พระอวโลกิเตศวร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nopopathorn, 12 มีนาคม 2010.

  1. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    ท่านเจ้าของกระทู้............

    การจะยกตัดท่อนความ ของบทสวด ใดๆ มากล่าวอ้าง มาสอน

    ต้องดูว่า ...สอนให้คนเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่



    เช่น การจะยกมาดื้อๆ ว่า ไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    หรือ ไม่มีอวิชชา ฯลฯ อันเป็นห่วงโซ่ปฏิจจสมุปบาท


    จะเป็นการค้านพุทธพจน์ จะนำคนเป็นมิจฉาฯ


    อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคนอ้างได้ว่า

    เมื่อขันธ์ห้าเป็นความว่าง , ปฏิจจสมุปบาทเป็นความว่าง

    จะทำชั่ว ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างไรก็ได้

    เพราะ มันเป็นความว่าง


    ทำดี ก็ว่าง

    จะต่างอะไรกับก้อนหินเล่า


    แล้วจะ ทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ไปทำไม???



    ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวแล้วว่า....


    ที่มาของบทสวดปรัชญาปารมิตา เกิดตอนภาวะจิตของท่าน

    เข้าสู่สภาวะธรรม ที่พ้นการปรุงแต่ง ด้วยขั้นตอนการสั่งสมความดีที่ท่านสั่งสมมานาน

    คำว่าว่าง ของท่าน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอะไรเลย

    ตามความเข้าใจของคนทั่วไป

    ถ้า ยกมาสอนกันดื้อๆ ตัดความมาสอนแบบนี้

    การใช้ธรรมนำทางสัตว์โลกผิดๆ ก็มีได้



    ก็ทำชั่วได้สิ เดี๋ยวมันก็เป็นความว่างแล้ว



    ยกมากล่าวลอยๆ เสี่ยงมาก


    ....สรุปคือ การจะกล่าว ดั่งเนื้อความแปล แห่งวัชรปรัชญาปารมิตาได้นั้น


    จิต ต้องเคยเข้าถึงสภาพของอสังขตธาตุ - อสังขตธรรม คือ สภาวะที่ไม่ปรุงแต่งด้วยปัจจัยต่างๆ

    จึงกล่าวได้ว่า " ว่าง " ..ว่างจากสิ่งปรุงในแบบภพสาม


    ที่ว่า ไม่มีฌาณ ญาณ การบรรลุใดๆ ก็เพราะ....

    ขณะกล่าว จิตเข้าถึงสภาวะของธรรม ที่ไม่ใช่ของคู่

    เป็นสันทิฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง

    ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ



    ไม่ใช่ "ว่าง " ในลักษณะแห่งการรู้ การเข้าใจ การสัมผัส ของผู้ที่จิตใจยังอยู่ใน
    การครอบงำของขันธ์5 และ สามโลก<!-- google_ad_section_end -->

    ไม่ใช่ ว่าง ที่ปรุงแต่งจากฌาณ ญาณ ใดๆแล้ว

    เป็น ว่าง ที่เห็นวัฏจักรปฏิจจสมุปบาท( จักรมาร)
    แล้ว เข้าสู่การดับจักรมารนั้น เสวย สภาวะนิพพาน แม้เพียงขณะ

    ...จึงเริ่มรู้ถึง.... ว่าง ในความหมายแห่ง ปรัญชาปรมิตาฯ

    ( คำเดียวกัน แต่ ภูมิจิตผู้กล่าว ผู้รู้ ผู้เห็น ต่างกัน / ว่างทางโลกมี

    กิเลสที่ชื่อว่าว่าง แต่ ว่างทางธรรม นั้นเห็นสังขารทั้งปวงเทียมกัน

    ธรรมที่พ้นก็มีอยู่ และ สังขาร ก็มีอยู่อย่างนั้น )



    เมื่อทำสัมมาทิฐิเรื่องความว่างได้

    ก็จะเริ่มเข้าใจสภาวะแห่ง อวโลกิเตศวร .....

    ที่เป็นธรรมแห่งมหาโพธิสัตว์ ไม่ขัดต่อธรรมพระพุทธองค์

    จึงสามารถฉุดช่วยสัตว์โลก เทวดา พรหม ฯลฯ ที่ยังไม่ได้รับแสงธรรม

    ให้เห็นทางพ้นจากวัฏฏสงสารได้<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มีนาคม 2010
  2. ขุนกำแหง

    ขุนกำแหง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +71
    ผมเคยอ่านหนังสือมหายานของจีนในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง

    ไม่ทราบว่าเหมือนกันหมดหรือปล่าวทั้งมหายานนั้น

    เขาเชื่อว่าหากได้เกิดในภพเทวดาแล้วไซร์ถือว่าพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด


    และผมปรารถณาตลอดเวลาทำบุญหรือกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุว่า ด้วยบุญกุศลนี้จงช่วยหนุนนำเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้ธรรมอันประเสริฐอย่างใดอย่างหนึ่งอันมีโสดาบันขึ้นไป ในยุคพระศรีอารย์

    ผมปรารถนาจะฟังธรรมจากท่านแม้นจะอยู่แถวไหนก็ตามแม้นในหมู่มากเรือนหมื่นแสนก็ขอให้ได้ฟังธรรมจากท่าน ด้วยบุญกุศลที่ทำมาในอดีตถึงปัจจุบัน อธิษฐานตลอด

    แต่ผมเองก็ไม่ทราบเรื่องเจ้าแม่กวนอิมมาก

    และผมเคยฟังจากพี่ชายผมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฤาษีลิงดำ ใช่หรือปล่าวก็ไม่รู้

    รู้เพียงว่าพี่ชายได้พระสารีริกธาตุมาจากวัดท่าซุง
    แล้วกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ตลอด พระสารีริกธาตุแตกออกมาเรื่อยๆพี่ผมก็ตกใจและเอามาแบ่งวงษ์ญาติทั้งหลาย ผมจึงได้อานิสงค์

    พี่ชายผมอีกคนนั้นเป็นทหารช่างอยู่ลพบุรี ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่แฟนแกเคยเอาดอกไม้ไปบูชาครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าพระสารีริกธาตุที่เคยน้อยนิดกลับตุงเต็มพลาสติคที่ห่อเพียงไม่กี่วัน

    พี่ผมกลัวมากจึงเอามาคืนพี่ชายซึ่งเป็นคนเอามาจากวัดท่าซุง

    พี่ชายผมเคยบอกว่า แท้จริงแล้ว เจ้าแม่กวนอิมนั้นลาพุทธภูมิไปแล้วจึงหรือไม่ผมก็ไม่รู้

    แต่ว่าการกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ท่านนี้คือ พระศรีอารย์ ใจผมใคร่ไม่เชื่อเลย

    และผมเองก็ไม่รู้ว่าพระแม่ท่านจะโปรดสัตว์โลกผู้โง่เขลาอย่างเรายังไง
    หากไม่รู้จักเส้นทางแห่งมรรค

    ท่านจะโปรดสัตว์ให้พ้นจากนรกภูมินั้นได้แบบท่านเป็นเทพเป็นพรหมตลอดกาลอย่างนั้นหรือ

    ผมก็ขอนับถือน้ำใจท่านหากท่านยอมเวียนว่ายตายเกิดทั้งภพต่ำภพสูงเพื่อให้โปรดสัตว์เป็นองค์สุดท้าย

    แต่ผมได้ยินมาว่าท่านลาพุทธภูมิไปนานแล้วนี่ครับ เมื่อท่านได้พบกับความจริงที่ท่านต้องเวียนว่าย

    จริงหรือไม่ ช่วยชี้แจ้งด้วยนะครับ^-^

    หากผมเกิดในโลกที่ไม่มีพระพุทธศาสนาผมอาจจะคล้อยตามก็ได้ครับ

    แต่ผมได้พบพุทธศาสนาอันหาที่เปรียบไม่มี

    พระพุทธเจ้าขึ้นชื่อว่าหนึ่ง

    ขนาดสาวกภูมิที่ว่าอย่างมากก็โปรดคนให้บรรลุธรรมได้ อย่างมาก คน 2 คน ขนาดท่านรู้ทางมรรค

    หากท่านอยากให้มนุษย์พ้นจากทุกข์จริงควรจะให้นำพุทธศาสนามาดีกว่ามาไหว้สรรเสริญทางไปโดยเอาเทพเป็นที่พึ่ง

