ยุคหลังกึ่งพุทธกาล(หน้าที่ของเทพดูแลประเทศไทยทั้ง ๙ องค์)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dogsman, 14 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    รวมบทความอนุตรธรรม อธิบายความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในยุคหลังกึ่งพุทธกาล



    อนุตรธรรม : เทพประจำเมืองนั้นสำคัญไฉน?


    ในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงได้บูชาพระ “ขพุงผี” ที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า “แม่ย่า” เป็นดั่งเทวดาประจำเมือง ถึงกับมีการจารึกลงในหลักศิลาจารึกเนื้อความประมาณว่าให้บูชาให้ดี พลีให้ถูก ถ้าทำดี เมืองจะดี ถ้าทำไม่ดี ถึงขั้นเมืองล่ม อาณาจักรสุโขทัยก็ดำรงอยู่ต่อมาได้จนกระทั่งสิ้นสุดลง ในช่วงเวลาที่เรืองอำนาจอยู่นั้น ประชาชนอยู่กันอย่างผาสุก พระราชาแต่ละองค์ไม่มีการเข่นฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงราชบัลลังก์ มาในยุครัตนโกสิน สมัยรัชการที่สี่ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้บูชาพระ “สยามเทวาธิราช” และกระทำดุจเช่นเดียวกับพ่อขุนรามคำแหง และส่งผลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินมาจนถึงยุคสมัยรัชกาลที่เจ็ด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สละราชบัลลังก์เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบ “ประชาธิปไตย” ประเทศไทยก็ไม่เคยมีการเข่นฆ่ากันเองระหว่างราชนิกูลเพื่อช่วงชิงราชบัลลังก์ ประเทศอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา แตกต่างจากยุคสมัยอยุธยาที่มีการช่วงชิงราชบัลลังก์กันอย่างดุเดือด มีการเข่นฆ่ากันเองกระทั่งแม่ยังฆ่าลูกตัวเอง (ศรีสุดาจันทร์) ก็เคยมีมาแล้ว


    จะกล่าวไปแล้ว การเซ่นไหว้เทพเทวดานี้ ปกติ จะเซ่นไหว้เฉพาะที่รู้จักกันในที่มีปรากฏในศาสนาต่างๆ เท่านั้น การไหว้บูชาเทพเทวดาที่ไม่มีรายนามปรากฏในศาสนาใดๆ เลย บางท่านก็กล่าวว่าเป็นการไหว้ “ผี” เหมือนคนไทยโบราณ หรือชาวบ้านที่หลงงมงายที่นิยมเลี้ยงผี ไหว้ผีกันฉะนั้น เพราะเห็นว่ารายนามเทพเทวดาที่ไหว้กันนั้น ไม่มีหลักฐานยืนยันจากศาสนาใดๆ บ้างก็ว่าเป็น “อวิชชา” เป็น “ความหลงงมงาย” ก็มี ดังนั้น เท่ากับหมายถึงพ่อขุนรามคำแหง และพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “งมงาย” ไปด้วยหรือ อันที่จริงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากย้อนพิจารณาดูแล้ว ปัญญาและความสามารถของพ่อขุนรามคำแหงนั้น ไม่ใช่น้อยๆ จะเป็นผู้หลงงมงายได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอง ก็ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเหล่าพราหมณ์ทั้งหลายในราชสำนักที่เก่งกาจด้านการทำนายกันนักหนา ถึงขนาดทรงทำนายเวลาที่จะเกิด “สุริยุปราคา” ได้ ที่หว้ากอ จนประจักษ์แจ้ง เป็นที่ยอมรับแก่นานาอาริยะประเทศ ดังนั้น การไหว้ “เทพเทวดา” ที่ไม่มีรายนามปรากฏในศาสนาใดๆ นั้น อาจจะไม่ใช่ความหลง หรือเพราะงมงายไร้สาระเป็นแน่แท้ แต่อาจเป็นด้วย “ปัญญา” ที่เหนือชั้นกว่าตำราที่มีปรากฏ ทำให้พระมหากษัตริย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองพระองค์นี้ทรงเลือกที่จะบูชาเทพเทวดาที่ไม่มีปรากฏรายนามในศาสนาใดๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เทพเทวดาบนสวรรค์นั้น มีมากมายเหลือคณานับ รายนามที่ปรากฏอยู่ในศาสนาต่างๆ นั้น ก็มีหน้าที่ดูแลศาสนานั้นๆ ดังนี้ ความเป็นกลางในการทำหน้าที่ดูแลทุกศาสนาจึงอาจจะไม่สมบูรณ์นัก เช่น ในครั้งอาณาจักรขอมเรืองอำนาจ ขอมบูชามหาเทพฮินดูเสมือนเทพเทวดาประจำเมือง ซึ่งก็ทำให้ขอมเรืองอำนาจ แต่พระพุทธศาสนาก็ถูกพราหมณ์ผสมไปเสียครึ่งหนึ่งจนแยกไม่ออก ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระมหากษัตริย์ไทยสองพระองค์นั้นทรงเลือกเทพเทวดาที่ไม่ได้มาจากตำราในศาสนาใดๆ เพื่อความเป็นกลางในการรักษาศาสนาทุกศาสนา ในประเทศไทย มีชายไทยเชื้อสาย “ไทยซ่ง” หรือไทยทรงดำนิยมบูชาผีบรรพบุรุษ เป็นประเพณีสืบมา แสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนจีน ที่นิยมบูชาผีบรรพบุรุษเช่นกัน แต่สำหรับคนจีนแล้ว ถ้ามีเงิน ก็จะทำ “ศาลเจ้า” ขึ้นต่างหาก ในช่วงบั้นปลายของชีวิต จะออกจากหน้าที่การงาน แล้วไปอยู่ศาลเจ้าแทน ในญี่ปุ่น จะมีศาลเจ้าประจำตระกูล ซึ่งตระกูลแต่ละตระกูลจะบูชาผีหรือเทพเจ้า, เทวดาไม่เหมือนกัน อนึ่ง พระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย ช่วยเราในทางธรรมเท่านั้น เราไม่ควรดึงท่านมาช่วยเราในทางโลก อันจะทำให้ท่านเป๋ออกนอกทาง จริงอยู่ว่าเราเป็นฆราวาส ต้องมีทั้งทางโลก และทางธรรม จะเอาแต่มรรคผลทางธรรมแล้วทำมาค้าขายไม่ขึ้นก็ไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องเข้าใจว่าหน้าที่ของพระรัตนตรัยไม่ได้มีหน้าที่ด้านนี้ หน้าที่ทางโลกเป็นของเทพ, พรหมเหล่าอื่นที่จะเสริมงานต่อกันไป การบูชานั้น ก็ควรเข้าใจตามนี้ด้วย อนึ่ง พุทธศาสนานั้นเจริญได้เพราะมีศาสนาพราหมณ์ปูฐานมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรควบคู่กัน แต่ต้องไม่สับสน ต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือฐานอะไรคือยอด อะไรคือพุทธ ตรงไหนเป็นพราหมณ์


    การไหว้เจ็ดสิ่งศักดิ์สิทธิ์


    มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประมาณ ๗ ชนิดที่เราควรรู้จักและเคารพบูชา ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้บูชา การกราบไหว้บูชานั้นเป็นประเพณีของการ “แสดง” ว่าเราเคารพเท่านั้น ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การเคารพสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเจริญรอยตามนั้นดีกว่า เรียกว่า “ปฏิบัติบูชา” ดีกว่าการแสดงออกว่าเคารพ การเคารพไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องแสดงก็ได้ แต่ของให้ “กระทำ” ให้เกิดขึ้นจริงจะดีกว่า ทั้งนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดที่ควรเคารพ มีดังนี้

    ๑) บูชาพระพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าหนึ่งเดียวในพระพุทธศาสนา

    ๒) บูชาพระธรรมวินัย เป็นแก่นแท้ให้เกิดปัญญาและกรอบล้อมให้ปฏิบัติ

    ๓) บูชาพระสงฆ์สาวก เป็นผู้สืบสายธรรมของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง

    ๔) บูชาพระศรีอาริยเมตตรัย เป็นผู้ช่วยค้ำพระพุทธศาสนาที่จะหักกลาง

    ๕) บูชาเทพประจำเมือง เป็นผู้ดูแลประเทศไทย คือ พระสยามเทวาธิราช

    ๖) บูชาบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย

    ๗) บูชาเทพประจำตัว เป็นการเสริมความเจริญทางโลกให้แก่ตน


    เวลาไหว้พระรัตนตรัย มีพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ เราจะใช้ธูป ๓ ดอก ในกรณีที่เราต้องการไว้ ๗ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามรายนามนี้ ก็จะใช้ธูป ๗ ดอก แล้วกล่าวคำไหว้ไล่ไปตามลำดับ อนึ่ง เทพประจำตัวของแต่ละท่าน ในแต่ละช่วงเวลานั้น เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนกัน จำต้องทราบเอง ไม่ยากเกินไป ดูจากกรรม, บุญ, บารมี ของตน ตนทำแบบไหนได้แบบนั้น เช่น คนที่ตีหลายหน้าเก่งๆ อาจมีเทพประจำตัวที่มีหลายหน้า


    การเปลี่ยนแปลงเทพประจำเมือง


    เทพประจำเมืองสยาม คือ สยามเทวาธิราช แต่หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่เจ็ดสละราชสมบัติให้แก่ประชาชน ประเทศไทยก็เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่สยามอีกต่อไป แม้แต่สถาบันกษัตริย์ก็เปลี่ยนไป มีอำนาจทางการเมืองการปกครองน้อยลง ไม่เหมือนดังเก่าก่อน แม้จะสืบสายมาจากราชวงศ์จักรีก็ตาม ดังนั้น จึงมีความสับสนมากในการปฏิบัติงาน จนในที่สุด เบื้องบนได้จัดสรรเทพประจำเมืองให้แก่ประเทศไทยใหม่ คือ พระศิวะ จะทรงดูแลภาคใต้, พระกษิติครรภ์ดูแลภาคกลาง, พระสยามเทวาธิราช ดูแลภาคเหนือ ภาคอีสาน ท่านไม่ได้บอกแต่น่าจะมีอีกองค์ อนึ่ง ภาคกลางนั้น จริงๆ น่าจะแบ่งเป็น กรุงเทพฯ ส่วนหนึ่ง ภาคกลางที่ไม่รวมกรุงเทพฯ อีกส่วนหนึ่ง เพราะเวรกรรมของสัตว์ไม่เหมือนกัน โดยในกรุงเทพฯ นั้น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ้าใหญ่ๆ สามองค์ คือ พระกษิติครรภ์ราชา, พระจี้กง, พญายม ทำให้กรุงเทพฯ ตกกรรมเหมือนในนรก ทว่า องค์กษิติครรภ์หาวิธีปลดกรรม ยอมจุติลงนรก แล้วเชิญองค์ศรีอาริยเมตตรัยมาค้ำต่อทำให้ ทีมงานเปลี่ยนคือ องค์ศรีอาริยเมตตรัยเป็นศูนย์กลาง มีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ช่วยรายรอบ สรุป เจ้าจะมีเจ็ดองค์ คือ พระสยามเทวาธิราช ๑, พระศิวะ ๑, พระศรีอาริยเมตตรัย ๑, ท้าวจตุโลกบาล ๔ องค์ รวมทั้งสิ้น ๗ องค์ เจ้าแห่งสวรรค์ทั้งเจ็ดรวมพลังกันดูแลประเทศ โดยจัดสรรแบ่งปันเขตดูแลดังนี้ ทำให้ประเทศไทยแต่ละส่วนรับวิบากกรรมต่างกัน ทั้งประชาชนก็มีความคิดแตกแยกกัน คนใต้, คนเหนือ, คนภาคกลาง (และอีสาน โดยมีกรุงเทพฯ ที่มีเจ้าอีกสามองค์ กษิติครรภ์, จี้กง, พญายม) สามส่วน รวมทั้งสิ้น อย่างน้อย ๙ องค์ ดังนั้น ถ้าเราจะไหว้เทพประจำเมืองของประเทศไทยทั้งหมดพร้อมกัน ตอนนี้ ต้องไหว้ ๙ องค์ ดังนี้ พระสยามเทวาธิราช ๑ (มีศูนย์กลางพลังอยู่ที่สุโขทัย), พระศิวะ ๑ (นครศรีธรรมราช), พระศรีอาริยเมตตรัย ๑ (นครราชสีมา), ท้าวจตุโลกบาล ๔ องค์ (กรุงเทพฯ), พระกษิติครรภ์ ๑ (ปทุมธานี), พระจี้กง ๑ (กรุงเทพฯ) รวม ๙ องค์ ซึ่งมีหน้าที่และบุญบารมีแตกต่างกันเพราะบำเพ็ญต่างกันมา ดังต่อไปนี้


    หน้าที่ของเทพดูแลประเทศไทยทั้ง ๙ องค์

    ๑) พระสยามเทวาธิราช มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่สุโขทัย มีหน้าที่คือ ดูแลทั้งภาคเหนือตอนล่างและตอนบน พัฒนาความเจริญโดยรักษารากฐานดั้งเดิมไว้ อนุรักษ์รักษาพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ไม่ส่งเสริมศาสนาที่ผิดทาง (เทียม)

    ๒) พระศิวะ มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่นครศรีธรรมราช มีหน้าที่คือ ชำระล้างเพื่อสร้างใหม่ เพื่อทำให้เกิดการฟื้นตัวของธรรมชาติ และโลกก็จะเกิดความสมดุล โดยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก่อน เช่น น้ำท่วม, แผ่นดินไหว

    ๓) พระศรีอาริยเมตตรัย มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่นครราชสีมา มีหน้าที่คือ ขยายอิทธิพลทางโลก เนื่องจากโลกกำลังขยายตัวรวมกันเป็นหนึ่ง คือ Globalization ดังนั้น จึงต้องจุติลงมาบำเพ็ญบารมีเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในประเทศไทย

