บันทึกประหลาด

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย omio, 13 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    บันทึกประหลาด
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔



    บ่ายวันหนึ่งได้มี สุภาพบุรุษสูงอายุหนีบแฟ้มเอกสารเข้ามาในบ้านแต่ผู้เดียว เป็นผู้ที่ข้าพเจ้าผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางบุคลิกลักษณะเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ และท่านผู้นั้นได้แนะนำตัวเองและเราก็เริ่มสนทนากันในห้องรับแขก เมื่อได้สนทนากันครู่ใหญ่ ได้รู้เจตนาดีในการมาหาข้าพเจ้าผู้เขียน แล้วท่านผู้นั้นก็เริ่มเปิดแฟ้มเล่าเรื่องบันทึกประหลาดให้ข้าพเจ้าผู้เขียน ทราบถึง รักอมตะของหนุ่มสาวคู่หนึ่งเป็นชีวิตที่แปลกประหลาด

    ท่านผู้นี้ได้เอกสารบันทึกนี้มาเก็บไว้นาน เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว แม้จะได้พยายามปฏิบัติตามคำขอร้องของผู้เป็นเจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ แต่ก็จนด้วยปัญญาเพราะไม่สามารถจะสืบหาหญิงที่มีชื่อในบันทึกฉบับนั้นได้ การสืบหาก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
    ฉะนั้นต่อมาก็หมดความพยายามเก็บบันทึกไว้ในที่ปลอดภัย แต่จิตใจไม่มีความสบายเมื่อเวลานึกถึงเรื่องนี้ว่า ยังขาดสิ่งสำคัญที่ยังไม่ปฏิบัติให้สมบูรณ์ในความรู้สึกตลอดมา ความจริงก็ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ หากเมื่อเห็นแก่มนุษยธรรมก็อยากจะทำให้ถูกต้องเรียบร้อย ให้หมดห่วงในบันทึกประหลาดนี้

    ต่อมาเมื่อไม่นานท่านผู้นี้ได้รับหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” ซึ่งแจกในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้มีชื่อผู้หนึ่ง ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทำให้กลับไปนึกถึง “บันทึกประหลาด” ฉบับนั้นขึ้นมา นึกว่าหากได้นำเรื่องราวมาให้ผู้เขียนแล้ว คงจะปลดเปลื้องภาระที่หนักอยู่ในอกไปได้ จึงใช้เวลาเที่ยวสืบหาผู้เขียน “กฎแห่งกรรม” ท่านผู้นั้นได้สืบหาถามผู้ที่คุ้นเคยก็ไม่มีใครรู้จัก แม้จะสืบหาตามสถานที่ชาวพุทธชอบไปศึกษาหาความรู้หลายแห่ง ตลอดจนพระสงฆ์ตามวัด เข้าใจว่าคงจะรู้จัก สืบถามดูก็ไม่ใครรู้จักตัวและที่อยู่คงได้ยินแต่ชื่อ

    ด้วยความพยายามท่านผู้นี้ได้ติดตามสืบหาจนพบผู้เขียน และมีความดีใจ แจ้งความประสงค์เพื่อให้ผู้เขียนช่วยจัดการให้สมตามความปรารถนาของผู้เป็น เจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ ให้สมบูรณ์ถูกต้องตามคำขอร้อง แม้ว่าเวลาล่วงเลยมานานแล้ว เข้าใจว่าผู้ที่มีชื่อในบันทึกประหลาดนั้น คงจะล่วงลับไปหมดแล้ว คิดว่าการปฏิบัติตามคำร้องนั้นแม้จะช้าเกินไปก็ยังดีกว่าไม่ปฏิบัติเสียเลย เพราะความรู้สึกเตือนอยู่เสมอว่ายังมีสิ่งที่บกพร่องเพราะเรารับรู้ในบันทึก ประหลาดฉบับนั้นยังไม่ได้ปฏิบัติตามให้สมบูรณ์

    บัดนี้เรื่องราวในบันทึกนั้น ได้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อย วิญญาณเจ้าของบันทึกได้ทราบก็คงปีติยินดียิ่ง ฉะนั้น เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้จากคำบอกเล่าและบันทึกประหลาดฉบับนั้น การที่ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ ก็ไม่ประสงค์จะให้ท่านเชื่อ การเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่พิจารณาหาเหตุผลนั้น ย่อมผิดจากคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนให้พิจารณาเหตุผลเสีย ก่อน อย่าเชื่ออย่างงมงาย

    ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้ท่านรู้ว่าโลกมนุษย์เรานี้ ยังมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกมากมายที่เรายังไม่รู้และไม่เห็น เรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ได้สูญสิ้นไป เพราะไม่มีผู้บันทึกไว้แม้จะมีผู้เก็บมาเล่าสู่กันฟังด้วยปากต่อๆ กันไป ก็ไม่ถาวรยั่งยืนเหมือนควันบุหรี่ที่พ่นออกจากปาก ไม่ช้าก็เลือนจางหายไปในอากาศ ฉะนั้น เรื่องนี้ผู้เขียนไม่สนใจว่า ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเป็นเรื่องนิยาย หรือนิทาน หรือสารคดีชีวิต หรือสิ่งใดแล้วแต่ละท่านจะพิจารณาคิดเอาเอง ผู้เขียนเป็นเพียงแต่ผู้เล่าให้รู้เท่านั้น ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม
     
  2. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    รอฟังค่ะจะประหลาดมากเท่าใดหนอมาเล่าเร็วนะค่ะ
     
  3. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    บ่ายวันหนึ่งนานมาแล้ว วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ในเดือนเมษายน อากาศร้อนอบอ้าว ข้าพเจ้าได้ขับรถผ่านถนนไปหลายสายในเขตพระนคร ตั้งใจจะไปเที่ยวที่ปาร์คนายเลิศซึ่งเป็นที่หนุ่มสาวและประชาชนพากันไป เที่ยวผ่อนคลายอารมณ์ร้อน หาความร่มเย็นเป็นที่สนุกสนานในสมัยนั้น เมื่อผ่านถนนที่มีชาวต่างประเทศ และย่านผู้ดีมีทรัพย์อยู่กันมากๆ เพราะเป็นที่เรียงรายไปด้วยตึกอันโอ่โถง ตามบ้านมีบริเวณกว้างใหญ่ มีสนามหญ้า มีต้นไม้ ภายในบ้านร่มรื่นทุกบ้าน เมื่อผ่านบ้านใหญ่หลังหนึ่งด้านติดถนนใหญ่เห็นมีธงตาหมากรุกปักไว้ที่ประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน มีป้ายบอกกำหนดเวลาที่จะทำการเลหลัง แสดงว่าได้มีการขายทอดตลาดภายในบ้านนั้น