    ที่ว่าเทวานุสติ คือ การระลึกถึงคุณที่ทำให้เกิดเป็นเทวดาไม่ใช่หรือครับ


    สมัยนี้เทพมาเบียดศาสนาพุทธมาแรง

    แต่พอดีผมมีบุญนิดหน่อยจึงได้ผมพุทธศาสนาและเชื่อในตถาคตของผมครับ

    ผมจะรอการตรัสรู้จากพระศรีอารย์ที่พระพุทธเจ้านามโคดมท่านพุทธพยากรณ์ว่ามี

    แต่เทพคนอื่นที่ไม่มีในพระตรปิฏกหรือมีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะมีพระโพธิสัตว์หญิงนั้นมาโปรดผมไม่เชื่อครับ

    ผมเชื่อว่าพระศรีอารย์บางทีท่านจะมาช่วยโลกมนุษย์ และในหลวงของผมที่ผมมั่นใจว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์อากให้มนุษย์พ้นจากทุกข์จริง

    เพราะในศาสนาของตถาคตเจ้านั้นจะมีพระโพธิสัตว์มาช่วยเหลือศาสนาของตถาคตบำรงให้ครบ 5000 ปี
    ทั้งที่ในหลวงลงมาเกิดเพื่อบำรุงพุทธศาสนาที่แท้จริง

    ไม่ใช่มาเบียดศาสนาพระพุทธเจ้าให้เชื่อในคำสอนตน และกราบไหว้เป็นศิษย์ตน
    บ้างทีก็เที่ยวเบียดเบียนให้ต้องเจ็บป่วยนานา บ้างท่านก็อาพาธหาก

    ผมไม่เคยได้ยินว่ามีบุญที่เกิดจากการกินเจครับ

    หากกล่าวว่าโดนลบออกจากพระไตรปิฎกนั้น น่าจะเอาข้อกามออกมากกว่านะครับ

    คือผมไม่ได้มาลบล้างหรืออะไรนะครับเพียงผมกล่าวในความเป็นจริงเท่านั้น

    ยังไงหากทำให้เกิดโทสะอะไรก็ขอโทษ ณ ที่นี่ด้วยครับ

    หรือไม่ก็ช่วยชี้แจงให้ผมเข้าใจด้วยครับ เพราะผมนั้นเชื่อมาอย่างนี้

    ที่จริงไม่อยากพูดครับ

    แต่มาเห็นที่หลายที่ตั้งให้รูปพระโพธิสัตว์อยู่เหนือพระพุทธรูป
    หรือเอาเทพต่างศาสนาบ้างมาสร้างเต็มวัดเต็มเมือง

    ให้คนหันไปกราบไหว้เทพผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ ผมก็ขอพูดจากใจบ้างว่า ยังละยอมไม่ค่อยได้หรอกครับ

    เดียวจะปลงดูเกี่ยวกับยึดมั่นถือมั่น

    แต่ยังไงเสียผมก็จะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะเป็นที่ตั้งตลอดไป

    ใครจะเอาเทพก็ตามใจ

    ขนาดมารมาสร้างหลุมถ่านเหล็กไฟเพื่อไม่ให้เศรษฐีมาตักบาตรแก่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    ท่ายยังยอมตาย ผมถึงแม้ไม่ขนาดท่าน

    แต่ผมก็จะขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

    ก็แล้วแต่ความเชื่อเขาอย่างนั้นเพียงแต่เราไม่เอาด้วยแค่นั้นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2010
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    <TABLE style="FONT-FAMILY: 'MS Reference Sans Serif'" border=0 cellPadding=1 width=694 align=center><TBODY><TR><TD height=55 width=688>พุทธพจน์ตรัสเตือนไว้ ไม่ให้ประมาทหลักปฏิจจสมุปบาทนี

    </TD></TR><TR><TD height=88 width=688 align=left>มีพุทธพจน์ตรัสเตือนไว้ ไม่ให้ประมาทหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ว่าเป็นหลักเหตุผลที่เข้าใจง่าย เพราะมีเรื่องที่พระอานนท์เข้าไปกราบทูลพระองค์ และพระองค์ได้ตรัสตอบ มีความดังนี้

    </TD></TR><TR><TD height=38 width=688 align=left>
    "น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาเลยพระเจ้าข้า หลักปฏิจจสมุปบาทนี้ถึงจะเป็นธรรมลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง แต่ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ"



    </TD></TR><TR><TD height=38 width=688 align=left>
    "อย่ากล่าวอย่างนั้น อย่ากล่าวอย่างนั้น อานนท์



    ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมอันลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง เพราะไม่รูไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดหลักธรรมข้อนี้แหละ หมู่สัตว์นี้จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง..........ฯลฯ."



    </TD></TR><TR><TD width=688>(ที่มา สํ.นิ. ๑๖/๒๒๔-๕/๑๑๐-๑)


    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO



    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมอันลึกซึ้ง ที่หลังจากแรกตรัสรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงน้อมที่จะไม่แสดงธรรมแก่เหล่าสรรพสัตว์ เพราะมีพุทธดําริในแรกเริ่มว่าจะไม่เผยแผ่ธรรมที่ท่านตรัสรู้ ก็เนื่องจากความลึกซึ้งของ "ปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน" ว่าเป็นที่รู้เข้าใจได้ยากแก่สรรพสัตว์ (พระไตรปิฎก เล่ม๑๒/ข้อ๓๒๑) เหตุที่กล่าวแสดงดังนี้ เพื่อให้ท่านได้พิจารณาธรรมนี้โดยละเอียดและแยบคายจริงๆ ไม่เกิดความประมาทว่าเป็นของง่ายๆ ดังปรากฎแก่พระอานนท์มหาเถระมาแล้ว [​IMG] จึงจักเกิดประโยชน์สูงสุดขึ้นได้ และควรกระทําการพิจารณา(ธรรมวิจยะ)โดยละเอียดและแยบคายด้วยความเพียรพยายามอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่า"ยากและลึกซึ้ง" แต่เรามีแนวทางปฏิบัติของท่านแล้ว จึงเป็นสิ่งอันพึงปฏิบัติได้ แต่กระนั้นเราผู้เป็นปุถุชนจึงมิควรประมาทว่าเข้าใจแล้วโดยการอ่าน, การฟังแต่เพียงอย่างเดียวโดยเด็ดขาดเพราะเกินกำลังอำนาจของปุถุชน จักต้องทําการพิจารณาโดยละเอียดและแยบคายจริงๆ(โยนิโสมนสิการ)จึงจักบังเกิดผลอย่างแท้จริงปฏิจจสมุปบาท ดำเนินเป็นไปตามหลักธรรมอิทัปปัจจยตา ที่มีพระพุทธพจน์ ตรัสสอนไว้ว่า
    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี</TD><TD vAlign=top>เพราะเหตุนี้เกิดขึ้น ผลนี้จึงเกิดขึ้น</TD></TR><TR><TD vAlign=top>เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี</TD><TD vAlign=top>เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ</TD></TR></TBODY></TABLE>อันแลดูเป็นธรรมดา แต่กลับแสดงถึงสภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตามความเป็นจริงถึงขั้นสูงสุด(ปรมัตถ์) ถึงปัจจัยอันเนื่องสัมพันธ์กันจึงเป็นผลให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้น อันเป็นหัวใจสําคัญในพุทธศาสนาที่ยึดในหลักธรรมที่ว่า" สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย" หรือ " ธรรม(สิ่งหรือผล)ใด ล้วนเกิดแต่เหตุ" อันเป็นเฉกเช่นเดียวกับหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั่นเอง แตกต่างกันแต่ว่าหลักวิทยาศาสตร์นั้นส่วนใหญ่ครอบคลุมแต่เพียงด้านวัตถุธรรมหรือรูปธรรมเพียงด้านเดียว แต่ธรรมของพระพุทธองค์นั้นครอบคลุมถึงขั้นปรมัตถ์คือตามความเป็นจริงขั้นสูงสุด จึงครอบคลุมโดยบริบูรณ์ ทั้งฝ่ายรูปธรรม(วัตถุ)และนามธรรม(จิต,นาม), ปฏิจจสมุปบาทก็เนื่องมาจากหลักธรรมอิทัปปัจจยตาหรือกฎธรรมชาตินี้ แต่เป็นหลักธรรมที่เน้นเฉพาะเจาะจงถึงเหตุปัจจัยให้เกิดผล อันคือความทุกข์(ฝ่ายสมุทยวาร) และการดับไปแห่งทุกข์(ฝ่ายนิโรธวาร) โดยตรงๆ แต่เพียงเรื่องเดียว
    ช่างยนต์ ต้องรู้เรื่องเครื่องยนต์อย่างดี จึงจักซ่อมบํารุงได้ดี ฉันใด
    ผู้ที่ต้องการดับทุกข์ จึงต้องกำหนดรู้เรื่องทุกข์ และการดับทุกข์อย่างดี จึงจักดับทุกข์ได้ดี ฉันนั้น
    พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ว่า ท่านสอนแต่เรื่องทุกข์และการดับทุกข์ ที่สอนให้รู้เรื่องทุกข์ต่างๆ มิใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์ ไปใช้ในการดับทุกข์ อันเป็นสุขอย่างยิ่ง
    ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมในรูปกฎแห่งธรรมชาติขั้นสูงสุด คือเป็นสภาวธรรมจริงแท้แน่นอนอย่างที่สุดหรือมันต้องเป็นเช่นนั้นเองจึงอกาลิโกยิ่งนัก อันกล่าวถึง กระบวนจิตของการเกิดขึ้นของทุกข์และการดับไปของทุกข์ ที่แสดงถึง การอาศัยกันของเหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยกัน แล้วก่อให้เกิดเป็นความทุกข์ขึ้น, หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า
    ธรรมที่แสดงถึงเหตุปัจจัยชนิดต่างๆ ที่ทําให้เกิดเหตุปัจจัยต่อเนื่องสืบต่อกัน อันเป็นผลให้เกิดทุกข์ในที่สุด, หรือกล่าวอย่างละเอียดได้ว่า
    ธรรมที่แสดงถึงการที่ทุกข์เกิดขึ้นได้นั้น เพราะอาศัยเหตุปัจจัยอันเกิดต่อสืบเนื่องกันมาเป็นลําดับ...ซึ่งมีองค์ประกอบ ๑๒ ส่วนหรือองค์ธรรม เกี่ยวเนื่องเป็นปัจจัยแก่กันและกัน หมุนเวียนไปเป็นวงจรเกี่ยวเนื่องกันไปเป็นลําดับแต่หาต้นหาปลายไม่ได้เพราะเป็นภวจักรหรือวงจร ซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยอันหนึ่งเป็นปัจจัยของอีกอันหนึ่ง และปัจจัยอีกอันหนึ่งนี้ก็เป็นปัจจัยของอีกอันอื่นๆสืบต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด......จึงก่อเกิดเป็นสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดในภพ....ในชาติ, และมีการเกิดภพ เกิดชาติ ตั้งแต่ในปัจจุบันชาตินี้เอง กล่าวคือเกิด ภพ ชาติ ตั้งแต่ ณ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นเอง! และสามารถเกิด ภพ เกิด ชาติ อันเป็นทุกข์ได้ในทุกขณะจิต!
    เพราะความลึกซึ้งและแยบคายของปฏิจจสมุปบาทอันเป็นปรมัตถธรรมคือเป็นธรรมหรือสิ่งที่เป็นจริงขั้นสูงสุด จึงมีความหมายครอบคลุมไปถึงเรื่องข้ามภพ ข้ามชาติ หรือการเกิดภพชาติ ตลอดจนแม้กระทั่งกําเนิดของโลก อันเป็นโลกิยะ อันยังประโยชน์ต่อขันธ์หรือชีวิตของปุถุชน, แต่พระพุทธประสงค์โดยลึกซึ้งสูงสุดแล้ว เป็นการแสดงแบบโลกุตระ (ดังกล่าวแสดงโลกิยะและโลกุตระไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร) ที่แสดงการเกิดขึ้นของภพ ชาติ แล้วดับภพ ดับชาติ เหล่านั้น เสีย ตั้งแต่ในปัจจุบันชาตินี้ ก่อนตายหรือแตกดับ หรือดับความทุกข์ที่เกิดจากภพจากชาติเหล่านี้ ที่เกิดดับ..เกิดดับ อยู่เป็นระยะๆทุกขณะจิตโดยไม่รู้และไม่เข้าใจด้วยอวิชชา เป็นการ เกิดดับ เกิดดับๆๆ..ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทุกขณะ ทั้งๆที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ เยี่ยงนี้จึงเป็นเรื่องที่ถูกพระพุทธประสงค์อย่างถูกต้องและแท้จริงเป็นสูงสุด เป็นโลกุตระและเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง(สัมมาญาณ) ย่อมทําให้ดําเนินไปในธรรมได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว (อ่านรายละเอียดได้ใน การตีความปฏิจจสมุปบาท)
    ดังพุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ว่า
    เราตถาคต จึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ในปัจจุบัน (จูฬมาลุงโยวาทสูตร)


