นิพพานในทัศนคติของท่านเป็นอย่างไร ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mr.Boy_jakkrit, 15 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    โปรดให้นิยาม ความหมาย และความเข้าใจ ของท่านด้วยว่า " นิพพาน" คืออะไร

    กรุณาใช้เหตุผลและวิจารณญาณตลอดจนสำรวมกาย วาจา ใจ ในการตอบด้วยนะครับ
    หากมีการตอบแบบโท่งๆ หรือไปอ่านมาตอบ หรือได้ยินได้ฟังมาตอบ ก็ขอให้บอกแหล่งที่มา อย่างน้อยหากจำไม่ได้ก็บอกว่าได้ยินมาว่า..ฯล ทำนองนี้ด้วยนะครับ


    ความคิดเห็นเป็นการตอบสนองของผู้ถาม มิใช่ว่าจะต้องเป๊ะๆๆ ในที่นี้เราไม่เอาแค่ถูกและผิด เราเพียงอยากได้ฟังความคิดเห็นของท่านทั้งหลายเฉยๆครับ

    สาธุครับ
     
  2. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ไม่ทราบครับยังไม่เคยไป
     
  3. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    เห็นในทัศนะของผมว่าเป็นสุขครับ
    เมื่อไม่ต้องขวรขวายย่อมเป็นสุขเมื่อไม่ต้องดิ้รนย่อมเป็นสุข
    เมื่อได้หยุดพักจากการกระทำย่อมเป็นสุขเหมือนกระทำสิ่งใดๆๆอยู่ตลอดเวลาด้วยความดิ้นรนและคับแค้น เมื่อได้พักได้ผ่อนคลายไม่ต้องกระทำอีกจึงเป็นสุข
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
  5. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    นิพพานที่ผมเข้าใจมี 2 อย่าง คือ
    นิพพานดิบ(ครั้งแรก) คือ การสิ้นไปของ ราคะ โทสะ โมหะ
    นิพพานสุก(เข้านิพพาน) นึกไม่ออกเหมือนกันครับ คิดจนปวดหัวแล้ว
     
  6. ทาสสถาน

    ทาสสถาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +8
    พุทธทาส:-สำหรับสัตว์เดียรฉาน ก็คือสัตว์เดียรฉานที่ไม่มีความร้อน ความร้อนของสัตว์เดียรฉานก็คือความร้ายกาจที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าความร้อน ถ้าสัตว์เดียรฉานนั้นได้รับการฝึกดี จนเป็นสัตว์ที่ดีไม่มีอันตรายอีกต่อไป หมดพยศร้ายแล้ว เช่น ช้างป่า วัวป่า ที่เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายแล้ว ก็เรียกว่ามัน นิพพาน

    นิพพานในชีวิตประจำวัน

    พุทธทาส:-สัตว์ป่าจับมาจากในป่า เช่นควายป่า ช้างป่า อะไรป่านี่ มันดุร้ายเหลือประมาณ อันตรายเหลือประมาณ; เขาเอามาเข้าคอกเข้าที่ บังคับฝึกหัดไปจนสัตว์เหล่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว จนช้างป่านั้นเชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้; อย่างนี้ก็เรียกว่า มันนิพพาน

    นิพพานสำหรับทุกคน

    พุทธทาส:-แม้คนโง่ไม่รู้จักพระนิพพานเอาเสียเลย เขาก็ยังลงไปกินไปอาบในสระแห่งนิพพานนั้นได้โดยไม่รู้สึกตัว ข้อนี้ก็เพราะว่า พระนิพพานเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในที่ทั่วไป

    นิพพานสำหรับทุกคน
    catt1
     
  7. WishingCrystalTiger

    WishingCrystalTiger Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +49
    ใช่บรรลุได้ในขณะฌานไหนก็ได้ แต่บรรลุแค่พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเท่านั้น ส่วนพระอานาคามี กับพระอรหันต์นั้น ต้องได้ฌาน ๔ ​

    เช่น อานาปานบรรพ์ ลมหายใจเข้ายาวหรือสั้นก็รู้อยู่เป็นฌาน ๑ แต่จะบรรลุพระนิพพาน จะต้องเป็นฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ คือจิตกับกายมันแยกออกจากกัน ตอนนี้จิตจะเหมาะแก่การงานแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาลงไปที่ไตรลักษณ์ก็จะบรรลุอรหันตผล อันนี้เรียกว่าบรรลุในฌานที่ ๑ เป็นต้น ​

