ถามเรื่องแผ่เมตตาครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เวลานาที, 4 มีนาคม 2010.

  1. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    บางที่คำแผ่เมตตาจะสั้นบ้างยาวบ้าง นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้ตัวเอง ให้พ่อแม่พี่น้อง ครูบาอาจรย์ เทวดา เปรต เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ นี่บทที่หลวงพ่อจรัญท่านสอนนะ อีกอัน บทแผ่เมตตาใหญ่ของแม่ชีทศพร ยาวมากเลยท่านให้แผ่เมตตาตอนนั่งสมาธิเสร็จ
    คำถาม
    :cool:เราแผ่เมตตาแล้วบุญเราจะหมดมั้ยครับเพราะผมยังรู้สึกว่าเรานั่งสมาธิแล้วบุญมันจะพอเหรอ บุญมันขนาดไหนกัน เราก็ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างท่าน ช่วยตอบหน่อยยังกลัวๆ
     
  2. thelastwizard

    thelastwizard Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +25
    บุญไม่หมดครับ เหมือนเวลาเราจุดเทียนในที่มืดมันก็สว่างขึ้นมา แล้วการแบ่งให้คนอื่นก็เหมือนการให้คนอื่นมาจุดเทียนต่อจากเรามันก็ยิ่งสว่างมากขึ้นถูกไหมครับ เพราะฉะนั้นบุญก็ก็เหมือนแสงเทียน ยิ่งให้ยิ่งมากขึ้นครับ
     
  3. s.orr

    s.orr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +327
    ใช่แล้วคับ
    บุญไม่ได้เพิ่ม
    แต่มีข้อดี

    คือเมื่อเค้าได้รับแล้ว
    เค้าจะคุ้มครองท่านผู้แผ่

    แล้วมันจะทำให้อมนุษย์ทั้งหลาย
    มีจิตใจเมตตาช่ายเหลือเอ็นดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2010
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    การแผ่เมตตาเป็นอารมณ์คิด ....

    เริ่มจากสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาสบายๆ สักสองสามที ....

    นึกถึงอารมณ์ความรู้สึกที่พระพุทธเจ้าเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นอารมณ์ต้น พอรู้สึกถึงอารมณ์เมตตาแล้วก็นึกถึง ว่าเราจะเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเชกเช่นพระองค์เมตตาต่อเรา ตอนนี้เราก็รู้จักกับอารมณ์เมตตาแล้ว ......

    ต่อไปก็ นึกถึงคนที่เรารัก เช่นพ่อแม่ บุตร ญาติ มิตร ที่เรารัก เด็กน้อยที่น่ารักหรือสัตว์เลี้ยงที่เราเอ็นดู จะเห็นถึงอารมณ์เมตตาที่ทรงตัวอยู่ ......

    เริ่มต้นน้อมระลึกถึงสายบุญ สายกุศล เช่นน้อมใจนึกถึงการตักบาตร การทำสังฆทนา การให้ การบริจาคและสละออก เพื่อรู้จักอารมณ์สุขจากบุญกุศลและเมตตาไม่มีประมาณแล้วก็น้อมนึกอารมณ์เหล่านี้ให้ล้นอิ่มแย้มออกมาจากใจ ที่เปิดออก แผ่ซ่านออก ....

    แล้วก็มาอธิษฐานจิตเข้าไปกับอารมณ์เหล่านั้น ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้สำเร็จประโยชน์สุข จากบุกุศลทั้งหลายนี้ มีความสุขกายสุขใจ แผ่ไปกับพร้อมกับความเมตตาอารมณ์เมตาอารมณ์สุข ที่เอ่อล้นจากใจ น้อมใจไปยังคนที่จิตเราระลึกถึงได้ง่ายก่อน เมื่ออารมณ์เริ่มทรงตัวก็ระลึกแผ่ออกไปตามคำที่จิตอธิษฐาน เช่นเจ้ากรรมนายเวร สัตว์ที่เสบยทุกข์ เสวยสุข เป็นต้น .....