    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD id=modified_4803 class=smalltext vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มีนาคม 2010
  4. พญาไท010

    พญาไท010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +281
    เป็นข้อมูลที่ดีมากค่ะ
     
  5. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,083
    [​IMG]
     
  6. ROJKAJORN

    ROJKAJORN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,350
    พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่สุดแล้วก็มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน ที่สุดแล้วก็คือหนึ่งเดียวกัน เพียงแต่ทางเดินไม่เหมือนกัน ก็เท่านั้นเอง
     
  7. nopopathorn

    nopopathorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +2,065
    -ขอบคุณครับที่ช้วยเนะนำ
     
  8. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

    ผมยินดียิ่ง ที่มีศรัทธาสาธุชนอันเป็นพุทธศาสนิกชน ที่ใจกว้าง รับฟังเพื่อนสหธรรมิก


    ผมเชื่อว่า แทบทุกท่านปรารถนาดีต่อกันและกัน

    แต่ด้วยวิธีการของตนเอง
    อันหลากหลาย บางครั้ง เราต้องปรับเข้าหากัน เพื่อความเข้าใจอันดีร่วมกัน


    ..............และ รักษาไว้ ซึ่งเนื้อแท้แห่งพระศาสนาด้วย...


    อนุโมทนา สาธุ ในกุศลจิตทั้งมวลครับ
     
  9. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    ความพิสดาร หลากหลาย ของเรื่องทิพย์

    ในพระคัมภีร์ว่ามากมาย ไม่อาจเชื่อได้โดยง่ายแล้ว


    การพบเห็นด้วยตนเองจะขนาดไหน

    ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการ การพิจารณาด้วยเหตุผล และ

    สติสัมปชัญญะ ที่ฝึกมาดีจริงๆ ...ก็พลาดสู่กับดักมารได้ง่าย

    ..........เชิญชวนผู้มีประสพการณ์ตรง ในเรื่ององค์พระโพธิสัตว์มาเล่า

    เทียบเคียงกับเนื้อหาในคัมภีร์( ไม่ว่านิกายไหน ) กันบ้าง ..เปลียน

    บรรยากาศ และ เพื่อความก้าวหน้าทางธรรม...
     
  10. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อืมครับ ที่ว่า"ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ไม่มีจักษุธาตุ ไม่มีมโนธาต"

    พระมหาโพธิสัตว์ท่านหมายความว่า พ้นจากการปรุงแต่งแล้ว พวกนี้ก็ไม่มี
    ถ้าหลุดพ้นแล้ว ก็ไม่มีขันธ์ ไม่มีอวิชชา ไม่มีพ้นอวิชชา ไม่มีการบรรลุ ไม่มีการไม่บรรลุ คือถึงพระนิพพานแล้ว การปรุงแต่งทั้งปวงก็หมดสิ้น พ้นจากความเป็นมายาในสังสารวัฏ "บทสวดนี้เหมาะกับผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิครับ สำหรับบางคนแล้ว ที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ อาจจะตีความผิด และยึดในความเห็นผิดๆ เป็นเหตุให้ลงโลกันตร์ได้ครับ ^^"

    พระสูตรนี้ ถึงเป็นพระสูตรแห่งปัญญา เป็นเพชรแห่งปัญญา
    ควรพิจารณาด้วยจิต พิจารณาให้ละเอียด แล้วจะคลายความยึดมั่นถือมั่นลง
    เห็นร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เป็นธรรมชาติอันเป็นสากล
    พอหมดเวลาแล้วก็กลับคืนธรรมชาติ เริ่มคือรวม พอหมดก็แยกกลับ
    แค่ธาตุทั้งหลายมาประชุมกัน ปรุงแต่งขึ้นมา แล้วก็แตกสลายไป
    นี่คือมองกาย ให้เห็นธรรมชาติของกาย และรู้เท่าทันกาย และไม่ยึดมั่นในกาย
    ต่อจากกายก็ให้พิจารณาเวทนา ให้เห็นความเป็นจริงของเวทนา
    จนเวทนารำงับไป เห็นจิตเด่นชัดขึ้น พิจารณาจิตจนละเอียดๆๆ
    เห็นธรรมชาติของจิต จึงมองเห็นธรรม แล้วพิจารณาธรรม
    แม้แต่จิตก็ไม่ควรยึดว่าเป็นของเรา ไม่ใช่ของเรา ที่เรารู้สึกว่าเป็นของเรา
    มันเป็นอัตตานุปาทาน จริงๆแล้วจิต ก็คือธรรมชาติอย่างหนึ่ง
    ที่เชื่อมโยงกับสรรพสิ่งทั้งมวล หนึ่งคือทั้งหมด ทั้งหมดคือหนึ่ง
    เป็นพลังงานของจักรวาล มันเป็นของมันอย่างนั้น...