    เราจึงตกลงขับรถเลี้ยวเข้าไปดูโน่นในบ้านโรยด้วยหินละเอียดสองข้างทางเขา ปลูกต้นไม้ดอกเรียงราย มีต้นไม้ใหญ่ๆ ภายในบ้านหลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นที่ร่มเย็น ข้างตึกใหญ่เป็นโรงรถ ในเขตบ้านมีคูและมีบัววิกตอเรีย ซึ่งไม้ใบใหญ่แผ่ออกขนาดกระด้งและใหญ่กว่า มีบัวดอกใหญ่หลายดอกที่โผล่พ้นน้ำ ข้าพเจ้านำรถเข้าไปจอดชิดขอบถนน แลเห็นมีรถยนต์หลายคันจอดอยู่ก่อน เห็นคนยืนคุยกันเป็นหมู่ๆ ส่วนมากเป็นคนจีนที่จะรวมหุ้นส่วนเพื่อประมูลสู้ราคาที่ขายทอดตลาด โดยปล่อยให้คนหนึ่งเป็นผู้แทนไปประมูล

    มีรถเข็นขายมะพร้าวอ่อนแช่น้ำแข็งอยู่ในบริเวณบ้าน กำลังมีผู้คนมุงชื้อกันหนาแน่น แสดงถึงการขายดีเพราะอากาศค่อนข้างร้อน เสียงบนตึกกำลังประมูลราคากันอย่างเอ็ดอึง ข้าพเจ้าจำได้ว่า เสียงของฝรั่งขาพิการข้างหนึ่งเป็นผู้เลหลัง กำลังใช้เสียงตะโกนดังกว่าธรรมดา ได้ยินจนถึงข้างล่างอย่างคุ้นหู ไม่ว่าแกจะไปไหน เมื่อมีค้อนไม้อยู่ในมือแล้วก็ไม่พ้นคำพูดมีไม่กี่ประโยคที่แกใช้หากินตลอด มา

    “เบอร์นี้ใครจะให้เท่าไร ของดีๆ ทั้งนั้น อ้าวยี่สิบ ยี่สิบห้า ยี่สิบห้า อ้าวสี่สิบแล้ว สี่สิบใครให้สูงกว่านี้ไม่มีใครให้สูงกว่านี้หรือ อ้าวมีคนให้ห้าสิบแล้ว ห้าสิบหนึ่งห้าสิบมีใครให้มากกว่านี้ มีคนให้หกสิบแล้ว ใครจะสู้ราคาสูงกว่านี้ หกสิบ หกสิบ ราคานี้ถูกมาก ของใหม่สองสามร้อยซื้อไม่ได้ไม่ใครจะให้สูงกว่านี้หรือ หกสิบหนึ่งหกสิบสอง หกสิบสามท แล้วแกก็เคาะค้อนลงไปในวัตถุสิ่งนั้นหรือที่โต๊ะ หรือไม่ก็ข้างฝาตามแต่สะดวกพอเป็นพิธีแสดงว่า สิ่งนั้นเบอร์นั้นมีผู้ประมูลไปได้แล้ว หลังจากนั้น จะมีเสมียนดูเบอร์ที่สิ่งของนั้น และจดชื่อเสียงของผู้ประมูลได้ลงไปพร้อมราคา ต่อจากนั้นแกก็จับสิ่งอื่นขายทอดตลาดต่อไป”

    ตามปกติข้าพเจ้าชอบไปดูเวลาแกเลหลัง สวนมากเป็นบ้านฝรั่งที่จะกลับไปเมืองนอก บางครั้งแกก็ชอบพูดจาตลกคะนองแสดงท่าทางทำให้คนหัวเราะได้ พูดภาษาอังกฤษในเมื่อมีฝรั่งไปประมูล แกก็จะร้องบอกการประมูลเป็นภาษาอังกฤษสลับกับภาษาไทย ที่สุดแกก็จะจบลงด้วยการเคาะค้อนด้วยเสียง วัน ทู ทรี เมื่อเสร็จแล้วแกก็จะควักผ้าขนหนูผืนเล็กในกระเป๋าออกมาเช็ดเหงื่อตามที่ใบ หน้า แกมีนาฬิกาพกสายเงินไว้ในกระเป๋าเหน็บไว้ข้างหน้า ที่กางเกงมีสายเงินห้อยอยู่ข้างนอก แกขอบดึงออกมาดูเวลาเสมอ

    วันนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เพียงแต่โผล่ขึ้นไปแล้วก็ลงมา ไม่ได้ขึ้นไปยืนดูการเลหลังของแก เพราะบนตึกอากาศร้อน ทั้งในห้องบนก็มีท่านผู้ดีทั้งชายหญิงอยู่มากอัดแอ เพิ่มความร้อนมากขึ้น แม้จะมีพัดลมเพดานและพัดลมทั้งก็ดี แต่ความเย็นของลมไม่พอกับจำนวนคนมากด้วยกัน ตามธรรมดาข้าพเจ้าเคยปากอยู่ไม่สุข ชอบตะโกนร้องประมูลแรกๆ เพื่อช่วยการประมูลราคาให้เร็วขึ้น บางครั้งนึกสนุกก็ร้องขึ้นราคาเผลอเพลินไป คนอื่นเขาหยุดกันหมดปล่อยข้าพเจ้าตะโกนหลงอยู่คนเดียว

    ที่สุดก็ต้องหอบของที่ไม่ต้องการซื้อและไม่อยากจะได้ กลับบ้านนึกแช่งด่าตัวเองเพราะปากอยู่ไม่สุข
     
  4. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    ถึงคุณ OMIO

    อยากฟังเรื่องประหลาดมากเลยค่ะ....ช่วยเล่าให้ฟังบ้างได้หรือเปล่าค่ะ....ร้อ
     
  5. Honey~

    Honey~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +435
    มีความอยากรู้เช่นกันค่ะ ทำไมถึงประหลาดน้า
     
  6. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะเข็ด วันนั้นหลังจากประมูลของข้างบนตึกแล้ว มีคนพากันลงมาข้างล่างบางคนก็ขึ้นรถกลับบ้าน เห็นหลายคนมายืนอยู่หน้าโรงรถ เมื่อมีคนเปิดประตูเข้าไปก็เห็นรถยนต์คลุมผ้าดิบอยู่ เมื่อเปิดผ้าคลุมออกก็มองเห็นรถกลางเก่ากลางใหม่ ๔ สูบ สีเขียวใบไม้ เป็นรถประทุน ผ้าใบยกขึ้นยกลงได้พับได้ มีบางคนเปิดกระโปรงดูเครื่องต่างพิจารณาคุณภาพเพื่อจะตีราคาเท่าที่พอใจ แล้วแต่ทุนทรัพย์ของตน