    ลองทำดู ... สิ่งที่ได้แน่ๆคือคนที่แผ่ก็มีความสุขความเมตตาจิตที่แย้มออก สรรพสัตว์ทั้งหลายก็สัมผัสได้ถึงกระแสเมตตาจิตและสายกุศลผลบุญนี้เช่นกัน...

    ผมเองก็เพิ่งหัดทำแบบนี้ ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จากจิตที่มืดตื้อก็รู้สึกสว่างขึ้นมาบ้างเย็นกายเย็นใจชุ่มชื่นขึ้นบ้าง ก็ลองมาแนะนำกันดูเผื่อนำไปปรับใช้กับท่านได้บ้าง .....

    รู้สึกสัมผัสกับใจตัวเองว่าไม่มีสิ่งใดหมดหรือลดลงมีแต่สิ่งที่ได้มากเพิ่มมาก ทั้งความสงบเย็น ความสุขที่เพิ่มขึ้นทันที อารมณ์เมตตา กุศล มันสุขทั้งกับตัวเองและผู้อื่นได้จริง ....
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ยิ่งให้ยิ่งได้
    เมตตาเปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ ที่ไม่มีวันหมด
    ยิ่งมอบแสงสว่าง ความสุข ความชุ่มเย็นให้กับผู้อื่นมากเท่าไหร่
    แสงสว่าง ความสุข ความชุ่มเย็นของเราเองก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,470
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ยิ่งเเผ่ บุญเรายิ่งเพิ่มครับ เหมือนไปต่อไฟให้คนอื่นต่อๆไปเรื่อยๆครับ เป็นบารมีทางด้านเมตตาบารมีครับ อนุโมทนาครับ ยิ่งเราเเผ่ได้มากเท่าไหร่โดยเฉพาะเเผ่เเบบไม่เจาะจง ให้ทุกคนในโลกไปเลย ทุกสรรพสิ่ง จะยิ่งดีกับตัวเราครับ เพราะเราจะไม่อยากคิดเเข่งกับคนอื่นอีกต่อไป ไม่อิจฉาใครอีกต่อไป มองทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกหมดครับ
     
  7. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    จิตนี้ มีอัตตาเป็นตัวฉุดรั้งให้มีความคับแคบ เห็นแก่ตัวด้วยความตามใจกิเลสที่ทับถม
    การแผ่เมตตาโดยไม่จำกัด เป็นการทำให้จิตเป็นอัปมัญญาอย่างหนึ่ง
    คือทำให้เป็นผู้มีจิตใหญ่ แผ่กว้างออกไป ไม่มีประมาณ

    002987 - ??Ҡ- ?Ø?Ҡ- ??ԵҠ- ͘ມ?Ҡ[?Ë?ԋ҃ ?Р͑?????Ҡ?t;/a>

    พรหมวิหาร 4 อัปมัญญา 4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2010
  8. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    การแผ่เมตตา เป็นการทำบุญเพิ่ม เรียกว่าเมตตาภาวนา

    ทำจนได้ฌานก็ได้
    หลวงพ่อจรัญท่านเรียกเมตตาใหญ่
    ทางสายวัดป่าเรียกเมตตาหลวง
    คำแผ่เหมือนกันต่างกันบ้างในการรวบคำจะสั้นกว่า
     
  9. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    แผ่ให้ตัวเองก่อน เมตตาตนเองให้มาก

    หากตัวเราเองยังไม่เมตตาตนเองแล้วจะเมตตาคนอื่นได้อย่างไร

    ถึงปากจะบอก ปากจะสวด แต่ใจมันไม่ไป หรือ ไปไม่มากครับ
     
  10. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้า แผ่เมตตาแล้ว เกิดระลึกขึ้นได้ว่า เอ...นี่เราให้เขาไปมากๆ แล้วเราจะเหลือไหม !?