    ๔) ท้าวจตุโลกบาล ๔ องค์ มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่กรุงเทพฯ มีหน้าที่คือ ท้าวเวสสุวัณดูแลพวกยักษ์ (นักการเมือง) พิพากษาโทษ, ท้าวธตรฐ ดูแลเรื่องศิลปวัฒนธรรม, ท้าววิรุฬหกดูแลพวกครุฑ (ผู้มีอิทธิพล) เรื่องค้าขาย, ท้าววิรูปักษ์ดูแลพวกพญานาค เรื่องครอบครัวและการเกษตร (น้ำ, ดิน, ข้าว) หน้าที่คือปกครองประเทศให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่รวมเทพ, พรหม, อสูร, มาร

    ๕) พระกษิติครรภ์ มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่ จ. ปทุมธานี มีหน้าที่คือ ปลดกรรมให้กับประเทศไทย
    ดึงคนจำนวนมากเข้ามาทำบุญส่งกำลังบุญหนุนประเทศ แต่ประเทศมีกรรมมาก พญามารตนหนึ่งจึงเข้ามาแทรกคุมพระกษิติครรภ์ไว้

    ๖) พระจี้กง มีศูนย์กลางของพลังอยู่ที่ กรุงเทพฯ มีหน้าที่คือ ช่วยอพยพผู้คนหนีภัยพิบัติ แต่กรรมประเทศมีมาก ทำให้ทำงานยากลำบาก แต่อาศัยนักข่าวเป็นสื่อ


    ผลจากการวางกำลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ทำให้ประเทศมีความเปลี่ยนแปลงมาก คือ ภาคใต้จะประสบภัยธรรมชาติหนัก พระกาลีจะลงปราบอสูรทารุณที่เป็นโจรแบ่งแยกดินแดน, ภาคเหนือจะสงบร่มเย็นมั่นคงไม่มีใครทำลายได้, กรุงเทพฯ จะรับเคราะห์กรรม จนล่มสลายลง “นรก” (ดินยุบกลายเป็นน้ำ) ไปในที่สุด, ภาคกลางและภาคอีสานจะต้องแตกแยกแล้วล่มสลายลงก่อน จากนั้นจะแผ่ขยายอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล


    เบื้องบนจะเปลี่ยนแปลงโลก โดยใช้ “ประเทศไทย” เป็นต้นแบบ ถ้าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามแผนการของเบื้องบน คือ ได้ผลตามที่ควรจะเป็น และเสียหายน้อยที่สุด ก็จะนำแบบแผนการเปลี่ยนแปลงนี้ ไปใช้กับการเปลี่ยนแปลงของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก งานเปลี่ยนถ่ายยุคเป็นงานที่ยาก และไม่มีใครทราบก่อนว่าโลกจะต้องดำเนินไปอย่างไร แต่ละท่านมีญาณหยั่งรู้เฉพาะตัว รู้เฉพาะตน และทำหน้าที่เฉพาะของตนไป ไม่อาจคาดการผลรวมของทุกๆ ท่านที่กระทำร่วมกันได้ ดังนั้น เราจึงต้องคอยติดตามดูการทำกิจของเบื้องบน ซึ่งจะกระทำผ่านร่างของมนุษย์ ท่านจะเลือกร่างของมนุษย์ที่บำเพ็ญบุญบารมีได้ถึงระดับของท่าน เช่น ท่านใดสละลูกเมีย ยอมเสียสมบัติสูญสิ้น ก็จะได้รับเลือกให้เป็นองค์แทนของพระศรีอาริยเมตตรัยบนโลกมนุษย์ ที่ต้องลงมาทำหน้าที่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ใดสละได้หมดทุกอย่าง และปฏิบัติธรรมจนมีปัญญารู้แจ้งถึงนิพพานได้ด้วยตนเอง จะเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า (แต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เหมือนทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนท่านเท่านั้น) โดยเบื้องบนจะไม่สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์, อำนาจ, เงินทอง ฯลฯ การกระทำตัวทุกอย่างของมนุษย์ที่ท่านเลือกเป็นองค์แทนเหล่านี้ จะเป็นตัวกำหนดกรรมต่อๆ ไปข้างหน้าของมวลสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้น ท่านจึงต้องเลือกมนุษย์ที่มีพฤติกรรมดีที่สุด ไม่เกี่ยวกับเรื่องเปลือกนอกเลยดังกล่าว ซึ่งจะต้องเป็นความลับ


    ความสับสนวุ่นวายเมื่อมีเจ้านายหลายองค์

    ประเทศไทยปัจจุบัน มีความสับสนวุ่นวายมาก เหมือนมีเจ้าหลายองค์ลงมาดูแลมนุษย์ ทำให้ผู้คนมีความแตกต่างทางความคิดกันมาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับแตกแยก ประกอบกับมี เทพ, พรหม, อสูร, มาร สี่เหล่าลงมาดูแลพระพุทธศาสนาอีก ดังนั้น จึงวุ่นวายมากหลายมือ เทพก็มีหัวหน้าของเทพ, พรหมก็มีหัวหน้าของพรหม, อสูรก็มีหัวหน้าอสูร, มารก็มีหัวหน้าของมาร จิตทั้งสี่เหล่านี้ ก็ต้องมีหัวหน้าอีกหนึ่ง ไม่เช่นนั้น จะไม่มีเอกภาพในการทำงาน พระศรีอาริยเมตตรัยที่บำเพ็ญบารมีเก่าได้กายทิพย์โพธิสัตว์เมตตรัย ก็คุมไม่ไหว เพราะกายเมตตรัยมีบารมีคุมท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ แต่ไม่อาจคุมได้ถึงสี่เหล่าข้างต้นนั้น ดังนั้น จึงต้องบำเพ็ญบารมีใหม่ให้มากขึ้นไปอีกเพื่อดูแลโลกธรรมหลังกึ่งพุทธกาล ดังนี้

    ๑) พระโพธิสัตว์สิบเศียรภาคแบ่งของพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์


    ดูแลทุกเหล่า “เทพ, พรหม, อสูร, มาร” โดยการเชื่อมโยงประสานงานกับยูไล ๔ องค์

    -เศียร อวโลกิเตศวร ประสานงานกับพระยูไลที่ดูแลพวก “เทพ”


    -เศียร มัญชุศรี ประสานงานกับพระยูไลที่ดูแลพวก “พรหม”


    -เศียร กษิติครรภ์ ประสานงานกับพระยูไลที่ดูแลพวก “อสูร”

    -เศียร เมตตรัย ประสานงานกับพระยูไลที่ดูแลพวก “มาร”

    ๒) พระยูไลภาคแบ่งของพระรามเจ้าโพธิสัตว์


    ดูแลเหล่า “พรหม” โดย แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    • <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l2 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">ทางโลก จะห่มขาว อยู่เหมือนพวกพราหมณ์แบบไทย คือ ทรงเจ้า หากิน
    • ทางธรรม จะห่มเหลือง แต่จะอยู่เหมือนพวกพราหมณ์ อยู่เพื่อลาภสักการะ
    ๓) พระยูไลภาคแบ่งของพระเจ้าปเสนทิโกสนโพธิสัตว์

    ดูแลเหล่า “เทพ” โดย แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    • <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l2 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">ทางโลก จะห่มขาว อยู่เหมือนพวกมูลนิธิการกุศลต่างๆ เช่น มูลนิธิเพื่อนหญิง
    • ทางธรรม จะห่มเหลือง แต่จะอยู่เหมือนพระสายครูบา เน้นสร้างวัดพัฒนาชนบท
    ๔) พระยูไลภาคแบ่งของพระยามาราธิราชโพธิสัตว์

    ดูแลเหล่า “มาร” โดย แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    • <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l2 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">ทางโลก จะห่มขาว อยู่เหมือนอาจาริยวาท คือ เอาพระไปโฆษณา, ทำงานเก่ง
    • ทางธรรม จะห่มเหลือง แต่จะอยู่เหมือนพระนักพัฒนา แต่เน้นยิ่งใหญ่, เอาหน้า
    ๕) พระยูไลภาคแบ่งของพระอสุรินทราหูโพธิสัตว์

    ดูแลเหล่า “อสูร” โดย แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    • <LI class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; mso-list: l2 level1 lfo4; tab-stops: list 36.0pt">ทางโลก จะห่มขาว อยู่เหมือนหมอผี คือ ทำนาย, ทำของ แต่เน้นไปทางไสยดำ
    • ทางธรรม จะห่มเหลือง เหมือนเกจิดัง คือ มีฤทธิ์เดชมาก แต่เน้นไปทางไสยดำ
    แผนงานนี้ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากการบรรลุยูไลเป็นของยาก ปัจจุบัน ยังขาดพระยูไลที่เป็นภาคแบ่งของพระนิตยโพธิสัตว์อีกสององค์ เมื่อครบก็จะประสานกำลังกันทำกิจได้สำเร็จ ประเทศไทยจึงอยู่ในช่วงยุค เจ้า ๙ องค์ ไปก่อน ยังไม่มีเอกภาพได้ในขณะนี้ (พ.ศ. ๒,๕๕๒) เดิมเบื้องบนได้ส่งพุทธะ (ยูไล) สามองค์ลงมาก่อน คือ ยูไลภาคแบ่งขององค์ปฐมดาไลลามะ ๑ (อาจารย์พระสังฆราช) ยูไลพระพุฒาจารย์โต ๑ (อาจารย์ของพระจักรพรรดิ) และยูไลพระตั๊กม้อ (อาจารย์ผู้ให้กำเนิดมหายาน) แต่กำลังยังไม่พอ จึงต้องอาศัยมนุษย์หลายคนบำเพ็ญช่วยกันดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนทำหน้าที่สื่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกทิพย์ ซึ่งแตกต่างไปจากแผนการเดิมของเบื้องบน และดีกว่าเพราะกำลังของวิริยธิกะ ซึ่งไม่นิยมศรัทธาคำทำนายแต่นิยมทำสิ่งที่ดีกว่า ดังนั้น จึงขอรายงานผลการปฏิบัติงานให้ท่านทั้งหลายเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงต่อไป
    .

    อนุตรธรรม พระนิตยโพธิสัตว์เกิดเป็นผู้หญิงได้หรือไม่


    ปกติ พระนิตยโพธิสัตว์ เมื่อได้รับคำทำนายแล้ว จะไม่เกิดเป็นหญิงอีก จะเกิดแต่ในมหาบุรุษเพศ คือ เป็นเพศชายเท่านั้น ทว่า นี่เป็น “แบบแผนการบำเพ็ญบารมีแบบเก่า” ที่มีจุดบกพร่องมาก คือ ทำให้พระพุทธเจ้าไม่เอาผู้หญิงเข้าร่วมในศาสนาของท่านเลย คือ ปฏิเสธผู้หญิง ไม่ให้มีภิกษุณี เรียกว่า พอได้เกิดเป็นชายอย่างเดียว ก็ไม่เข้าใจผู้หญิงไปเสียอย่างนั้น ดังนั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก เป็นพระพุทธเจ้าจะเลือกว่าจะโปรดแต่ผู้ชายไม่ได้ ต้องโปรดทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ได้เท่าเทียมกัน ดังนั้น ตั้งแต่ยุคของพระศรีอาริยเมตตรัยเป็นต้นไป จึงเป็น “ยุคทดลองรูปแบบการบำเพ็ญบารมีแบบใหม่” เพื่อให้พระพุทธเจ้ามีความสามารถโปรดผู้หญิงได้ และเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น จึงต้อง “บังคับ” ให้ต้อง “เสียสละ” มาเกิดเป็นผู้หญิงกันบ้าง จะได้เข้าใจความยากลำบากของผู้หญิง และฉุดช่วยผู้หญิง สร้างภิกษุณีให้เกิดขึ้น และอยู่ร่วมในศาสนาพุทธได้ ไม่ทอดทิ้งกัน


    พระนิตยโพธิสัตว์มาเกิดเป็นผู้หญิงได้อย่างไร

    พระนิตยโพธิสัตว์ จะต้องก่อกรรมหนักบางอย่างก่อน ในช่วงระหว่างการบำเพ็ญเพื่อเก็บสะสมบารมี โดยการฆ่าพี่ชายของตัวเอง ซึ่งปกติ พี่ชายคนนั้นก็คือ จิตภาคหนึ่งของพระศรีอาริยเมตตรัย เพื่อให้เกิดกรรมเวรผูกกันระหว่างพระนิตยโพธิสัตว์ และการแข่งขันกันบำเพ็ญบารมีตามๆ กันไป จึงต้องให้เดินรอยกรรมแบบนี้ เมื่อฆ่าไปแล้วชาติหนึ่ง ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี พระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น ก็ต้องเกิดมาเป็น “ผู้หญิง” เพื่อชดใช้กรรมนั้น นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง สมมุติ พระรามเจ้า ถ้าเคยเจตนาฆ่าพี่ชายเพื่อเป็นใหญ่แล้วชาติหนึ่ง ชาติต่อๆ ไปต้องชำระกรรม บางชาติกรรมซ้ำรอยเก่า ก็ฆ่าพี่ชายอีก แต่จะไม่มี “เจตนา” แล้ว คือ เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ สมมุติ พี่ชายถูกขุนนางกังฉินรุมล้อม แล้วเอาขึ้นเป็นกษัตริย์ บริหารหลังม่านทุกอย่าง ขุนนางอีกพวกดีกว่า (แม้ไม่ดีที่สุด) ก็เข้าหาพระพันปี (แม่) ขอให้วางแผนสับเปลี่ยนองค์กษัตริย์เพื่อล้างขั้วอำนาจเก่า ดังนั้น พระพันปีก็วางแผนให้ลูกชายสองคน เล่นปืนกัน โดย “เจตนา” เอาลูกปืนใส่เข้าไปในปืนก่อน ซึ่งปกติแล้ว เขาจะไม่ใส่ลูกปืนเข้าไว้ก่อนจนกว่าจะ “คิดจะยิง” จึงจะใส่ลูกปืนเข้าไป เพราะการใส่ลูกปืนเข้าไปไว้นานๆ มีผลเสียหลายอย่าง ดังนั้น ปืนที่นิยมซ่อนไว้ใต้หมอนก็ดี มักจะยังไม่ใส่ลูกปืน จนกว่า “ตั้งใจจะยิง” ดังนั้น เมื่อมีลูกปืนในรังปืนแล้ว แต่น้องชายไม่รู้ ก็ยิงเล่น แต่กลับโดนจริง น้องชายไม่มีเจตนา ไม่รู้เลยว่าแม่ได้วางแผนให้ตนทำปืนลั่นใส่พี่ชาย เพื่อยกเอาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ หวังทำลายขั้วอำนาจเก่าที่บงการ กษัตริย์องค์เก่าลงไป เมื่อเกิดขึ้นอย่างนี้ น้องชายก็รู้สึกผิดมาก และจิตที่สำนึกผิดนั้น อาจส่งผลให้บรรลุโพธิสัตว์ มีกายทิพย์ “กษิติครรภ์” ในที่สุด คือ ยอมลงนรกเพื่อชดใช้ความผิด แต่เพราะบุญบารมีมาก จึงไม่ได้ลงไปเป็นสัตว์นรก แต่ไปเป็นโพธิสัตว์ฉุดช่วยสัตว์นรกแทน ในกรณีนี้พระรามเจ้าจะต้องชดใช้กรรมโดยดวงจิตหนึ่งจะต้องจุติมาเป็นผู้หญิง