    ในไม่ช้าฝรั่งผู้เลหลังก็ถือค้อนไม้เดินโขยกเขยกลงบันไดมาจากตัวตึก เพราะขาแกสั้นข้างหนึ่งเวลาเดินก็เถียงไปทางขาสั้น แม้แกพยายามจะเกร็งย่อขาข้างยาวให้เสมอข้างสั้น ก็ไม่วายเดินขาทิ่มกะโผลกกะเผลก บางเวลาแกก็ใช้ไม้เท้าพยุงร่างอันไม่สมประกอบรูปร่างแกอ้วนๆ ไม่สู้จะเหมือนคนส่วนมาก จมูกแกโต ภายหลังแกต้องใช้แว่น แกเป็นคนสนุก จึงเป็นที่ชอบพอทั้งคนจีนคนไทยทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย เมื่อลงมาเห็นข้าพเจ้ายืนอยู่ แกเอาค้อนไม้ทางด้ามแหย่หยอกล้อที่ข้าพเจ้าพูดว่า “ทำไมไม่ขึ้นไปดูข้างบนมีของดีๆ มาก เครื่องลายครามเก่าๆ ราคาไม่แพง”

    ข้าพเจ้าบอกว่า “ขี้เกียจเบียดคนอากาศร้อนและก็ไม่อยากได้อะไร” แกก็เดินเขยกลากขาเข้าไปในโรงรถ ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามเข้าไปด้วย นอกจากรถประทุนกลางเก่ากลางใหม่ ๑ คันแล้ว ยังมีเครื่องตัดหญ้าสนามอีก ๑ เครื่อง ลึกเข้าไปก็ยังมีเปียโนอีก ๑ อัน มีคนสนใจรถยนต์กันมาก มีคนหมุนเครื่องที่หน้าหม้อเพราะเป็นรถใช้แม็กนิโต เมื่อเครื่องเรียบร้อยเร่งเร้าและผ่อนให้ข้าได้ แกก็เริ่มพูดเอาการเอางานว่า

    “รถคันนี้เห็นแล้วว่าทุกสิ่งเรียบร้อย เอาไปแล้วใช้ได้เลยใครจะให้เท่าไหร่” แกถามหลายครั้งก็ไม่มีใครขึ้นราคา แกเลยเอาค้อนชี้มาทางข้าพเจ้า ซึ่งยืนห่างพอประมาณแล้วพูดว่า “ยูจะให้เท่าไหร่”

    ข้าพเจ้าปากคันตามเคยร้องบอกไปว่า “ห้าสิบบาท” แกเลยเริ่มรถคันนั้นด้วยราคาห้าสิบบาท ห้าสิบบาทต่อมาก็มีคนอื่นให้กันต่อไป “หกสิบบาท ” เจ็ดสิบบาท” “แปดสิบบาท” “เก้าสิบบาท” ข้าพเจ้ารีบเดินเลี่ยงออกมาให้ห่างไม่อยากยืนเสนอหน้า กลัวจะคันปากภายหลังได้ความว่า รถยนต์คันนั้นมีคนประมูลไปได้ไม่ถึงสามร้อยบาท ต่อจากนั้นก็เลหลังเครื่องตัดหญ้าสนาม เมื่อประมูลเสร็จแล้วราคาเท่าใดข้าพเจ้าไม่สนใจ


    เริ่มลงมือประมูลเปียโนข้าพเจ้าเกิดสนใจขึ้นมา เดินแทรกคนเข้าไปเปิดดูและกดช่องเปียโนนี้ความจริงอยู่นอกบัญชี เมื่อจัดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านเพิ่งจะบอกภายหลังว่าอยากจะเลหลังให้เสร็จวันนี้ แกกระซิบว่า “เดิมเจ้าของไม่ยอมขาย เพราะเปียโนอันนี้เป็นของรักของหวงของลูกชายที่ตายมาก จึงอยากจะเก็บไว้ดูต่างหน้าลูก แต่เมื่อเข้าไปในห้องเห็นเปียโนครั้งไร ก็ต้องร้องไห้คิดถึงลูก ต้องให้คนใช้ยกลงมาเก็บไว้ในโรงรถ จะได้ห่างจากความเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยไว้ในโรงรถไม่มีใครดูแล เจ้าของบ้านเพิ่งจะตัดสินใจให้ขายเมื่อครู่นี้เอง จึงทำความสะอาดไม่ทันก็เลยตามเลย เปียโนอันนี้ดีมากเป็นของเก่าเสียงดี แต่เจ้าของไม่รักษาทิ้งไว้โทรม ถ้าคุณได้ตกแต่งใหม่จะมีราคามาก”
     
  7. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    อืมดีค่ะได้รู้วัฒนธรรมและบรรยากาศของการประมูลขายสินค้าทั้งที่บางที่เขาก็คงจะไม่อยากขายหรอกค่ะแต่ก็จำเป็นที่จะต้องขายเพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่ใหม่และเริ่มต้นใหม่การไม่ยึดติดนี้มันก็ดีนะค่ะแต่ถ้าาจะให้ทานก็พอเอาเงินไว้ซื้อของหน่อยก็แล้วกัน
     
  8. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    แล้วเรื่องที่โพสไว้ครั้งแรกเข้าเรื่องได้หรือยังค่ะน่าติดตามต่อนะเนี้ย
     
  9. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    เรื่องนี้สนุก แปลก และเศร้า ๆ ค่ะ เหมือนละครเรื่องหนึ่ง
     
  10. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    ข้าพเจ้าเป็นคนขอบยอ และเมื่อได้รู้ประวัติเจ้าของเดิมเป็นที่รักและหวงแหนก็นึกรักเปียโนอันนี้ ขึ้นมาทันที พอเริ่มต้นแกก็ใช้ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ราคาก่อน ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นให้ห้าสิบบาท แต่แล้วก็มีผู้อื่นขึ้นสู้ราคากันจนถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท ข้าพเจ้าเกิดคันปากขึ้นมาร้องบอกไปร้อยแปดสิบบาท แล้วก็เงียบไม่มีเสียงใครขึ้นต่อจากร้อยแปดสิบบาทขึ้นไปอีก นึกในใจว่าคราวนี้เราคงจะหนีเจ้าเปียโนสับปะรังเคเก่าๆ วันนี้ไม่พ้นแน่

    พอฝรั่งขากะเผลกแกถือค้อนเงื้อก่อนจะเคาะลงไป แกหันไปดูหน้าคนในหมู่นั้นคล้ายจะสำรวจดูว่า ใครจะบ้าพอที่จะประมูลแข่งกันเพื่อเปียโนเก่าๆ ที่เขาจะทิ้งอยู่แล้วไปบ้าง เมื่อมองดูหน้าคนที่เคยขึ้นราคาประมูลแข่งกันมา แกเอาค้อนเที่ยวชี้ให้คนนี้ให้เขาขึ้นราคา ก็เห็นเขาพากันสั่นหัวก้มหน้าไม่ยอมสบสายตากับแก บางคนก็รีบเดินหลบไป ตกลงแกก็ต้องเอาค้อนชี้มาที่ข้าพเจ้า เป็นอันว่าข้าพเจ้าดิ้นไม่หลุดในการเป็นเจ้าของเปียโนเก่าๆ อันนั้น