    ชาวพุทธไม่ควรจมกับความเชื่อ และไม่ควรจมกับความไม่เชื่อ
    ผู้ที่จะตื่น คือผู้ที่เป็นอิสระจากความเชื่อและไม่เชื่อ
    เรารู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง แต่เราไม่ควรจมอยู่กับความรู้สึกที่ว่ามันมีอยู่จริง
    เรารู้สึกว่า มันเป็นของมันอย่างนั้น "ตถาตา" ...
    ธรรมชาติอันไม่มีใครเป็นเจ้าของ - กายนี้ไม่ใช่เรา จิตนี้ไม่ใช่เรา
    พอพ้นจากสังสารแล้ว จิตก็ไม่ใช่จิต นิพพานไม่ใช่จิต

    สาธุๆ อามีทอฟอ
     
  11. แชมป์คุง

    แชมป์คุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +279
    อนุโมทนาครับ
    เมี่ยว วิธีมหัศจรรย์อาตยะหกสะอาด
    สาน สัมพันธ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นธาตุ
    กวน เพ่งว่างเพ่งรูปรู้สึกแน่
    อิม เสียงแท้หากได้ยินแสวงหา
    <SCRIPT type=text/javascript> <!-- vBulletin.register_control("vB_ProfilefieldEditor", "5"); //--> </SCRIPT>
     
  12. b_odhinanda

    b_odhinanda สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    อนุโมทนาครับ

    ๕๘. ยสฺมินฺ น รูป อปิ เวทน จาปิ สมฺชฺญา<O:p</O:p
    วิชฺญาน ไนว น ปิ เจตนโยปลพฺธิะ|<O:p</O:p
    อนุปาทุ ศูนฺย น ย ชานติ สรฺวธรฺมานฺ<O:p</O:p
    เอษา ส ปฺรชฺญวรปารมิตาย จรฺยา||||<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ไม่มีรูปไม่เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ  <O:p</O:p
    นี้ธรรม,กฏไม่มีได้รับ,บรรลุยังคง,กลับ,อีกไม่มีการเกิด<O:p</O:p
    เข้าใจรู้แจ้ง一切สิ่งทั้งปวงธรรมล้วน.ทั้งหมดว่างเปล่า  <O:p</O:p
    นี้ชื่อที่สุดบน,สูง般若ปรัชญาความประพฤติ,เดิน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อปราศจากรูปปราศจากเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ<O:p</O:p
    ธรรมนี้ปราศจากการบรรลุอีกทั้งปราศจากการเกิด<O:p</O:p
    เมื่อเข้าใจรู้แจ้งในธรรมทั้งปวงล้วนเป็นศูนยตาทั้งสิ้น<O:p</O:p
    นี้แลชื่อว่าดำเนินไปในปรัชญาอันประเสริฐยิ่ง<O:p</O:p

    จาก
    ภควตฺยำ รตฺนสมฺจยคาถายำ ปุณฺยปรฺยายปริวรฺโต นาม ปญฺจมะ
    บทที่ ๕ประมาณการแห่งบุญวาสนา ของคัมภีร์รัตนสมุจัยคาถา
    (คาถาที่ ๒)

    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  13. เวียนว่าย

    เวียนว่าย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    ครับ

    ขออนุญาตนะครับ

    ผมก็เป็นผู้มาแวะชมพลังจิตดอทคอมอยู่บ่อยครั้ง

    เห็นกระทู้พระอวโลกิเตศวร ก็ให้ความสนใจ เข้ามา

    ผมเป็นชาวพุทธเหมือนคุณทั่วๆไปครับ แต่มีความเชื่อในการบูชาพระโพธิสัตว์แทรกควบคู่ด้วย

    และมีความศรัทธาต่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อย่างยิ่ง

    แต่เห็นบางข้อความ ที่ผมไม่อาจทนได้ จึงสมัครสมาชิกเข้ามา เพื่อแสดงความเห็น

    ที่เป็นการออกจะเสียดสีหัวใจผมอยู่ไม่น้อย ผมไม่รู้ใครคิดแบบผมบ้างนะครับ

    พุทธศาสนา แตกต่าง ออกหลายนิกาย ก็จริง แต่จุดหมายปลายทางคือ

    จะไปสู่พระนิพพาน แบบไหน เท่านั้น

    ขันติธรรมาทางศาสนา จึงเป็นเครื่องมือชั้นเยี่ยม ในการแสดงความมีไมตรีจิต ต่อศาสนิกชนร่วมศาสนา

    เราจึงต้องให้ความเคารพ ต่อสิ่งที่ผู้คนถวายความนับถือ อยู่ด้วยนะครับ(เรื่องของจิตใจ) จะให้เป็นแบบเรา ไม่ได้หมดครับ ว่าใคร จะนับถือ อะไร ขอเจริญไว้ด้วยสัมมาทิฐิ ก็พอ

    ถามว่า ผมนับถือ พระรัตนตรัย มั้ย ผมนับถือครับ มากๆด้วย

    ผมจะนำด้วยพระรัตนตรัย ตามด้วยบูชาพระพุทธเจ้าบทต่างๆ

    ก่อนถวายบทแด่พระโพธิสัตว์ในมหายาน(เรียงลำดับขั้น)

    ด้วยเหตุนี้เอง ผมไม่บังอาจที่จะมาถกเถียงกับใคร แต่จะให้หลายๆท่าน มีขันติธรรมาทางศาสนาด้วยนะครับ(ใครมี ผมขออนุโมทนา อย่างสูง)ครับ

    และหวังว่า พระบรมโพธิสัตว์โลเกศวร จะได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น แม้ไม่ได้นับถือก็ตาม

    แต่ขอไม่ให้มีการเสียดสีก็พอครับ ผมรับไม่ได้ จากเด็กอายุ 16
     
  14. la8coste

    la8coste เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +364
    พระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) มหาโพธิสัตว์ นิยายฤาเรื่องจริง

    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์


    พระพุทธศาสนาสมัยเมื่อพระบรมศาสดาเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน เกิดเหตุสาวกสงฆ์แบ่งแยกออกเป็นสองหมู่ หมู่หนึ่งค้านคำพระพุทธเจ้าบางส่วน ถือเอาคำสั่งเสียกับพระอานนท์ประโยคหนึ่งว่า หากภิกษุทั้งหลายเห็นว่าวินัยบางข้อเป็นอาบัติเล็กน้อย จักเพิกถอนเสียบ้างก็ได้

    เลยถอนกันใหญ่

    ไอ้นั่นก็จุกจิก ไอ้นี่ก็หยุมหยิม เลิก ๆ...!! พากันดีใจถึงกับเอ่ยว่า ดี ! เมื่อพระพุทธเจ้าเธอปรินิพพานเสียได้นั่นดี เพราะเมื่อเธออยู่สิ่งนั้นก็ห้าม สิ่งนี้ก็ไม่ควร บัดนี้เธอปรินิพพานเสียได้ก็ดีจะไม่มีใครมาคอยจู้จี้กวนใจ

    ผู้กล่าวคือ พระสุภัททะ

    อีกหมู่หนึ่งไม่ยอมค้านคำของพระพุทธเจ้าเลย ใคร่ถือเอาตามพระวาจาโดยไม่ละเมิดแม้สักข้อเดียว ปักมั่นในพระโอวาทประโยคหนึ่งว่า ภิกษุทั้งหลาย อย่าบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติ อย่าเพิกถอนในสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานตามนั้น

    พระองค์ปิดประตูทีเดียว

    ที่ตรัสอย่างนั้นแน่นอนเหลือเกินว่าทรงเห็นแล้วว่ากุลบุตรผู้มาใหม่ภายหลังไม่อาจทรงพระมหาสติมหาปัญญาได้ดังพระองค์ ทั้งยังอาจเป็นผู้มีกิเลสหนาอันเก่งแต่ปริยัติธรรม หากปล่อยให้บัญญัติพระวินัยหรือถอนทิ้งเสียได้ตามใจตน ไม่แคล้วคงถอนในสิ่งที่ตนมิชอบและบัญญัติไว้แต่สิ่งที่ตนชอบนั่นเอง

    จึงเกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่งในหมู่ภิกษุผู้เป็นพระอริยบุคคลทั้งสี่จำพวกและเหล่าภิกษุผู้ใฝ่ดีแม้ยังไม่บรรลุคุณธรรมใด ๆ ก็ตาม เป็นเหตุให้เกิดปฐมสังคายขึ้นโดยพระอรหันตเจ้าล้วน ๆ นำโดยยอดพระอรหันต์คือ พระมหากัสสปะเถร และ พระอานนท์