    แบบนี้ ยิ่งทำ ยิ่งหมดครับ

    ยิ่งแผ่เมตตาแบบนี้เท่าไหร่ เราจะยิ่งหมดบุญ หมดกุศล หมดทางเห็นธรรมไปด้วย

    เพราะ .....................

    เราทำด้วยใจที่โลภ อยากได้บุญ แผ่เมตตาออกไป แต่ก็รู้สึกว่า เราไม้ได้บุญ
    จากเขา หรือใครๆ เหล่านั้นกลับคืนมา ทำให้พลอยคิดไปว่า เราไม่ได้บุญอะไร
    เลย ยิ่งทำยิ่งหมด พวกเขาไม่เห็นมาตอบแทนอะไรเราเลย

    อย่าไปแผ่เมตตาแบบนั้นครับ ให้วางอารมณ์ลงเป็นเพียงเห็นความเป็นเพื่อน
    เห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อน เห็นสรรพสัตว์เป็นเพียงมิตรร่วมโลก ต้องกิน ต้อง
    ยื้อแย่งกัน ต้องดิ้นรนกัน ต้องขวนขวายแสวงหาหนทางหยุดการดิ้นรน เหมือนกันหมด

    เมื่อวางอารมณ์แบบนีได้ เราจะไม่ หวงบุญก่อนเก่าที่เรามีอยู่จะหมดไป และ
    เราก็จะไม่ ห่วงว่าใครจะมาตอบแทนอะไรให้เราตอนไหน เพราะเล็งเห็นไปว่า
    ต่างคนต่างก็ทุกข์ ดิ้นรนเอาตัวรอดกันก่อนทั้งนั้น พอมองมาแบบนี้เราจะเข้า
    ใจความเป็นเพื่อนสัตว์ที่ตกอยู่ในข่ายสังสารวัฏ เราจะไม่ตำหนิทีบางที่เขา
    ก็ไม่ได้ให้อะไรเรา บางทีเขาก็มาตักตวงเอาจากเรา บางทีเราก็มุ่งจะเอาของ
    เขา บางทีเราก็ไปหวงกั้นไม่ให้เขาเข้าถึงสิ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของได้จริง

    เราจะค่อยๆเกิดความเข้าใจ เราแผ่เมตตา เพื่อแสดงความเป็นมิตร ไมตรีแก่
    สรรพสัตว์...อย่างไร...เพื่ออะไร...และ....ด้วยอาการใด

    ไม่ใช่เพื่อให้เราได้อะไรมา ไม่ใช่เพื่อให้เราคงอะไรไว้ แต่เพื่อให้เราพร้อม
    อ่อนโยน เสียสละได้ในยามที่เขาร้อนรน ต้องการ กระหาย

    ถ้าเดินกรรมฐานเมตตาอารมณ์เข้มขึ้น อย่าว่าแต่ของเล็กๆน้อยๆ หรือ เพียง
    แค่รอยยิ้มจากจิตใจใสๆของเราเล็กๆน้อย ต่อให้เราต้องอด ต้องย่ำแย่หาก
    ต้องสละสิ่งของใดๆไป สละบุญของเราไป สละวาสนาของเราไป เพื่อให้เขา
    ได้เข้าถึงก่อน แม้เราจะต้องตายลงไปเพราะการอดนั้น เราก็ทำได้ ด้วยจิตที่
    มีไมตรีเต็มเปี่ยม เราจะไม่มานั่งห่วงหวงหรอกครับว่า อะไรจะหมดไปจากเรา

    ***** อย่าลืมว่า นอกจาเมตตาแล้ว ยังมี กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา ให้
    ทำความเข้าใจ น้อมนำมาเดินจริยา ประพฤติปฏิบัติ เข้าถึงอารมณ์ที่ถูกต้อง
    ต่ออยู่อีกนะครับ หากเดินไม่ครบสี่เสา ก็จะไม่ถือว่าเดิน พรหมวิหารถูกต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2010
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ขอถามนำแทนไปอีกคำถามละกาน

    อีกคำถามคือ เราจะมีบุญเหลือเฝือไหม หากแม่เมตตาไปมากๆ

    * * * *

    ถามเอง ตอบเอง

    ถ้า แผ่เมตตาแล้ว เกิดระลึกขึ้นได้ว่า เอ...นี่เราให้เขาไปมากๆ แล้วเราจะเหลือเฝือไหม !?

