"โอปปาติกะ"โลกหลังความตาย" อจ.พร รัตนสุวรรณ"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dogsman, 2 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    “โอปปาติกะ” และชีวิตหลังความตาย

    <HR style="COLOR: #ebebeb; BACKGROUND-COLOR: #ebebeb" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    ย้อนหลังไปเมื่อหลายสิบปีก่อนเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านที่อยู่ในวัย 40-50 ปีข้นไปคงจำกันได้ถึงข่าวคราวการค้นคว้าเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของ “วิญญาณ”และ “ชีวิตหลังความตาย”ซึ่งในสมัยนั้นได้ทำการค้นคว้าโดย “สำนักค้นคว้าทางวิญญาณ”โดยอาจารย์พร รัตนสุวรรณ ซึ่งปัจจุบันท่านได้เสียชีวิตแล้วคงเหลือไว้เพียงชื่อเสียง คุณงามความดีและผลงานหลายๆ ด้านมีทั้งที่เกี่ยวกับการค้นคว้าพิสูจน์วิญญาณและชีวิตหลังความตาย งานทางด้านพุทธศาสนา การเผยแพร่ธรรมะ ฯลฯ


    [​IMG]


    หลังจากที่อาจารย์พรได้เสียชีวิตลงก็มีกลุ่มลูกศิษย์ของท่านที่เคยร่วมงานกับท่านมาตั้งแต่ต้นเป็นผู้สืบทอดและสานต่อเจตนารมณ์จนงามทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีไม่ว่าจะเป็นงานเผยแพร่หนังสือธรรมะการ เผยแพร่เอกสารและงานเขียนของอาจารย์พรเกี่ยวกับการค้นคว้าในเรื่องวิญญาณและการสร้างสถานปฎิบัติธรรมถึง 2 แห่ง แต่แม้ว่าผลงานในสมัยหลังจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจนและเกิดคุณประโยชน์มากมายต่อสังคม เราก็ยังเสียดายว่าหลังจากที่อาจารย์พรสิ้นไปแล้วการพิสูจน์และค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณและชีวิตหลังความตายก็ต้องหยุดลงแค่นั้น เหลือไว้เพียงบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ระหว่างการพิสูจน์ที่เป็นงานเขียนของท่านเท่านั้นที่ยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังๆ ได้รับรู้


    เล่ากันว่าในสมัยที่อาจารย์พรยังอยู่เมื่อถึงเวลาทำการทดลองพิสูจน์วิญญาณ ในแต่ละครั้งจะสนุกและตื่นเต้นมาก วิธีการพิสูจน์วิญญาณของอาจารย์พรนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ทุกวิธีจำเป็นต้องมี “สื่อกลาง”ที่จะทำการติดต่อกับเหล่า” โอปปาติกะ “หรือดวงวิญญาณเหล่านั้นเพื่อสอบถามข้อมูล ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง “ในครั้งนั้นคือ คุณศรีเพ็ญ จัตุทะศรี ซึ่งปัจจุบันท่านเป็นผู้อำนวยการสำนักค้นคว้าทางวิญญาณ ทำหน้าที่บริหารงานแทนอาจารย์พรร่วมกับคณะกรรมการของมูลนิธิอาจารย์พรอีกหลายท่าน
    คุณศรีเพ็ญ เป็นศิษย์เอกที่อาจารย์พรท่านฝึกสอนด้านธรรมะและ สมาธิ ให้มาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนและเมื่อบวกกับความสามารถพิเศษที่มีมาแต่เดิมทำให้คุณศรีเพ็ญติดต่อกับเหล่าโอปปาติกะหรือเทพเบื้องบนชั้นสูงได้ โดยเธอเล่าว่าในสมัยก่อนอาจารย์พรท่านจะไปสอบธรรมะตามโรงเรียนต่างๆ แทบทุกโรงเรียนวิธีการสอนของอาจารย์พรนั้นสนุกและได้ความรู้เพราะท่านจะเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างการฝึกสมาธิให้ฟังด้วย เมื่อฟังแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์มากคุณศรีเพ็ญจึงชักชวนเพื่อนๆ ให้มาเรียนพุทธศาสนา กันที่วัดมหาธาตุท่านพระจันทร์ซึ่งอาจารย์พรท่านสอนอยู่ที่นั่น จนกระทั่งภายหลังได้เข้ามาช่วยงานอาจารย์พรเต็มตัวโดยเป็นหลักสำคัญในการช่วยติดต่อวิญญาณความสามารถพิเศษตรงนี้คุณศรีเพ็ญอธิบายว่า

    “คือไม่รู้ว่าตัวเองเนี่ยพิเศษนะคะ เมื่อตอนสมัยเด็กๆ เวลานอนทุกวันจะฝันว่าตัวเองนอนอยู่แล้วตัวลอยขึ้นและชอบเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราเห็นผิดปกติจากคนอื่นก็คิดว่าคนอื่นเขาเห็นเหมือนที่เราเห็น อย่างกำลังนั่งคุยก็เห็นคนอื่นเดินผ่าไปผ่านมา แล้วเวลานอนหลับก็จะมีคนมานั่งบนหัวนอนทุกวันแล้วเขาก็พูดอะไรให้ฟัง ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยตอนนั้นไม่เคยสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรเพราะยังไม่ได้ฝึกสมาธิ”

    “สมาธิ”ที่คุณศรีเพ็ญฝึกนั้นใช้หลักของอานาปาณสติ คือการกำหนดลมหายใจเข้าออกจนเมื่อ จิตนิ่ง “ความว่าง”ก็จะเกิด ช่วงเวลานี้เองที่คุณศรีเพ็ญได้ไปเห็นและสัมผัสกับ “โอปปาติกะ”หรือ “เทพชั้นสูงหลายๆ ท่าน ความสามารถทางด้านนี้ใช่ว่าจะเกิดได้กับทุกคน คงอยู่ที่พื้นเดิมและ บุญบารมีที่เคยสั่งสมมาแต่อดีตชาติด้วย

    คุณศรีเพ็ญได้เล่าถึงการค้นคว้าพิสูจน์วิญญาณในสมัย อาจารย์พรให้ฟังว่า

    “การค้นคว้าทางวิญญาณสมัยอาจารย์พรยังอยู่ก็มีหลายอย่าง ทั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของชีวิตหลังความตายว่าเมื่อตายไปแล้วมีชีวิตอยู่อย่างไร บางคนคิดว่าเมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดคือเกิดมาเป็นคนเท่านั้นแต่จริงๆ แล้วคนเราพอตายปุ๊บจะเกิดทันทีโดยเกิดเป็น”โอปปาติกะ “เป็นกายทิพย์ก่อนที่จะมาเกิดเป็นคนอีกทีหนึ่ง และช่วงที่เกิดเป็น”โอปปาติกะ “นั้นบางคนอาจจะมีชีวิตอยู่ยาวนานแล้วแต่ภพภูมิที่ได้ไปอยู่แต่ละชั้น แต่ละภูมิจะมีชีวิตยืนยาวไม่เท่ากัน ชีวิตกายทิพย์ไม่ใช่ชีวิตที่เราจะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อหรือตามนุษย์ธรรมดา จะต้องฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่เราจะเข้าไปสู่มิติอันนั้นได้ มีความละเอียดพอที่จะติดต่อกับท่านซึ่งตายไปและอยู่ในภพภูมิต่างๆ”

    การค้นทางวิญญาณสมัย อาจารย์พรบอกว่าการติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วจะมีอยู่ 3 วิธีคือ การเล่นผีถ้วยแก้ว การเข้าทรงและการติดต่อทางสมาธิ ผีถ้วยแก้วคือการที่โอปปาติกะมาเพ่งเราโดยใช้เราเป็นสื่อ มันก็จะมีพลังออกมาจากมืออาจารย์พรจะใช้คนเล่น 4-5 คน ผีถ้วยแก้วนี่เมื่อก่อนก็เดินกันเป็นปีๆ อาจารย์พรพิสูจน์การเล่นผีถ้วยแก้วโดยเรียกคนที่ตายไปแล้วมา “ตอนทดลองที่วัดมหาธาตุมีคนถูกผีหลอกบ่อยที่สุด (หมายถึง ผีหลอกลวง) พอถามว่า”ใคร “ถ้วยก็จะลากไปแล้วสะกดชื่อ”โต1(หมายถึง สมเด็จโต วัดระฆังฯ)แต่พอคุณศรีเพ็ญเข้าไปถ้วยหยุดเดิน “ไม่รู้ว่าใครมาอ้างว่าเป็นโต 1 “(หัวเราะ)

    การพิสูจน์วิญญาณโดยการเล่นผีถ้วยแก้วนี้อาจารย์พรได้เขียนลงในหนังสือแว่วเสียงสวรรค์เล่ม 4 ว่า...