    ถ้าในจิตตานุปัสสนา เช่น โทสะเกิดขึ้น ถ้าจะให้บรรลุอรหันตผล ก็ต้องเข้าฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ ให้จิตแยกออกจากความโกรธ ตอนนี้จิตจะเหมาะแก่การงานแล้ว ก็ใช้ปัญญาพิจารณาลงไปที่ไตรลักษณ์ก็จะบรรลุอรหันตผล​

    สรูปก็คือว่า พระอรหันต์ต้องได้ฌาน ๔ ทุกคนเพราะต้องทำจิตให้เหมาะแก่การงานเสียก่อนจึงจะใช้ปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ได้


    :cool:
    ลองดูตัวอย่างการปฎิบัติธรรมจริงว่าทำไมถึงต้องได้ฌาน ๔

    ถอดจิตจากอารมณ์พระโสดาบัน พิจารณากายในกาย
    ตอนนี้รักษาศีล ๕ เป็นปกติดีมาก แบบว่ายุงกัดไม่มีเผลอตบ บ้าศีลว่างั้นนะ กลัวบาปสุดๆ นึกถึงตอนเด็กๆที่ไปยิงนกตกปลาแล้วเสียว ทำบาปมาเยอะแยะตาแป๊ะโหล ทำสมาธิจับลมหาบใจเข้าออกภาวนาพุทโธ เหมือนกับว่าเคยชินมาแต่ก่อน ผมหายใจออกคิดว่าลมหายใจออกทางรูขุมขนทั่วร่างกาย คือทำความรู้สึกไปทั่วกาย จะรู้สึกว่าคล้ายตัวชาแต่ไม่ใช่ กายจะค่อยๆเบาเร็วกว่าทำด้วยวิธีอื่น คือตั้งจิตไว้ที่กาย หรือเรียกว่าตั้งกายไว้ที่จิตก็ได้ ถ้าพูดในหัวข้อกสิณ ก็เอากายเป็นกสิณ ถ้าพูดในหัวข้อสมาธิก็เป็นพุทธานุสติบวกกับกายานุสติกรรมฐาน ถ้าพูดในหัวข้อมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นกายานุปัสสนารวมเลยอย่างนั้น พอกายเบาใจเบา ก็โดนผีหลอก ตกใจกลัวสุดขีดที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเป็นมา ตัดตายยอมตายคิดว่าถ้าตายตอนนี้จะขอไปอยู่พระนิพพานที่เดียว พร้อมกับคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนหัว ภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆๆๆ จิตกายทิพย์ก็กระเด็นออกไปจากร่างกาย อันนี้เป็นฌาน ๔ ละเอียด เหมือนคนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างไป เห็นร่างกายตัวเอง แต่ยังกลัวตายอยู่พอเป็นห่วงร่างกายจิตกายทิพย์ก็วูปกลับเข้าร่างกายตามเดิม เวลานี้จิตยอมรับนับถือความเป็นจริงเลยคือ ร่างกายไม่ใช่ของเรา มันตัดเลย เพราะเห็นชัดๆ จิตกับกายมันคนละตัวกัน มิน่าล่ะ หลวงพ่อถีงบอกว่า ฌาน ๔ นี่กำลังเหมือนกำลังช้าง ปัญญามันเห็นแจ้งเองโดยอัตโนมัติ อย่างนี้ตายแล้วไม่มีสูญแน่นอน ฟันธง!
    ถอดจิตจากอารมณ์พระโสดาบัน พิจารณาเวทนาในเวทนา
    มาตอนนี้เวลาทำสมาธิจิตจะละเอียดขึ้นไปเองโดยไม่รู้ตัว คือชอบนอนตัดตายไปเลย พอจัดท่าจัดทางเสร็จสรรพ์เรียบร้อย ผมก็จะนอนในท่าที่สบายที่สุด ปล่อยกายไม่บังคับร่างกาย เหมือนนอนดูซากศพตัวเองอย่างนั้น แล้วก็ดูลมหายใจเข้าออกในกายานุปัสสนา ไม่ใช่ อานาปานุสติกรรมฐานนะ คือมันคล้ายๆกัน จะต่างกันที่อานาปานุสติกรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ นั้นจะใช้วิธีบังคับลมหายใจกำหนดฐาน แต่อานาปานบรรพ์ในมหาสติปัฏฐาน ๔ จะไม่บังคับลมหายใจ ต้องได้ฌาน ๔ หยาบแล้วนั่นเอง จึงจะมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ จิตกับลมหายใจต้องแยกออกจากกัน คือ แยกจิตตัวรู้ออกมาดูอยู่เฉยๆ ลมหายใจเข้าออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ ผมแยกจิตทำความรู้สึกไปทั่วกายด้วย บางครั้งสมาธิสติดี ตัวก็เบาใจก็เบา แต่ตอนนี้จะพูดถึงช่วงที่สมาธิไม่ดี พอเรานอนตัดตายคิดว่าถ้าตายตอนนี้ก็ขอไปอยู่พระนิพพานทีเดียวไม่ขอกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เบื่อสุดๆ พอจิตเข้าฌานสูงๆไม่ได้ ร่างกายมันก็ปวดเมื่อย ก็ดูทุกขเวทนาไปเรื่อย ครั้งนี้จิตแก่กล้าคิดว่าตายเป็นตายไม่ยอมเลิก ร่างกายก็ได้รับความเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหวแล้วไม่ไหวอีก พิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา คือท่องไปไง ทุกขเวทนาที่เจ็บปวดจนทนไม่ไหวอยู่นี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา อยู่ๆจิตก็ตกวูปตัวเบาไปหมดเห็นได้รอบทิศ ๓๖๐ องศา ก็เจอผีอีก ก็กลัวสุดขีดอีกภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนหัว จิตกายทิพย์ก็กระเด็นออกไปจากร่างกาย ด้วยฌาน ๔ ละเอียด เหมือนคนตายอย่างนั้น
    ถอดจิตจากอารมณ์พระอานาคามีขั้นต่ำ พิจารณาจิตในจิต
    ถึงตรงนี้ก็ถือศีล ๘ อยู่ ใหม่ๆต้องทนต่ออารมณ์กามคุณเป็นอย่างมาก เวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมา ผมก็ใช้วิธีนอนตัดตายดูร่างกายตัวเอง ไม่บังคับใดๆทั้งสิ้น นอนดูอารมณ์กามคุณที่เกิดขึ้น คิดในใจว่าจะเอายังไงดีวะ ศีลขาดนะโว๊ย! ก็ได้แต่แยกจิตตัวรู้ออกจากจิตที่มีราคะอย่างมากมายมหาศาล มากกว่าธรรมดาๆที่เคยเป็น เพราะต้องฝืนทนกับมัน คิดว่าให้มันตายกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่นานนักอารมณ์ราคะก็แปรเปลี่ยนไปเอง เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ใช่ไหม ตอนนี้พิจารณาว่า ความกำหนัดนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน แต่เบาๆไปหนักที่ศีล ๘ คือไม่ยอมให้ศีลขาด หมายความว่า ใช้ศีลตัดกิเลสข่มกิเลสเป็นตัวนำนั่นเอง ยิ่งตอนที่บวชอยู่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พอโดนผีผู้หญิงหลอกแก้ผ้าเข้ามากอดเลย ผมก็ทำเหมือนเดิม คือ แยกจิตออกจากกาย คิดว่าเราไม่ผิดศีลเพราะเราไม่มีเจตนา เราไม่ยินดีในกามคุณ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา จิตที่มีราคะนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วก็ภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จิตก็หลุดออกไปอยู่บนหัวตัวเอง อยู่นอกร่างกายนะ แบบคนตาย แต่คราวนี้มีแต่จิตตัวรู้ ไม่มีกายทิพย์เหมือนที่เคยออกไป คิดว่าร่างกายมึงไม่ใช่กู กูก็ไม่ใช่มึง ร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา เราคือจิตผู้รู้ มันวิเศษจริงๆว่าเราสามารถวัดความรู้สึกตัดอารมณ์ได้ เหมือนกับมีเครื่องมือตรวจสอบให้มีความมั่นใจอย่างชัดเจน เพราะเห็นของจริง ไม่เหมือนเวลาที่เราท่องจำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนของเราใช่ไหม เรื่องราคะจะเจอมากเป็นพิเศษ ถ้ามีเวลาจะเล่าให้อ่านกันในโอกาศต่อไป

