอะไรๆ รู้จิตใจหรือไม่ว่ารู้สึกอย่างไร กระทำด้วยอกุศลหรือไม่

    การตั้งกระทู้บางเรื่องต้องระวัง ต้องคิดให้มาก เพราะเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียว พวกเดียว ในสังคม

    ศาสนาพุทธ เป็นของพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง หรือกลุ่มใด กลุ่มหนึ่งหรือ ทำไมไม่เอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มาวิเคราะห์กัน ทั้งๆที่คำสอนของพระพุทธองค์มีกลับเพิกเฉย ไปค้นคว้าหา คำสอนของลูกศิษย์พระพุทธองค์มาเพื่อ สนับสนุนความเห็นของตน เหมือนแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วพระพุทธองค์ผู้เป็นศาสดาของศาสนาพุทธ ท่านเอาไปไว้ไหนครับ

    หรือนี่คือความเสื่อม ของพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านามโคตม

    ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พระธรรมจะมีหรือไม่

    ถ้าไม่มีพระธรรม พระสงฆ์จะมีหรือไม่

    อย่ายึดติดตัวบุคคล จนลืมพระธรรมของพระพุทธเจ้า

    อย่าลืมว่า ปัญญาพระพุทธเจ้า กับ ปัญญาพระอรหันต์ แตกต่างกันเหลือคณานับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กันยายน 2006
  9. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +773
    เรื่องนิพพานนั้นจะมีสภาวะเป็นอย่างใด
    จะรู้ไปทำไม เถียงกันเพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเถียงกัน
    ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุอรหันต์ แค่โสดาบันยังไม่ถึง
    และถ้าไมคิดจะละกิเลสด้วยแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกันเรื่องนี้
    และถ้าคิดว่าโลกนี้ยังน่าอยู่ ยังสวยงาม
    ยังอยากเกิดอีกก็ไม่ต้องเถียงกันเรื่องสภาวะนิพพาน
    แต่ถ้าคิดว่าการเกิดมันทุกข์นะ ไม่อยากเกิดเป็นอะไรทั้งนั้น
    ไม่อยากเป็นเทวดา พรหม มนุษย์ จะมีหนทางบ้างไหมที่ทำให้เราไม่ต้องเกิด ตอนนี้ท่านพบหนทางนั้นแล้ว มรรค 8 ไง
    แล้วปลายทางของมรรค 8 คืออะไร
    ก็นิพพานไง (ไม่ต้องเกิดอีก)
    ขอให้จิตรักพระนิพพานเข้าไว้ ไม่ยึดติดในสิ่งใด
    เห็นว่าทุกอย่างบนโลกมันไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่ยึดติดอะไรแล้ว
    แค่นี้ท่านก็รู้สึกว่า นิพพาน มิได้อยู่ไกล
    และก็ไม่ต้องไปเสียเวลาตีความด้วย
    ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนไว้ดีแล้ว
    เพราะจิตท่านเข้าถึงนิพพานแล้วนั่นเอง
    หน้าที่ของท่านคือทำจิตของตนให้เข้าถึงนิพพาน
    มิใช่มาถกเถียงกันเกี่ยวกับสภาวะนิพพาน
    เดี๋ยวจะกลายเป็น ตาบอดคลำช้าง
    เสียเวลาเปล่า ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...