    “เรื่องผีถ้วยแก้วที่เป็นจริงมีอยู่ แต่การที่จะเล่นเรื่องนี้ถ้าหากไม่มีการทดสอบกันอย่างดี แล้วก็อาจจะถูกหลอกได้ง่ายที่สุดและการทดสอบที่ว่านี้คือต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่มีความสามารถเข้าสมาธิไปดูได้ เมื่อมองเห็นว่ามีวิญญาณหรือโอปปาติกะที่เชิญมาอยู่ในที่นั้นจึงจะเชื่อถือได้
    ในการพิสูจน์โอปปาติกะในผีถ้วยแก้วนั้นสมัย อาจารย์พรยังอยู่ไปทำการพิสูจน์กันถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยคุณศรีเพ็ญเล่าให้ฟังว่า
    “ตอนนั้นอาจารย์พรได้ไปพิสูจน์ผีถ้วยแก้วที่วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา เขาลือกันว่าแม่ชีที่นั่นเล่นผีถ้วยแก้วโดยสมเด็จพระนเรศวรฯมาเข้า ใครๆ มาเข้า เราก็ไปดูว่าเขาทำยังไง สมัยนู้นที่ไปดูคนยังไปไม่มากยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ เห็นเขาวิ่งจู๊ด ก็เห็นของจริงโดยเข้าสมาธิดูว่า ใครเป็นคนมาเพ่งให้ถ้วยวิ่ง ก็เห็นส่วนมากเป็นพวกทหารโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นกษัตริย์ก็มีหลายองค์สับเปลี่ยนกันมาเพ่ง”

    สำหรับการพิสูจน์วิญญาณโดย การเข้าทรง คุณศรีเพ็ญอธิบายว่า

    “การเข้าทรงคือการสะกิดจิต โอปปาติกะจะไม่ได้มาสิงสู่หรือเข้ามาอยู่ในตัวเรา ถ้าท่านจะเข้าทรงท่านก็ใช้กระแสจิตเพียงเราแล้วให้เราทำตามเหมือนอย่างกับคนสะกิดจิตกัน พอหมาดความรู้สึกก็จะต้องทำตามทุกอย่างที่สั่งซึ่งในภาวะนั้นจะไม่รู้สึกตัว การฝึกการเข้าทรงอาจารย์พรก็จะให้มากันหลายๆ คน ประมาณเกือบ 10 คนให้นั่งสมาธิแล้วเชิญโอปปาติกะหลายๆ รูปให้ท่านมาเพ่งแต่ละคนแล้วดูซิว่าแต่ละคนจะออกอาหารมาอย่างไร โดยคุณศรีเพ็ญจะคอยดู (จากสมาธิ) ว่าเป็นองค์นั้นองค์นี้มาเพ่งจริงมั้ย นั่นเป็นเหตุการณ์สมัยก่อน สมัยบุกเบิก สมัยนี้ไม่มีแล้วไม่ใช่ทำกันง่ายๆ นะ คนที่ทำเรื่องนี้ต้องมีความรู้ ไม่งั้นจะพากันเข้ารกเข้าพงไป และการเข้าทรงนี่ก็ทำได้ไม่ทุกคน ที่ทำได้อาจเป็นพื้นเดิมในอดีตชาติทีแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน การเข้าทรงจะหาที่จริงใน 1 พันจะมีจริงๆ ชัก 1 เดียวเท่านั้นและอันตรายของการเข้าทรงนี่ก็ถ้าสมมติว่าคนที่มาสะกดจิตเราเป็นพวกเจ้ากรรมนายเวรหรือพวกที่คิดไม่ดีกับเรา เขาก็อาจจะสะกดให้เราทำอะไรที่เขาต้องการได้”


    ดาวน์โหลดไฟล์ " ฟรี " คลิกที่ลิ้งค์ข้างล่าง "
    แนะนำ > พร รัตนสุวรรณ - แว่วเสียงสวรรค์ เล่ม1( โลกหลังความตาย นรก สวรรค์ วิบาก/กรรม)


    <!-- / message -->
     
  2. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    “โอปปาติกะ” และชีวิตหลังความตาย
    <HR style="COLOR: #ebebeb; BACKGROUND-COLOR: #ebebeb" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    ปกติเวลาคุณศรีเพ็ญนั่งสมาธิก็มักจะมีโอปปาติกะมาเข้าอยู่เป็นประจำ ขณะที่เข้าคุณศรีเพ็ญจะไม่รู้สึกตัวเลย โอปาปาติกะหรือเทพชั้นสูงที่มาเข้ามี อาทิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านมหาตมคานธี สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า ฯลฯ บางท่านอาจดูว่าเหลือเชื่ออย่างท่านมหาตมะคานธี ท่านอยู่อินเดียวท่านจะมาถึงนี่ได้อย่างไร แล้วมีการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้อย่างไรว่าผู้ที่มาเข้าทรงคุณศรีเพ็ญนั้นเป็นโอปปาติกะที่เอ่ยนามมาจริงๆ ในเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่คนที่ได้สัมผัสโดยตรงก็คงจะปักใจเชื่อได้ยาก แต่เหตุการณ์ขณะที่โอปปาติกะแต่ละท่านแต่ละองค์ได้มาเข้าคุณศรีเพ็ญในตอนนั้นได้มีผู้ทรงภูมิรู้และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิสูจน์ ร่วมกันซักถามโอปปาติกะเหล่านั้นจนทั่วถ้วนกระบวนความจนแจ้งชัดในใจว่านี่คือ “ของจริง”เพราะหากเป็นโอปปาติกะที่มา “แอบอ้าง”ก็จะไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้น บางคำถามเชื่อว่าคนในยุคนั้นไม่มีทางรู้คำตอบเพราะเกิดไม่ทันยุคของโอปปาติกะตนนั้น โอปปาติกะบางท่าน อาทิ สมเด็จโตฯ ท่านยังได้เทศนาในเรื่องราวของชีวิตหลังความตายและชีวิตของโอปปาติกะอีกมากมายหลายเรื่องให้ฟังด้วย ทำให้แน่ชัดว่านรก สวรรค์นั้นมีจริงๆ


    การเป็น “สื่อ” ในการเข้าทรงนั้นหมายถึง สภาพจิตใจของผู้ที่เป็นสื่อนั้นสามารถรับกระแสจิตของพวกโอปปาติกะได้ง่าย และก็มีคำถามตามมาว่าแล้วทำไมคนส่วนใหญ่เป็น “สื่อ” ไม่ได้ คนที่เป็น “สื่อ”ได้เขามีคุณสมบัติที่พิเศษอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้มีคำตอบอยู่ในงานเขียน” แว่วเสียงสวรรค์ เล่ม 4 ของ อาจารย์พรว่าความเป็น “สื่อ”เกิดขึ้นได้เพราะเหตุดังต่อไปนี้
    1.บุคคลผู้นั้นเคยมีสมาธิดีมาแล้วตั้งแต่ชาติก่อน เพราะฉะนั้นจิตใจของเขาจึงมีความไวที่จะรับกระแสจิตจากผู้อื่นได้ง่าย
    2.บางคนแม้จะมีพื้นสมาธิมาดีอยู่ในฐานะที่อาจจะรับกระแสจิตของพวกโอปปาติกะได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะติดต่อได้ทุกคน เพราะกระแสจิตของคนเรามีคลื่นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าหากคนไหนเคยมีความสัมพันธ์กับวิญญาณนั้นๆ ในชาติก่อนก็จะสามารถรับกระแสของคนนั้นได้ง่าย หรือถ้าจิตอยู่ในภูมิเดียวกันหรือระดับเดียวกันก็สามารถรับได้ง่ายเช่นกัน
    การทดลองค้นคว้าในเรื่องวิญญาณหลายๆ วิธีของอาจารย์พรท่านทำเพื่อต้องการให้คนทั้งหลายยอมรับความจริงที่ว่า คนเราตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วก็ยังมีชีวิตและชีวิตของโอปปาติกะทั้งหลายนั้น หากได้ศึกษาจากหลักวิชาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ประกอบกับได้เห็นข้อเท็จจริงแล้วจะเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า ตัวเราเป็นผลที่เกิดมาจากวิญญาณเราและจากวิบากของกรรมต่างๆ ที่เราได้สะสมเอาไว้จริง
    ฉบับหน้าจะเล่าถึงการติดต่อวิญญาณของคุณศรีเพ็ญโดยวิธีเข้าสมาธิไปติดต่อ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านได้ในฉบับต่อไป
    <!-- / message -->
     