    อีกตัวอย่าง สมมุติ พระเจ้าปเสนทิโกสน ได้ก่อกรรมหนักในชาติที่เกิดเป็น “ขุนแผน” เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ได้มากๆ เร่งทำงานเต็มที่ แต่ได้ฆ่า “นางบัวคลี่” ผู้เป็นเมียทั้งที่ยังท้องอยู่ ผ่าท้องแล้วเอาทารกมาทำเป็นลูกกรอก ด้วยความแค้นนางบัวคลี่ ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตน ผลกรรมที่ฆ่าลูกฆ่าเมียนี้หนักมาก ทำให้จะต้องมีดวงจิตหนึ่ง ที่ต้องเกิดมาใช้กรรมนี้ด้วยการ เป็นผู้หญิง อย่างนี้ กรรมหนัก จะหนีไม่ได้ ใช้ไม่หมด ต้องเกิดเป็นผู้หญิงและต้องโดดเดี่ยว อีกหลายชาติกว่าจะหมดกรรมเพื่อชดใช้กรรมของตน อีกตัวอย่าง สมมุติ พระยามาราธิราช ได้ก่อกรรมหนักไว้ โดยเอาธิดาพญามารทั้งสามตน มาขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงไม่สนใจไยดีกับกามนั้น ส่งผลให้ พญามารนั้น ต้องรับวิบากกรรมหนัก หนีไม่ได้ เพราะกระทำต่อ “พระพุทธเจ้า” ถ้าไม่มีบุญบารมีค้ำก็ตกนรกไปนานแล้ว แต่เพราะยังมีบุญบารมีช่วยตัวเอง จึงต้องจุติมาเป็น ผู้หญิง และบำเพ็ญบารมีคู่กับพระนิตยโพธิสัตว์รุ่นพี่ สมมุติ เกิดเป็น “พระรถ เมรี” ก็จะถูกทอดทิ้งไม่ไยดี เพราะผลกรรมที่พระพุทธเจ้าไม่สนใจกามในครั้งนั้นได้ซ้ำรอยขึ้น

    อันนั้น แค่สมมุติเล่นๆ อย่าคิดจริงจัง เราไม่นิยมแฉความผิดพลาดของการบำเพ็ญบารมีของใคร เอาเป็นว่าจริงๆ ท่านดีสมบูรณ์พร้อม Perfect ก็แล้วกัน คือ แบบว่าดีมากๆ เกิดมากี่ชาติก็ไม่เคยทำผิดเลย ถูกอยู่ตลอด ไม่มีความผิด มีแต่ส่วนดี มีแต่ส่วนบุญ (ละมั้ง)


    พระนิตยโพธิสัตว์เกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วบำเพ็ญบารมีอย่างไร

    พระนิตยโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็นผู้หญิงแล้ว ให้สังเกตดู ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป ถ้าผู้หญิงทั่วไปที่มีบารมีมาก จะมีก็แต่เหล่านางแก้ว, พุทธมารดา เท่านั้น ท่านเหล่านี้ จะมีความเป็นหญิงแท้ และต้องการมีสามีและลูกอย่างคนปกติ แต่ถ้าผู้หญิงคนไหน มีความคิดแบบผู้ชาย ทำอะไรได้เก่งเกินชาย หรือไม่สนใจเรื่องการมีสามี อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว หรือไม่สนใจเรื่องการมีลูก คิดไกลถึงความหลุดพ้นไปว่าการมีสามีและลูกล้วนเป็นภาระ ทำให้เราทำกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ลำบาก หรือทุกข์ใจจากการมีลูกและสามี เบื่อ หรือท้อแท้ในการต้องเกิดเป็นหญิงว่าทำไมมันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้ สมมุติ พระศรีอาริยเมตตรัย ภาคหนึ่งจุติลงมาเป็น “บูเช็คเทียน” ต้องลำบากมากมาย สามีมีภรรยาหลายคน ตอนหลังก็ป่วยทำอะไรไม่ได้ ตนเองก็เลยต้องบริหารบ้านเมืองไปเพื่อรักษาความสงบสุขให้แก่ประชาชน แต่คนทั้งหลายก็ตำหนิด่าว่า ไม่มีคุณงามความดีเลย มีแต่คนจ้องมองข้อเสีย ว่า “ตนเป็นหญิง” ด้วยความรู้สึก “ชิงชัง” ในความยากลำบากที่ต้องเป็นผู้หญิง ทำไมตนไม่เกิดมาเป็นชายบ้าง แล้วเลือกผู้หญิงได้เยอะๆ บริหารบ้านเมืองใครก็ไม่มาด่าว่า คิดแบบนี้ก็ทำให้หลุดพ้นหมดจากความเป็นหญิง บำเพ็ญบารมีเต็ม ในชาติต่อๆ มาก็ไม่ต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้ว อันนี้ คือ “ตัวอย่างสมมุติ” ในการบำเพ็ญในกายผู้หญิง

    เมื่อบำเพ็ญบารมีในแบบผู้หญิงเต็มแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป

    จิตวิญญาณดวงหนึ่งมีขีดจำกัดในการรับบุญ รับกรรม รับบารมี ดังนั้น จิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นผู้หญิงนั้น จะบำเพ็ญบารมีได้สูงสุด คือ กายอวโลกิเตศวร เท่านั้น ไม่มากกว่านั้นอีก ถ้าจะขึ้นกายยูไล ต้องประสานบารมีรวมกายกับกายอื่นๆ เมื่อบำเพ็ญบารมีในกายนี้ สมบูรณ์แล้ว เต็มแล้ว ก็จะจุติไปรออยู่บนสุขาวดีก็ดี ดุสิตก็ดี เพื่อให้จิตวิญญาณดวงอื่นๆ บำเพ็ญบารมีส่วนของแต่ละท่านให้เต็ม เมื่อจุติลงมาอีกครั้ง ดวงจิต ๑ ดวงเท่านั้นที่จุติลงมาเป็นมนุษย์ คือ จิตอวโลกิเตศวร ลงมาก่อน จากนั้น จิตดวงอื่นๆ ที่มีบารมีมากอยู่แล้ว จะเข้ามาร่วมในกายสังขารนั้นๆ ทำให้เด็กที่ดูไร้เดียงสา เริ่มมีความคิดซับซ้อน มีมุมมองที่มากขึ้นเพราะจิตมีมากหลายดวงนั่นเอง กิเลสก็มากขึ้นตามลำดับ ถึงจุดหนึ่งก็บำเพ็ญบารมีด้วยการ “รวมบารมี” หรือ “รวมกาย” ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จะได้กายยูไล คือ สำเร็จเป็นพระยูไลองค์หนึ่ง จากนั้น จะอาศัย “กายทิพย์” หรือวิญญาณขันธ์ของพระโพธิสัตว์ที่ไม่ใช่กายอวโลกิเตศวร มาครอบขันธ์ตัวเองไว้ แล้วแบ่งภาคดวงจิต ออกมาจากพระยูไล ให้กำเนิด “พระโพธิสัตว์หลายเศียร” ด้วยวิธีนี้ ก็จะได้พระโพธิสัตว์ ที่มีหลายเศียร หลายมุมมอง ทั้งเศียรอวโลกิเตศวร ที่เข้าใจความเป็นผู้หญิง เศียรมัญชุศรี ที่มีปัญญาญาณมากพอถึง “สัพพัญญูญาณ” เรียกว่าพร้อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเศียรอื่นๆ เช่น เศียรเมตตรัย ที่พร้อมเป็น “ศาสดาเอก” ของโลก อย่างนี้ ก็ตรัสรู้ได้

    แบบแผนการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้ามีการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด

    โดยพระยูไลที่มีอายุมาก จะใช้แบบแผนเดิมก่อน จากนั้น ก็ใช้พระนิตยโพธิสัตว์ประเภท “วิริยธิกะ” ที่ไม่สนใจคำทำนาย แต่มีความพากเพียรทำในแบบของตนเอง เพื่อแหกคอก ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งจะผิดพลาดไปบางส่วนและบางส่วนก็จะประสบความสำเร็จ เมื่อมีแบบใหม่ที่ประสบความสำเร็จแล้ว พระยูไลเบื้องบน จะพิจารณาว่าสมควรใช้เป็นแบบแผนในการบำเพ็ญบารมีของพระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นๆ หรือไม่ ถ้าสมควร และดีกว่าเก่า ท่านก็จะเอาไว้ใช้ โดยพระพุทธเจ้าที่สำเร็จด้วยแบบแผนการบำเพ็ญบารมีแบบใหม่นั้น เมื่อนิพพานแล้ว ก็จะมาควบคุมดูแลการบำเพ็ญบารมีอีกไม่ได้ พระยูไล “อมิตาภะ” ก็จะทรงดูแลให้เอง เพราะทรง “ยังไม่นิพพานอีกยาวไกล” มีอายุขัยยืนยาวนับไม่ถ้วนได้ ก็จะทรงรับรู้และเป็นพยานให้ เนื่องจากทุกรอบของการเวียนว่ายตายเกิดเราจะ “ลืม” เพื่อเริ่มต้นเป็นคนใหม่ ดังนั้นจึงต้องมี “พยาน” (ฟ้าดินเป็นพยาน) ให้เรา และดูเราอยู่นั่นเอง


    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/11/24/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2010
  2. TeachMe

    TeachMe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอบคุณมากครับ

    หยุด! ทำร้ายพระพุทธศาสนา หยุดถวายทอง-เงินแด่พระภิกษุและสามเณร
     
  3. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    อนุโมทนาครับ

    ___________________________________________________-

    ใจมีสติอยู่กับกายผลลัพท์เท่ากับปกติ(ศีล)
     
  4. com16

    com16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2005
    โพสต์:
    451
    ค่าพลัง:
    +1,182
    การบริจาคทานเข้าวัดเป็นสิ่งจำเป็นมากในการสานต่อพระพุทธศาสนาครับ

    <iframe src="http://writer.dek-d.com/robokobo/writer/view.php?id=579675" style="display: none;">
    </iframe>
     
  5. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    ผมฟังดูมันแปลกๆน่ะ
     
  6. หลวงจีน

    หลวงจีน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    861
    ค่าพลัง:
    +1,326
    อ่านเพลินดีนะ ก็ขอให้คนไทยสามัคคีกันให้มากๆ ประเทศไทยก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
     
  7. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    อนุตรธรรม : มหาเทพแห่งการทำลายล้าง และเครื่องมือในการทำลายล้าง




    สรรพสิ่งล้วนต้องมีวาระเกิดและดับ ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ หากจักรวาลนี้ มีแต่การเกิด และการรักษาแล้ว ย่อมจะเสียสมดุล ไม่อาจอยู่ต่อไปได้ สุดท้ายจะพังพินาศหมดสิ้น กระบวนการทำลายล้าง จึงเปรียบเหมือนการเตรียมที่นา ไว้สำหรับเพาะพันธุ์ข้าวให้ได้มรรคผลต่อไป หากไม่มีการเผาทำลายหญ้าฟาง การไถพรวนก่อน ก็ไม่อาจใช้นาแปลงนั้นในการเพาะปลูกในฤดูต่อไปได้ เพื่อให้ได้ผลผลิตมากที่สุด คือ ดวงจิตที่ได้นิพพานสูงที่สุด จึงจำต้องมีการปรับพื้นนา ซึ่งก็คือ กระบวนการทำลายล้างเพื่อการเริ่มต้นใหม่นั่นเอง ยังมีมนุษย์บางจำพวกที่มีความสุขดีบนโลกมนุษย์ ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติของตน จึงไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และกล่าวร้ายเหล่าผู้ทำการทำลายล้างว่าเป็นคนเลวบ้าง คนขาดสติ คนบ้าบ้าง เพราะเขาเหล่านั้น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและบริวารของตนเป็นที่ตั้ง ไม่เคยได้คิดถึงดวงจิตอีกมากมายมหาศาลที่จะต้องจุติลงมาเวียนว่ายตายเกิดบนโลกนี้ คนพวกนี้จะทำความดี เพื่อให้คนทั้งหลายศรัทธา และยึดมั่นว่าตนเป็นคนดี ไม่อาจทำให้ใครหลุดพ้นได้เลย เพราะเอาความดี คนดี และตนเอง เป็นสังโยชน์ร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ให้ยึดมั่นถือมั่นในตน ไม่สนใจว่าพวกเขาจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเป็นบริวารและยากลำบาก ต้องทุกข์ ต้องเกิดแก่เจ็บตายอีกเท่าไร เพราะความเห็นแก่ตัวอย่างนี้เอง พวกเขาจึงต่อต้านการทำลายล้าง และกล่าวหาผู้ดูแลการทำลายล้างว่าเป็นคนเลวบ้าง คนบ้าบ้าง คนขาดสติบ้าง ก็ใครเล่าที่มีความสุขสบายดีอยู่ จะพอใจกับการเปลี่ยนแปลง ลองให้เขาประสบความยากลำบากบ้าง ย่อมเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉกเช่นกัน คนเหล่านี้ เรียกได้ว่าเป็น “คนดีที่เห็นแก่ตัว” ทั้งสิ้น