    ถอดจิตจากอารมณ์พระอรหันต์ พิจารณาธรรมในธรรม
    วันนี่ยังไม่ได้ทำสมาธิอะไร นอนอ่านหนังสือคิดอะไรเพลินไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าเราก็ปฏิบัติมาก็มากแล้ว ตัดขันธ์ ๕ มาก็มากต่อมาก เจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาก็เยอะแยะ ถึงกับมีความรู้สึกว่าบรรลุพระนิพพานแล้วๆๆๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่รู้กี่ทีต่อกี่ที แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีญาณหยั่งรู้ว่าบรรลุพระนิพพานจริงๆเลย ได้แต่เทียบเคียงกับสังโยชน์ ๑๐ คิดว่าน่าจะบรรลุถึงตรงนี้ถึงตรงนั้นเท่านั้นเอง ครั้งก่อนตอนจิตหลุดออกไปจากร่างกาย เราก็ตัดได้เด็ดขาดกระจุยแล้วนี่ เราคือจิตผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ผู้รู้นี้แหละที่จะไปพระนิพพาน ก็รู้สึกว่ามั่นใจเหมือนกันว่าตอนตายเราไปนิพพานแน่นอน มันไม่ติดอะไรเลยนี่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดทั้งสิ้น เรา คือจิตผู้รู้ นอกนั้นไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งนั้น ก็พิจารณาขันธ์ ๕ ถึงตอนท้ายมหาสติปัฏฐาน ๔ ที่ว่าก็หรือ สติมีเฉพาะหน้าแก่เธอนั้นก็สักแต่ว่าเป็นที่รู้ที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วยไม่ติดในอะไรๆในโลกด้วย แล้วก็เข้าฌาน ๔ หยาบใช้งานในวิญญาณัญจายตนฌาน ซ้อนฌาน ๑ คิดว่าจิตตัวรู้อยู่นี้ มันเป็นวิญญาณ ความรู้สึกของใจนี่หว่า ในเมื่อเป็นวิญญาณความรู้สึกก็หมายความว่า มันต้องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนของเรา อ๋อ! ใช่เระ! เพราะเราอาศัยขันธ์ ๕ ของเราเองนี่แหละ รู้ตัวของตัวเองว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็น้อมองค์พระพุทธเจ้าเข้ามาหากาย แล้วแยกจิตของเราออก เหมือนน้ำกับน้ำมันที่อยู่ในแก้วเดียวกัน ก็สว่างไสวไปทั้งจักรวาล ที่แท้แม้จิตผู้รู้นี้ก็เป็นวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ ตัวหนึ่งนั่นเอง ที่เรียกว่า กายพระอรหันต์ นั่นแหละ! จิตที่เข้าใจขันธ์ ๕ จนหมดเปลือกก็ คือ จิตของพระอรหันต์ หรือเรียกว่า กายพระอรหันต์ หรือจะเรียกว่าธรรมกาย หรือจะเรียกว่าอารมณ์พระนิพพานก็ได้