  3. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ตามที่เขียนไว้ในตอนแรกว่าคุณศรีเพ็ญ จัตุทะศรี มีความสามารถในการเข้าสมาธิติดต่อ พูดคุยกับวิญญาณหรือโอปปาติกะชั้นสูงได้และพบเห็นเรื่องราวต่างๆ ในโลกทิพย์ ได้สัมผัสกับเหตุการณ์ทั้งในอดีตและเหตุการณ์ในปัจจุบันรวมถึงอนาคต ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณศรีเพ็ญเห็นนั้นบางอย่างก็เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันหรืออนาคตที่เทพต่างๆ เนรมิตให้เห็นล่วงหน้า ซึ่งการเข้าสมาธิติดต่อโอปปาติกะนี้เป็นวิธีหนึ่งในการทดลองพิสูจน์ว่าวิญญาณมีอยู่จริง

    [​IMG]

    ในสมัยที่ อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ยังมีชีวิตอยู่ได้มีการทดลองเขียนพระรูปของอดีตพระมหากษัตริย์ของไทยโดยวิธีการติดต่อทางสมาธิมาแล้วหลายพระองค์ อาทิพ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พ่อขุนเม็งรายมหาราช พระนางจามเทวี หมอชีวกโกมารภัจจ์ พ่อขุนผาเมือง
    พระรูปดังกล่าวเขียนโดย อาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์ เขียนตามคำบอกของคุณศรีเพ็ญโดยจะเข้าสมาธิต่อกับอดีตพระมหากษัตริย์เหล่านี้ การเขียนรูปพระมหากษัตริย์จากสมาธิออกมาเผยแพร่ในสมัยนั้น คนที่ไม่เชื่อก็อาจจะมองว่าทำเกินเลยความจริงไปไม่น่าเป็นไปได้เพราะอดีตพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์มีพระรูปที่แท้จริงเป็นอย่างไรก็ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน แต่ อ.พรท่านก็ได้หาทางพิสูจน์อีกวิธีหนึ่งคือ เขียนรูปคนที่เพิ่งตายมาไม่นานและญาติพี่น้องเขาก็ยังอยู่ ซึ่งการเขียนก็ใช้วิธีเดียวกันคือให้คุณศรีเพ็ญ เข้าสมาธิไปดู เห็นอย่างไรก็ออกมาบอกให้จิตรกรเขียนตาม การเขียนโดยวิธีนี้ต้องร่วงด้วยดินสอก่อนเพราะจะต้องมีการแก้บ่อย ฉะนั้นกว่าจะเขียนเสร็จในแต่ละรูปต้องใช้เวลา และการเขียนก็ต้องไปตามบ้านที่สามารถติดต่อกับผู้ตายได้และต้องเขียนพิสูจน์ต่อหน้าญาติพี่น้องของเขาเพื่อให้เขารู้ว่าไม่ได้เขียนจากรูปถ่ายและทางคุณศรีเพ็ญก็ไม่เคยเห็นผู้ตายมาก่อน ซึ่งการพิสูจน์ในครั้งนั้นประสบความสำเร็จทำให้ญาติพี่น้องของผู้ตายยอมรับ


    อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “พระพุทธศาสนาจะช่วยบ้านเมืองได้อย่างไร”ว่า”

    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC]การติดต่อกับพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจนกระทั่งสามารถเขียนพระรูปออกมาได้นี้เป็นประโยชน์ทางประวัติศาสตร์มากมาย เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพ(ในโลกทิพย์ของโอปปาติกะ)และสามารถจะติดต่อกับพระองค์ได้ ข้อเท็จจริงอันนี้แหล่ะที่จะทำให้การสอนเรื่องกฎแห่งกรรมได้ผลอย่างแท้จริง[/FONT]

    เรื่องราวเหตุการณ์ในการเขียนพระรูปพระมหากษัตริย์นี้มีบันทึกไว้ในหนังสือแว่วเสียงสวรรค์เล่า 2 ของอาจารย์พร รัตนสุวรรณ ซึ่งผู้เขียนได้ขออนุญาตนำบางตอนมาเรียบเรียงโดยย่อถึงเหตุการณ์ที่ทำการเขียนพระรูป “พ่อขุนรามคำแหงมหาราช”ซึ่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก เรื่องมีอยู่ว่า <!-- / message -->
     
  4. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    [​IMG]

    “ในปี พ.ศ.2510 อาจารย์พร รัตนสุวรรณมีโอกาสได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทย(ในสมัยนั้น)เป็นการส่วนตัวโดยการแนะนำของ น.พ.สิริ พัฒนกำจร เนื่องจากโดยส่วนตัวของท่านนายกฯผู้นั้นได้มีความสนใจในงานการค้นคว้าของอาจารย์พรเป็นอย่างยิ่งและในขณะนั้นรัฐบาลก็กำลังจะสร้างอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อทราบว่าอาจารย์พรเคยติดต่อกับพ่อขุนรามฯได้ท่านจึงปรารภว่า อยากจะได้เห็นพระรูปที่แท้จริงของพ่อขุนรามฯ อาจารย์พร จึงได้ติดต่อกับโอปปาติกะที่ให้คำปรึกษาท่านหนึ่ง(ซึ่งเป็นฤาษีในอดีตชาติเคยมีความผูกพันกันมาทั้งกับอาจารย์พรและคุณศรีเพ็ญ)และได้ติดต่อไปยังผู้เขียนรูปคืออาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์และอาจารย์สมโภช อุปอินทร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งอาจารย์ทั้ง 2 ท่านก็ตอบตกลงเต็มใจที่จะเขียนให้ทั้งๆ ที่อาจารย์ทั้ง 2 ท่านขณะนั้นก็ยังไม่คุ้นเคยกับ อาจารย์พรมาก่อน ทั้งการเขียนภาพก็ต้องเขียนตามคำบอกเล่าโดยที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองแต่ก็เขียนจนสำเร็จออกมาเป็นภาพที่สวยงามเป็นพระรูปครึ่งพระองค์ซึ่งพ่อขุนรามฯได้ตรัสว่าพระรูปที่มาปรากฏให้เห็นคือตอนที่พระองค์มีพระชนม์มายุ 35 พรรษา ฉลองพระองค์ที่เห็นนั้นพระองค์มักทรงสามใส่อยู่เสมอเวลาเสด็จไปไหนมาไหนที่ไม่ใช่พระราชพิธีใหญ่โต และในระหว่างที่เขียนพระรูป พระองค์ได้ทรงเล่าเรื่องและเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในสมัยของพระองค์ให้ฟังหลายอย่าง


    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC]“อาจารย์ลาวัณย์ อุปอินทร์ได้เขียนเล่าถึงความรู้สึกในการเขียนพระรูปครั้งนั้นว่า ครั้งแรกที่ท่านได้รับการติดต่อให้เขียนพระรูปพ่อขุนรามฯโดยเขียนจากคำบอกเล่าของคุณศรีเพ็ญ อาจารย์ก็ตอบตกลงทันทีเพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกดีแต่ก็หนักใจอยู่บ้างว่าจะเขียนได้อย่างไร เพราะไม่สามารถมองเห็นผู้ที่มาเป็นแบบได้ นอกจากเขียนตามคำบอกเล่าเท่านั้น โดยคุณศรีเพ็ญก็พยายามที่จะเขียนให้ดูเท่าที่จะทำได้ทั้งที่คุณศรีเพ็ญก็ไม่ถนัดในการเขียนภาพเลย จนในที่สุดก็เริ่มเหมือนและมีการลงความเห็นว่า ท่านรูปหล่อมาก ดูจะเกินคนธรรมดาไป และอาจารย์ลาวัณย์ยังได้เล่าต่อว่า ระหว่างการเขียนภาพพ่อขุนรามฯท่านก็มักจะเล่าเรื่องขำๆ ให้ฟังรู้สึกว่าท่านออกจะใจดีและไม่เคยโมโหเลย แต่อย่างไรก็ตามระหว่างการเขียนพระรูปนั้นอาจารย์ลาวัณย์ก็ยังไม่ค่อยเชื่อนักว่าภาพพ่อขุนรามฯที่เขียนนี้จะเป็นรูปท่านจริงๆ เพราะบางทีก็มีความรู้สึกขัดแย้งว่า คุณศรีเพ็ญอาจจะเห็นจากอุปาทาน แต่ในที่สุดอาจารย์ลาวัณย์ก็ยอมรับว่าคงจะเป็นพ่อขุนรามฯจริงๆ เพราะลักษณะการพูดจา ภาษาที่ท่านใช้เป็นภาษาของช่าง บางทีก็ยังมีการออกความคิดเห็นที่ฟังแล้วทึ่งมาก อีกประการที่สำคัญคือ อาจารย์ลาวัณย์มีนิมิตฝันถึงสายพระศอของพ่อขุนรามฯ ซึ่งระหว่างที่เขียนมีปัญหาในการเก็บรายละเอียดของสายสร้อยที่คุณศรีเพ็ญอธิบายรูปแบบที่เห็นหลายครั้งแต่ อาจารย์ลาวัณย์ก็ยังเขียนไม่ได้เสียที จึงเขียนแต่เค้าโครงไว้ก่อน ยังไม่ลงรายละเอียด ตกกลางคืนคืนนั้นอาจารย์ก็ฝันเห็นสายพระศอของพระองค์ถนัดชัดเจนหมดทุกอย่างส่องแสงวูบวาบไปหมด แม้แต่เหรียญที่เป็นตราห้อยอยู่ก็เห็นถนัด รุ่งเช้าจึงเล่าให้คุณศรีเพ็ญฟัง คุณศรีเพ็ญจึงเข้าสมาชิกถามพระองค์ท่านก็ได้คำตอบว่า เป็นท่านเองที่พยายามจะปรากฏให้เห็นในฝันเพื่อที่จะได้สะดวกในการเขียน แต่เพราะอาจารย์ลาวัณย์สมาธิยังไม่ถึง(ในขณะนั้น)จึงไม่เห็นองค์ท่าน เห็นเพียงสายสร้อย ซึ่งความฝันในครั้งนั้นได้ทำให้ อาจารย์ลาวัณย์เขียนพระรูปจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี[/FONT] <!-- / message -->
     