    สองพระองค์นี้มีอุปการคุณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ทำให้เถราจารย์ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างรูปเคารพขึ้นวางคู่กันหน้าพระประธานในโบสถ์เพื่อเป็นการรำลึกคุณ หาใช่พระอัครสาวกซ้าย-ขวา คือ พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลาน์ ดังพระพุทธศาสนาฝ่าย หีนยาน ไม่

    ก็เพราะเกิดการแบ่งแยกเป็นพระสองกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่แยกออกไปจึงค่อย ๆ กลายเป็นมหายาน อันแปลว่า ยานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเน้นการช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าตนเอง ทั้งมีศัพท์เรียกเป็นทางการว่า พระโพธิสัตว์ คือผู้บำเพ็ญอย่างปรารถนาพุทธภูมิ และเรียกกลุ่มชาวพุทธที่พากเพียรเพื่อให้ตนหลุดพ้นเสียก่อนจึงค่อยสอนคนอื่นว่า หีนยาน แปลว่ายานอันคับแคบ กล่าวคือใจแคบพาตนหลุดพ้นไปโดยลำพังคล้ายเห็นแก่ตนก่อนค่อยนึกถึงผู้อื่นภายหลัง

    พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ที่ต้องถูกจองล้างจองผลาญจากลัทธิ นิกาย หรือศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกที่คลั่งอำนาจ จึงถูกทำลายอยู่บ่อยครั้งทั้งทางตรงคือ ฆ่าพระ เผาวัด และทางอ้อมคือ บั่นทอนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เห็นเป็นของไม่มีค่า เป็นเรื่องโง่งมงายด้วยวิธีการพูดต่าง ๆ

    พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจึงโต้ตอบคำกล่าวตู่เหล่านั้นด้วยกระบวนการสอนในทางศาสนาเช่นกัน อาทิ เมื่อศาสนาพราหมณ์แต่งเรื่องว่าอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์เป็น พุทธาวตาร คือ การอวตารลงมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนเวไนยสัตว์ คำกล่าวนี้พราหมณ์แต่งขึ้นเพื่อหมายกลืนกินชาวพุทธผู้ด้อยปัญญาว่า...

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าคือพระนารายณ์อวตารลงมาปฎิบัติภารกิจบนโลก ก็ไม่จำเป็นต้องถือพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อพระองค์นิพพาน เพราะพระองค์ก็กลับคืนร่างไปเป็นพระนารายณ์ จึงควรบูชาพระนารายณ์เพียงองค์เดียวก็พอ ด้วยคำสอนอย่างนี้พุทธศาสนิกชนมากรายที่ยังไม่มีหลักของใจก็โอนสัญชาติไปเป็น สาวกไวษณพนิกาย จนหมดสิ้น

    ฝ่ายมหายานจึงแก้ว่า อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี เทพ พรหม พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ดี ล้วนถือกำเนิดไปจากพระพุทธเจ้าองค์แรกสุดในสกลจักรวาล พระองค์เกิดเองเป็นเอง ไม่มีผู้ใดไปสร้างพระองค์ได้ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้วก็ทรงสร้างทุกสิ่ง และแบ่งพุทธานุภาพออกเป็นพระพุทธเจ้าทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนเพื่อช่วยเหลืองานต่าง ๆ

    พระนามของท่านคือ พระอาทิพุทธะ

    พระอาทิพุทธะ สร้างพระพุทธเจ้าที่ไม่มีตัวตนขึ้นโดยอำนาจแห่งฌานจึงเรียกพระพุทธเจ้าจำพวกนี้ว่า พระฌานิพุทธ มีด้วยกันจำนวนนับไม่ถ้วนองค์ ที่โดดเด่นรู้จักกันดีพระนามว่า พระอมิตาภพุทธเจ้า เรามักได้ยินหลวงจีนในหนังพูดกันบ่อย ๆ ว่า “อามิตตาพุทธ” นั่นแหละท่านละ

    ที่ต้องเอ่ยนามบ่อย ๆ เพราะมหายานมีความเชื่อว่าการพูดชื่อพระองค์ถือเป็นการสวดมนต์อย่างหนึ่ง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วพระองค์จะมารับดวงวิญญาณไปสู่โลกของพระองค์ที่ชื่อ ฮุดโจ๊วไซที หรือ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกนี้

    ส่วนพระพุทธเจ้าอีกจำพวกหนึ่งที่ถูก สร้าง ขึ้นจากพระอาทิพุทธะคือพระพุทธที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต เรียกพระพุทธเจ้าประเภทนี้ว่า มานุษิพุทธ ที่เรารู้จักกันดีก็คือ พระสมณโคดม หรือพระพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้แล

    ดังนั้นเมื่อพระอาทิพุทธะเป็นองค์สร้างทุกสิ่งในจักรวาล แม้เทพ พรหม โพธิสัตว์ทั้งปวงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขไปจากพระองค์ พระนารายณ์ก็เช่นกัน เหตุนี้ ท่านทั้งหลายเอ๋ยไม่ต้องขวนขวายไปกราบใครดอก ไหว้พระอาทิพุทธะเพียงพระองค์เดียวก็ถึงกันหมด

    ยิ่งใหญ่ดีไหม ?
    เรียกศรัทธากลับมาได้เพียบก็แล้วกัน...!!

    สงครามทางจิตวิทยาเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน ในทุกศาสนา ทุกนิกาย ประมาณได้ว่าฝ่ายมหายานเปรียบดังแม่ทัพนายกองแบบรบตาต่อตาฟันต่อฟัน ขนาดทำรูปพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ถือมีด หอก ดาบ แหลน หลาว กินเลือดร้อยกะโหลกเป็นมาลัยไม่ต่างไปจากเทพในศาสนาพราหมณ์ หรืออื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อข่มขวัญและบอกให้รู้ว่าทางเราก็มีภาค ปราบ ขืนแหย่เข้ามาพวกเอ็งต้องวิบัติเหมือนปีศาจที่ถูกพระโพธิสัตว์ปราบเรียบ ที่สำคัญเป็นกำลังใจแก่ชาวพุทธผู้มีจิตเปราะบางว่า อย่ากังวลเลยใครก็คิดร้ายทำอันตรายเรามิได้ ด้วยมีบารมีพระแม่เจ้าปางพันมือ ปราบมารคุ้มครองอยู่

    สบายใจแล้วก็มีศรัทธาทำบุญต่อไป

    แต่ฝ่ายหีนยานประมาณได้ว่าเป็นที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาด ลับสติปัญญาให้กล้าแกร่งฟาดฟันกิเลสตัณหาให้ขาดสะบั้นออกจากจิตใจ แล้วจึงประกาศธรรมแห่งพระพุทธเจ้าได้อย่างอาจหาญไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใดแม้จะถูกซักถามถึงเรื่องจิตขั้นหลุดพ้นในเมื่อผู้แสดงธรรม บริสุทธิ์ แล้วด้วยดี

    มหายานสร้างพระโพธิสัตว์ให้ถือมีด ดาบ หอก ฯลฯ เป็นอาวุธ
    หีนยานสร้างพระอริยเจ้าให้ถือ พระธรรม เป็นอาวุธ

    มหายาน เล่าต่ออีกว่า เมื่อพระอมิตาภพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในจักรวาล ท่านก็ทำหน้าที่โปรดชาวมนุษย์ตามคำสั่งขององค์ผู้สร้างคือพระอาทิพุทธะ เมื่องานท่านมากก็จำต้องหาผู้ช่วย ถ้าเป็นยุคเราก็เรียก เลขานุการ

    พระอมิตาภพุทธะจึงสร้างพระโพธิสัตว์ขึ้นมากมายเพื่อแบ่งเบาภาระ ทว่าโดดเด่นเป็นอันมากอยู่สององค์ซึ่งเป็นผู้ช่วยซ้าย-ขวา เบื้องซ้ายพระนามเป็นสันสกฤตว่า พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ หรือ ไต้ซีจี้ผ่อสัก เป็นพระโพธิสัตว์ที่ไม่ค่อยมีใครได้รู้จัก หากเป็นพระผู้ทรงฤทธานุภาพเป็นยิ่งเพราะสามารถพานายช่างจิตรกรขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก อันเป็นที่อยู่เฉพาะของชาว โพธิสัตว์ เท่านั้น เพื่อจะได้วาดภาพพระพุทธเจ้าจากพระองค์จริงได้เหมือนไม่ผิดเพี้ยน

    เฮี้ยนจริง ๆ

    ส่วนเบื้องขวาทรงพระนามว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือ กวนซีอิมผ่อสัก อันเรารู้จักกันดีในนามเจ้าแม่กวนอิม โพธิสัตว์องค์นี้นับว่ามีความใกล้ชิดกับพระอมิตาภเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าพระอมิตาภปรารถนาให้องค์กวนอิมเป็น ธรรมทายาท สืบสานเจตนารมย์ต่อจากท่าน

    และเจ้าแม่กวนอิมก็เคารพเทิดทูนพระผู้สร้างของท่านมาก เห็นได้จากบนมวยเกศาของท่านไม่ว่าจะอวตารเป็นปางใด ย่อมมีรูปพระพุทธองค์น้อยประดับอยู่เหนือเกล้าเกศาแสดงถึงความเคารพเทิดทูนและความกตัญญูอย่างยิ่ง

    พระพุทธองค์น้อยนั่นแหละ...พระอมิตาภพุทธเจ้า

    จากที่ผมศึกษาพระพุทธศาสนามาแต่ยังเล็ก อ่านไปอ่านมาบางคราวก็เกิดวิจิกิจฉาว่าตกลงพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้าทั้งปวงนั้น ท่านสร้างเราขึ้นมาในโลกกลม ๆ ใบนี้...