    ถอดจิตออกจากความโกรธ
    แรกตอนเริ่มปฏิบัติธรรมตามสมควรนั้น เวลาความโกรมเกิดขึ้นก็จะลืมตัวเสียเป็นส่วนใหญ่ มารู้ตัวว่าโกรธเวลาก็ผ่านไปเป็นวัน ด้วยผลบุญจากการรู้ตัวนี้ จิตก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นชั่วโมง นาที และแค่วินาที ตามลำดับ คล้ายกับเวลาที่เรารักษาศีลยังไงอย่างนั้น สุดท้ายก็สามารถระงับจิตรู้ทันไม่เผลอไปตบยุง เป็นต้น พอสามารถระงับความโกรธได้ทันทีทันใด ก็คิดว่าเราบรรลุพระนิพพานแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งความคิดมันขัดกันเอง เมื่อขณะพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา งั้น! ความไม่โกรธตัวนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราน่ะสิ! ปกติเราก็ไม่ได้มีความโกรธตลอดเวลาอยู่แล้ว ไปดูในจิตตานุปัสสนา ที่ว่า จิตมีความโกรธก็รู้อยู่ จิตไม่มีความโกรธก็รู้อยู่ว่าจิตของเรามีความโกรธ หรือไม่มีความโกรธ ทั้ง ๒ ตัวนี้มันไม่เที่ยงย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็เป็นอนัตตา ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา แต่พิจารณาไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่าจะบรรลุพระนิพพานเลย อย่างมากก็แค่รู้ทันความโกรธและความไม่โกรธเท่านั้นเอง แต่ก็ยังดีที่ไม่สร้างความเสียหายเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เพราะสามารถระงับได้ทันท่วงที ต่อมาก็คิดว่าในเมื่อร่างกายของเรานี้ มันสกปรกเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองต่างๆนานาไม่ใช่ตัวตนของเราซะหน่อย ใยเลยเราถึงจะมาทำให้ร่างกายสอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอีกเล่า ที่ผ่านมาแสดงว่าปัญญาของเรานี้ยังไม่คมพอที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ จีงเข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน ถอดจิตที่ประกอบไปด้วยสติระลึกรู้ สมาธิฌาน ๔ ออกจากร่างกาย และความโกรธ ถอยจิตลงมาที่ฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ พิจารณาว่าความโกรธไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็เกิดปัญญาญาณสว่างไสวไปทั้งจักรวาล ว่าความโกรธตัวนี้มันอยู่กับร่างกายขันธ์ ๕ มันไม่หายไปจากขันธ์ ๕ ตัวนี้หรอก แต่เราพยายามจะทำให้ความโกรธให้มันหมดไปจากขันธ์ ๕ พยายามจะทำให้ขันธ์ ๕ บริสุทธิ์ผุดผ่องนี่เอง ถึงไม่รู้แจ้งพระนิพพานเสียที ปัญญาที่คมกริบมิใช่ปัญญาของมนุษย์แม้จะฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในทางโลก ก็ไม่มีทางจะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ปัญญายังไม่คมพอที่จะบรรลุซึ่งพระนิพพานได้นั่นเอง เพราะฌาน ๔ นี่เอง ที่เป็นประตูไปสู่ปัญญาอันคมกริบที่ทำให้สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ ถ้าไม่มีฌาน ๔ ถ้าไม่สามารถถอดจิตออกจากความโกรธ ก็จะไม่มีทางจะตัดความโกรธได้เลย อย่างมากก็แค่ระงับความโกรธเพื่อไม่ให้ทำความชั่วเท่านั้นเอง เมื่อจิตเปลี่ยนไปเป็นความไม่โกรธ ก็คิดว่าขันธ์ ๕ เราบริสุทธิ์แล้ว ที่แท้ความไม่โกรธตัวนี้มันเป็นโมหะ ความหลงนั่นเอง ก็เข้าฌาน ๔ ออกจากความไม่โกรธอีกที แล้วถอยลงมาที่ฌาน ๔ หยาบใช้งาน ซ้อนฌานที่ ๑ พิจารณาว่าแม้ความไม่โกรธนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา ถึงตรงนี้ คิดว่าเราบรรลุพระอรหันต์แล้วๆๆๆ เพราะเราสามารถถอดจิตผู้รู้
    จิตหลุดออกไปจากความยินดีดีใจสุดขีด
    เดือนก่อนโน้นผมถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ ๕ บอกตรงๆว่าไม่เคยถูกรางวัลใหญ่มาก่อนเลยในชีวิต ทำให้ดีใจสุดๆจนลืมตัวไปเลย อยู่ๆจิตก็หลุดออกไปจากกาย และความยินดีที่สุดในชีวิต จิตอยู่ในฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ คิดว่าโอหนอ! ความยินดีนี่มันช่างร้ายเหลือคณานับจริงๆ แม้ความโกรธก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะความโกรธเห็นง่ายกว่าความไม่โกรธ ความไม่โกรธเห็นง่ายกว่าความยินดีปรีดา ที่แท้ความยินดีดีใจสุดๆที่สุดในชีวิตนี้มันก็เป็นขันธ์ ๕ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย ที่ถูกรางวัลมันเป็นเพียงผลบุญผลกรรมที่เราสร้างไว้เมื่อชาติก่อนๆโน้นมาสนองแก่เราในเวลานี้ก็เท่านั้นเอง