  5. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC][​IMG][/FONT]

    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC]เมื่อพระรูปเสร็จแล้วท่านนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นก็ได้นำไปเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการสร้างอนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงฯ โดยไม่บอกว่าใครเป็นผู้เขียนเพียงแต่บอกว่ามีผู้ที่เขานั่งสมาธิติดต่อกับพ่อขุนรามฯได้เขียนรูปนี้ออกมา ซึ่งท่านนายกฯเองก็ไม่ได้ยืนยันว่านี่คือพระรูปที่แท้จริง คณะกรรมการส่วนมากมีความพอใจอยากจะสร้างอนุสาวรีย์ตามพระรูปที่เขียนไว้นี้แต่คณะกรรมการจากกรมศิลปากรไม่ยอมรับ เพราะทางฝ่ายกรมศิลปากรได้สร้างรูปหุ่นไว้แล้วและเห็นว่าพระรูปที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พร้อมมูลและถูกต้องกว่า ส่วนทางนี้ดูหลักฐานเลื่อนลอยซึ่งท่านนายกฯ ก็ไม่แสดงความเห็นว่าอะไร ท่านเพียงแต่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเท่านั้น[/FONT]

    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC]หลังการเขียนพระรูปพ่อขุนรามฯแล้วทางสำนักค้นคว้าทางวิญญาณของอาจารย์พร ก็ได้ให้คุณศรีเพ็ญติดต่อโอปปาติกะ อดีตพระมหากษัตริย์องค์อื่นๆ มาเขียนอยู่เรื่อยๆ เป็นการพิสูจน์ถึงความเชื่อว่าโอปปาติกะมีจริง เพื่อที่จะทำให้มนุษย์เรายึดมั่นอยู่ในกฎแห่งกรรม ยึดมั่นในคุณความดี นำไปสู่การปล่อยวางได้ง่าย แต่มนุษย์บางส่วนก็ยังไม่ยอมเชื่อ ทั้งนี้ อ.พรได้บอกเหตุผลว่า “สามัญสำนึกอันหนึ่งที่มักจะหลอกให้คนเราหลงผิดอยู่เสมอคือ สิ่งใดที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยินแล้วจะไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งนั้นมี คนโดยมากไม่ค่อยนึกว่าประสาทสัมผัสของเราอยู่ในฐานะที่มีขอบเขตจำกัด และยังมีความจริงอีกมากมายที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส[/FONT]

    [FONT=Tahoma, AngsanaUPC]ในตอนต่อไปเป็นการเปิดเผยบันทึกการติดต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและการเขียนพระรูปของพระองค์ท่าน ที่เราเห็นมีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไป ซึ่งเป็นพระรูปที่ทางสำนักค้นคว้าทางวิญญาณได้เขียนเผยแพร่ขึ้นเป็นแห่งแรก รวมทั้งยังมีเรื่องราวของผู้ที่มีอดีตชาติผูกพันกับพระองค์มาเล่าสู่กันฟังด้วย[/FONT]
     
  6. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    คลิกฟัง ที่ลิงค์ข้างล่างได้เลยครับ
    พร รัตนสุวรรณ - แว่วเสียงสวรรค์ เล่ม 1 (รวมเรื่องจริง โลกหลังความตาย)

    <!-- google_ad_section_end -->พร รัตนสุวรรณ - แว่วเสียงสวรรค์ เล่ม 1 (รวมเรื่องจริง โลกหลังความตาย) - Buddhism Audio
     
  7. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    [​IMG]
    "การเรียนรู้ชีวิตในโลกของโอปปาติกะ หรือโลกหลังความตาย มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
    นำมาซึ่งการปล่อยวาง และการเข้าใจพื้นฐานธรรมะที่ถูกต้องจนสามารถพัฒนาและ เข้าใจศาสตร์ต่างๆ
    รวมถึงคำสอนในรูปแบบอื่นๆ ได้อย่างไร วิญญาณคือผู้สร้าง เมื่อเข้าใจในเรื่องวิบากในวิญญาณ
    ศรัทธาที่ตั้งมั่นย่อมเกิดขึ้น บาปบุญคืออะไร ทำดีได้ดียังไง"

    เผอิญผมได้ไปเจอเว็บนี้เข้า...
    http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=109168

    เลยอยากให้ท่านๆ เข้าไปดาวน์โหลดมาฟังดูครับ
    เป็นอะไรที่สำคัญกับชีวิตเรามากๆ คือ...
    ทุกคนรู้ตัวว่าต้องตาย ถ้ามั่นใจว่าตัวเองยังไม่น่าจะตายตอนนี้
    ก็ขอให้มองออกไปนอกตัวก็ได้ว่า ในไม่ช้านี้แหละ คนใดคนหนึ่งที่เรารักหรือที่เรารู้จัก
    จะต้องออกเดินทางไกล (ตาย) กันอย่างแน่นอน
    ทีนี้เราเคยสงสัยกันบ้างรึเปล่าว่า...

    คนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ตอนที่วิญญาณเขาออกจากร่างไป
    เขาจะเป็นอย่างไร เขาจะไปไหน ไปเกิดเลยมั้ย
    หรือไม่ได้ไปไหนเลย วนเวียนอยู่กับญาติแถวๆ นั้น
    หรือวิญญาณไม่มี เขาหายสาปสูญไม่เลย ตายปุ๊บหายไปปั๊บ
    หรือจะมี "ใคร" ที่เราเรียกว่า "ยมทูต" มารับตัวไป

    นรกสวรรค์เป็นแค่กุศโลบายให้เราทำความดีจริงๆ แค่นั้นหรือเปล่า

    แล้วถ้าเป็นคนที่เรารัก เกิดต้องตายขึ้นมาอย่างปุบปับ
    เราจะมีวิธีช่วยเขาได้มั้ย เพราะเรากับคนที่เรารักได้อยู่คนละโลกกันแล้ว จะสื่อกันได้อย่างไร
    การทำบุญกรวดน้ำไปให้กับเขา เขาจะได้รับหรือเปล่า

    น่าสนใจใช่มั้ยครับ
    เว็บที่ผมทำ link ให้ด้านบน มีคำตอบทั้งหมดครับ
    ซึ่งผมก็ได้คำตอบแล้วเช่นกัน

    อย่าเพิ่งฟันธงว่าไร้สาระ เพ้อเจ้อ หรือแค่เป็นเรื่องหลอกเด็กเลย
    ถ้าจะเชื่อแค่สายตาตัวเรามองไม่เห็น แล้วฟันธงลงไปเลยว่าไม่มี อันนี้เรียกว่า "โง่" สุดๆ
    เพราะรังสีสารพัด เอ็กซ์เอย แกรมม่าเอย เราก็มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ทำไมเชื่อล่ะว่ามันมีอยู่
    สำหรับวิญญาณ เราก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะว่ามันมีอยู่จริงเหมือนกัน
    ทุกอย่างต้องมีเหตุและผลครับ

    เพราะฉะนั้นก็ต้องไปพิสูจน์กัน

    โดยลองฟังดูก่อน
    ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ก็แล้วแต่ท่านครับ
    อีกอย่างต้องไตร่ตรองดูเหตุดูผลให้รอบด้านด้วย..เช่นกัน