    หรือเราสร้างท่านกันแน่ ?

    คิดไปคิดมาพอให้ปวดหัวเล่นก็เลิกคิด ครั้นโตพอรู้ความก็เริ่มได้ยินครูบาอาจารย์บ้าง ฆราวาสผู้ทรงธรรมบ้าง กล่าวถึงเทพองค์นั้นองค์นี้ให้หูผึ่ง และที่ผึ่งจนกาง...เห็นจะไม่พ้น...

    เจ้าแม่กวนอิม

    สมัยหนึ่งได้อ่านบันทึกและคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกันดีกับท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ ที่ต้องคุยเพราะนายพลท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ฝึกฝนสมาธิจิตจนสงบนิ่งควรแก่การงาน ควรแก่การพบเห็นผู้อยู่ต่างภพภูมิได้อย่างน่าทึ่ง และวาระหนึ่งท่านก็ได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิม
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    ท่านนายพลเล่าว่าท่านมักทำสมาธิเมื่อมีเวลาว่างเสมอ โดยเฉพาะก่อนนอนจะนั่งเป็นชั่วโมง ๆ ทุกวัน วันหนึ่งขณะจิตสงบได้พบหญิงสาวนางหนึ่งเหาะลอยมาในอากาศ แวดล้อมด้วยหมู่เมฆสวยงามนัก สตรีท่านนั้นแต่งตัวด้วยชุดจีนพื้นขาวมีลายดอกสีแดงปักห่าง ๆ ใบหน้ายิ้มละมัยเปี่ยมด้วยเมตตา
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    ครั้นเอ่ยวาจาน้ำเสียงก็ไพเราะดุจระฆังเงินก้องกังวานทั่ว ท่านแนะนำองค์ว่าท่านคือ เจ้าแม่กวนอิม ที่มานี้เพราะสวรรค์เห็นในคุณความดีที่นายพลสมานได้กระทำมาตลอดชีวิต และยังเข้าพระกัมมัฏฐานภาวนาโดยสม่ำเสมอ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกจึงมีบัญชาให้องค์อวโลกิเตศวรนำคำพรมาให้ จากนั้นท่านก็ให้พรเป็นภาษาจีนแต่ไม่ยาวเท่าใด และท่านก็กล่าวลา

    เมื่อออกจากสมาธิท่านนายพลก็ไม่แน่ใจว่าตนเกิดนิวรณ์ไปเองหรือเปล่า ด้วยท่านนั้นนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่สุด รู้จักแต่พระไทย ไม่เคยสนใจในเรื่องเจ้าแม่กวนอิมหรือเจ้าจีนที่ไหนเลย ครั้นคิดไม่ตกท่านก็วางเฉยต่อเหตุการณ์

    ไม่นานเท่าใดนัก ขณะท่านทำสมาธิในอีกวาระหนึ่งองค์กวนอิมก็มาพบอีกครั้ง คราวนี้ทรงชุดขาวปักลายคล้ายปล้องไผ่และใบไผ่เป็นสีทอง ชายผ้าทั้งแขนเสื้อและคอเสื้อขลิบด้วยด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับงามตา ทั้งการแต่งองค์และวงพักตร์ในครั้งนี้งดงามกว่าหนก่อนมากนัก ท่านนายพลถึงแก่ตะลึงด้วยไม่นึกว่าจะพบท่านอีกเป็นคำรบสอง

    ท่านปรารภว่า เราคือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าท่านมิได้ฝันเพ้อหรือเกิดนิวรณ์ในจิตแต่อย่างใด หนก่อนเรานำพรจากสวรรค์มาให้ตามโองการ เมื่อท่านไม่แน่ใจเราจึงต้องมาอีกครั้ง และครั้งนี้เราจะประทานอักษรให้แก่ท่านด้วย

    แล้วองค์กวนอิมก็คลี่ม้วนผ้าแดงปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนอยู่ภายในให้ดู พร้อมกับอ่านให้ฟังอย่างชัดเจน

    “กวนอิมไต้ซือ ซี่สื่อ ฮกลกหงีเทียนสื่อ”

    อ่านแล้วก็ทำกิริยายื่นม้วนผ้านั้นให้ ท่านนายพลรับมาอย่างซาบซึ้งในกรุณา เจ้าแม่ยังสั่งอีกว่า ท่านจะจำได้ขึ้นใจทั้งคำอ่านและอักษร จากนี้จงหาผู้รู้หนังสือจีนให้เขาเขียนลงกระดาษแดงด้วยอักษรสีทองแล้วใส่กรอบบูชาไว้ จะบังเกิดโชคลาภ ปราศจากภัยอันตรายแก่ผู้บูชาด้วยอำนาจแห่งเรา และยังสามารถสวดบริกรรมโองการสวรรค์นี้ได้อยู่เรื่อย ๆ จะได้รับพรอันประเสริฐจากเทวโลก ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากเราพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วท่านก็จากไป

    เมื่อท่านนายพลออกจากสมาธิ น่าประหลาดว่าท่านสามารถจำลักษณะตัวอักษรและการออกเสียงได้หมดทั้งที่ท่านพลโทสมานไม่รู้หนังสือจีนเลย และท่านก็ไปจ้างซินแสแถวเยาวราชให้เขียนหนังสือนี้ใส่กรอบบูชาไว้เพื่อระลึกถึงคุณแห่งพระแม่กวนอิม และยังเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ทำไว้บูชาที่บ้าน ได้สวดตามเพื่อความเป็นสิริมงคลเสมอ

    นี่เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ผมเชื่อถือในท่านมาก่อนหน้า เมื่อผู้ที่ผมเชื่อใจยังยอมรับถึงความมีอยู่จริงของเจ้าแม่กวนอิม ผมก็เริ่มคล้อยตาม...
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    วันหนึ่งขณะที่พระเดชพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทสุวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี กำลังเจริญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถ ท่านนิมิตเห็นคนจีนแต่งชุดอย่างชาวจีนโบราณเข้ามาแสดงคารวะท่านแปดคน
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    ทั้งแปดแนะนำตัวเองว่าเป็น แปดเซียน ในลัทธิเต๋าที่คนทั่วไปนับถือบูชา ที่มาวันนี้เพราะรับบัญชาจากองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ให้มานิมนต์พระคุณเจ้าเป็นสาวกในพระองค์ท่าน ขณะที่พูดก็ยื่นชุดจีวรอย่างพระจีนถวายแด่หลวงปู่โต๊ะ ท่านแปลกใจนักแต่ก็มิได้สนใจไม่ว่าทั้งแปดจะอ้อนวอนอย่างไรท่านก็เพิกเฉยเสีย นานพอสมควรทั้งแปดเซียนก็ลากลับไป

    ถึงตรงนี้ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เขามีตัวตนจริง ๆ นะ ที่วาดไว้ตามถ้วยโถเครื่องเคลือบต่าง ๆ นี่เขามีจริง

    จากวันนั้น ปรากฏว่าแปดเซียนมาอ้อนวอนหลวงปู่ทุกวันขอให้รับชุดครองอย่างพระจีนและลงใจเป็นสาวกในเจ้าแม่กวนอิม โป๊ยเซียนมาตลอดเจ็ดวัน หลวงปู่ก็ปฏิเสธไปทั้งเจ็ดวันเช่นกัน

    แต่วันนี้มาแปลก เซียนทั้งแปดเข้ามาแบบไม่เร่งรัดอะไรบอกเพียงพระคุณเจ้าตัดสินใจหรือยัง หลวงปู่โต๊ะก็ตอบปฏิเสธอีก แปดเซียนจึงว่า วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วย ประทับรออยู่นอกโบสถ์ พอเซียนอ้างดังนี้หลวงปู่ก็กำหนดจิตเฉยเสียไม่สนใจ