    แบบนี้ ยิ่งทำ ยิ่งเหลือเฝือครับ

    ยิ่งแผ่เมตตาแบบนี้เท่าไหร่ เราจะยิ่งมีบุญเหลือเฝือ มีกุศลเผื่ออนาคต อันเป็นความฝุ้ง
    ซ่านอย่างหนึ่ง ก็ทำให้หมดทางเห็นธรรมได้ด้วยเช่นกัน

    เพราะ .....................

    แท้จริงแล้ว หัวใจของการปฏิบัติ หัวใจของศาสนาอยู่ที่
    1. ไม่ทำบาปทั้งปวง
    2. ยังกุศลให้ถึงพร้อม
    3. ทำจิตให้ผ่องแผ้ว

    1. ไม่ทำบาปทั้งปวง อันนี้ก็หมายถึง ความห่วงและหวงใดๆที่ชักนำให้เรามีจิต
    หมอง เศร้า โศกา ปริเวทนา พิร่ำพิไร ลังเล เอาแต่สงสัย เราก็รู้ทันถึงอาการ
    เศร้าหมองเหล่านั้นว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราจึงแผ่เมตตาเพื่อให้รู้
    รสของความลังเล สงสัย ห่วงหวงในเรื่องที่ไม่ควรไปห่วงหวง (เพราะความรัก
    ในสิ่งใดๆ จะนำทุกข์มาให้)

    2. ยังกุศลให้ถึงพร้อม อันนี้ก็หมายถึง สละออก จาคะออก ให้ทานเขา ด้วยวัตถุ
    กำลังก็ดี ด้วยแรงใจก็ดี ทำไปแต่พอดี ให้จิตมันไม่กลับไปห่วงและหวง ให้จิต
    ไม่โดนครอบงำด้วยเรื่อง เศร้า โศก ปริเวทนา พิร่ำพิไร ลังเล สงสัย

    ถึงอาการเศร้าหมองจะปรากฏ แต่ทำลายความตั้งมั่นในการรู้ทันไม่ได้ กล่าวคือแม้
    ความเศร้าหมองกรีทาทัพเข้ามาห้อมล้อมจิตเรา เราก็ถึงพร้อมที่จะสละ สลัด
    เพื่อความถึงพร้อมในการทำจิตให้มีข้างกุศลเสมอ เราจึงแผ่เมตตาแต่พอดี พอ
    แก่การกลับมาทำให้จิตเกษม ตั้งมั่น ในเวลาที่เกิดทุกข์เท่านั้น

    ทำแต่เฉพาะหน้าไม่ต้องทำเผื่อไปนู้น ไปล้านปี ไปอสงไขย หากเราแผ่เมตตา
    มากๆ กะว่า วันข้างหน้าจะไม่เจออุปสรรค ไปทำเผืออนาคต นี่ค่อนไปทางทำ
    เหลือเฝือ ซึ่งจะต้องเล็งให้เห็นว่า ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอหลอก หากเรายังวนเวียน
    ในสังสารวัฏ ภพชาติมันก็ต่อออกไปไม่จบสิ้น แผ่เมตตาไปมากเท่าไหร่ ก็ไม่พอ