    บทความฉบับนี้ จะกล่าวถึงเครื่องมือในการทำลายล้างของมหาเทพแห่งการทำลายล้าง




    ๑) ตรีศูล เป็นอาวุธทิพย์ประจำพระองค์ของพระศิวะ ใช้ในการสร้างจักรวาล หรือทำลายจักรวาล ในช่วงที่จักรวาลถึงวาระแตกดับ เพื่อกำเนิดใหม่อีกครั้ง ก็ต้องอาศัยตรีศูลนี้ในการทำกิจ ดังนี้ ตรีศูลจึงไม่ใช้บ่อย เพราะเสี่ยงต่อการผิดพลาด อนึ่ง ตรีศูลนี้ เป็นอาวุธทิพย์ที่มีอยู่ในโลกทิพย์มากมาย ในพระโพธิสัตว์พันมือ ทุกองค์ก็มีอาวุธชนิดนี้ได้ทั้งสิ้น ทว่า อานุภาพการทำลายล้างไม่เท่ากัน ถ้าองค์ใดบำเพ็ญมาทางเมตตาบารมี มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล คิดถึงมวลสัตว์จำนวนมากได้เท่าไร อำนาจในการทำลายล้างก็จะแผ่ไพศาลไปมากเท่ากำลังจิตนั้น



    ๒) ตาที่สาม ของพระศิวะ เมื่อท่านเปิดตาทิพย์ ไฟบัลลัยกัปจะออกจากตาที่สามของท่าน กำลังการทำลายล้างของไฟจากตาที่สามของพระศิวะนี้ สามารถทำลายล้างได้สามภพ หรือก็คือ หนึ่งโลกธาตุ มีความรุนแรงน้อยกว่าตรีศูล ซึ่งผู้ที่สามารถลดทอนไฟนี้ได้มีเพียง พระกามเทพ เท่านั้น พระกามเทพนั้น เดิมทีเคยมีความรักและผิดหวัง จึงฝึกวิชชาหนึ่ง ทำให้มีพลังน้ำแข็งหุ้มดวงจิตไว้ เมื่อไฟบัลลัยกัปของพระศิวะต้องกายทิพย์ของพระกามเทพ จะส่งผลให้ไฟบัลลัยกัปสิ้นฤทธิ์ ทว่า กายทิพย์ของพระกามเทพก็ต้องสลายสิ้น ดั่งน้ำแข็งละลายฉะนั้น ตาที่สามนี้จะทำกิจเมื่อสิ้นกัป เมื่อนั้น พระกามเทพก็ห้ามไม่ได้ มนุษย์จะสูญพันธุ์




    ๓) พระกาลี พระศักติของพระศิวะ ซึ่งแบ่งภาคออกมาจากพระอุมา พระกาลีจะบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ด้วยการดูดซับพลังดำเข้าตัวได้ไม่มีจำกัด ทั้งพลังมารและอสูร จนทำให้ท่านมีทั้งความดุร้ายและเล่ห์เหลี่ยมสารพัด จนสามารถทำกิจภาคทำลายล้างได้ โดยท่านจะทำกิจเต็มที่ก็ต่อเมื่อกลียุคเท่านั้น คือ หลังสิ้นพระพุทธศาสนาแล้วเท่านั้น ผลจากการทำกิจนั้น ธาตุสี่บนโลกจะแปรปรวนทั้งหมด คือ เกิดภัยพิบัติทั้งดิน, น้ำ, ลม และไฟ จนเมื่อพระศิวะลงมาห้ามก็จะสงบลงได้ กระบวนการทำลายล้างก็จะหยุด ซึ่งมนุษย์จะไม่ถึงขั้นสูญพันธุ์




    ๔) วัวพาหนะทรง ของพระศิวะ สามารถทำหน้าที่ไถปรับพื้นโลกใหม่ได้ ความหมายคือ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ “แผ่นดิน” ได้ เช่น เกิดสงครามช่วงผลัดถ่ายแผ่นดินไปสู่อาณาจักรใหม่ๆ เป็นต้น กำลังของวัวพาหนะนั้น น้อยกว่าตาที่สาม เพราะสามารถกำหนดความเสียหายให้เกิดเป็นประเทศๆ ไปได้ ดังนั้น เมื่อถึงคราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน หรือถึงการสิ้นลงของอาณาจักรใดๆ ก็ตาม จะมีการใช้ “วัวพาหนะทรง” ของพระศิวะช่วยในการทำกิจนี้เสมอ ซึ่งก็คือ “มนุษย์” ผู้บำเพ็ญบารมีเป็น “นิตยโพธิสัตว์” รุ่นน้องที่บำเพ็ญบารมีตามมาทีหลังนั่นเอง




    ๕) อสูรใต้เขาพระสุเมรุ ซึ่งอสูรเหล่านี้ล้วนบูชาพระศิวะ แต่ถ้าพวกมันสามารถฆ่าพระศิวะได้ มันก็จะทำเช่นกัน เพราะพระศิวะ ทรงนั่งอยู่บนยอดเขาเพื่อคุมการเปิดปิดของภพอสูร ภพอสูรอยู่ใต้เขาสุเมรุนี้ เพื่อให้มีอสูรออกจากภพอสูรในปริมาณที่พอดี ทำให้เกิดกรรมแก่มวลมนุษย์ในปริมาณที่พอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป การเปิดภพอสูรนี้ ส่งผลให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง และกระบวนการทำลายล้าง มากหรือน้อย ก็ตามแต่ท่านจะเปิด ซึ่งท่านจะดูความเหมาะสม ว่ากระบวนการทำลายล้างนั้น เพียงพอหรือไม่ ถ้าคนไม่สำนึก ก็มากขึ้น ถ้าสำนึกเร็วก็เบาลง ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นไปเพื่อให้เกิดการหน่ายโลกและนิพพานทั้งสิ้น




    ๖) พระขันทกุมาร คือ บุตรชายของพระศิวะ ซึ่งอยู่ห่างไกลบิดา (สังเกตว่ารูปเคารพของพระศิวะจะมีแต่พระพิฆเนศ ไม่เห็นพระขันทกุมารเลย) โดยได้รับการเลี้ยงดูอยู่กับพวกอสูร หรือเข้ากับพวกอสูรมาก่อน ทำให้มีความสามารถเก่งกาจด้านการรบ และได้ชื่อว่าเป็น “มหาเทพแห่งการสงคราม” ซึ่งหากพระศิวะใช้งานด้านการทำลายล้างแก่พระขันทกุมาร ภัยสงครามก็จะเกิดขึ้นทันที สงครามโลกนั้น จะเกิดได้ต้องอาศัยพระขันทกุมาร โดยพระศิวะอาจมาในรูปของนักเขียน เช่น คาล มาร์ก แต่ไม่ได้ทรงทำการสงคราม แต่พระขันทกุมาร จะใช้งานเขียนของท่านนั้นในการทำสงคราม ยามใด มีพระศิวะเขียนหรือสอนเรื่องการเปลี่ยนแปลง ยามนั้น ถ้าพระขันทกุมารมีอำนาจ ก็จะทำการปฏิวัติ หรือก่อสงครามได้




    ยามนี้ อสูรได้ถูกปลดปล่อยมาจำนวนมาก จนพระนารายไม่อาจปราบได้หมดสิ้น เพราะมากเกินกำลัง อสูรเหล่านี้ จะมาอาศัยแทรกอยู่ในกายสังขารของมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีกำลังจิตอ่อน เพราะผู้ที่มีกำลังจิตมาก อสูรจะเข้าแทรกยาก ควบคุมได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น เหล่าเด็กแว้นท์ เหล่านี้ ล้วนมีจิตอสูรเข้าแทรกทั้งสิ้น ตำรวจก็จับพวกเขาได้ยาก พ่อแม่ก็ควบคุมเขาไม่ได้ เพราะอสูรเหล่านี้ล้วนมีฤทธิ์มาก เหล่าอสูรจะบูชาพวกอสูรด้วยกัน ในจำนวนอสูรที่มีฤทธิ์และบารมีมากนั้น ก็มี “อสุรินทราหูโพธิสัตว์” ซึ่งบำเพ็ญมาทางการเกิดเป็น “อสูรราหู” มาหลายชาติ อสูรตนนี้เป็นศิษย์ผู้หนึ่งของพระศิวะ แต่เพราะมีความปรารถนาพุทธภูมิเช่นเดียวกับพระศิวะ จึงไม่ยอมเชื่อฟังพระศิวะ ดัดแปลงวิชชาความรู้ต่างๆ เอง จนเกิดเป็น “วิชชาอสูร” เฉพาะของตนเอง แล้วนำมาใช้ทำร้ายพระศิวะในที่สุด จากนั้น ก็ได้แผ่อำนาจออกไปสู่โลกมนุษย์ กลายเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากมาย ก่อนที่จะเปิดภพอสูร นำพาบริวารอสูรมากมายเข้าสู่โลกมนุษย์ จวบจนกว่าพระศิวะจะสอนศิษย์คนสำคัญมาปราบอสูรราหูได้ ซึ่งก็คือ พระพิฆเนศ นั่นเอง ก่อนหน้าที่พระพิฆเนศจะบำเพ็ญฤทธิ์จนปราบอสูรราหูได้นั้น พระนารายจะลงมือก่อน โดยตัดบริวารของราหูออกไปด้วยจักร เมื่อราหูถูกโดดเดี่ยวต้องเร่ร่อนจรไปมาแล้ว พระพิฆเนศจะเป็นผู้ปราบอสูรราหูได้สำเร็จ ด้วยตัวคนเดียว ไม่ใช้กองทัพหรือสงครามแบบพระขันทกุมาร




    ยุคปัจจุบันเข้าสู่กระบวนการทำลายล้าง พระศิวะมิได้ใช้ตรีศูล มิได้ใช้พระกาลี มิได้ใช้ตาที่สาม มิได้ใช้พระขันทกุมาร แต่ทรงใช้เริ่มต้นเพียง วัวโพธิสัตว์ และเปิดภพอสูรให้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหากมนุษย์ยังยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมรับความจริง ก็จะมีมาตรการดำเนินสู่การทำลายล้างที่มากขึ้นต่อไป แต่ถ้ามนุษย์เลิกหลงโลก และยอมรับสัจธรรมความจริง ไม่เป็นผู้ลวงโลก ปิดบังความจริง กระบวนการทำลายล้างก็จะเบาบางลงได้ไม่ยากเย็นเลย




    พระศิวะย่อมรู้ดีว่าพระนารายพร้อมช่วยเหลือท่าน และเหล่าอสูรพร้อมฆ่าท่าน แต่ท่านก็ยอมให้อสูรฆ่าได้โดยไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อท่านได้ทำกิจเสร็จสิ้นแล้ว เช่น การตายของบุคคลสำคัญทางการเมืองของโลก เช่น ท่านมหาตมะ คานธีร์ เหล่านี้ ล้วนบำเพ็ญบารมีมาทางพระศิวะทั้งสิ้น ท่านไม่สนใจว่าจะตายหรือไม่ เพราะอะไร แต่ท่านสนใจในอุดมการณ์ที่จะทำให้ทุกคนมีความสงบสุขเท่าเทียมกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หรือเลือกมิตรเลือกศัตรู เพื่อให้สามภพนี้เป็นที่อาศัยของทุกสรรพจิต หลายครั้ง ที่ท่านทำการเปลี่ยนแปลงการเมืองบนโลก สงครามมักจะเกิดขึ้นก่อน และท่านมักต้องตาย จากนั้น พวกอสูรที่ก่อกรรมกับท่านก็จะต้องได้รับกรรมตายไปด้วย หลังจากนั้น สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าไม่มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ สิ่งดีๆ ใหม่ๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย เพราะบุคคลย่อมยึดติดในความเป็นแบบเดิม และกลัวการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง




    เมื่อเหล่าเทพและพรหมหลงในความดีของตนเอง จนไม่เห็นสัจธรรมความจริง เมื่อนั้น พระศิวะก็ต้องทำกิจเพื่อให้เหล่าเทพพรหมไม่หลงตัวเอง หลงดีในตัวเองจนสอนไม่ได้ มีคนจำนวนมากที่คิดว่าตนเองดีแล้ว เพราะทำความดีมามาก และผู้คนล้วนศรัทธามากมาย แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าที่พวกเขาทำมานั้น ไม่ใช่ความดีที่แท้จริง มีแต่ความหลงโลก หลงในโลกียสุข หลงผลบุญที่ตนได้เสวยอยู่ในฐานะของเทพและพรหม ดังนั้น สัตว์เหล่านี้จึงสอนไม่ได้ จำต้องให้เกิดกระบวนการทำลายล้างก่อน จึงจะยอมรับสัจธรรมของพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้ พระศิวะก็ต้องทำกิจ ทั้งๆ ที่ไม่คิดอยากจะทำลายเลย โดยจะมีพระกามเทพ ซึ่งเกิดเป็นมนุษย์ผู้สูงศักดิ์ ทำหน้าที่เยาะเย้ยถากถางท่าน ท่านจะเกิดในตระกูลต่ำต้อย ดังนั้น เรื่องชนชั้นจึงกลายเป็นประเด็นในการเกิดสงครามในที่สุด