    ไม่นานก็ได้ยินเสียงเซียนเรียกให้ลืมตา เมื่อท่านมองดูก็เห็นสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวสะอาด ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ทั้งยังมีรัศมีที่โอภาสสว่างไสวไปตลอดทั้งอุโบสถ

    สตรีที่บอกว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมได้พูดจาชักจูงหลวงปู่ด้วยตัวเองตลอดเวลา ท่านเล่าว่าเสียงเจ้าแม่นั้นไพเราะนัก น้ำเสียงก็อ่อนโยน จิตท่านน่ะปฏิเสธแต่ร่างกายไม่รู้เป็นอย่างไรไปเผลอรับชุดพระจีนซึ่งเป็นกางเกงมาสวมได้ถึงเข่าก็ระลึกได้ จึงรีบถอดโยนทิ้งไป

    เจ้าแม่ก็รวบรัดเลยว่าบัดนี้หลวงปู่โต๊ะเป็นสาวกในองค์ท่านแล้ว ต่อไปนี้เมื่อถึงเทศกาลกินเจหลวงปู่ต้องฉันเจทุกคราวไปตลอดเวลา 10 วัน ว่าแล้วก็ลาหายไปพร้อมแปดเซียน
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    หลวงปู่ปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่แล้ว แต่การกินเจเป็นเรื่องละเอียดมาก พระผู้บิณฑบาตเลี้ยงชีพจะไปสั่งรายการอาหารญาติโยมอย่างไรได้ ท่านก็ทำเฉย ๆ พอถึงเทศกาลเจซึ่งท่านไม่ฉัน ปรากฏว่าท่านล้มป่วยหนักไม่น่าเชื่อ ครั้นพ้นเทศกาลสิบวันท่านก็หายป่วย หลวงปู่ทดลองอย่างนี้อยู่ราว 3 ปี ท่านก็แน่ใจได้ว่าเป็นด้วยอำนาจองค์กวนอิม ท่านต้องมีบุพกรรมเกี่ยวพันกันมาก่อนแน่นอน

    ปีต่อมาท่านจึงเริ่มฉันเจและท่านก็ไม่ป่วยจริง ๆ ส่วนชุดพระผู้ใหญ่ฝ่ายจีนนิกาย ท่านเปรยกับเจ้าแม่ว่าท่านไม่รู้จะหาที่ไหน เจ้าแม่ก็ว่าไม่ต้องกังวลท่านจะให้ศิษย์นำมาถวาย ไม่นานก็มีชายจีนคนหนึ่งเอาชุดพระจีนมาถวายหลวงปู่โดยบอกว่า ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมสั่งให้เอาจีวรมาถวายหลวงปู่วัดประดู่ฉิมพลี

    หลวงปู่โต๊ะจึงห่มแต่จีวรพระจีนที่เป็นตาราง ๆ ทับลงบนจีวรอย่างพระไทยซึ่งท่านครองไว้เรียบร้อยแล้วภายในทุกวัน และจะห่มเมื่อใกล้เวลาจำวัดเท่านั้นพอรุ่งก็ถอดออก ท่านว่าไม่อยากให้ใครเห็นจะไม่ดี
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->

    เหตุนี้ชาวจีนจึง ขึ้น หลวงปู่โต๊ะมากเล่าลือกันไปว่าหลวงปู่โต๊ะสำเร็จเป็น เซียน แล้ว ที่จริงผมอยากบอกว่าหลวงปู่น่ะ เลยเซียน ไปแล้วด้วยซ้ำ

    ถ้าเชื่อหลวงปู่ ก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมมีจริง แม้จะผิดหลักกาลามสูตรอยู่บ้าง วาระนี้ผมก็ยอม ด้วยผมเชื่อในหลวงปู่โต๊ะสุดหัวใจ
    <!--แนบไฟล์:
    -->

    เคยมีศิษย์คนหนึ่งนำรูปบูชาของเจ้าแม่กวนอิมไปถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิต ท่านเอาดินสอพองมาขีดเขียนอักขระบนองค์เจ้าแม่อยู่นาน และแม้เป็นแค่ดินสอพองแต่กลับทะลุลงจับในเนื้อพระได้จนถึงวันนี้แม้ผ่านมานานนับสิบ ๆ ปีน่าอัศจรรย์

    ต่อข้อถามถึงการมีอยู่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่ดู่ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่อธิบายอะไร หากเปรยขึ้นเพียงว่า

    “อ้อ ! เจ๊น่ะเหรอ”

    เจ๊ แปลว่า พี่สาว หลวงปู่ดู่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้ปรารถนาเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่าผู้ข้องอยู่ในความรู้ ผู้ประสงค์ความรู้แจ้ง คือการตรัสรู้นั่นเอง เมื่อทั้งสองท่านประสงค์ในเป้าหมายเดียวกัน การที่หลวงปู่เรียกพระแม่กวนอิมเชิงหยอกว่า เจ๊ อาจหมายได้ว่าองค์กวนอิมสร้างบารมีอยู่ก่อนท่าน เป็นผู้ปรารถนาจุดหมายเดียวกันหากลงมือบำเพ็ญก่อนหลังเท่านั้น ท่านเลยยกพระแม่กวนอิมเป็นพี่สาวในทางธรรม

    หลักอาวุโส-ภันเต

    ราวปี พ.ศ.2539 แม่ชีซูง้อ แซ่เอ็ง ศิษย์ในพระเดชพระคุณพระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้อาราธนาหลวงพ่อให้เดินทางไปโปรดโยมบิดา-มารดาและญาติมิตร ณ ประเทศสิงคโปร์ ทัวร์นั้นมีศิษย์ติดตามไปหลายคน

    ตอนหนึ่งของการเดินทางแม่ชีซูง้อได้พาหลวงพ่อจรัญไปชมรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 3 องค์ที่ชาวสิงคโปร์นับถือมาก ขณะเดินชมสถานที่ซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงามนั้น จู่ ๆ หลวงพ่อจรัญได้สั่งศิษย์ผู้ชายซึ่งถือย่ามท่านอยู่ให้เอาซองปัจจัยในย่ามของท่านทั้งหมดใส่ลงตู้รับบริจาคที่ตั้งอยู่ใกล้กับองค์เจ้าแม่กวนอิม และสั่งให้ศิษย์ที่ไปด้วยทั้งหมดลงมือทำบุญทันที กำชับอีกว่าทำบุญแล้วจงอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาอย่างสูงสุดในชีวิตเดี๋ยวนี้

    ทุกคนแม้งงกับเหตุการณ์แต่เชื่อหลวงพ่อนี่แน่นอนที่สุด จึงรีบควักปัจจัยหย่อนลงตู้บริจาคเป็นโกลาหล เมื่อทำบุญเสร็จและกลับมายังบ้านพัก ท่านเมตตาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายว่า ขณะที่ท่านยืนพิจารณารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่นั้น ได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่งลอยออกมาจากองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างชาวจีนซึ่งสวยงามมาก แสดงคารวะต่อท่านและยิ้มแย้มยินดี

    หลวงพ่อกำหนด เห็นหนอ ก็ทราบได้ทันทีว่าเทพธิดาองค์นี้เป็นเทพเจ้าระดับสูง มีบุญญาภินิหารมากนัก บำเพ็ญบารมีมาทาง สัจจะวาจา ทำให้เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ เมื่อให้พรใครย่อมเป็นไปตามนั้นทุกประการ ที่มารักษารูปจำลองเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เพราะรับบัญชาจากพระแม่กวนอิมโดยตรงเพื่อโปรดมนุษย์

    และขณะนั้นเทพเจ้าองค์นี้ก็ปรารถนาจะอำนวยพรแก่หลวงพ่อและชาวคณะ ท่านจึงรีบทำทานบารมีและสั่งคณะศิษย์ให้ทำตาม เพื่อสร้าง กรรมพัวพัน อันจะเปิดโอกาสให้พรที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจริงขึ้นมา เป็นมงคลแก่คณะศิษย์ที่ติดตามไปตลอดชีวิต

    สุดยอดไหมล่ะกับหลวงพ่อวัดอัมพวัน ?