    โดนผีอำกดหน้าอกจนขาดใจตาย
    วันนั้นจำได้ว่านอนครึ่งหลับครึ่งตื่น โดนผีอำ เอา ๒ มือกดหน้าอกผม เป็นผีผู้หญิง ผมขยับตัวไม่ได้เลย แปลกถูกกดหน้าอกแค่นี้อารมณ์มันทนไม่ได้ทนไม่ไหว จะขาดใจตายให้ได้ พอตั้งท่าได้ก็เข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน แยกจิตออกจากกายออกจากความรู้สึกทุกขเวทนาที่ทนไม่ไหวจะขาดใจตาย คิดว่ามึงจะกดก็กดไป เพราะไม่โดนตัวกูอยู่แล้ว ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวตนของกู ความรู้สึกทุกข์จนจะทนไม่ไหวอยู่นี้ก็ไม่ใช่ตัวกูของกูเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว จิตก็ตัวหนึ่ง กายก็ตัวหนึ่ง ความรู้สึกทนไม่ไหวจะขาดใจตายก็ตัวหนึ่ง มันคนละตัวกัน ไม่ใช่ของของเรา จิตตัวรู้ที่ประกอบไปด้วย สติ สมาธิฌาน ๔ และปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ อยู่นี้ก็สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยระลึกรู้เท่านั้น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดทั้งสิ้น ตายไปก็เอาอะไปไม่ได้สักอย่างเดียว ก็ดูมันอยู่อย่างนี้จนทนไม่ไหวขาดใจตายไปเลย ไม่รู้สึกตัวไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที เอ้า! เรายังไม่ตายนี่หว่า!
    กินยาผิดเกินขนาดขาดใจตาย
    เดือนนั้นเป็นเดือนที่ผมเป็นหวัดอย่างหนักไอเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะต้องขับรถพาคนไข้มะเร็งไปฉายแสงทุกวัน เป็นเวลา ๑ เดือน เลยไม่กล้าทานยาแก้ไอ เดี๋ยวง่วงนอน จะเกิดอันตรายจากการขับรถได้ มันก็สะสมหวัดเข้าไปทุกวันๆ จนเข้าขั้นโคม่า ทานยาแก้ไอไปตามปกติก็เลยไม่หาย จาก ๑ เม็ดเป็น ๒ เป็น ๓ เป็น ๑ ซองๆละ ๔ เม็ด ก็ยังเอาไม่อยู่ ไปหาหมอ คุณหมอก็ให้เราทานยามื้อละ ๑ เม็ด มันก็ไม่หายซะที จนกระทั่งเราทานยาตาลายอยู่เป็นอาทิตย์ๆ มีวันหนึ่งตั้งใจจะทานยาสัก ๑๐ เม็ด จะได้ง่วงนอนนอนได้ เพราะนอนไม่หลับ ทรมานมากไอจนปวดท้องเจ็บหน้าอกไปหมด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ก็หยิบยาตรงหลังตู้เย็น แล้วกินยาตรงนั้นแหละ ฉีกหนึ่งซองๆละ ๔ เม็ด ก็นับ ๑ ซองที่ ๒ ก็นับ ๒ จนกระทั่งกินยาเข้าไปทั้งสิ้น ๑๐ ซองพอดิบพอดี แต่เข้าใจว่ากินเข้าไป ๑๐ เม็ด ตกลงผมรับประทานยาแก้ไอไป ๑๐ ซองๆละ ๔ เม็ด รวมเป็น ๔๐ เม็ด ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนยาออกฤทธิ์ก็ยังเข้าใจว่ากินเข้าไปเยอะตั้ง ๑๐ เม็ด แต่ที่ไหนได้น้ำในตัวผมมันค่อยๆแห้งๆจนหนังติดกระดูก ตาโบ๋ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ มันหมุนติ้วไปหมด แล้วก็ลืมตาไม่ขึ้นแค่กระพริบตาแผลบๆเห็นลางๆเท่านั้นเอง ผมเป็นอัมพาตไปในทันใดนั้นเอง จนเกือบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วมันจะขาดใจตายให้ได้ คิดว่าเราจะมาตายน้ำตื้นเอาง่ายๆอย่างนี้เลยหรือ แต่ไหนๆก็ไหนแล้วทำไงได้ ตายก็ตายมันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ เลยเข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน แยกจิตออกจากร่างกาย และออกจากความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คิดรวบเดียวไปเลยว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของๆเราเลย แม้จิตผู้รู้อยู่นี้ก็เป็นความรู้สึกของใจตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันจะตายก็ให้มันตายไป ถือว่าเราหมดหน้าที่ต่อพระศาสนา เพียงเท่านี้ แต่ไม่คิดว่าจะตายเร็วแบบนี้ไง จนทนต่ออาการความรู้สึกไม่ไหวจะขาดใจตาย คิดว่าความรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหวจะขาดใจตายอยู่นี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา จนขาดใจตายไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีเอ้า! เรายังไม่ตายนี่หว่า!