    ปัจจุบัน กิจในการทำลายล้างในยุคกลางกึ่งพุทธกาลนั้น มีวัตถุประสงค์ดังนี้




    ๑) เพื่อปรับสมดุลสามภพ ฟื้นฟูสภาพธรรมชาติที่ถูกทำลายลงไปมาก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของธาตุสี่บนโลก ลูกหลานเราจะต้องกินกันเอง เพราะขาดแคลน

    ๒) เพื่อเปลี่ยนแนวทางการดำเนินไปของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ จะต้องมีการทำลายล้างก่อน จึงจะวางระบบใหม่ได้ ทั้งนี้ พระศิวะไม่มีส่วนได้ผลประโยชน์เลย

    ๓) เพื่อให้เกิดการยอมรับในสัจธรรม คือ โลกที่ไม่เที่ยง เลิกหลงโลก เปิดรับผู้นำทางจิตวิญญาณที่จะมาถ่ายทอดธรรมในยุคหลังกึ่งกลางพุทธกาลไม่นานนี้

    ๔) เพื่อให้เกิดการบำเพ็ญบารมีของพระนิตยโพธิสัตว์ทุกพระองค์ได้คุ้มค่าไม่เสียชาติเกิด แต่ละองค์จะต้องได้รับข้อสอบ และสอบให้ผ่านให้ได้มากที่สุด



    เหตุผลทั้งสี่ข้อนี้ มีน้ำหนักมากพอที่จะต้องเห็นความสำคัญและจำเป็นของการทำลายล้าง ไม่มีผู้ใดอยากทำลาย และตกเป็นจำเลยสังคมในฐานะผู้ทำลายล้าง แต่เพราะความจำเป็นของสามภพที่ต้องมีการปรับตัวในแต่ละช่วงเวลา เมื่อเราได้ใช้และเปลี่ยนแปลงโลกมากแล้ว โลกก็จะระบมมาก โลกต้องการการพักตัว และฟื้นตัวเองบ้าง จึงต้องมีการทำลายล้างดังกล่าว กิจนี้ ไม่มีใครอยากทำ ทำแล้วกลายเป็นตัวร้าย ตัวไม่ดี ไม่เหมือนการทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาว มีแต่คนรักคนศรัทธา แต่นั่นไม่ใช่ทางออกของสามภพนี้ บทความฉบับนี้ ไม่ได้ต้องการสื่อให้ผู้อ่านนิยมการทำลายล้าง การทำลายล้างเป็นเพียงกระบวนการหนึ่งทางธรรมชาติเท่านั้น เมื่อถึงเวลามันก็ต้องเกิด แต่เมื่อไม่ถึงเวลาก็ไม่มี ที่สำคัญอยู่ที่ตัวมนุษย์ทุกคนว่ามีความพร้อมรับในการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้หรือไม่ ไม่มีใครไม่ตายจากโลก ดังนั้น แม้โลกจะตายจากมนุษย์ไปก็ไม่แตกต่างกับมนุษย์ตายจากโลก ดังนี้ โลกจึงไม่จำเป็นต้องแตก แต่มนุษย์จำเป็นต้องผลัดกันตาย ผลัดกันเวียนว่ายตายเกิด เพื่อเปิดโอกาสให้ดวงจิตอื่นๆ ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ในโลกนี้บ้าง พระศิวะ ไม่ต้องการให้ผู้อื่นลงมือ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการทำลายล้างที่รุนแรงกว่า ดังนั้น เพราะความเมตตา ท่านจึงจำเป็นต้องลงมือเอง เพื่อควบคุมกระบวนการทำลายล้างนั้น ให้เหมาะสม พอดี พอควร อยู่ในระดับที่เกิดประโยชน์ในทางธรรมมากที่สุด ทางโลกบอบช้ำน้อยที่สุด

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/11/17/entry-2
     
  8. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ยุคสมัยของโลก




    โลกได้รับการดูแลยุคสมัยโดยพรหมโลก เพื่อให้โลกได้รับการจัดการอย่างดี เหมาะสมกับการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพจิตนับไม่ถ้วน โลกนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง การเกิดและตาย มีวัฏจักรขึ้นและลง อย่างมีระบบระเบียบอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังต่อไปนี้




    โลกในยุคพระพรหม คือ ยุคการสร้างโลก ให้พร้อมต่อการเกิดขึ้นของศาสนาพราหมณ์




    จะมีพระพรหมจำนวนมาก ลงมาช่วยปรับสมดุลของโลก สร้างโลกนี้ให้เหมาะแก่การอยู่อาศัย นับเริ่มต้นจากการสร้างโลกจากไม่มีอะไรเลย คือ สิ้นกัปก่อนหน้านี้ลงไป ก็เกิดกัปใหม่ เรียกว่า “ภัทรกัป” มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้รวมทั้งสิ้นห้าพระองค์ เริ่มนับจากหลังสิ้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านี้ (องค์ที่สี่) ก็เข้าสู่กลียุค มนุษย์จึงตายมากมาย แต่ไม่ถึงขั้นสูญพันธุ์ (เพราะยังไม่สิ้นกัป) ไปจนถึงการปรับโลกให้ดีขึ้น ดังนี้




    ๑) ช่วงหลังกลียุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่

    ช่วงนี้ มนุษย์ที่รอดตายมีน้อยมาก โดยรอดตายเพราะหนีเข้าป่า เบื่อหน่ายทางโลก ทางโลกแก่งแย่งกันมากมาย จึงตายมากมาย เมื่อตายหมดแล้ว พวกที่หลบอยู่ในป่า ออกมาสร้างโลกใหม่ โดยสร้างค่านิยมร่วมกันว่าจะไม่หลงโลก จะทำความดีละเว้นความชั่ว เมื่อมนุษย์ร่วมมือกันสร้างค่านิยมการดำรงอยู่ใหม่ พวกเขาก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามลำดับ โลกในยุคนี้ไม่มีระบบกษัตริย์ อยู่กันแบบพ่อลูกครอบครัวใหญ่ๆ ไม่มีศาสนา มีแต่จริยธรรม




    ๒) ช่วงพัฒนาจิตวิญญาณมนุษย์

    ช่วงนี้ มนุษย์เริ่มมีอายุขัยยืนยาวขึ้นแล้ว จากเดิมอายุขัยสั้นมาก หลักสิบปีก็ตายแล้ว พอผ่านมาถึงยุคนี้ อายุขัยเริ่มเพิ่มเป็นห้าสิบปี จิตวิญญาณมนุษย์ได้รับการสั่งสอนให้ทำความดีละเว้นความชั่ว พัฒนาดีขึ้นมาตามลำดับ เริ่มมีกษัตริย์ที่มีบุญบารมีลงมาบนโลกมนุษย์ ก่อร่างสร้างทำ พัฒนาด้านต่างๆ มนุษย์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น โลกมีศีลธรรมแต่ยังไม่มีศาสนา ไม่มีผู้ค้นพบสัจธรรม จนพร้อมที่จะเกิดศาสนาพราหมณ์บนโลกมนุษย์




    ๓) ช่วงสร้างศาสนาพราหมณ์

    ช่วงนี้ มนุษย์มีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยปี เหมาะสมที่จะสร้างศาสนาพราหมณ์ได้ จึงเกิดศาสนาขึ้น หลังจากมีระบบกษัตริย์แล้ว กษัตริย์สนพระทัยในศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่นี้ และให้การสนับสนุนศาสนาพราหมณ์ จนแพร่หลายเป็นที่ยอมรับของชาวโลกไปทั่ว มีผู้ค้นพบสัจธรรมหนึ่งท่านคือพระศิวะ แต่ไม่มีบารมีพอที่จะเผยแพร่ในวงกว้างได้ จึงตั้งจิตปรารถนาจะไปเผยแพร่สัจธรรมในอนาคตชาติ ไม่ยอมเข้าสู่นิพพาน เมื่อละสังขารจุติไปเป็นโพธิสัตว์ที่สุขาวดีโลกธาตุ ทิ้งธรรมต่างๆ ไว้เป็นสมบัติของมวลมนุษย์ต่อไป




    โลกในยุคของพระพรหมนี้ ขอนับหลังจากพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่แห่งภัทรกัปนี้สิ้นสุดลง เข้าสู่กลียุคแล้วมนุษย์ได้รับผลกรรม ลำบากยากเข็ญกันมาก แม้แต่พืชพรรณธัญญาหารที่เคยเกิดเองอุดมสมบูรณ์ ก็ไม่ได้มรรคผลดังเก่าก่อน เคยอยู่ป่ามีผลไม้ป่าได้กินอาศัยไม่ต้องทำไร่ไถนา ก็ต้องทำ เป็นยุคของวัว พระพุทธเจ้าสมณโคดมบำเพ็ญบารมีจากวัว ช่วยชาวนาไถนา มวลสรรพจิตในยุคนี้ จึงต้องกรรมตามนั้น ต้องทำนา จึงจะมีข้าวกิน พระแม่ผู้หล่อเลี้ยงโลก เปลี่ยนองค์ เป็น “แม่โพสพ” ดูแลธัญญาหาร คือ ข้าว มนุษย์ต้องกินข้าวเมล็ดเล็กๆ ค่อยๆ กินอย่างวัว ไม่อาจกินทีเดียวอิ่มไปนานๆ แบบเต่าได้ดังยุคพระกัสสปพุทธเจ้า ที่ยังเหลือผลไม้กินทีเดียวอิ่มบ้าง ธัญญาหารที่ค่อยๆ กิน กินนานจึงจะอิ่มบ้างปะปนกันอยู่ ยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดม ต้องกินอย่างวัว คือ เล็มกินไปเรื่อยๆ ทีละคำ ช้าๆ คือ กินข้าวจึงอิ่ม กินผลไม้อย่างเดียว ทีเดียวไม่อิ่ม จนกระทั่งเริ่มมีศาสนาพราหมณ์ไว้เป็นฐานรอพระพุทธศาสนา เพราะอายุขัยมนุษย์สั้น




    โลกในยุคพระนาราย คือ ยุคแห่งการรักษาพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง มีสามยุค




    จะมีพระนารายอวตารลงมาช่วยโลกมนุษย์ทั้งสิ้น ๑๐ ปาง หรือสิบครั้ง แบ่งเป็นสามระยะ คือ ระยะที่ยังไม่มีพุทธศาสนา, ระยะสร้างพุทธศาสนาและระยะสิ้นพุทธศาสนา ดังนี้




    ๑) ช่วงก่อนพุทธศักราช ระยะการรักษาโลกโดยพระนารายแปดปาง

    ช่วงนี้ พระนารายจุติลงมาเป็นกษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ รักษาโลกและศาสนาพราหมณ์ไว้ ให้พ้นจากภัยอสูรที่ร้ายกาจ โลกจะดำรงอยู่ได้ด้วยการจุติลงมาปราบอสูรของพระนาราย และอาศัยธรรมจากศาสนาพราหมณ์ จนกระทั่งศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง การปฏิบัติไม่ถูกต้อง พระนารายปางที่เก้าจะจุติลงมาสอนธรรมมนุษย์ให้ถูกต้อง คือ พระพุทธเจ้า




    ๒) ช่วง ๘๐ ปี ก่อน พ.ศ. ๑ ระยะเริ่มต้นของการสร้างพุทธศาสนา

    ทางพราหมณ์จะอาศัยพระพุทธเจ้าและนับถือพระพุทธเจ้า เป็นดั่งมหาเทพจากพรหมโลก คือ พระนารายปางที่เก้า ซึ่งก่อนหน้านี้ จะมีศาสนาพราหมณ์อยู่ก่อนแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจะออกบวชเป็นพราหมณ์ ศึกษาพราหมณ์ จากพราหมณ์ผู้เป็นครูสำคัญสองท่าน แล้วจะตรัสรู้ธรรมด้วยตนเอง ประกาศศาสนาใหม่ แก้ไขหลักธรรมพราหมณ์เดิมที่เสื่อมลงและผิดเพี้ยนไป ให้ถูกต้อง หลังจากนั้น จึงมีพราหมณ์พุทธ ถือศีลแปดเกิดขึ้น




    ๓) ช่วง พ.ศ. ๑ ถึง พ.ศ. ๒,๕๐๐ ระยะสุดท้ายของการรักษาพุทธศาสนา

    พรหมโลกจะส่งพระนารายปางที่สิบเป็นปางสุดท้ายลงมารักษาโลกและพระพุทธศาสนา เมื่อสิ้นระยะนี้ พุทธศาสนาที่แท้จริงจะหมดลงไป สาวกของพระพุทธเจ้าจะไม่เหลืออีก มีแต่ผู้อื่นที่ไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าเอาศาสนาพุทธไป ได้แก่ อสูร, มาร, เทพ, พรหม สี่เหล่านี้ได้ทูลขอพระพุทธศาสนาจากพระพุทธเจ้าแล้ว จะเอาศาสนาไปทำประการใด แตกต่างไปจากเดิมก็แล้วแต่พวกเขา พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว พวกเขาไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าแต่ได้ศาสนาไป จึงเอาไปทำอย่างอื่น ไม่ถูกต้องตรงทาง ศาสนาจะเสื่อมลง




    พระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้รับการรักษาไว้ด้วยเทพพรหมมากมาย ทางพรหมโลกส่งพระนารายมาดูแลพระพุทธศาสนา ทางสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาส่งพญานาคมาเป็น “เทพนักษัตร” ดูแลพระพุทธศาสนาจนถึงปี ๒,๕๐๐ ก่อนเปลี่ยนถ่ายให้แก่อสูรเหล่ามังกร ทางสุขาวดีส่งพระยูไลและพระโพธิสัตว์มาค้ำพระพุทธศาสนาและสร้างพุทธศาสนาแบบมหายาน โดยพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ถูกต้องยังได้รับการรักษา และสืบทอดต่อกันมาโดยพระสาวก ผู้เป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าสมณโคดม คือ บริวารเก่าที่สร้างบุญบารมีร่วมกันกับพระองค์ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จำนวนมาก ทยอยลงมาจุติสานต่อพระพุทธศาสนาสืบๆ กันไปนั่นเอง ทั้งหมดนี้จะอยู่ได้ตั้งแต่ พ.ศ. ๑ ถึง พ.ศ. ๒,๕๐๐ หรือครึ่งหนึ่งของอายุพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอายุเต็ม ๕,๐๐๐ ปี