    ที่มา
    http://www.baanjomyut.com/webboard/window/view.php?topic=2445
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2010
  8. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    โอปปาติกะ คือ ผู้เกิดผุดขึ้น หมายถึง ผู้ที่มีกายทิพย์ หรือพวกวิญญาณนั่นเองครับ
    เราเหมารวมผู้ที่ไม่มีกายหยาบหรือไม่มีกายเนื้อทั้งหมดเป็นโอปปาติกะ
    ไม่ว่าจะเป็นผีสาง วิญญาณ เปรต สัตว์นรก เทวดา นางฟ้า พรหม
    เหล่านี้ล้วนแต่เป็นโอปปาติกะทั้งหมด

    ที่บอกว่าเรื่องนี้สำคัญ
    ก็เพราะว่าวันหนึ่งเราต้องตายและคนรอบตัวเราก็ต้องตาย
    ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรารักแค่ไหน
    การเดินทางไกล(ตาย) ย่อมมาถึงในไม่ช้านี้
    จะมีประโยชน์มากๆ ถ้าเราจะสามารถล่วงรู้เรื่องธรรมชาติหลังความตายที่ถูกต้องได้
    การเตรียมตัวเตรียมใจเมื่อวันที่เราต้องออกเดินทาง
    หรือเตรียมการให้คนที่เรารักเดินทางไปอย่างสุขคติที่สุด
    น่าจะเป็นการดีกว่าที่เราไม่รู้อะไรเลย พอถึงเวลาเดินทางจริงๆ ก็ไปบุกบั่นฝ่าดงเอาข้างหน้าเลย
    เพราะเอาเข้าจริงๆ เราไม่มีโอกาสได้บุกบั่นอย่างที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน
    โลกวิญญาณ ต่างจากโลกเรามากๆ ตรงที่โลกโน้นเขาใช้จิตอย่างเดียว
    แต่โลกเรายังสามารถใช้ความคิดได้ สามารถควบคุมจิตใจได้ สามารถรับรู้ผิดถูกได้ คือแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้
    แต่โลกโน้นไม่ใช่ มันไม่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ เลย
    สำหรับคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกจิตมา เราจะไม่สามารถควบคุมจิตเราได้
    การรับรู้ทางความคิดของเราแทบจะไม่มี ทุกอย่างใช้จิตดำเนินการล้วนๆ

    นี่ล่ะครับที่น่ากลัว

    สมมติว่า เราฆ่าตัวตาย และก็ได้ตายสมใจ
    หลังจากตายไปแล้ว จิตมันจะจดจำภาวะที่เราฆ่าตัวตาย
    จะจำความทุกข์ก่อนที่จะลงมือฆ่า และความทุกข์ในขณะที่ลงมือ
    เราจะไม่รู้ตัวเลยว่าเราได้ตายไปแล้ว
    เราจะยังคงพยายามฆ่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
    ถึงแม้ว่าจะมีโอปปาติกะชั้นสูงมาบอกเราว่า เราได้ตายไปแล้ว เราก็จะไม่เชื่อ
    ก็ยังคงฆ่าตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหลุดและยอมรับว่าตัวเองได้ตายไปแล้วจริงๆ
    อาจยาวนานเป็นปี เป็นสิบปี ขึ้นอยู่กับจิตของเราว่าได้เคยฝึกฝนอะไรมาบ้างหรือเปล่า
    ลองคิดดูสิครับ ปกติถ้าคนเราจะฆ่าตัวตายนั้น จะต้องมีเรื่องที่ทุกข์ใจมากๆ
    แต่ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือไปหาอะไรทำให้สบายใจ ไม่กี่วัน เราก็อาจจะหายทุกข์
    ไม่คิดฆ่าตัวตายอีกก็เป็นได้

    แต่สำหรับคนที่ลงมือฆ่าตัวเองสำเร็จ ความทุกข์ที่เขาคิดว่ามันจะหายไป
    มันจะยังคงอยู่ และจะเพิ่มเป็นทวีคูณมากกว่าความรู้สึกทุกข์ในตอนที่เป็นมนุษย์เสียอีก
    ขนาดเป็นมนุษย์ยังทนความทุกข์นั้นไม่ได้จึงต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย
    แล้วพอตายไปแล้ว ความทุกข์เดิมก็ไม่หาย กลับต้องเพิ่มทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่าตัว
    แถมยังต้องฆ่าแล้วฆ่าอีก ตายแล้วตายอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น
    คิดว่า มันน่าจะทรมานแค่ไหนกัน

    แต่สำหรับคนที่ไม่เคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย อันนี้ดีครับ ดีมากๆ
    เพราะความทุกข์ที่เกิดในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่นั้น ถ้าเรามีสติดีๆ ไม่นานก็จะจางหายครับ
    แต่สาเหตุของการตายก็คงไม่ใช่แค่การฆ่าตัวตายเท่านั้น
    ยังอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ โรคปัจจุบันทันด่วน และโรคชราตามอายุขัย
    สาเหตุที่ทำให้เราตายมีเยอะแยะ
    ทีนี้ จะทำยังไงต่อไปล่ะ ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี หนีไม่พ้นซักราย อยู่ที่เวลาแค่นั้นเอง
    การได้ล่วงรู้โลกหน้าก็เหมือนกับเรามีแผนที่ดีๆ อยู่ในมือนั่นแหละ
    ไหนๆ ก็ต้องออกเดินทาง(ตาย)กันอย่างหลีกหนีไม่ได้แล้ว
    การจัดแจงตระเตรียมตัว เตรียมเสบียงไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ บ้าง
    ก็น่าจะเป็นเรื่องดีกว่าการที่เราไม่มีอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย
    ไม่ได้จัดแจงหรือเตรียมตัวอะไรเลยซักอย่าง
    พอเวลานั้นมาถึงจริงๆ มีหวัง.. สนุกกันใหญ่

    ที่มา

    http://www.baanjomyut.com/webboard/window/view.php?topic=2445
     
  9. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    โอปปาติก (เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับโอปปาติก)


    โอปปาติก หมายถึง
    เกิดผุดขึ้น คือ เกิดขึ้นมาโตเต็มที่ในทันทีทันใด โดยอำนาจของพลังกรรมเป็นตัวสนับสนุน โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการวิวัฒน์เหมือนสัตว์ทั่วไป เช่น เทวดา, เปรต, อสูรกาย, ผี, มนุษย์บางจำพวก (พระอนาคามี)
    โอปปาติก สัตว์นี้เกิดหรือตายจะไม่ทิ้งซากหรือเนื้อไว้ให้เห็น

    การกำเนิดทางหลักชีววิทยาทางพุทธศาสนามี 4 รูปแบบ
    1. ชลาพุชะ คือ เกิดในครรภ์ คลอดออกมาเป็นตัว เช่น คน, หมา, แมว, ช้าง เป็นต้น
    2. อัณฑชะ คือ เกิดในไข่ ออกมาเป็นฟองและฟักเป็นตัว เช่น ไก่, นก, เป็ด, จิ้งจก เป็นต้น
    3. สังเสทชะ คือ เกิดในไคล เกิดในสภาพชื้นแฉะหมักหมมเน่าเปื่อย เช่น หนอน, จุลินทรีย์ เป็นต้น
    4. โอปปาติก คือ เกิดผุดขึ้นเต็มตัวทันที เช่น เทวดา, อสูรกาย, ผี, มนุษย์บางจำพวก (พระอนาคามี)
    ความรู้เรื่องการเกิดใหม่ของสรรพชีพ สรรพสัตว์ใน 4 รูปแบบของพุทธศาสนา นับว่าเป็นก้าวหน้ากว่าทางวิทยาศาสตร์ เพราะในวงการวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาพันธุศาสตร์ยังไม่อาจเข้าถึงความรู้เรื่องกำเนิดของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่ 4 “โอปปาติก” ได้เลย แต่ในทางพุทธศาสนามีมานาน 2 สหัสวรรษแล้ว