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>ผมเป็นพระโสดาบัน มาแทนเจ้าที่คนเก่า
    ตอนที่พ่อกับแม่ย้ายบ้านเข้ามาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ปกติเวลาจะนอนผมจะกำหนดลมหายใจภาวนาพุทโธจนกระทั่งหลับไป วันหนึ่งเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ที่เชิงบันได ตรงจู่ตี๋เอี๊ย พอผมกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปขั้นบน ท่านก็ยกมือไหว้แล้วพูดว่า"ท่านครับผมเป็นพระโสดาบัน มาแทนเจ้าที่คนเก่า"
    กระผมเป็นพระอานาคามี จะขอตายแทนท่านเองขอรับ
    เป็นปกติก่อนนอนก็ต้องจับลมหายใจเข้าออกภาวนาพุทโธ จนหลับไป คือติดคำสอนของเจ้าประคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เห็นตัวเองกำลังอาบน้ำอยู่ เหลือบไปเห็นสัตว์มีพิษ ๒ ตัว ๒ ชนิด ที่กัดถึงตาย ก็ได้ยินคนมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกผม พอเปิดประตูก็เห็นชายแก่คนหนึ่ง ใส่กางเกงสามส่วนไม่ใส่เสื้อ พนมมือไหว้แล้วท่านก็พูดว่า "ท่านครับกระผมเป็นพระอานาคามี จะขอตายแทนท่านเองขอรับ"<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->__________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->10000 http://blog.palungjit.com/entry.php?w=999999999&e_id=9999<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->​
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ก่อนจะพูดถึงเรื่องนิพพาน ขอกราบขอขมาพระรัตนไตร หากผิดพลาดประการใดจึงขอขมาใน ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
    นิพพานในความคิดคือ สภาวะที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีเฉย <--สภาวะของพิพาน
    จะมีแต่การรู้แจ้งมันจะสว่างกระจ่างใจ <---เมื่อเราบรรลุธรรมขึ้นสูงสุด