    แต่ถ้าเรามองว่าเอาแต่ให้จิตปัจจุบันไม่โดนห้อมล้อมด้วยเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง
    แค่นี้ เราก็จะทำเมตตาแต่พอดี ทำกรุณาแต่พอดี ทำมุทิตาแต่พอดี ทำอุเบกขาแต่
    พอดี พอแก่การพร้อมยังจิตและกายให้มีสภาวะเกิดกุศลลงเป็นปัจจุบัน พอแล้ว

    3. ทำจิตให้ผ่องแผ้ว อันนี้ ก็คือ การที่เรามีจิตที่ตั้งมั่น อยู่ในวง มีขอบเขตที่พอ
    แลเห็น พอให้ระลึก ไม่ล่วงไปในอดีต และไม่เกินไปในอนาคต มีแต่บริเวณปัจจุบัน
    ขณะที่แคบๆ พอขอบเขตของใจที่แลอยู่ให้มีกุศลมันสั้นๆ เจ้าความห่วงหวงหรือกิเลสหรือ
    รักโลภโกรธหลงมันจะดิ้นรนแสดงตัวอยู่ในขอบข่ายแคบๆ มันหมุนติ้วๆ ให้ดูให้แล
    ไม่โยงใยออกไปไกล ไม่ไปในอนาคต ไม่ย้อนไปในอดีต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นเป็นพื้น
    ที่แลเห็น

    มันก็จะเป็นจุดเป็นต่อมที่กิเลสมันแสดงตัวอยู่ มันก็ง่ายหละหากจะพิจารณาให้เห็นโทษ
    สลัดติ่งสลัดก้อนกิเลสนั้นออกไป แล้วออกไปทีมันก็ออกไปเป็นกะบิ เพราะ มันเข้มข้น
    แม้พื้นที่ปัจจุบันขณะมันเล็กๆ ไม่ใหญ่ไปในอนาคตและอดีต มันเล็กแต่อัดแน่น พอ
    โยนออกไป สลัดตรงนี้ออกไปนิดเดียว จิตจะมันผ่องแผ้วขึ้นเป็นกองเลย ความห่วงหวง
    อะไรต่อมีอะไรที่จะนำทุกข์มาให้มันจะหายไปบานเลย

    เพียงแค่เราหมั่น แผ่เมตตาเพื่อให้รู้จิตแบบไหนกุศล แผ่จิตแบบไหนเป็นอกุศล แล้ว
    ก็ตั้งมั่นไว้ในส่วนกุศล ให้แคบเฉพาะปัจจุบันขณะ แล้วดำริ หาอุบายเจริญปัญญา นำ
    กะบิอกุศลที่แลเห็นอยู่ รู้อยู่ว่ามีในตน เพราะอุปทานสะสมมานาน นั้นออกไป


    แผ่เมตตาแบบนี้ ก็จะยิ่งมีบุญ แต่ก็ไม่เหลือเฝือเกินความจำเป็น แล้วสุดท้าย
    ก็กลายเป็นนาบุญอีกต่างหาก ถ้าละบาปทั้งปวงได้ มีกุศลถึงพร้อม และผ่องออกแผ้ว
    ถางได้อย่างถึงที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2010
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ไม่มีหมดมีแต่เพิ่ม การทำจิตให้มีเมตตาก็เป็นกุศลเมื่อเป็นกุศลก็ย่อมเป็นบุญเมื่อเป็นบุญจิตจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีหมด คำว่า ปฏิบัติไม่ได้จำกัดว่าต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว ต้องสวดมนต์สาธยายมนต์อย่างเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้จิตใจสงบสบาย ทั้งตนเองและผู้อื่น ล้วนเป็นกุศลทั้งสิ้น การให้ และ การสละ จึงมาคู่กัน คือ การให้ความสุขผู้อื่น ให้ทานผู้อื่น ละหรือสละความตะหนี่ในตน ละหรือสละความทุกข์ในตน บุญที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่มีวันหมดหากทำเช่นนี้ได้ เพราะเหตุทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธานทั้งสิ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...