    พลังงาน (วิญญาณ) ในมิติคู่ขนาน (สัมปรายภพ)
    มีผู้กล่าวว่าสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์แลเห็น มันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกซึ่งเป็นตัวแทนของบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในซึ่งก็คือ พลังงานอันเป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน ร่างกายภายนอกจึงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ และเมื่อร่างกายเสื่อมสลายลง สิ่งที่ต้องดำรงอยู่ต่อไป ก็คือพลังงานที่ดำรงอยู่ภายในที่เป็นแก่นแท้นั่นเอง
    บางครั้งการที่เรามองไม่เห็นบางสิ่ง หรือพิสูจน์ไม่ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่มีอยู่ กล่าวได้ว่า ภพหน้านั้น ถ้าหากมีสถิตอยู่ที่ไหน ก็ตอบได้ง่าย ๆ ว่า อยู่ในโลกเดียวกันกับมนุษย์โลกของเรานี่เอง เพียงแต่คงรูปเป็นพลังงานที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ เนื่องจากอินทรียวิสัย คือตาและจิตของเรา ไม่มีศักยภาพพอที่จะมองเห็น หากแต่ว่าเราแปรสภาพเป็นพลังงาน (วิญญาณ) อันเป็นแก่นแท้ของมนุษย์เมื่อใด เมื่อนั้นอินทรียวิสัยของเราก็จะมีศักยภาพพอที่จะมองเห็นในภพภูมิที่ซ้อนทับอยู่ได้ ดังที่เราเรียกกันติดปากว่า โลกหน้า หรือ สัมปรายภพ นั่นเอง

    เจตภูติ
    หมายถึง ร่างทิพย์ (Astral Body) ตามลัทธิโยคีโบราณ ไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นกายทิพย์ที่เคลื่อนออกจากร่างและปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งคราว ลัทธิโยคีโบราณ แบ่งมนุษย์ออกเป็น 7 ชั้น ดวงวิญญาณอยู่ชั้นในสุด
    7. วิญญาณ 6. ดวงจิต 5. ปัญญา 4. สัญญา 3. ปราณ 2. เจตภูติ 1. ร่างกาย

    ที่มา

    http://santidham.thde.com/-View.php?N=6
     
  10. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
  11. Yurichan

    Yurichan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +97
    ขออนุโมทนาครับ

    ผมเชื่อว่า โลกหลังความตายมีจริง ๆ แต่สำหรับคนที่ฝึกไม่ถึงขั้นอย่างผม เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากเย็นมาก ๆ ขอให้วันหนึ่งผลบุญจะส่งให้รับรู้ความเป็นไปของโลกอย่างแท้จริง
     
  12. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>บทที่ 1 แนวคิดในการปฏิรูปมนุษย์


    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=p_content>1.3 แนวคิดในการปฏิรูปมนุษย์ (6) 1.3.9 ความเห็นเกี่ยวกับสัตว์ที่ผุดขึ้นเกิด
    สัตวโลกทั้งหลายมีการเกิดอย่างไร
    พระพุทธศาสนาให้ความรู้แก่เราว่า การเกิดของสัตวโลกทั้งมวลมี 2 ลักษณะ คือ การถือกำเนิดในมนุษยโลก กับการถือกำเนิดนอกมนุษยโลก

    การถือกำเนิดในมนุษยโลกมีอยู่ 3 ประเภท คือ
    1) เกิดในฟองไข่ (อัณฑชะกำเนิด) ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉาน ต่างๆ เช่น นก จิ้งจก เต่า เป็นต้น
    2) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะกำเนิด) ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเป็นส่วนมาก เช่น คน แมว ช้าง เป็นต้น
    3) เกิดในสิ่งโสโครก (สังเสทชะกำเนิด) คือเกิดในสิ่งโสโครก จากสิ่งโสโครก ในซากศพ ในน้ำเน่า อาหารบูดเน่า ได้แก่ หนอน จุลินทรีย์ หรือสัตว์เซลล์เดียวหลากหลายชนิด จุลชีวันเหล่านี้ แม้เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็สามารถ ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูได้
    การถือกำเนิดนอกมนุษยโลกมีอยู่ประเภทเดียว ด้วยการผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันที ชนิดที่เรียกได้ว่า เกิดปุ๊บโตปั๊บ การเกิดโดยการผุดขึ้นนี้ มีคำศัพท์ทางธรรมว่า "โอปปาติกะกำเนิด" หรือ "อุปปาติกะกำเนิด" โดยทั่วไปมักพูดกันว่า "โอปปาติกะ" เป็นการเกิดโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ แต่อาศัยแรงกรรมในอดีตทั้งฝ่ายลบและฝ่ายบวก แรงกรรมฝ่ายบวกจะนำไปถือกำเนิดในสุคติภพ ได้แก่ เทวดา และพรหม แรงกรรมฝ่ายลบจะนำไปถือกำเนิดในทุคติภพ หรืออบายภูมิ ได้แก่ นรก (นิรยะ) เปรต (ปิตติวิสัย) และอสุรกาย

    โลกมนุษย์เป็นสุคติหรือทุคติ
    โลกมนุษย์เป็นสุคติของมนุษย์ เป็นทุคติของดิรัจฉาน เหตุที่โลกมนุษย์เป็นสุคติ ก็เพราะเป็นสถานที่แห่งเดียวสำหรับสร้างกรรมดีได้เต็มที่ของมนุษย์ เนื่องจากประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ
    1) มนุษย์มีรูปกายแข็งแรงทรหดอดทน เหมาะแก่การสร้างกรรมดีทุกรูปแบบ
    2) โลกมนุษย์เป็นแดนแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มนุษย์ทั้งหลายจึงมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตโดยตรง หรือจากพระอรหันตสาวกทั้งปวง แม้พระตถาคตและเหล่าพระอรหันตสาวกจะเข้านิพพานกันไปหมดแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ทรงจำพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ไว้ แล้วนำมาถ่ายทอดปลูกฝังอบรมมวลมนุษย์ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ตั้งใจสร้างแต่กรรมดี อันเป็นเหตุแห่งการไปสู่สุคติ
    3) โลกมนุษย์เป็นแดนแห่งเนื้อนาบุญ คือ มีพระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเป็นเนื้อนาบุญ ให้ผู้คนได้ถวายทาน เพื่อสั่งสมบุญกุศล ในปริมาณสูงกว่าการทำทานแก่ปุถุชน สูงกว่าการทำสังคมสงเคราะห์คนทั่วไปและการสงเคราะห์สัตว์ดิรัจฉาน 1

    ด้วยเหตุปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวแล้ว โลกมนุษย์จึงเป็นสุคติของเหล่าเทวดาซึ่งจุติจากสรวงสวรรค์มาเกิดเป็นคน และเป็นสุคติของเหล่าสัตวโลกที่พ้นกรรมจากทุคติมาเกิดเป็นคน เนื่องจากเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สร้างกรรมดีอย่างเต็มที่ และเท่าเทียมกัน
    อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้ถือกำเนิดเป็นคนในโลกนี้แล้ว ถ้าไม่รู้หรือไม่สนใจศึกษาพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎแห่งกรรม แล้วใช้ชีวิตอย่างประมาท อยู่กับการสร้างกรรมชั่ว เขาก็จะไม่มีโอกาสพบสุคติเลย แม้โลกนี้ก็เป็นเสมือนทุคติสำหรับเขา เมื่อละโลกนี้ไปแล้วก็ต้องไปสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน
    อนึ่ง เหตุที่กล่าวว่าโลกมนุษย์เป็นทุคติของดิรัจฉาน ก็เพราะเป็นแดนเกิดของสัตว์ดิรัจฉานนั่นเอง

    ทำไมคนเราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องโอปปาติกะ

    มีเหตุผลอยู่หลายประการ ที่คนเราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องโอปปาติกะ แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งมีอยู่ 2 ประการ คือ
    1) ความรู้เรื่องนี้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการพัฒนาหิริ โอตตัปปะขึ้นในจิตใจของคนเรา เพราะทำให้มีความรู้สึกอายต่อการทำบาป ขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวผลของบาปที่จะเกิดขึ้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า โดยสรุปก็คือกลัวตกนรกนั่นเอง ดังนั้น คนเราก็จะตั้งใจทำแต่กรรมดีจนเป็นนิสัย ไม่ปล่อยกาย วาจา ใจ ให้ทำกรรมชั่วใดๆ ทั้งสิ้น แม้ไม่มีใครรู้เห็นก็ตาม
    2) ความรู้เรื่องโอปปาติกะนี้จะเป็นแรงบันดาลใจคนเรา ให้ขวนขวายศึกษาและปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดประสบการณ์ภายในรู้แจ้งเห็นแจ้งตามพระธรรมคำสั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการออกผลของกรรม เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องโลกนี้มีที่มา โลกหน้ามีที่ไป โดยมีกรรมของตนเป็นตัวกำหนด
    แม้การปฏิบัติธรรมยังไม่เกิดผลถึงขั้นรู้แจ้งเห็นแจ้ง แต่ความสุขและความสงบอันเกิดจากความสว่างที่กลางใจ ซึ่งเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา ก็สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความศรัทธามั่นใน พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความเพียรยิ่งๆ ขึ้นไปแล้ว ยังจะช่วยให้เขาตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิได้โดยตลอด ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลาน ญาติมิตร และผู้คนในสังคม ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยสรุปก็คือ ความรู้เรื่องโอปปาติกะเป็นเครื่องช่วยให้คนเราไปสู่สุคติในปรโลกได้ง่ายขึ้น