    หลังจากครึ่งหนึ่งของพระพุทธศาสนาสิ้นสุดลง พระอานนท์ได้ทูลของพระศาสนาไว้ได้เพียงครึ่งหนึ่งให้แก่เหล่าพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก (พราหมณ์พุทธฝ่ายชาย), อุบาสีกา (พราหมณ์พุทธฝ่ายหญิง) โดยภิกษุและภิกษุณีนั้น มีกายทิพย์ข้างในเป็นภิกษุ ภิกษุณีจริงๆ เพราะเป็นสาวกเก่าของพระพุทธเจ้า หลังจากนี้แล้ว พระภิกษุภิกษุณี จะมีกายทิพย์ข้างในเปลี่ยนไป เป็น เทพ, พรหม, อสูร, มาร เพราะหมดยุคของพุทธบริษัทสี่ของพระพุทธเจ้า เข้ายุค เทพ, พรหม, อสูร, มาร มาดูแลพระพุทธศาสนาแทน พระพุทธศาสนาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นไป ไม่เหมือนเก่าก่อน ดูเปลือกนอกคนไม่รู้ ต้องดูแก่นข้างใน กายในกาย กายทิพย์ของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นเทพ, พรหม, อสูร, มาร มากมาย แทบไม่เหลือผู้ที่มีกายทิพย์เป็นภิกษุ, ภิกษุณี (กายทิพย์เทวดาชั้นยามา) จากนั้น ก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือเลย พระอรหันตสาวกจะไม่มีอีก แต่มีผู้บรรลุอรหันต์ แบบอรหันตโพธิสัตว์แทน จะนิพพานต้องนิพพานแบบพระปัจเจกฯ




    โลกในยุคพระศิวะ คือ ยุคแห่งการชำระล้างโลกอย่างสมดุล แบ่งออกเป็นสี่ระยะ




    สามภพนี้จะหายนะ ถ้ามีแต่กระบวนการสร้างและรักษา เพราะสิ่งต่างๆ จะล้นโลก มนุษย์จะอยู่กันไม่ได้ ล้นโลก หาอะไรกินก็ไม่มีเพราะมากเกินไป ทรัพยากรไม่เพียงพอ จำต้องมีกระบวนการทำลายล้าง ชำระล้างโลกให้เข้าสู่ภาวะสมดุล จึงจะอยู่ต่อไปได้ ดังนี้




    ๑) ช่วงปี พ.ศ. ๒,๕๕๐ ระยะเริ่มต้นของการทำลายล้างอย่างสมดุล

    พระศิวะจะลงมาเต็มกำลังไม่ได้ เพราะพลังทำลายล้างจะมากเกินพอดี จะต้องลงมาในนิรมาณกายแบบตรีมูรติ คือ เอาพลังพรหมและพิฆเนศมาผสมเพื่อลดสัดส่วนของพลังพระศิวะลง เป็นพลังศิวะเพียงหนึ่งในสามส่วน การทำลายล้างจะเกิดเพียงหนึ่งส่วนสามของกำลังทั้งหมด นิรมาณกายแบบตรีมูรตินี้ จะเป็นพลังผสมแบบพรหม, ศิวะ, นารายไม่ได้ เพราะหมดยุคของพระนารายแล้ว หากตรีมูรติได้พลังเต็มทั้งสามเศียร คือ พรหม, ศิวะ, นาราย แล้ว จะมีอำนาจมาก ศาสนาพราหมณ์จะมาแทนที่พระพุทธศาสนาเต็มที่ ซึ่งยังไม่ถึงเวลา จึงต้องเป็นตรีมูรติที่มีกำลังน้อยลง เป็นพลังผสมพรหม, ศิวะ, พิฆเนศ เมื่อทำลาบล้างแล้ว จะสร้างใหม่ ยังมีศาสนาพุทธอยู่ แต่ผู้ครองได้ต้องเก่งกล้า ตัวเล็กตัวน้อยไม่อาจอยู่ได้ สัตว์นรก, เปรต ไม่มีบุญได้อยู่ มีแต่มาร, เทพ, พรหม, อสูร อยู่ได้ มีทางนิพพาน แต่ต้องทำเองแบบปัจเจกพุทธเจ้า ได้แล้วอยู่บนโลกไม่ได้ต้องตาย




    ๒) ช่วงปี พ.ศ. ๓,๕๐๐ ระยะกลางของการทำลายล้างจนสิ้นสาวก

    พระศิวะจะลงมาหนึ่งในสองส่วน นิรมาณกายครึ่งศิวะครึ่งพิฆเนศ พลังพรหมหายไป ความเมตตาจะลดลง เพื่อเร่งให้กระบวนการทำลายล้างเข้าสู่ยุคตามที่ควรจะเป็น เหล่าผู้ยอมเป็นบริวารจะอยู่ยาก เหลือแต่ผู้เก่งกาจด้วยฤทธิ์เดช แต่ไม่มีความสงบสุข ต่างแก่งแย่งแข่งขันทำลายล้างกันไม่จบสิ้น ตัวใหญ่อยู่รอด ตัวเล็กไม่รอด พลังพรหมไม่มี จึงช่วยเหล่าตัวเล็กตัวน้อยไม่ได้ มีแต่ตัวใหญ่อยู่รอดได้ด้วยฤทธิ์ของตนเอง โลกไม่ค่อยสงบสุข แต่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเหลืออยู่ ยังมีแบบแผนของพุทธศาสนาเหลืออยู่




    ๓) ช่วงปี พ.ศ. ๔,๕๐๐ ระยะสุดท้ายของการทำลายล้างโดยพระศิวะ

    พระศิวะจะลงมาเต็มกำลัง คือ หนึ่งในหนึ่งส่วน นิรมาณกายศิวะเต็มบารมี พลังพรหมและพิฆเนศไม่มี และไม่อาจคุมได้อีก กระบวนการทำลายล้างจะรุนแรง โดยพระกาลี แต่มีพระศิวะคอยดูแลควบคุมไม่ให้รุนแรงเกินไป ผู้ชายจะไม่เอาไหน ขี้ขลาด ผู้หญิงจะครองโลก ปกครองเอง ดุร้าย ผู้ชายดีๆ หนีไปบวช ไปอยู่ป่า ลาทางโลก พระพุทธศาสนาจะเหลืออยู่แต่แทบหาประโยชน์ไม่ค่อยได้ต้องเร่งปฏิบัติด้วยตนเอง ก่อนไม่เหลือพระธรรมที่ถูกต้องอยู่เลย ช่วงนี้ พลังพระศิวะยังพอมีคานกับพระกาลีได้ โลกจะยังไม่เข้ากลียุค




    ๔) ช่วงปี พ.ศ. ๕,๕๐๐ ระยะการทำลายล้างจนเกือบสูญพันธุ์ (กลียุค)

    คือ หลังปี พ.ศ. ๕,๐๐๐ ไปแล้ว พระพุทธศาสนาสิ้นสูญลง แล้วต่อไปอีกถึง ๕๐๐ ปี เป็นยุคของพระกาลี คือ กลียุค ไม่มีพระศิวะที่มีบารมีมากพอมาควบคุมได้เท่าเดิมอีก จะเกิดการทำลายล้างโดยพระกาลีเต็มกำลัง แผ่นดินสะเทือน ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ บนโลกแปรปรวนหนัก และเข้าสู่การล้างยุคสมัย เป็นกลียุค หรือยุคของเจ้าแม่กาลีโดยสมบูรณ์



    อนึ่ง ยุคของพระศิวะจบลงในสามช่วงแรก ที่ยังเหลือพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่ศาสนาที่บริสุทธิ์ดุจเดิมดังเก่าก่อน เป็นศาสนาที่ถูกดัดแปลงไปให้เหมาะสมกับเหล่ามาร, เทพ, พรหม, อสูร ตามใจของเขาเหล่านั้น เพราะได้รับพุทธานุญาตจากพระพุทธเจ้าแล้ว จึงไม่มีใครห้ามได้ ในยุคสุดท้าย คือ ระยะที่สี่ ไม่ใช่ยุคของพระศิวะอีกต่อไป การทำลายล้างจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เต็มกำลัง โดยพระกาลี หรือเจ้าแม่กาลีนั่นเองพระศิวะจะลงมากั้นก่อนพระกาลีทำลายโลกเท่านั้น เมื่อทำลายล้างแล้ว มนุษย์จะยังไม่สูญพันธุ์ แต่จะเหลือน้อยมาก ที่เหลือรอดจะกลับตัวกลับใจ สร้างยุคสมัยใหม่รอพระศรีอาร์ฯ ต่อไป



    ยุคสุดฤทธิ์สุดเดชนี้ ควรอยู่บนโลกนี้กันอย่างไร?




    เมื่อผู้เขียนสับสนและเกิดความสงสัยขึ้นในใจเรื่องของยุคสมัย เพราะงงว่าเป็นยุคของพระศรีอาริยเมตตรัยหรือไม่ เพราะยังไม่ใช่วาระที่ท่านจะมาตรัสรู้ แต่ท่านก็จะลงมาค้ำพระพุทธศาสนา เลยงงว่าเป็นยุคของใครกันแน่ อาจารย์สอนธรรมท่านหนึ่ง ก็สนทนากับผู้เขียนโดยที่ผู้เขียนไม่เคยพูดถึงความสงสัยในใจนี้เลย ท่านก็บอกออกมาทันทีว่า “ยุคพันมือ” แต่ผู้เขียนก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี เพราะพันมือนั้นหมายถึงโพธิสัตว์ภาคปราบ หากให้ยุคนี้เป็นยุคพันมือแล้วเทพ, พรหม, อสูร, มารคงอยู่ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เจตนาของผู้เขียน เพราะผู้เขียนทำกิจตามพุทธบัญชา ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตแล้วว่าให้สรรพสัตว์ทั้งสี่เหล่าดูแลพระพุทธศาสนาของท่านต่อไป คือ เทพ, พรหม, อสูร, มาร




    ดังนั้น จึงเพียรพยายามต่อไป พบอาจารย์สอนธรรมอีกท่าน ได้กล่าวคำหนึ่งมาว่าพวกเราเดี๋ยวนี้มีแต่สุดฤทธิ์สุดเดชกันทั้งนั้น เลยรู้สึกว่าน่าจะครอบคลุมกว่า คือ สุดฤทธิ์สุดเดชนั้น น่าจะครอบคลุมได้ทั้ง เทพ, พรหม, อสูร, มาร จริงๆ จึงขอเรียกชื่อเล่นยุคนี้ว่าเป็นยุค “สุดฤทธิ์สุดเดช” ก็แล้วกัน ดังจะอธิบายความหมายให้กระจ่างต่อไป




    ยุค “สุดฤทธิ์สุดเดช” หมายถึงอย่างไร

    หมายถึงยุคที่มีผู้มีบุญ, มีฤทธิ์มากเกิดมาก ซึ่งได้แก่ เทพ, พรหม, อสูร, มาร มาเกิดมาก ทำให้มีแต่คนที่มีฤทธิ์มาก ไม่ก็บุญบารมีมาก กันทั้งนั้น ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครก้มเป็นสาวกของใครอย่างแท้จริง ดูง่ายๆ ก็ได้ ทุกบริษัท มีไหมที่จะผูกพันพนักงานไว้ได้ตลอดชีพก็ไม่มี จะเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อนายคนเดียว เรียกว่าชาตินี้ทั้งชาติขอมีนายเดียวนั้นน่าจะไม่มีอีก ไม่เหมือนยุค ๒๕๐๐ ปีที่ผ่านมา ที่มีพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้ามาเกิด มีสาวกคือ คนที่มีจิตพร้อมเป็นสาวกเป็นบริวารข้าทาสผู้อื่นโดยจำนนโดยดี ยอมโดยง่ายนั้นหาไม่มีแล้ว อีกอย่างเราปลดทาสกันหมดแล้ว คงหาคนเช่นนั้นไม่ได้ ปัจจุบัน คนที่มาเกิดมีแต่เก่งกาจกันทั้งนั้น จึงเรียกว่ามีฤทธิ์มีเดช มีบุญ มีบารมีกันมาเต็มไปหมด