    แล้วแกก็ยกค้อนขึ้นแล้วร้องว่า “เปียโนร้อยแปดสิบบาทหนึ่ง สอง สาม แล้วเอาค้อนเคาะลงที่ตัวเปียโนเบาๆ แล้วชี้มาทางข้าพเจ้าบอกว่า “เป็นของคุณแล้ว” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าของครอบครองกรรมสิทธิ์เปียโนสับปะรังเคอัน นั้น ด้วยเงินสองชั่งกับยี่สิบบาทเป็นการแลกเปลี่ยน การเลหลังวันนั้น ก็สิ้นสุดลงด้วยการประมูลเปียโนเก่าๆ เป็นอันสุดท้าย เช่นวันนั้นข้าพเจ้าต้องวุ่นวายอยู่กับเปียโนเก่าๆ แทนที่จะพาเพื่อไปเที่ยวตามที่มุ่งหมายกันไว้ ต้องเสียค่ารถม้าบรรทุกเจ้าเปียโนเก่าๆ ไปบ้าน

    ใจนั้นนึกวุ่นวาย นึกว่าจะต้องไปหาเจ๊กซ่อมเปียโนที่ถนนสี่พระยา เพราะแกเป็นคนชำนาญในการแก้ซ่อมเปียโนที่ข้าพเจ้ารู้จัก แต่แกเล่นเปียโนไม่เป็นได้แต่แก้อย่างเดียวน่าขัน ทั้งข้าพเจ้าจะต้องคอยแก้ตัว เมื่อคุณแม่ดุทุกครั้งที่เลหลังได้ขนของเข้าบ้านข้าพเจ้าจะต้องแสดงท่าทาง ยั่วให้คุณแม่หัวเราะเสียก่อนการดุจะน้อยลง วันนั้นจึงขับรถวิ่งรีบกลับไปบ้านก่อนไปรับหน้าบอกให้รู้ เพื่อให้คุณแม่อารมณ์ดีก่อนที่เปียโนจะไปถึง ถึงแม้การดุของคุณแม่ไม่รุนแรง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้คุณแม่มีอารมณ์เสีย

    แต่คราวนี้หนักใจเพราะของมันใหญ่และราคามันสูง ทั้งเก่าคร่ำคร่า คงจะยั่วให้หัวเราะไม่ได้ง่ายนัก จริงอย่างนึกเพราะเมื่อคุณแม่เห็นรถม้าบรรทุกเปียโนเข้ามาในบ้านก็หัวเราะ ไม่ออก หันมาตาเขียวตวาดว่า

    “ตาจ้อย แม่บอกแล้วว่า อย่าไปเอาของเก่าๆ มา แล้วลูกเอามาทำไม เต็มบ้านเต็มช่องไปหมดแล้ว เสียอัฐเสียเงินโดยใช่เหตุ”

    ข้าพเจ้าได้แต่ทำตาเศร้าๆ แบมือยักไหล่เอียงคอแล้วพูดเสียงเครือๆ อย่างเศร้าๆ ว่า

    “มันช่วยไม่ได้นี่ครับคุณแม่ ผมปากมันไวจนเคยตัวแล้ว แต่คุณแม่ครับเปียโนหลังนี้ ผมชอบมันมากเหลือเกิน คุณแม่คงไม่ว่านะครับ เมื่อลูกของคุณแม่ชอบว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าอุ้มคุณแม่ยกเอวชูตัวขึ้นสูงอย่างประจบและยั่วให้หายโกรธ แต่แล้วคุณแม่ร้องเสียงหลง ว่า

    “อย่าตาจ้อย แม่จั๊กจี้ อย่า ประเดี๋ยวจะหกล้ม”

    ข้าพเจ้าบอกว่า “คุณแม่ตัวเล็กนิดเดียวไม่หกล้มหรอกครับ”

    คุณแม่หัวเราะออกมาได้ เมื่อหายโกรธแล้ว ตามธรรมดาถึงข้าพเจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่บวชเรียนแล้ว มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ มีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แต่นอกบ้าน เมื่อกลับเข้าในบ้านข้าพเจ้าก็เหมือนเด็กเล็กๆ ที่แม่เลี้ยงไม่รู้จักโต ชอบนอนกลิ้งเกลือกบนตัว เพราะข้าพเจ้านึกว่าคุณแม่เป็นพระที่สูงสุดของข้าพเจ้าองค์หนึ่ง ที่ควรจะทำให้แม่สบายใจ คุณแม่เคยพูดว่า ลูกผู้ชายเมื่อเวลาเล็กๆ ก็รักแม่เวลาโตแล้วก็รักเมียลืมแม่

    ข้าพเจ้าเคยเถียงว่า “คุณแม่อย่าดูผมผิดไปนะ ผมถือว่าแม่บังเกิดเกล้าเลี้ยงผมมาแต่แดงๆ เมียมาภายหลัง จะให้รักเมียมากกว่าแม่ คนนั้นไม่ใช่ผม”

    คุณแม่หัวเราะแล้วพูดว่า “แม่จะคอยดูต่อไป”
     
  11. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    วันนั้นเมื่อหายโกรธ เรื่องเปียโนแล้วคุณแม่ก็พูดว่า “บ้านเราจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าอยู่แล้วละ คราวก่อนก็ไปเอาเตียง โต๊ะประดับมุกไม้ประดู่หรือไม้แดงของจีนมาไว้เกะกะบ้าน ต่อไปนี้พอนะลูก แม่ขอเสียทีเถิด คราวหน้าถ้าไม่เชื่อแม่จะเฆี่ยนให้เนื้อแตกเหมือนเด็ก ๆ” คุณแม่ชอบพูดเล่น เมื่อเวลาหายโกรธ

    ข้าพเจ้าหัวเราะแล้ว พูดว่า “ชุดไม้ประดู่ฝังมุกนั้นเป็นของพวกจีนชั้นเจ้าสัวเขานะครับคุณแม่ คนจีนธรรมดาไม่มีใช้ เวลาฤดูร้อนนอนเย็นสบายดี”

    คุณแม่บอกว่า “ช่างเถิดลูก แม่รู้ว่าเป็นของเจ้าสัวแต่เขาเอาไว้สำหรับนอนสูบฝิ่นเป็นส่วนมาก แล้วก็มีหมอนกระเบื้อง พอทีต่อไปแม่ห้ามไม่ให้เอามาอีกนะลูก”