    คนเราโดยทั่วไปสามารถพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะได้ หรือไม่อย่างไร
    เรื่องโอปปาติกะนั้นเป็นเรื่องที่คนเราสามารถพิสูจน์ได้ โดยวิธีพิสูจน์ที่ถูกต้องเหมาะสมตามธรรมชาติ การที่คนเราจะพิสูจน์หรือค้นหาความจริงเรื่องใดให้พบ ก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีการพิสูจน์หรือค้นหาให้ถูกต้อง ถ้าใช้วิธีผิดหรือทำผิดวิธีย่อมจะไม่พบความจริง เช่น ถ้าต้องการรู้เรื่องจุลินทรีย์ ก็ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู ถ้าต้องการรู้เรื่องดาวอังคาร ก็ต้องใช้กล้องดูดาวส่องดู ใครที่อุตริเอากล้องดูดาวไปส่องดูจุลินทรีย์ย่อมไม่พบ เป็นต้น การพิสูจน์เรื่องโอปปติกะก็เช่นเดียวกัน มีวิธีพิสูจน์ซึ่งเป็นวิธีของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น เรียกว่า "ทิพยจักษุ" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ตาทิพย์" ถ้าใช้วิธีอื่น ก็ไม่มีวันจะได้พบโอปปาติกะ

    ทิพยจักษุเกิดขึ้นได้อย่างไร
    ทิพยจักษุจะเกิดขึ้นแก่คนเราได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา โดยการทำใจให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกาย (ได้อธิบายไว้บ้างแล้ว ในเรื่อง "โลกหน้า") ขณะที่ใจรวมเป็นหนึ่งและหยุดนิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ณ ศูนย์กลางกาย ใจก็จะใสสว่างขึ้นถึงขั้นสว่างโพลง ยิ่งหยุดได้นานเท่าใด ความสว่างโพลงก็จะทวีขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น เท่านั้น เมื่อใดมีความสว่างโพลงที่กลางใจเกิดขึ้น ราวกับตะวันเที่ยงหลายๆ ดวงมารวมกันที่ศูนย์กลางกายของเรา เราก็จะสามารถมองเห็นกระบวนการไปเกิดมาเกิดของเหล่าสัตวโลกที่เป็นโอปปาติกะทั้งในทุคติและสุคติ รวมทั้งบรรยากาศ และสภาพธรรมชาติของนรกสวรรค์ได้ตามที่เป็นจริง การเห็นเช่นนี้เรียกว่าเห็นด้วย "ทิพยจักษุ" ไม่ใช่เห็นด้วยตาธรรมดาของคนเรา

    อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ยังไม่สามารถฝึกอบรมตนให้เกิดทิพยจักษุได้ ก็ไม่ควรคิดตั้งข้อสงสัยว่าคำสอนของพระพุทธองค์จะไม่เป็นจริง คือสงสัยว่าโอปปาติกะไม่เป็นจริง แต่ควรคิดในแง่ดีว่า พระพุทธองค์ นั้นทรงเป็นทั้งกัลยาณมิตร และบุพการี ของชาวโลก คือทรงให้ความอุปการะชาวโลกด้วยธรรมทาน โดย ที่ชาวโลกไม่ได้ขอร้อง และชาวโลกก็ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทรงหวังการตอบแทนใดๆ จากชาวโลกด้วยซ้ำไป เหตุที่ทรงให้ธรรมทานอย่างยิ่งใหญ่แก่ชาวโลก ก็เพราะทรงสงสารห่วงใย และปรารถนาดีเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง ไม่อยากให้ชาวโลกต้องเสวยทุกข์ในทุคติภพ แต่ทรงปรารถนาจะให้ได้เสวยสุขในสุคติภพ และบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด ดังเช่นพระองค์ และพระอรหันตสาวกทั้งปวง

    ความคิดเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราเกิดศรัทธามั่นในพระธรรมคำสั่งสอนทั้งปวง โดยไม่มีข้อกังขา แล้วตั้งหน้าเพียรพยายามประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดี มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นกิจวัตรประจำวันตลอดชีวิต แม้ไม่คิดจะทำให้เกิดทิพยจักษุ เพื่อพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะ แต่วันใดวันหนึ่ง เมื่อเราสั่งสมประสบการณ์ภายในได้มากขึ้นๆ หรือจะเรียกว่า "บุญ" ก็ได้ ทิพยจักษุย่อมเกิดขึ้นเองโดยปริยาย และเมื่อนั้นเราก็จะประจักษ์แจ้งตามพระธรรมคำสั่งสอน

    ในทางกลับกันถ้าเรายังคิดสงสัย ศรัทธาของเราที่มีต่อพระธรรมคำสั่งสอนย่อมจะไม่เกิดขึ้นหรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มั่นคง ทำให้คนเราตั้งอยู่ในความประมาท ประพฤติตนไปตามอำนาจกิเลส ไม่ต้องมากเพียงแค่ดื่มสุราจนเมามายบ่อยๆ ก็จะต้องประสบปัญหาเดือดร้อนตั้งแต่ปัจจุบันชาติแล้ว เมื่อละโลกไป ย่อมไม่แคล้วจากทุคติ นอกจากนี้ถ้าดื่มสุราเมามายแล้วไปทำผิดศีลข้ออื่นอีก ทุกข์และโทษย่อมทวีขึ้นอย่างเห็นได้ในปัจจุบันชาติ โดยไม่ต้องรอไปถึงปรโลก

    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวว่า มีผู้คนจำนวนมาก มีปัญญามืดบอดด้วยอำนาจกิเลสในกมลสันดาน เห็นว่า "สัตว์ผุด ขึ้นเกิดไม่มี" หรือ "โอปปาติกะไม่มี" ทั้งๆ ที่โอปปาติกะมีอยู่จริง ความเห็นผิดของพวกเขาจัดเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ในทางกลับกัน กลุ่มบัณฑิตเห็นว่า "สัตว์ผุดขึ้นเกิดมี" คือมีอยู่จริง ความเห็นถูกของพวกเขาจัดเป็น "สัมมาทิฏฐิ"
    สรุป
    สาระสำคัญเกี่ยวกับสัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดหรือโอปปาติกะ ก็คือ ความเห็นที่ว่า "โอปปาติกะมีจริง" เป็นเรื่องสภาพใจของคนที่เชื่อมั่นว่า "นรกสวรรค์มีจริง"

    เรื่องโอปปาติกะและนรกสวรรค์ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยมังสจักษุ คือ ตาเนื้อธรรมดา แต่สามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ ซึ่งเกิดขึ้นได้ ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาจนเกิดประสบการณ์ภายในในระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็อย่าด่วนปฏิเสธ แต่ควรจะค้นคว้าหาความจริงต่อไป ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นบรรลุ "ทิพยจักษุ" เป็นอย่างน้อย เราก็จะได้เครื่องมือวิเศษสำหรับพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ให้กระจ่างแจ้งได้เอง

    อย่างไรก็ตาม พระธรรมคำสั่งสอนเรื่องนี้ ได้ให้นัยว่าคนเราต้องทำดีไว้เผื่อเหนียว คือ ต้องบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เมื่อใจพัฒนาขึ้นตามลำดับๆ แม้ยังไม่บรรลุทิพยจักษุ เราก็พอจะตรองได้ด้วยปัญญา จนเกิดความเชื่อมั่นว่า เรื่องโอปปาติกะและนรกสวรรค์มีจริง ก็จะทำให้เราดำเนินชีวิตโดยไม่ประมาท บุคคลที่มีความเชื่อมั่นเช่นนี้ ชื่อว่า มีความเห็นถูก เป็น "สัมมาทิฏฐิ" และแน่นอนจิตใจย่อมพัฒนาความรับผิดชอบให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง

    ในทางกลับกัน บุคคลที่มีจิตใจมืดมิดด้วยอำนาจกิเลส ไม่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม มีความเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นด้วยมังสจักษุ สิ่งใดที่ตนไม่เห็นก็จะไม่เชื่อ ไม่คิดจะทำกรรมดีไว้เผื่อเหนียว มีชีวิตอยู่อย่างประมาท ด้วยการทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ บุคคลที่ขาดการพัฒนาใจเช่นนี้ ชื่อว่า มีความเห็นผิดเป็น "มิจฉาทิฏฐิ"

    ที่มา

    http://main.dou.us/view_content.php?s_id=241&page=10
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>



    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2010
  13. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +10,787
    เคยอ่านงานเขียนของท่าน อาจารย์ พร ท่านเขียนไว้ดีจริง ๆ ครับ ท่านเป็นบุรพาจารย์ที่น่าเคารพและยกย่องครับ สาธุ ๆ ๆ
     
  14. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ขอบคุณค่ะ....
     