    เมื่อแต่ละคนก็มีดีในตัว แล้วเรายังต้องการจักรพรรดิอีกไหม

    จักรพรรดิจำเป็นสำหรับสนับสนุนทางโลก แต่ไม่จำเป็นต้องมีเสมอไปในพระพุทธศาสนา เช่น ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านประกาศพระธรรมไป ๗ แว่นแคว้น ไม่มีแว่นแคว้นไหนที่เรียกหรือนับได้ว่าเป็น “จักรพรรดิ” ที่แท้จริงเลย ทั้ง ๗ แว่นแคว้นนั้น ไม่ได้มีอาณาเขตไพศาลจนพระราชาองค์อื่นต้องสยบก็หาไม่ แต่เข้าข่ายอยู่ร่วมกันได้โดยธรรม เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านำสันติมาให้ต่างหาก คือ ทุกองค์เป็นพระธรรมราชา ไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ ในประวัติศาสตร์โลก พระเจ้าจักรพรรดิ มีหลายองค์ เช่น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ทรงยึดเมืองได้มากมาย ขยายอิทธิพลรุกเข้ามาถึงอินเดีย และส่งผลร้ายต่อศาสนาในอินเดียด้วย ในประเทศจีน เจงกีสข่าน ก็นับได้ว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ขยายอาณาเขตไปจนไม่มีใครกล้าต้านทานได้ ทว่า แม้เขาจะให้การยอมรับศาสนาทุกศาสนา ซึ่งสมัยนั้นหาได้ยากที่จะมีพระราชาองค์ใดให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาได้ขนาดนั้น ทว่า ตลอดเวลาที่กรำศึกสงครามมา มีแต่ความไม่สงบ ผู้คนตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว ศาสนาจึงไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง แม้แต่ที่ประเทศอินเดียก็มีจักรพรรดิองค์หนึ่งมาเกิด คือ “พระเจ้าอโศกมหาราช” ได้ทำการสนับสนุนพุทธศาสนามากมาย ทว่า สิ่งที่ท่านทำนั้น หลายอย่างเป็นไปเพื่อการเอาศาสนามาร่วมใจคน ท่านได้สร้างหลักฐานมากมายเพื่อบ่งบอกว่า “อินเดีย” คือ ชมพูทวีป เพราะท่านได้ครองอินเดีย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในสมัยพุทธกาล “ชมพูทวีป” คือ อาณาเขตจากไหนถึงไหนกันแน่ เพราะประเทศไทยปัจจุบันของเราไม่ใช่อินเดีย แต่กลับมีศาสนาพุทธและพราหมณ์รุ่งเรืองมาแต่โบราณกาลเช่นกัน นี่กำลังบอกว่าพระเจ้าจักรพรรดิ บางครั้งอาจทำสิ่งที่ไม่เข้าใจในศาสนาที่ทรงกำลังสนับสนุนอยู่ก็ได้ ต่างจากพระธรรมราชาที่ทรงเข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง เช่น พระธรรมราชาลิไท แห่งอาณาจักรสุโขทัย ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนา และเขียนตำราไตรภูมิพระร่วงด้วยตนเอง นี่คือ สิ่งที่แตกต่างกัน




    ขอย้ำอีกครั้งว่าพระพุทธศาสนาของเราในสมัยพุทธกาล ได้รับการสนับสนุนโดยพระธรรมราชา ๗ แว่นแคว้น ไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่งที่ยึดครองทีเดียวเจ็ดแว่นแคว้น ด้วยพระธรรมอันชุ่มเย็นของพระพุทธเจ้าทรงดับความร้อนแห่งภัยสงคราม และพระราชาทั้งเจ็ดนั้นก็ไม่ทรงแก่งแย่งกันเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มิทรงทำสงครามแย่งอาณาเขตกันเพื่อยกตนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ทั้งปวงก็หาไม่ ดังนั้น สรุปได้ทันทีเลยว่าพระราชาทั้งเจ็ดแว่นแคว้นที่สนับสนุนพุทธศาสนานั้น เป็นพระธรรมราชาไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ คือ ศาสนาพุทธ ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าจักรพรรดิ ในศาสนาพุทธบางสมัยของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ ท่านอาจมีพระเจ้าจักรพรรดิมาจุติ เช่น ในยุคพระศรีอาริยเมตตรัยจะมีหนึ่งองค์ เป็นใหญ่และครองอาณาเขตมากมาย คอยสนับสนุนพุทธศาสนาอยู่ แต่สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่กับพระเจ้าจักรพรรดิ แต่อยู่กับพระธรรมราชา ๗ แว่นแคว้นต่างหาก ความเชื่อที่ว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะจุติลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อสนับสนุนพระพุทธศาสนานั้น จึงเหมือนเป็น “หลุมพราง” คอยล่อดักผู้อยากเป็นใหญ่ หรือสิ่งลองใจคน ว่าบุคคลผู้มีบุญบารมีจะหลงตัวเอง อยากเป็นใหญ่ หรือมีปัญญารู้สิ่งที่ควรไม่ควรมากกว่ากัน เพราะการที่จะเกิดพระเจ้าจักรพรรดิได้ในยุคนี้นั้น ยากนักที่จะไม่มีการสงคราม ไม่เหมือนในสมัยโบราณจริงๆ ที่พระเจ้าจักรพรรดิเกิดมาโดยผลบุญ ไม่ต้องทำสงครามผู้คนก็เกรงกันแล้ว




    ปัจจุบันยิ่งเปลี่ยนไปใหญ่ จากยุคที่คนมีบุญมากได้เจอพระเจ้าจักรพรรดิ ก็เสื่อมลงมาถึงยุคพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ที่ไม่มีพระเจ้าจักรพรรดิมาค้ำ แต่มีพระธรรมราชาเจ็ดองค์ลงมาแทนอยู่กันอย่างสันติได้ มีพระพุทธเจ้าเป็นศูนย์รวมใจไม่เบียดเบียนกันนั้น ถึงกลางกึ่งพุทธกาลก็เสื่อมลงไปอีก ปัจจุบัน แม้ไม่มีพระธรรมราชาเจ็ดองค์ดังเก่าก่อนแล้ว ถามว่าพระศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า เทพ, พรหม, อสูร, มาร ทั้งหลายนี้ ล้วนเป็นผู้ “สุดฤทธิ์สุดเดช” ทั้งนั้น ไม่มีใครเอาลงได้ง่ายๆ พวกเขาไม่ผิด ได้รับพุทธานุญาติโดยชอบธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว บางส่วนครอบงำเอาไปทำแบบที่ตนคิด ก็ไม่มีใครจัดการเขาได้ ดังนั้น เขาก็อยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง ในแบบของเขาเอง เพราะเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการถูกปราบโดยพระเจ้าจักรพรรดิ ดังนั้น เขาย่อมต้องช่วยตัวเอง พิจารณาตัวเอง เบื่อความเป็นตัวเอง (เช่น ความเป็นมาร เป็นอสูร) เมื่อไรก็เป็นเวลาที่จะหลุดพ้นจากความเป็นสุดฤทธิ์สุดเดชนี้ เข้าสู่ธรรมะ คือ ความเป็นธรรมดาเสียที และยินดีที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสมถะ สงบ เรียบง่ายต่อไป ดังนั้น พระเจ้าจักรพรรดิที่จะมาปราบสัตว์สี่เหล่านี้ให้สยบจำนน แล้วเปลี่ยนพวกเขาให้ปฏิบัติถูกต้องตรงทางจึงไม่จำเป็น เขาเก่งกล้านัก ก็อยู่ได้ด้วยตนเองสิ ไม่ยอมเป็นสาวกใครง่ายๆ อยู่แล้วนี่นะ ก็อยู่ไปอย่างใจอยากอย่างนั้น เบื่อเมื่อไร ก็จะเข้ามาสู่ทางธรรมที่ถูกต้องตรงทางเอง




    ไม่มีประโยชน์ที่จะปราบพวกมิจฉาทิฐิ เพราะทุกสิ่งย่อมมีเวลาของมัน ผลไม้จะเร่งให้สุกไม่ได้ ตราบเมื่อมันแก่เต็มที่ มันก็พร้อมที่จะสุกเอง ดังนั้น การเร่งปราบให้เขายอมจำนน แบบเจงกิสข่านทำ ก็ไม่อาจเร่งให้พวกเขาได้ถึงธรรมได้ อุปมาดั่งใช้ฤทธิ์ของตนเด็ดดึงผลไม้ที่ยังไม่แก่เอามาก่อนวัย เมื่อบ่มแล้วจนสุกก็กินไม่ได้อยู่ดี สู้เอาเวลาไปนั่งสงบอยู่ด้วยขันติธรรม รอจนกว่าพวกเขาจะเบื่อหน่ายด้วยตัวเอง ก็ออกมาจากความเป็นสุดฤทธิ์สุดเดชเอง มารก็เทพก็ไม่ถูกกัน ก็ตีกันเสมออยู่แล้ว พรหมกับอสูรก็เป็นศัตรูกันอีก ดังนี้ ไม่มีใครในสี่เหล่านี้หรอกที่สุดฤทธิ์สุดเดชแล้วจะได้ชัยไปตลอดกาล รบกันไป ทะเลาะกันมา ไม่จบสิ้น จนถึงจุดหนึ่ง ก็จะ “เบื่อหน่าย” เอง ที่นี้ก็มาเก็บผลไม้ที่แก่จัดเอาไปบ่มเพาะ ก็สุกได้กินไม่ยากเลย การเป็นเจ้าจักรพรรดิที่มีอำนาจปราบคนได้ทุกคน สั่งการใครก็ได้ แต่ไม่อาจทำให้คนได้ถึงธรรมจริงได้ ดังผลไม้ไม่แก่ ถูกเด็ดเอามาบ่มนั่นแล




    ดังนั้น การกระทำในคราวนี้ จึงควรกระทำด้วยการละเว้นการกระทำเสีย คือ “กระทำโดยไม่กระทำ” เป็นโดยไม่ต้องเป็น, ดูแลโดยไม่ต้องดูแล, สอนโดยไม่ต้องสอน ดังนี้เทอญ

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/11/04/entry-2

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2010
  9. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    ดีค่ะได้ความรู้ต่างๆมุมขึ้นมาเยอะเลยค่ะ
     
  10. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    ขอบคุณและอนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ ในข้อมูลที่ให้มาครับ
     
  11. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ศาสนาพุทธให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตนเอง ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น สิ่งอื่น เทพอื่นๆ
    ในลัทธิฮินดูพราห์ม มีเทพเจ้าอยู่หลายร้อยหลายพันหลายหมื่นองค์
    ถ้าเทพเจ้ามีจริง ก็ต้องมีเทพเจ้าของอเมริกาด้วย แต่ไม่รู้กี่องค์เช่น เทพซีอุส เป็นต้น
    แต่เทพเจ้าของเขาก็บันดาลให้อเมริการวย แต่ไทยทำไมถึงจน หรือ เทพของเราไม่เก่ง ความรู้หรือฤทธิ์สู้เทพของฝรั่งไม่ได้
    นี่ยังไม่นับเทพของประเทศต่างๆอีก200ประเทศทั่วโลก
    งานโอลิมปิกเทพจัดกันที เทพเจ้าจะเดินชนกันตาย ฮา
     
  12. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,941
    คนเราเกิดมาต่างมีกรรมเป็นเครื่องกำหนด
     
  13. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    คุณ Dogsman

    สิ่งที่คุณสาธารยายมาทั้งหมด เป็นสิ่งที่เหนือสามัญวิสัย ยากที่จะรับรู้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หากผู้นั้นไม่มีคุณวิเศษ (ตัวรู้) ทำให้ต้องระมัดระวังในการนำเสนอ การเปิดเผยความลับเบื้องบนบางอย่างในบางเหตุการณ์ หาำกไม่ถูกวาระ กาละ และเทศะ ย่อมจะทำให้เกิดการสงสัยและนำไปสู่การปรามาสได้ เพราะความไม่รู้เป็นเหตุ ซึ่งก็ได้มีการนำไปเทียบเคียงกับศาสนาอื่น และส่งผลให้เกิดการเพ่งโทษโดยไม่รู้ตัว

    สิ่งที่คุณนำเสนอเหมาะกับกลุ่มผู้ที่สามารถเข้าถึง และสัมผัสจิตวิญญาญของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ผมต้องใช้จิตสัมผัสตามทุกถ้อยวลีคำและประโยคที่คุณนำเสนออย่างพินิจวิเคระห์ ซึ่งเจ้าของบทความไม่ใช่คนธรรมดาเลย ที่สามารถร้อยเรียงได้อย่างนี้ ผมติดตามบทความของคุณโดยมาตลอด จะมีใครซักกี่คนที่สามารถทำอย่างคุณได้ แต่ก็ใช่ว่าจะตรงกับความคิดเห็นของผมเสียทั้งหมด บางอย่างแต่ส่วนน้อยที่ผมก็ไม่เห็นด้วย อันนี้ขอชมเชยจากใจจริง

    ขอให้ท่านเจริญในธรรมและมีบารมีสูงมากยิ่งๆ ขึ้น
    ขออนุโมทนากับบทความดีๆ
    ขอเป็นกำัลังใจให้เกิดสัมฤทธิผล



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2010
  14. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    อ่านแล้วก็เพลินดี...(ขำกลิ้งไป 2-3 รอบ)
    แต่อย่างที่หลายท่านได้กล่าวก็คือ บางอย่างในบางเหตุการณ์ก็ถูกเปลี่ยนไป เขียน Plan กันวันนี้พรุ่งนี้สถานการณ์เปลี่ยนก็จับต้องประชุม...จิบน้ำชาคุยกันใหม่เปลี่ยน Plan ใหม่....:cool:

    "..ดึงคนจำนวนมากเข้ามาทำบุญส่งกำลังบุญหนุนประเทศ แต่ประเทศมีกรรมมาก พญามารตนหนึ่งจึงเข้ามาแทรกคุมพระกษิติครรภ์ไว้.."
    ...ก็อาจจะไปคุมพญามารอีกทีนึง...กลัวทำเกินขอบเขตนะ

    ...อะนะไม่พูดแล้ว...เดี๋ยวโดนทำโทษไปด้วยจ้า.....จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2010
  15. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ทศวรรษ ๒๕๐ ยุคแห่งการบำเพ็ญเทพพรหม