    ข้าพเจ้าก็ตอบได้เพียง “ครับ ผมจะจำไว้ก่อน”

    ความจริงคุณแม่ก็เป็นคนรักลูก แม้ปากจะดุแต่ใจนั้นรักลูกมาก ฉะนั้นเพียงแต่ข้าพเจ้ายั่วให้หัวเราะได้ก็หายโกรธ

    บัดนี้ เปียโนหลังนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป แม้มันจะไม่ใช่เปียโนขนาดใหญ่แต่มันก็หนักเอาการ จึงต้องเอาไว้ในโรงรถก่อน เพราะใรงรถของเรานั้นใหญ่พอที่จะไว้ได้ทั้งเปียโนและรถยนต์พร้อมกันอย่างสบาย ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปตามช่างแก้เปียโนซึ่งเป็นชาวจีน ชื่อของแกเมื่อแปลเป็นไทยก็ไม่เพราะนัก ก่อนจะเรียกช่างมาดูข้าพเจ้าก็ควรจะตรวจดูก่อน จึงเปิดโน่นเปิดนี่สำรวจดูว่ามันจะเสียมากน้อยเท่าใด ว่าค้อนสักหลาดจะสึกหรือหลุด และเส้นลวดว่ามันมีเส้นไหนที่ขาดบ้าง

    ก็มองเห็นข้างในมีกระดาษโน้ตเพลงหลายแผ่นคล้ายกับมีผู้เจาะจงจะยัดใส่ไว้ภายใน ข้าพเจ้าก็รื้อออกมา เพราะมันทำให้เมื่อกดเสียงไม่เคาะ เส้นลวดค้างเพราะกระดาษยัดไว้จนเคาะไม่ถึงลวดเสียง เมื่อล้วงเอากระดานออกหมดแล้วก็ลองดีดฟังเสียงดู เสียงก้องกังวานไพเราะดีทุกเสียง ดีใจที่ไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อม แล้วให้คนล้างเช็ดถูภายนอกภายในที่ฝุ่นจับ หยากไย่และใยแมงมุม เพราะทำให้ดูเก่าค่ำคร่ำเช็ดถูออกหมด แล้วก็ขัดด้วยน้ำมันทำความสะอาดมองดูเหมือนของใหม่

    ข้าพเจ้าตะลึงดูเปียโนอันนี้ทั้งสวยทั้งเสียงดี นึกภูมิใจว่าโชคดีซื้อของได้ถูกเหมือนได้เปล่า สงสัยว่าทำไมเวลาเลหลังจึงเห็นเป็นของเก่ามาก ผู้อื่นยังพูดว่าไม่น่าจะเลหลังได้ราคาดีเช่นนี้เลย นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อล้วงกระดาษขึ้นมานั้น รู้สึกว่าข้างในเปียโนมีอะไรปะไว้ข้างกระดานด้านใน จึงอยากรู้ว่าเป็นอะไรที่ต้องปะไว้แต่แล้วก็ประหลาดใจที่เมื่อล้วงลงไปพบ อะไรนูนๆ เป็นแผ่นปะไว้ภายในมองดูไม่ถนัด

    เมื่อเอามือคลำดูผู้รู้ว่าเป็นซองกระดาษใหญ่ กรุไว้ด้วยหมุดทองเหลืองสี่ด้านติดกับกระดาษด้านหน้าข้างในเปียโน ได้พยายามเอาไขควงเล็กๆ ลงไปงัดแกะมุมหัวหมุดที่ตรึงซองไว้ ข้าพเจ้าก็สามารถดึงเอาซองสีน้ำตาลใบใหญ่ออกมาได้ เมื่อได้พิจารณาดูก็เห็นเป็นซองอยู่ในที่มิดชิด แดดลมเข้าไม่ได้จึงยังดูใหม่ไม่เก่าเท่าที่ควร เมื่อหยิบมาพิจารณาดูเห็นจ่าหน้าซองว่า

    “บันทึกเรื่องของชีวิต ผู้ใดได้บันทึกนี้ไปกรุณาอ่านดู หากได้ทราบว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ โปรดกรุณามอบให้หล่อนผู้เป็นยอดดวงใจของฉัน และช่วยเหลือเพื่อขอให้หล่อนได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกอันนี้ โปรดกรุณาเพื่อเอาบุญ”
     
  12. โอมธนกฤต

    โอมธนกฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2009
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +3,984
    น่าติดตามตอนต่อไปยิ่ง
     
  13. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    เมื่อข้าพเจ้าอ่านจ่าหน้าซอง ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเปียโนอันนี้คงจะมีประวัติชีวิตความรักของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าจึงได้ทะนุถนอมเปิดซองสีน้ำตาลใหญ่ หยิบกระดาษภายในออกมา เมื่อเปิดดูก็เห็นมีบันทึกปึกหนึ่งใช้กระดาษฟุลสแก๊ปล้วนเขียนไม่เว้นหน้า ไม่เว้นบรรทัดตัวอักษรได้ระเบียบสวยงาม หวัดแกมบรรจง อ่านง่ายสีหมึกยังสดใส ข้าพเจ้ายกกระดาษขึ้นมาส่องดูกับแสงสว่างก็เห็นรอยพรายน้ำเป็นตรารถลากทุก แผ่นกระดาษฟุลสแก๊ป ตรารถลากหรือรถเจ๊กเป็นกระดาษชั้นดีในสมัยก่อน ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความบันทึกในซองด้วยความระมัดระวังเหมือนของมันมีค่ายิ่ง ข้อความในบันทึกมีดังต่อไปนี้

    “ฉันเกิดมาในตระกูลที่ยากจน แม่บอกว่าพ่อมีอาชีพเป็นช่างไม้ แต่ไม่สู้จะเป็นล่ำเป็นสันนัก เพราะรายได้ไม่แน่นอน แต่ก็เพียงพอกินพอใช้ พ่อได้จากโลกนี้ไปเมื่อฉันมีอายุเพียง ๙ ขวบ แม่ต้องไปทำงานหนักด้วยการรับจ้างซักเสื้อผ้า เพื่อเลี้ยงลูกคนเดียวให้เล่าเรียนศึกษาขั้นต้น เพื่อชีวิตในอนาคตจะได้เทียมหน้าตาคนทั้งหลาย แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ก่อนที่แม่จะตั้งครรภ์คืนหนึ่งก่อนสว่างแม่ได้ฝันเห็นเมฆลอยต่ำมีสีต่างๆ ลอยมาอยู่รอบตัว แม่เอามือจับก้อนเมฆดูรู้สึกว่าอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย แม่ตื่นขึ้นมาเล่าความฝันให้พ่อฟัง พ่อว่าฝันดีจะได้ลูก”