    และสิ่งที่กำลังคิดและพิจารณาก็คือ กว่าเราจะไปถึงตรงนั้น ด่านมันมีมากมาย อุปทานมาหลอกหลอน
    ความรู้สึกและอารมณ์การปรุงแต่ง หากจะทะลุอินทรีปัญญาต้องกล้าเหมือนรวมแสง เพื่อทะลุวัตถุล่ะมั้ง
     
  9. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ส่วนความคิดเห็นของข้าพเจ้า คงจะเป็นลักษณะของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหล่านี้ลด
    ด้วยวิธีการใดๆก็ได้โดยอยู่ในขอบเขตุและกรอบคุณงานความดี หากกระทำไปแล้วจะส่งผลให้สิ่งเหล่านี้ลดลงได้

    การปฏิริยัติ ปฏิบัติ นั้นๆก็เพื่อมุ่งหวังว่าจะเกิดเป็นปฏิเวทซักวัน จึงอาจเปรียบได้กับการเดินทางสู่นิพพาน นั่นซึ่งจริงๆแล้วมิใช่การเดินทาง แต่เป็นการหยุดที่เหตุหรือดับที่เหตุ
    คำว่าเหตุนี้มิใช่การเกิดมาเป็นมนุษย์แต่เป็นการดับเหตุที่จิตใจ

    อย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียงความคิดเห็นเชิงอารมณ์ซึ่งทุกคนสามารถที่จะคิดและแสดงความคิดเห็นได้


    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
     
  10. ฮุโต๋

    ฮุโต๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +44,568
    พระนิพพาน มี 2 อย่าง
    พระนิพพานดิบ คือ จิตปราศจากกิเลส มีความสุขจากธรรม จิตผ่องใส เป็นอริยบุคคล หรือพระอรหันต์ แต่ยังมีชีวิตอยู่
    พระนิพพานสุก คือ เสวยผลบุญที่ได้บำเพ็ญเพียรไว้ก่อนตาย เมื่อตายแล้ว ละสังขารแล้ว ก็กลับคืนพระนิพพาน หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด
     
  11. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    นิพพาน = สงบ สะอาด สว่าง
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความเข้าใจจากที่ฟังและอ่านมา...นะ
    นิพพาน คือ สภาวะความว่าง สว่าง บริสุทธิ์

    แต่จากความรู้สึกส่วนตัวคิดว่า
    นิพพานเป็นสภาวะที่เป็นอิสระจากแรงดึงดูดของกิเลส
    เป็นสภาวะที่มีสติสมบูรณ์ไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ใดๆ
    เป็นสภาวะใจปกติเป็นกลางไม่ยินดียินร้าย
     
  13. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    นิพพาน คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อาจจะรู้ได้ตามบารมีที่สะสมมา ตื่นจากกองกิเลส เบิกบานคือเป็นผู้มีจิตใจไม่เศร้าหมอง
     
  14. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865

    ด้วยความเคารพกับ จขกท....ครับ

    เรื่องพระนิพพานนี้เป็นเรื่องสูงยิ่งและสุดหยั่งรู้ของปุถุชนอย่างเราท่าน
    และเชื่อว่าไม่มีผู้ใดในเวปนี้ตอบคำถามนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครเคยไปสัมผัส.....