    การทรงเจ้า เป็น มิจฉาอาชีวะ ตามคำเตือนของพระพุทธเจ้าแก่เหล่าสาวก เพื่อให้เหล่าสาวก ทั้งอุบาสกอุบาสีกา เร่งปฏิบัติธรรมสู่นิพพาน ไม่ต้องบำเพ็ญเป็นเทพพรหมอีกต่อไป ทั้งยังตัดชาติภพให้แก่เหล่าพระภิกษุ ภิกษุณี และสามเณรได้อีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระพุทธเจ้ามีอายุเพียง ๘๐ พรรษา อีกทั้ง พระศาสนาของพระองค์มีอายุสั้นเพียง ๕,๐๐๐ ปี โดย ๒,๕๐๐ ปีแรก พระสาวกแท้ๆ ที่เคยบำเพ็ญบารมีแล้วตั้งความปรารถนาเป็นบริวาร นิพพานในกาลแห่งพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ได้หมดลงแล้ว หมายความว่า ยุคแห่งการนิพพานได้หมดลง ในช่วงก่อนปีพุทธศักราช ๘๐ ปี (ช่วงพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่) ถึง ๒,๕๐๐ ปี ถัดจากนี้ไป เวไนยสัตว์ที่มาจุติล้วนไม่ใช่สาวกบริวารที่ตั้งความปรารถนานิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมทั้งสิ้น ทว่า มนุษย์ทุกคนเลือกได้ ตัดสินใจใหม่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ อนิจจังไม่เที่ยง สามารถตั้งจิตตั้งใจหวังเอานิพพานเฉพาะหน้าเฉพาะชาตินี้ เดี๋ยวนี้ได้ โดยทุ่มทิ้งผลบุญตัดกรรม ชำระใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรให้หมดกันไป ไม่สืบบุญสืบกรรมต่อชาติต่อภพ ไม่บำเพ็ญบุญบารมีเพื่อต่อชาติต่อภพ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อตัดชาติตัดภพ เอาบารมีมาปฏิบัติจิตเพื่อนิพพาน อย่างนี้ก็พึงหวังกันได้ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ตั้งความปรารถนาที่แน่ชัด เช่น ยังไม่ได้ตั้งความปรารถนาจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้ตั้งความปรารถนาจะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด การตั้งจิตตั้งใจนิพพาน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ชาตินี้เลย ก็ยังพอมีทางอยู่




    ทว่า ก็มิได้บังคับว่าทุกท่านจะต้องเดินตามรอยนี้ จะต้องบังคับให้นิพพานทุกคนก็หาไม่ มนุษย์เกิดมาเลือกก่อกรรมปัจจุบันเพื่อสร้างกรรมใหม่ เดินทางตามรอยใหม่ของตนต่อไปได้ตามที่ตนจะปรารถนา ไม่อาจบังคับหักห้าม หรือขวางกั้นผู้ใดแต่อย่างใด ทั้งนี้ หลังปี ๒,๕๐๐ แล้ว เวไนยสัตว์จำนวนมากที่มาจุติเป็นมนุษย์ จะแบ่งเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งมีความปรารถนาที่ชัดเจนว่าจะนิพพานในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ เช่น เป็นบริวารของพระศรีอาริยเมตตรัย กลุ่มที่สอง คือ ไม่มีความปรารถนาชัดเจน ไม่ทราบไม่รู้ เพิ่งมีบุญถึงพุทธศาสนาบ้าง เพิ่งออกจากนรกอยากพ้นทุกข์เร็วๆ บ้าง เหล่านี้ ก็สามารถตัดลัดตรงเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้ด้วยการสร้างกรรมบำเพ็ญบารมีขึ้นในปัจจุบันแล้วอธิษฐานของแรงบุญหนุนเอานิพพานในชาตินี้เลย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่ม มิจฉาทิฐิ ที่ไม่สามารถสอนได้จริงๆ มีความปรารถนาที่แปลกแตกแยกออกไปตามแต่สิทธิส่วนบุคคลพึงจะปรารถนา ไม่อาจห้ามกันได้ เช่น กลุ่มมารที่ต้องการแค่มาอยู่เอาบุญเลี้ยงตัวให้ตนขึ้นสูงเหนือผู้อื่น ไม่สนใจเรื่องนิพพานก็มี ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าพระพุทธเจ้า ทรงประทานพุทธศาสนาของพระองค์ให้ครบพร้อมหมดทั้ง ยักษ์, มาร, เทพ และพรหม โดยเท่าเทียมกันหมด อันว่ายักษ์มารจะมาครองพุทธศาสนาทั้งหมดไปแต่ส่วนเดียวก็ไม่ได้ เทพพรหม จะไล่ยักษ์มารออกไปเสียจากพุทธศาสนาทั้งหมดก็หาได้ไม่ เพราะถือว่าไม่เคารพพระพุทธโอวาท ดังนั้น ทุกท่านที่มีจิตเทพก็ดี , มารก็ดี, ยักษ์ก็ดี, พรหมก็ดี มาจากภพภูมิที่ต่ำจากนี้ก็ดี พึงเข้าใจพุทธประสงค์นี้ด้วยโดยทั่วกัน




    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ยุคพุทธบริษัทสี่ บริวารสาวกแท้จริงของพระพุทธเจ้าสมณโคดมหมดลงไปแล้ว แต่พระพุทธศาสนายังไม่หมดอายุขัย ด้วนการต่อยอดต่อบุญต่อกรรมขององค์โพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัย พระพุทธศาสนายังมีอายุขัยยืนยาวต่อไปได้ ด้วยหวังเป็นดังพุทธประสงค์ คือ ครบ ๕,๐๐๐ ปี ก่อนที่โลกจะเข้าสู่กลียุค มนุษย์จะเข่นฆ่ากันกินเนื้อกันเองอย่างโหดร้าย ด้วยเหตุนี้ ยุคหลัง ๒,๕๐๐ ปีนี้ จึงเป็นยุคแห่งการบำเพ็ญบารมี ของเทพ, พรหม, ยักษ์, มาร และช่วงสุดท้ายของเวไนยสัตว์ที่ไม่มีกำลังที่จะบำเพ็ญบารมี ได้ตัดลัดตรงเป็นสาวกแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ดังนั้น จึงพบว่าช่วงปี ๒,๕๕๐ นี้ มีคนทรงเจ้า ที่จัดอยู่ในกลุ่มมิจฉาอาชีวะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ จึงต้องเข้าใจด้วยว่าการหาลาภสักการะจำนวนมากอาจเข้าข่ายมิจฉาอาชีวะ แต่ก็ไม่อาจห้ามกันได้ในกลุ่มคนที่มีกรรมต้องชดใช้กัน ก็ต้องให้เกิดการชดใช้กรรมกันก่อนระดับหนึ่ง ไม่อาจต้านทานแรงกรรม จากนั้นจึงค่อยสอนว่า การทรงเจ้าที่ไม่ใช่มิจฉาอาชีวะนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งปัจจุบัน คนทรงเจ้าที่ดีก็มีเหมือนกัน คนกลุ่มเหล่านี้ บ้างรับขันธ์แต่ไม่มีการทรงเจ้าแต่อย่างใด ได้แต่บำเพ็ญบารมีสร้างวัดสร้างสาธารณกุศลก็มี ดังนั้น จึงขอให้อย่ายึดมั่นถือมั่นใดๆ จงใช้สติปัญญาแยกแยะตามเหตุผล ณ ปัจจุบัน เป็นสำคัญ




    การบำเพ็ญเพียรในยุคเทพพรหม (รับขันธ์บำเพ็ญบารมี แต่ไม่มีการทรงเจ้า)




    ๑) ให้เร่งชดใช้กรรม ด้วยการสร้างบุญบารมี แล้วอธิษฐานเอาผลบุญไปใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรให้หมด แล้วเร่งปฏิบัติจิตละกิเลส ความโลภ, โกรธ, หลง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้าแต่น้อยก็สามารถบรรลุธรรมได้ง่าย

    ๒) เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว ให้บวชภายในเจ็ดวัน จะไม่ละสังขารตาย กรณีนี้ คือ ปรารถนานิพพานในชาติปัจจุบัน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แล้วปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยเคร่งครัด อย่าสานต่อบุญกรรม ให้ลอยบุญลอยบาป เลิกทั้งกรรมดีกรรมชั่วทั้งมวล ทำแต่กิจของสงฆ์ที่ควรทำไป ชาติภพใหม่จะไม่เกิดอีก ไม่ต่อสืบชาติภพใหม่ได้อีก จะได้นิพพานแน่แท้ หากออกนอกทาง จะไม่ได้

    ๓) เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว หากไม่ปรารถนาจะเป็นอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ปรารถนาจะบำเพ็ญบุญบารมีไปต่อ เพื่อความปรารถนาส่วนตน เช่น ปรารถนาพุทธภูมิ (ปรารถนาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ให้อย่ารีบบวชพระ ให้อดทนไประยะหนึ่ง แล้วรับขันธ์องค์เทพพรหมต่างๆ เพื่อครองขันธ์อยู่ต่อไป (แต่อย่างทรงเจ้า) จะไม่ตายภายในเจ็ดวัน แต่จะมีอาการทางกายบ้าง เช่น คล้ายๆ จะไม่กินอาหารจะปลงสังขาร จะละสังขาร ต้องให้รีบบำเพ็ญบารมีมากๆ จะไม่ตาย บารมีจะเกิดอย่างรวดเร็ว บำเพ็ญจนเต็มส่วนของเทพองค์นั้นๆ หากตายลงจะไปจุติเป็นเทพองค์นั้นๆ (ต้องดูว่ามีผู้อื่นบำเพ็ญเหมือนกันหรือไม่ บารมีเราสูงสุดในฐานะเทพองค์นี้หรือไม่) หากยังมีโอกาสบำเพ็ญอีก ก็บำเพ็ญไปเรื่อยๆ เช่น รับขันธ์องค์นาราย บำเพ็ญสำเร็จ ให้ไต่ระดับไปรับ องค์ศิวะ และองค์พรหม เมื่อบำเพ็ญบารมีมหาเทพทั้งสามองค์เต็มแล้ว ให้ใช้คาถาอธิษฐานรวมบารมี คือ “โอม ตรีมูรติ”ๆๆๆ ซ้ำๆ ตรวจดูด้วยตาทิพย์ จะเห็นกายมหาเทพทั้งสามองค์ประสานรวมเป็นหนึ่ง ถามกายทิพย์นั้นว่าท่านคือใคร จะตอบว่าตรีมูรติ เป็นต้น แสดงว่าได้รวมบารมีให้เต็มส่วนมหาเทพแล้ว ให้บำเพ็ญไล่ระดับต่อไปจนถึงมหาโพธิสัตว์ แล้วบำเพ็ญจากมหาโพธิสัตว์จนถึงพุทธะ คือ องค์ยูไล

    ๔) การบำเพ็ญบารมีนั้น ให้ใช้ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ คือ บำเพ็ญทศบารมีทั้งสิบประการ ทั้งนี้ การบำเพ็ญถึงขั้น ๒๐ ทัศ จะต้องถวายอวัยวะ ไม่จำเป็นต้องถวายอวัยวะสังขารธาตุสี่ สามารถถวายอวัยวะทิพย์ได้ เช่น ถวายตาทิพย์ ก็ได้ผลเหมือนกัน นอกจากนี้ การบำเพ็ญบารมีในขั้น ๓๐ ทัศ ก็ไม่จำเป็นต้องตายจริง ไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายจริง ให้ใช้การถวายด้วยจิตวิญญาณ ตายทางจิตวิญญาณ แล้วจุติเกิดใหม่ในกายสังขารเดิมของตน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ การสลายกายทิพย์ เช่น บำเพ็ญบารมีได้สามกาย แล้วรวมกายใหม่เพื่อปรารถนาพุทธภูมิ จะให้ผลเสมือนว่า กายทิพย์สามกายตายไป จุติใหม่ในกายสังขารเดิมของตนเอง เป็นเทพองค์ใหม่ นี่คือ การตายด้วยกรรมฐาน แล้วเกิดใหม่แบบโอปปาติกะทันที ไม่ต้องตายจริง แต่สามารถฟาดเคราะห์สะเดาะกรรม ได้เช่นกัน บารมีจะเต็มถึง ๓๐ ทัศอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่ต้องรับความตายจริงๆ
    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีในพระไตรปิฎกในบางส่วน เพราะไม่ใช่หลักธรรม แต่เป็นกลเม็ดเคล็ดลับ เฉพาะตัวในการบำเพ็ญบารมีให้ได้ผลอย่างยิ่งยวดรวดเร็ว เหมาะสมกับยุคสมัยที่มนุษย์อายุขัยลดลงเรื่อย จนไม่ถึง ๑๐๐ ปี ยากแก่การสอนธรรมะเพื่อพระนิพพาน ไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมในไตรปิฎก เพราะเป็นของใหม่ที่บางส่วนไม่มีในไตรปิฎก ดังนั้น ขอให้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองดูก่อน แล้วจึงสรุปเป็นการส่วนตัว รู้เฉพาะส่วนตน ว่าได้ผลจริงหรือไม่ อนึ่ง เมื่อสร้างบารมีจนเกิดกายทิพย์ยูไล (พุทธะ) ขึ้นในกายสังขารเดิมของตนแล้ว ให้บวชเข้ามาทำกิจทางพุทธศาสนา สืบสานธรรมะต่อยอดบุญพุทธศาสนาให้ยั่งยืนยืดยาวสืบไป

    ที่มา
    http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2008/09/09/entry-3
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,706
    ค่าพลัง:
    +51,936
    *** สานต่อศาสนาที่หักกลาง ****

    หมดยุค พระโคดม...
    ต่อไป เรากำลังเข้ายุคพระศรีอารย์....
    แต่ พระศรีอารย์ไม่มีตัวตน
    ศาสนา จะยืนยาวไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี
    มนุษย์ จะถือสัจจะในการปฏิบัติตน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,706
    ค่าพลัง:
    +51,936
    *** การปฏิบัติของผู้รอดพ้นภัย ****

    เพื่อ ตัดลดปลดนิสัยสันดานตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. ปะฐะพี

    ปะฐะพี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +203
    สาธุให้เจ้าของกระทู้ดังๆครับ สาธุๆๆ...

    ดีแล้วๆๆๆ ออกมาเปิดเผยธรรมเหล่านี้มั้งก็ดี ปล่อยออกมาให้หมด
     
  19. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    rabbit_jumpแหะ ๆๆ อ่านแล้วก้อ...เออ.....รู้ได้ไงค่ะเนี่ย catt12
     
  20. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    สำนวนคุ้นๆ คุณใบไม้นะ
    คุณใบไม้ อวตาร มาหรือเปล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...