    ต่อจากนั้นแม่ก็ตั้งครรภ์ เมื่อคลอดออกมาเป็นชาย พ่อกับแม่ช่วยกันตั้งชื่อว่า “เมฆ” แม้ชื่อนี้จะไม่เพราะแต่ก็มีความหมาย ภายหลังพ่อตายแล้วไม่นาน แม่ได้ไปทำงานที่บ้านฝรั่ง มีหน้าที่ซักผ้ารีดผ้า ฝรั่งสองคนผัวเมียเป็นคนใจดี ได้อนุญาตให้ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมกับแม่ นายฝรั่งสองคนรักเด็กเราจึงกินอยู่อย่างสบาย ฉะนั้น เมื่ออยู่บ้านของนายฝรั่งฉันก็นึกถึงบุญคุณที่ให้อยู่อย่างมีความสุข ทำให้ฉันเกิดมีความขยันช่วยงานบ้านทุกอย่างที่ฉันพอจะทำได้ ทำให้นายฝรั่งเกิดเอ็นดูสงสารฉันมากขึ้น ได้ส่งให้ฉันเข้าเรียนหนังสือด้วยการออกค่าเล่าเรียนให้ ฉันเคารพนับถือท่านว่าเป็นผู้มีบุญคุณยิ่งผู้หนึ่ง

    ฉะนั้น อะไรที่ฉันทำได้ฉันทำทุกอย่างเพื่อความกตัญญูเป็นกำลังใจ ไม่ยอมเป็นคนเกียจคร้าน แม่สอนให้ฉันมีความกตัญญูเพราะฝรั่งสองผัวเมียนี้ฉันรักและเคารพเหมือนพ่อ แม่ ฉันได้เอาใจใส่รับใช้อยู่ใกล้ชิด เมื่อฉันกลับจากเรียนมีเวลาว่างจากทำการบ้าน หรือเวลาโรงเรียนหยุด ใช้เวลาทำงานให้นายแหม่มและนายฝรั่งทุกอย่างที่ควรจะทำ มิได้ดูดายบางครั้งนายฝรั่งเกิดการเจ็บป่วย ฉันก็อยู่ใกล้ชิดด้วยเอาใจใส่คอยพยายามทำทุกอย่าง ทำให้นายแหม่มและนายฝรั่งเห็นใจรักใคร่ฉันกับแม่มากขึ้น เพราะแม่ก็เป็นคนขยัน ไม่ได้รังเกียจงาน

    ทั้งนายฝรั่งและนายแหม่มชอบเรียกฉันว่า “นายแม็ก” เราอยู่ภายในร่มไม้ชายคาของฝรั่งสองสามีภรรยาอย่างผาสุก ทั้งฉันได้อาศัยทุนได้พึ่งบุญเล่าเรียนศึกษาจนจบหลักสูตรจากโรงเรียนฝรั่งมี ชื่อในพระนคร ฉันเองได้พยายามเตือนตัวเองเสมอว่า เราเป็นคนจนต้องอาศัยร่มไม้ชายคาของนายฝรั่งทั้งสอง อยู่มาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่กระทบกระเทือนให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอันขาด อย่าลืมข้าวแดงแกงร้อนของท่าน เราเป็นตัวตนขึ้นมาก็เพราะท่าน

    แม้ท่านจะเป็นคนต่างชาติ แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณอันล้นเหลือเปรียบเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า ท่านเอาใจใส่ฉันเหมือนลูก ในชาตินี้ฉันไม่สามารถจะทดแทนบุญคุณท่านได้ เพราะนอกจากให้การศึกษาจนจบแล้ว ก็ยังฝากฝังให้ฉันเข้าฝึกหัดทำงานที่อยู่กับห้างฝรั่งที่มีรายได้พอควร สำหรับผู้อยู่ในฐานะเช่นเรา วันเวลาได้ผ่านไปชีวิตก็ต้องประสบกับสิ่งแปลกๆ ตามวัย ฉันก็หนีไม่พ้นดวงชะตาชีวิตทั้งร้ายและดี เหตุที่จะเกิดขึ้นในครั้งแรกเมื่อฉันได้ประสบนั้น คือ
     
  14. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    โห...นิยายย้อนยุคเรื่องยาว....เป็นเล่มเลยมั้ยครับเนี่ย ยาวไปหรือเปล่า ตามอ่านไม่ไหวแล้ว
     
  15. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    วันหนึ่งเป็นหยุด ฉันอยู่บ้านกำลังช่วยนายหมัดแขกชวาคนสวน ตัดกิ่งตบแต่งต้นไม้ให้เป็นพุ่มสวยงามหันหลังให้รั้วต้นขาไก่ข้างบ้าน ทันใดนั้นได้ยินเสียงมาจากข้างรั้วว่า

    “คุณคะ ช่วยจับสุนัขมาให้อีฉันทีเถิดค่ะ มันกำลังจะกวนคุณ”

    ฉันหันไปทางเสียง ก็เห็นลูกสุนัขขนปุยแกมเหลืองตัวขนาดแมว กำลังเดินไปดมโน่นดมนี่อยู่ข้างหลัง มันเป็นลูกสุนัขที่น่ารักมาก ที่คอผูกโบว์สีชมพูแถบใหญ่ ฉันจึงได้จับมันขึ้นมา มันเองยอมให้จับง่ายๆ ไม่วิ่งหนีจึงรู้ว่า สีเหลืองนั้นเป็นกลิ่นขมิ้น ได้อุ้มมันไปที่ข้างรั้วเพื่อจะมอบให้เจ้าของตามร้องขอ พอฉันแหวกรั้วจับลูกสุนัขสองมือช้อนใต้ขาหน้าชูส่งไปให้ ทันใดมีหญิงสวยผู้หนึ่งยื่นมือมารับเอาตัวไป


    พอฉันได้เห็นหน้าหญิงสาวผู้นั้นก็ต้องตะลึง ที่ฉันตาไม่ฝาด สติยังดีอยู่หรือ จึงเห็นผู้หญิงที่สวยสดงดงามเหมือนนางฟ้าเวลากลางวัน หล่อนเห็นฉันจ้องตะลึง หล่อนก็รู้สึกขวยอายจนแก้มแดง แต่ก็รีบกลบเกลื่อนพูดว่า

    “ต้องขอโทษนะคะ ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย

    พอฉันรู้สึกตัวก็อาย จนหน้าชา พลางพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่เต็มปากไปว่า “ไม่เป็นไร..... ไรครับ” แล้วก็อยากจะหาเรื่องพูดต่อไป จึงถามว่า “คุณทาขมิ้นให้ลูกสุนัขหรือครับ”

    หล่อนตอบด้วยเสียงกังวานแจ่มใส ฉันรู้สึกเป็นเสียงที่จับใจว่า “ค่ะ ที่บ้านมดคันมันชุม ทาขมิ้นป้องกันมด มันชื่อนางสำลีค่ะ”