    ฉะนั้นอย่าถามให้เสียเวลาแล้วก็นึกคำตอบกันเอาเอง เพราะการคิดเองโดยไม่รู้ไม่เห็นว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร จะทำให้ออกนอกพระวัจนะผิดทางได้
    เปรียบเสมือนผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวอเมริกา จะมาบอกผู้อื่นว่าอเมริกาเป็นอย่างไร ดี-เลว หนาว-ร้อน ก็คงไม่ได้ เพราะไม่เคยไปจริงๆ

    ทางที่ดีไปแสวงหาคำตอบจากพระผู้รู้ ผู้หมดกิเลส เป็นอเสขบุคคล ดีกว่าครับ
    Nirvana เชื่อว่ายังมีพระอริยบุคคลเช่นว่านี้อยู่ พอที่จะขอเมตตาสอบถามท่านได้ ครับ:cool:

    ขออนุโมทนา.....สาธุ
     
  15. ้StreetWise

    ้StreetWise Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +81
    ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้อีกเยอะ อยากแสวงหาคำตอบ ไม่รู้คำตอบเว้ย อวิชา เว้ย พอไม่รู้ ก็อยากรู้ หาคำตอบจนรู้ พอรู้แล้วมันดันเป็นคำตอบที่เราคิดไปเองบ้างล่ะ ไม่รู้จิง บ้างละ
    มีอะไรมั้ยที่ทำให้เราหยุดความอยากที่จะได้คำตอบในสิ่งที่เราอยากรู้ซะที ?
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็หยุดคิดดิคะ แล้วลองมาดูคิด ดูใจตัวเอง แบบว่า หัดรู้สึกตัวมาเห็นความ
    จริง
    ของตัวเองแทนที่การคิดแบบเดิมๆ หยุดคิด มาหัดรู้ว่าคิดแทน พอเราหยุดคิด
    ก็อาจจะหยุดอยากไปด้วย แล้วบางทีเราอาจจะได้รู้จักอีกโลกหนึ่งที่ปราศจาก
    ความคิด เราอาจจะได้พบคำตอบที่นี่ก็ได้ เพราะทางที่เป็นอยู่ตอนนี้มันตัน
    ก็ต้องลองทางอื่นดู
     
  17. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    นิพพานคือบรมสุข สุขจากการสิ้นกิเลส

    นิพพานที่เป็นกิเลสนิพพานแต่ยังไม่ละขันคนที่ ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่งหรือ โสดาบันจะรู้เห็นได้ที่ว่ารู้เห็นได้คือ รู้เห็นอาการของสุข จากการดับกิเลสได้ว่าเป็นอย่างไร สุขอย่างไร
    แบบนี้จึงเรียกว่า ได้เห็นนิพพานอันเป็นบรมสุข แวบหนึ่ง

    ส่วนนิพพานแบบสิ้นกิเลสและดับขันด้วย เรียก ขันธนิพพาน อันนี้ไม่รู้ว่าจะมีตัวรับรู้สุขอยู่หรือไม่ เกินกว่าที่จะรู้และอธิบายได้
     
  18. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจงแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เพราะเหตุว่า นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ตถาคตกำหนดรู้ทั่วถึงแล้ว.
    ภิกษุ ท.! แม้ตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง ก็รู้ชัดซึ่งนิพพานตามความเป็นนิพพาน. ครั้นรู้นิพพานตามความเป็นนิพพานชัดแจ้งแล้ว ก็ไม่ทำความมั่นหมายซึ่งนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายในนิพพานไม่ทำความมั่นหมายโดยความเป็นนิพพาน ไม่ทำความมั่นหมายว่า "นิพพานเป็นของเรา", ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงในนิพพาน. ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า? เรากล่าวว่า เพราะรู้ว่าความเพลิดเพลิน(นันทิ)เป็นมูลแห่งทุกข์ และเพราะมีภพจึงมีชาติ, เมื่อเกิดเป็นสัตว์แล้วต้องมีแก่และตาย. เพราะเหตุนั้นตถาคตจึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะตัณหาทั้งหลายสิ้นไป ปราศไป ดับไป สละไป ไถ่ถอนไป โดยประการทั้งปวงดังนี้.


    [SIZE=-1]บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๘-๙.
    ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่โคนต้นสาละ ในป่าสุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐะ.[/SIZE]
     
  19. botusd

    botusd สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    นิพพานคือ.....

    ขออภัย ณ.ที่นี้ เพราะ เราเองก็ยังไม่ถึงพระนิพพาน
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เข้าใจความหมายใช่ไหมครับ และการเข้าใจความหมายก็ไม่ได้หมายความว่าบรรลุธรรมนั้นแล้วเพราะการบรรลุธรรมนั้นคือสภาพของการพิจารณาดีแล้วด้วยจิตใจตน เกิดปัญญาญานแล้ว พระสูตรนี้ขออนุโมทนาแก่ผู้นำมาครับ เพราะเป็น ความสิ้นไปแห่งความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย และจะทำได้ตลอดตนเองรู้ได้อย่างไรนั้นอยู่ที่ตนเองเท่านั้นครับ
    อนุโมทนาด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...