    เรื่องเหล่านี้คือความจริงที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ นับว่าเป็นสิริแก่ตนอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีญาณรู้เห็นด้วยตน ชั้นชั่วแต่ได้ผู้ทรงญาณยืนยัน ผมก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ผมหายสงสัยได้ในเรื่องเจ้าแม่กวนอิม ไม่เพียงเพิ่มพูนศรัทธาในท่าน ยังเลื่อมใสไปถึงท่านผู้เมตตาแจ้งข่าวเหล่านั้นด้วย หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม และ ท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ

    ขอกราบขอบพระคุณครับ.
    ที่มา กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" • แสดงกระทู้ - พระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) มหาโพธิสัตว์ นิยายฤาเ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • deity05.jpg
      deity05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.4 KB
      เปิดดู:
      527
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2010
  15. la8coste

    la8coste เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +364
    ผู้ถาม : “[FONT=&quot]มีผู้ถามว่า ที่บ้านของลูกมีทุกอย่าง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพเทวะ อะไรต่างๆมีคนเขาบอกว่า ลองเอา เจ้าแม่กวนอิม ไปบูชาบ้าง จะทำให้เจริญรุ่งเรือง แล้วลูกก็เลยซื้อมา เมื่อนำมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตั้งตรงไหนดี จะตั้งกับพระพุทธก็เห็นว่าเป็นผู้หญิง จะซื้อโต๊ะใหม่สะตุ้งสตางค์ก็ไม่มี ขอให้หลวงพ่อช่วยชี้แนะวิธีตั้งสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ[/FONT]”

    [FONT=&quot]หลวงพ่อ [/FONT]: “[FONT=&quot]ไม่ต้องตั้ง...ห้อยก็ได้ ใช้ห้อยคอไว้...(หัวเราะ) ก็หาโต๊ะเล็กๆซิ ม้าเล็กๆ ถ้าตั้งโต๊ะพระพุทธรูป ก็ตั้งให้ต่ำกว่า ขั้นต่ำกว่าไม่เป็นไรนะ เพราะท่านกวนอิมจริงๆเดิมทีเป็น พระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้หญิง และต่อมานานๆเข้า ใกล้จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เอาแค่ใกล้นะ บารมีเริ่มเป็นปรมัตถบารมีก็ขอลาพุทธภูมิ เวลานี้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแล้ว[/FONT]”

    [FONT=&quot]ผู้ถาม [/FONT]: “[FONT=&quot]เจ้าแม่กวนอิมไม่ใช่พระศรีอาริย์หรือครับ[/FONT]?”

    [FONT=&quot]หลวงพ่อ [/FONT]: “[FONT=&quot]ไม่ใช่...คนละองค์ ไกลกันลิบลับ พระศรีอาริย์ท่านจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณอยู่แล้ว แต่เจ้าแม่กวนอิมนี่ยัง ความจริงก่อนนั้นฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไปพบกันจริงๆจึงรู้เรื่อง ไปควานหาประวัติตามหนังสือเอาแน่นอนไม่ได้ หาตัวไม่พบ[/FONT]”

    [FONT=&quot]ผู้ถาม [/FONT]: “[FONT=&quot]เอ...หลวงพ่อ อย่างงานเทศกาลไหว้พระจันทร์เอารูปเจ้าแม่กวนอิมมาไหว้ อยากจะทราบว่าองค์จริง ท่านจะมาหรือเปล่าครับ[/FONT]?”

    [FONT=&quot]หลวงพ่อ [/FONT]: “[FONT=&quot]ความเป็นทิพย์มี ถ้าเรานึกด้วยความเคารพก็ถึงทันที[/FONT]”

    [FONT=&quot]<O:p</O:p[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ถาม [/FONT]: “[FONT=&quot]ถ้าไหว้พร้อมกันทั่วโลกล่ะครับ[/FONT]?”

    [FONT=&quot]หลวงพ่อ [/FONT]: “[FONT=&quot]อย่าลืมว่าความเป็นทิพย์น่ะ ท่านจะไปพบกับคนได้ทุกคนในขณะเดียวกันทั่วโลก ทั้งภาษา ต่างกันใครต้องการอะไรก็ได้[/FONT]”

    [FONT=&quot]จากหนังสือ [/FONT]“[FONT=&quot]หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๗[/FONT]”
    [FONT=&quot]โดย พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี[/FONT][FONT=&quot]<O:p[/FONT]
     
  16. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    เรื่อง การที่พระมหาโพธิสัตว์หลายพระองค์

    มีครูบาอาจารย์หลายท่านบอกว่า องค์โน้น องค์นี้ไปนิพพานแล้วนั้น

    ก็ยังทำคลางแคลงใจให้หลายท่าน

    เพราะ 1. ศิษย์หลายคนยังพบเห็นท่านได้อยุ่
    2. พบแล้ว ยังคุยกันว่า ท่านไม่ได้เข้านิพพานทั้งแท่ง???

    ฯลฯ

    เช่น หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ( ภาษีเจริญ )

    ถ้าอธิบายด้วยวิชชาธรรมกาย

    จะง่ายที่จะเข้าใจกว่า

    คือ กายหลักมี 18 กาย

    แต่ละกาย แตกได้เป็นอนันต์

    บางองค์ มีกายอรหัตต์ หรือ การอรหัตต์ที่พิเศษตามบารมี แตกหรือพัฒนาเป็น
    กายจักรพรรดิ กาย ฯลฯ ซึ่งส่วนนี้ จะเชื่อมโยงกับ พระนิพพานเป็นหลักไว้
    เรียกว่า ยึดฐานที่มั่น อันเป็นเป้าหมายไว้ก่อน

    ส่วน กายต้นๆ ตั้งแต่มนุษย์กาย กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม ฯลฯ
    ก็ทำงานในภพสาม โปรดสัตว์ สร้างบารมีอยู่

    ถ้าครูอาจารย์ท่านอื่นไปนิพพาน ก็เห็นกายอรหัตต์ของท่าน

    บางท่านไปดุสิต เห็นเทวกาย ก็บอกว่า ท่านอยู่ดุสิต

    ก็เป็นเช่นนี้หละครับ



    เรื่องนี้ ฟังไว้ก่อนได้นะครับ ...แต่อย่าเพิ่งปรามาสเป็นมโนกรรม วจีกรรม

    ดีออก.... ไม่เสียกำลังใจด้วย ที่มีมหาโพธิสัตว์มากมาย

    ช่วยเหลือสรรพชีวิตแบบนี้


    วิสสัยแห่งพุทธภูมิ เป็นอจินไตย
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    พระโพธิสัตว์ เทพ เซียนทั้งหลาย

    ท่านก็มีธรรมกายของท่าน กายเทพ กายพรหมของท่าน ที่ยังคงอยู่ในภพสาม และ ภพพิเศษของท่าน ช่วยเหลือสรรพชีวิตอยู่เช่นกัน

    แต่ .... นิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยูตรงศูนย์กลางที่สุด นำสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ได้ถาวร

    เรื่องนอกคัมภีร์มีมากมาย

    สนุกกว่าอ่านตั้งเยอะ

    .........แต่พวกเรา พุทธศาสนิกชน ไม่ว่านิกายไหน มีแกนกลางร่วมกันคือ

    อริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นหนทางพ้นทุกข์
     
  18. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อีกไม่นาน คงจะได้รู้ความจริง ตอนนี้ก็เร่งปฏิบัติ ของตนเอง จะดีกว่า
     
  19. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +29,754
    หลวงปู่สด วัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ ) และ เหล่าพระมหาโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย
    ทั้งที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี และ ที่คนยังไม่รู้จักจำนวนมาก

    ทรงมีกายพิเศษอยู่กายหนึ่ง เรียกว่า กายมนุษย์พิเศษ มีอานุภาพ ถูกทำลาย
    ด้วยภัยดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ยาก มีกำลังมากกว่า กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม
    เมื่อเทียบกับ ผู้มีบารมีเทียบเท่าใกล้เคียงกัน

    กายนี้ จะคงอยู่ในภพสาม และ เข้าออกแดนโลกุตร ไปมา เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก

    บางท่าน มีอายุนานมาก ผ่านพระพุทธเจ้ามานับแสน นับล้าน พระองค์ ( ก็เอาจำนวน
    พระองค์คูณกับ อายุบารมีแต่ละพระองค์ก็แล้วกัน อย่างต่ำกี่อสงไขย กี่มหากัปป์ ว่ากันไป)

    พระธรรมมีหนึ่งเดียว แต่ความต่างคือ บารมีพิเศษของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แต่ละยุค สรรพสัตว์ที่มาเกิดยุคท่านจึงพิเศษต่างกันไปตามที่สร้างตามกันมา

    ดังนี้แล... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม จึง ยกให้ธรรม และวินัย ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว
    เป็นตัวแทนพระองค์ หลังจากที่กายเนื้อแตกทำลาย ดับขันธ์ปรินิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มีนาคม 2010
  20. เติมพลัง

    เติมพลัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +6
    南無觀世音菩薩
    วันนี้พอดีเลยครับ
    สาธุ~~
     

แชร์หน้านี้

Loading...