    แต่แล้วฉันก็นึกอะไรไม่ออก นึกไม่ทันว่าจะพูดอะไรอีกได้แต่จ้องมองดู เห็นหล่อนหันมายิ้มอย่างหวานแล้วพูดว่า “ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะคะ”

    แล้วหล่อนก็ยกนางสำลีขึ้นชูแล้วเอาลงมาแนบไว้ข้างแก้มของหล่อน แล้วก็ลงอุ้มแนบอกอย่างทะนุถนอมเดินขึ้นตึกใหญ่ไป ทำให้ฉันอิจฉาเจ้าสุนัขตัวนั้น ฉันได้แต่มองหล่อนเดินจากข้างรั้วด้วยท่าทางสง่าอย่างนางพญานั่นเอง

    ไม่เคยสนใจและไม่ทราบมาก่อนว่าข้างบ้านมีหญิงสาวสวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา นับแต่นั้นตึกข้างบ้านก็มีความหมายสำหรับฉันขึ้นมา แลดูทุกอย่างมันมีชีวิตจิตใจขึ้นมา


    ฉันคอยแต่มองดูบนตึก และห้องทาสีแตงอ่อนคอยดูหล่อนว่า เมื่อไหร่จะโผล่หน้ามาให้เห็น กลางคืนห้องนั้นเปิดไฟสีนวลแสงไฟจับม่านหน้าต่างและฝาห้อง ทำให้เห็นเหมือนวิมานในฝัน มีฉันผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ต่ำต้อยแหงนมองดูไม่รู้สึกเบื่อ

    บางคืนเดือนหงายฉันได้ยินเปียโนดีดเพลงไทย ฉันแทบจะเคลิ้มคลั่งไปด้วยความไพเราะซาบชึ้งด้วยเสียงและเจ้าของผู้ดีด นึกเห็นภาพภายในบ้านทั้งแสงจันทร์และเสียงเพลง และนึกถึงนิ้วอันเรียวงามของหล่อน รูปร่างของหล่อน มันเข้าถึงจิตใจ หล่อนชอบเล่นเพลง “ลาวดวงเดือน” แม้เพลงอื่นๆ ก็ไพเราะมาก บางครั้งเธอก็เล่นเพลงฝรั่ง แต่ฉันชอบเพลงลาวดวงเดือนมาก ฟังแล้วอยากจะร้องไห้เพราะมันเข้าสิงในจิตใจของฉัน ต่อมาไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใดเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้แล้ว ฉันต้องนึกถึงหล่อนขึ้นมาทันที เพลงนี้มันมีอำนาจอยู่ในตัวฉันตลอดมา เห็นจะลืมไม่ได้คงจะติดตัวฉันไปตลอดชีวิต
     
  16. วิมลรัตน์

    วิมลรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +302
    อ่านแล้วสนุก ทำให้อยากติดตามต่อไป
     
  17. fay10

    fay10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    732
    ค่าพลัง:
    +2,760
    มาติดตามอ่านเช่นเคยค่ะเข้าเรื่องแล้วกำลังสนุกเลยกลับมาเล่าให้ฟังอีกนะค่ะฝ้ายจะรอค่ะ
     
  18. ชยกร

    ชยกร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +4
    อยากอ่านต่อ ไหนไม่มีแล้ว
     
  19. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    จิตใจของฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลงรักหญิงสาวข้างบ้านเข้าแล้ว จะยืน เดิน นั่ง นอน ฉันนึกถึงแต่ใบหน้ากิริยาท่าทางของหล่อน ฝันถึงรูปร่างท่าทางอันสง่าสวยงาม คำพูดก็ไพเราะอ่อนหวานฟังไม่รู้เบื่อ มันจับจิตจับใจหลงใหลอย่างพูดอะไรไม่ถูก บางครั้งฉันได้ทำจิตใจให้เข้มแข็งสลัดความหลงใหลใฝ่ฝันให้ออกไปจากความ รู้สึกจากจิตใจ ให้รู้ผิดชอบเตือนตัวเองว่า อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงให้เกินไป

    เราเป็นคนยากจน บ้านช่องก็ไม่มีต้องอาศัยฝรั่งสองสามีภรรยาผู้ใจดีอยู่ หากไม่ได้ความกรุณาของนายฝรั่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าเราสองแม่ลูกจะไปซุกหัวนอนอยู่ที่ไหน ฉันควรจะเจียมเนื้อเจียมตัว ควรหรือที่ฉันจะมานั่งใจลอยคอยจ้องมองดูดวงจันทร์บนฟากฟ้าห่างไกลจากความหวัง แต่ฉันก็เพียงแต่นึกได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

    แล้วฉันก็กลับมานึกถึงใบหน้าของหญิงสาว ฉันไม่สามารถจะตัดความรู้สึกให้ขาดจากกันได้ สิ่งใดในโลกนี้พอจะห้ามกันได้ แต่ความรักที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้นเป็นอิสระไม่อยู่ในอำนาจใดๆ และไม่มีขอบเขตที่จะป้องกันไม่ให้รักได้ เห็นจะเป็นไปตามธรรมชาติที่หญิงกับชายเป็นของคู่กันในโลก ความรู้สึกในชีวิตเป็นครั้งแรกที่ฉันเกิดความรักขึ้นนับเริ่มแต่ย่างเข้าในวัยหนุ่ม เห็นจะเป็นเพราะหญิงสาวชาวไทยบ้านเรา เมื่อมีอายุวัยรุ่นพวกพ่อแม่ก็จะเก็บกักตัวไว้ในบ้านไม่ยอมให้ติดต่อชายหนุ่มที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

    ฉะนั้น ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสที่จะทำความรู้จักหญิงสาว เมื่อเกิดรักใคร่ก็กระดากอาย พูดอะไรไม่ถูก พอจะเอ่ยว่ารักก็กระดากปาก จะเกิดอดสูใจขึ้นมา เมื่อรักผู้หญิงก็ต้องระวังกิริยาท่าทางคำพูดกลัวจะแสดงพิรุธออกมาให้ ผู้ใหญ่จับได้ จึงพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ในใจ ความจริงผู้ใหญ่รู้ก็ไม่เกิดโทสะอะไรร้ายแรง นอกจากจะกล่าวตักเตือนสั่งสอนในทางที่ดีเท่านั้น การห้ามไม่ให้รักนั้นคงไม่ใครห้ามได้ แต่ความรักจะอัดกดนิ่งอยู่นานไม่ไหว ย่อมจะดิ้นรนเปลี่ยนแปลงไป ไปตามอำนาจพลังแห่งอารมณ์ความรัก อาจทำให้คนขลาดกลายเป็นคนกล้า เพื่อดิ้นรนให้ถึงจุดของความปรารถนา

    ฉันก็เช่นเดียวกัน จะหนีความรู้สึกตามธรรมชาติไม่พ้น แม้จะรู้ว่าความรักของฉันไม่มีทางจะแจ่มใสสดชื่น ทั้งรู้ตัวว่าอาจเป็นผู้หลงรักหล่อนฝ่ายเดียว แม้ฉะนั้นก็ยังไม่สามารถจะหักห้ามความรู้สึกทางใจได้ เพราะได้ปล่อยให้ความรักเข้าสิงอยู่ในใจแล้ว จึงขาดสติยับยั้งทำให้เกิดประมาท เหมือนคนตาบอดหลงทางปล่อยให้โชคชะตาพาชีวิตผ่านไปตามยถากรรม ชีวิตของฉันก็ตกอยู่ในห้วงรักเช่นเดียวกัน

    การสืบทราบว่า หญิงสาวข้างบ้านที่ฉันหลงรักนั้นชื่อ นวลน้อย ผู้ปกครองเป็นคนมั่งคั่ง มีชื่อเสียง หล่อนกำลังเป็นนักเรียนกินนอนอยู่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในพระนคร นาน ๆ ผู้ปกครองของหล่อนจะรับกลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง สังเกตได้ว่าหากหล่อนมาอยู่บ้านก็จะได้ยินเสียงเปียโนบนตึก ได้ยินทั้งเพลงไทยและเพลงฝรั่งเพลงไทยที่หล่อนชอบเล่นและฉันก็ชอบก็คือ เพลงลาวดวงเดือน เมื่อได้ยินเสียงเปียโนฝีมือดีดอย่างไพเราะ ก็รู้ว่าหล่อนได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว ฉันได้มีความตื่นเต้นอีกหลายครั้งที่ได้จับนางสำลีลูกสุนัขตัวโปรดส่งข้ามรั้วไปให้หล่อน ทำความสนิทสนมมากเท่าใด ฉันก็ยิ่งเพิ่มความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวหล่อนมากเท่านั้น

    บางครั้งฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายสารภาพรักต่อหล่อน แต่เมื่อลงมือเขียนก็รู้สึกตื่นเต้นเกินไป จะเขียนด้วยบรรจงหาคำพูดที่เหมาะสมก็ยังไม่ถูกใจ จึงต้องเขียนแล้วฉีกทิ้งแผ่นแล้วแผ่นเล่า อ่านดูแล้วก็รู้สึกไม่เหมาะสมที่จะส่งให้หล่อน นึกหวาดเกรงกลัวว่าหล่อนจะรู้ความจริงว่า เรามีฐานะเป็นคนยากจนต้องมาอาศัยนายฝรั่งอยู่ นึกหวาดกลัวไปทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคในความรัก เมื่อหล่อนรู้แล้วหล่อนจะดูถูก อาจเยาะเย้ยว่าไม่ตักน้ำดูเงาหัวของตัวเอง ฉันกลุ้มใจทำอะไรไม่ถูก นึกถึงคำของแม่ว่า


    “แม้เราจะยากจนเข็ญใจทรัพย์สินเงินทอง แต่เรายังมีความชื่อสัตย์สู้ความจริงไม่ยอมหลอกลวงใคร เป็นสมบัติที่เหนือทรัพย์สินเงินทอง”
     
  20. omio

    omio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,213
    แม่บอกว่า วันหนึ่งแม่เข้าไปทำความสะอาดในห้องรับแขก นอกจากงานประจำซักรีดแล้ว แม่ชอบงานทุกอย่างเมื่อมีเวลาว่าง แม่ได้พบแหวนเพชรของแหม่มลืมวางไว้ เพราะแหม่มถอดส่งให้เพื่อนดูแล้วลืมเก็บแม่ตกใจ เก็บเข้าไว้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องของแหม่ม ตกตอนบ่ายแหม่มหน้าตาตื่นเข้ามาบ้าน บอกกับแม่ว่า

    “แอนนาจ๋า วันนี้ฉันไม่รู้ลืมแหวนไว้ที่ไหน เอาออกมาให้เพื่อนชมแล้วก็ลืม ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันควรไปถามเพื่อนไหม ถ้าไปถามเขาคงโกรธ หาว่าฉันดูถูกก็ได้ ฉันเป็นคนขี้ลืม นึกไม่ออก ฉันไปบ้านเพื่อนหลายแห่งกลับไปเที่ยวหาก็ไม่พบ ลมจะจับแล้ว”

    นายแหม่มและฝรั่งชอบเรียกแม่ว่า “แอนนา” เพราะแม่ชื่อ “นา”

    ทีแรกฉันจะเริ่มต้นจดหมายอย่างไรดี ตั้งใจจะหาคำเพราะๆ แต่บัดนี้ฉันตัดสินใจเขียนเล่าเรื่องชีวิตจริงโดยไม่มีอะไรปิดบัง จดหมายฉบับนี้ก็เป็นประวัติของฉันมากกว่าจะเป็นจดหมายรัก ฉันเล่าถึงแม่ได้มาเป็นลูกจ้างชักรีดในบ้านฝรั่ง และฉันก็ได้ฝรั่งสองสามีภรรยามีความเอ็นดู ให้ฉันได้เล่าเรียนศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อในเมืองไทย ตลอดได้ให้ที่พักอาศัย
    นายจึงต่อเติมข้างหน้าเป็นแอนนาว่าเรียกง่ายไม่ลืมและเพราะดี แม่ได้ยินก็รีบบอกว่า ไม่หาย แหม่มลืมไว้ในห้องรับแขก ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าก็ลำบาก แม่ได้เก็บเอาไปไว้ในห้องแต่งตัวแล้ว แหม่มรีบเข้าไปดูก็พบแหวนเพชรตามที่แม่บอก แหม่มดีใจยิ้มแป้นออกมาบอกขอบใจแม่ยกใหญ่ แล้วก็กอดจูบแม่เป็นรางวัลจากน้ำใจ เมื่อฉันนึกเรื่องของแม่แล้ว ฉันแม้จะยากจนก็นึกหยิ่งในตัวที่ไม่จนในความชื่อสัตย์สุจริต พูดความจริงทุกอย่าง พูดความจริงคือความสบายใจ

    สุดท้ายก็บอกว่าเพียงให้หล่อนรู้ให้ทราบถึงจิตใจและความเป็นอยู่ของฉัน และไม่ขอร้องวิงวอนให้หล่อนรักตอบ เพราะรู้ว่าต่ำต้อยขอเพียงแต่ให้ฉันได้เพ้อฝันนึกถึงหล่อนไปคนเดียวเหมือน กระต่ายคอยจ้องมองดูดวงจันทร์
     

แชร์หน้านี้

Loading...