  15. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
  16. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พร รัตนสุวรรณ
    ประวัติชีวิตและผลงานโดยสังเขป
    โดย สมหมาย ดูยอดรัมย์
    พม., พธ.บ.,M.A. Sociology
    อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    คัดลอกจากบางส่วนของบทความจาก
    วารสารวิญญาณ ชุดที่ ๓๗ ฉบับที่ ๗-๑๐ กรกฎาคม-ตุลาคม ๒๕๔๔
    ของสำนักค้นคว้าทางวิญญาณ
    ๔๗/๒ ถนนสามเสน บางลำพู กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ชาติกาล[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อาจารย์พร รัตนสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นบุตรนายบุนนาค และนางพิณ รัตนสุวรรณ เกิดในตระกูลช่างทอง ณ ตำบลบ้านแก่ง อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุตรคนที่สองในจำนวนพี่น้อง ๕ คน ของนายบุนนาคและนางพิณ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปฐมวัย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เนื่องจากบิดาและมารดาของท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ท่านยังเล็ก ๆ และเป็นเด็กกำพร้า จึงได้ไปอาศัยอยู่กับลุงและอา ในที่สุดก็ไปอาศัยอยู่กับวัดบ้านแก่ง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อายุย่างเข้า ๑๓ ปี พ.ศ.๒๔๗๔ ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ กับสามเณรอาทร อังสุธรรม ซึ่งเป็นญาติผู้พี่และเป็นคนบ้านเดียวกัน ได้พามาอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ท่าพระจันทร์ พระนคร กรุงเทพฯ เมื่อมาอยู่แล้วก็ได้เข้าเรียนภาษาบาลี โดยเรียนไวยากรณ์ และแปลธรรมบท อยู่ ๒ ปี ตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัดมหาธาตุ ฯ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การบรรพชา และ อุปสมบท[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในปีพ.ศ. ๒๔๗๘ อายุครบ ๑๗ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุ ฯ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีนามฉายาว่า กลฺยาณจาโรภิกฺขุ พระธรรมปัญญาบดี (กิตฺตสารมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระญาณสมโพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพิมลธรรม (ฐานทัตตมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระศรีสมโพธิ์ เป็นพระอนุสาวจารย์[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การศึกษาพระปริยัติธรรม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อาจารย์พร ได้เข้าศึกษาภาษาบาลีที่วัดมหาธาตุ ฯ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยใช้เวลาศึกษาภาษาบาลีและแปลภาษาบาลีอยู่ถึง ๖ ปี โดยศึกษาภาษาบาลีไวยากรณ์ ๒ ปี ศึกษาแปลธรรมบทอีก ๔ ปี ผลการสอบไล่ได้ดังนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๑ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค เมื่ออายุ ๑๘ ปี และสอบได้เปรียญธรรม ๔-๕-๖ ประโยคได้ตามลำดับขณะยังเป็นสามเณร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๒ หลังจากได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว และก็ได้เป็นครูสอนบาลีในสำนักเรียนวัดมหาธาตุ ฯ อยู่ ๒ ปีแต่ด้วยความตั้งใจของอาจารย์นั้น ท่านประสงค์จะหาเวลาศึกษาค้นคว้า และอ่านหนังสือพระไตรปิฎก ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาในด้านปฏิบัติและวิปัสสนา จึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ไปปฏิบัติธรรม ที่สำนักวัดถ้ำแกลบ จังหวัดเพชรบุรี และต่อมาก็ได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ ณ สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นบุกไทย ท่านอาจารย์จึงกราบลาท่านพุทธทาสภิกขุ กลับมาวัดมหาธาตุ ฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขณะนั้น ทางกรุงเทพ ฯ เองก็ถูกโจมตีจากทหารญี่ปุ่น เหตุการณ์ยังไม่สงบ ท่านอาจารย์จึงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดของท่าน ที่บ้านแก่ง จังหวัดอุตรดิตถ์ ณ วัดเกษมจิตตาราม และจำพรรษาอยู่ ๒ ปี[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๐ ได้เดินทางไปแสวงหาความรู้ และปฏิบัติธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ และก็ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดอุปคุต ๑ พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ย้ายไปอยู่วัดศรีโขง ณ ตรงนี้เองท่านอาจารย์พร ได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้า พระไตรปิฎก-อรรถกถาได้อย่างเต็มที่เป็นเวลาถึง ๔ ปีเต็ม โดยไม่ได้รับกิจนิมนต์ใด ๆ จากญาติโยม (ตามท่านเล่า)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]การสอนพระพุทธศาสนา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐ ได้เริ่มออกเทศน์สั่งสอนอบรมธรรมะแก่นักเรียน เยาวชนและประชาชนโดยทั่วไป ตามโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ และเปิดสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เชียงใหม่ ในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ นี้ด้วย ต่อมาเจ้าชื่น เจ้าสุริยฉาย สิโรรส ได้พาลูก ๆ มาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และมีศรัทธาเลื่อมใสในการสอนธรรมบรรยาย จึงได้นิมนต์ให้ท่านไปอยู่ที่วัดอุโมงค์ ซึ่งกำลังบูรณะ ท่านอาจารย์จึงได้ไปอยู่วัดอุโมงค์ และได้ตั้งพุทธนิคมเชียงใหม่ สวนพุทธธรรม และยุวพุทธิกสมาคมขึ้นเป็นแห่งแรกอีกด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มัชฌิมวัย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่ออายุย่างเข้า ๓๐ ปี ท่านอาจารย์พรกับท่านปัญญานันทะภิกขุ (ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ ที่พระธรรมโกษาจารย์) ได้ร่วมกันเทศน์สั่งสอนอบรมนักเรียน เยาวชน และประชาชนในเขตเทศบาลเมืองเชียงใหม่ จนมีผู้คนศรัทธาเลื่อมใส และนิยมมาฟังการบรรยายธรรมะกันมากมาย ซึ่งมีผู้ให้ความคิดเห็นว่า การเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบนี้มีประโยชน์ต่อการสอนพระพุทธศาสนามาก จึงได้ร่วมกันสร้างสถานที่ถาวร คือก่อสร้างพุทธสถานเชียงใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เมื่ออายุ ๓๔ ปี ท่านอาจารย์พร ได้ป่วยเป็นวัณโรค จึงได้ลาสิกขา ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๔๙๔ และได้ออกไปพักรักษาตัวและถือโอกาสนี้ปฏิบัติธรรมด้วย ณ บนภูเขาห้วยฝ้าย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๔ โรคประจำตัวของท่านอาจารย์ก็หายเป็นปกติ ท่านจึงเริ่มออกสอนพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง โดยออกไปสอนตามโรงเรียนในเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนสตรี โรงเรียนชาย วิทยาลัยฝึกหัดครูและวิทยาลัยพยาบาล เป็นต้น ท่านอาจารย์พร ได้ทำงานด้านเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่นักเรียนเยาวชน โดยการสอนให้ฟรีทุกอย่าง รวมเวลาที่ได้มาศึกษาพระไตรปิฎก-อรรถกถา การปฏิบัติธรรมและการเผยแพร่พระพุทธศาสนาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลานานถึง ๑๑ ปี จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักเรียนนักศึกษา เยาวชนและประชาชนโดยทั่วไป ในเมืองเชียงใหม่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]งานด้านการสอนในสถาบันการศึกษา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘ ทางมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในสมัยท่านเจ้าคุณพระธรรมวรนายก เป็นอธิการบดี และพระศรีสุธรรมมุนี (บุญเลิศ) เป็นสั่งการเลขาธิการ ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระสุเมธาธิบดี ได้มีหนังสือเชิญตัวมาเป็นอาจารย์บรรยายในคณะพุทธศาสตร์ ท่านอาจารย์จึงตอบรับ และตัดสินใจมาสอนที่มหาวิทยาลัยทันที เพราะมองเห็นว่าสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สอนวิชาพระพุทธศาสนา ถวายความรู้แก่พระนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย และท่านอาจารย์เองก็เป็นผู้ริเริ่มการสอน วิชาธรรมประยุกต์ คือหลักคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เพื่อให้พระนิสิตของมหาวิทยาลัยได้นำหลักธรรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และนำไปเผยแพร่ต่อไป[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในช่วงที่เป็นอาจารย์สอนในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ประมาณ ๖ เดือน ท่านก็ยังได้ออกไปสอนวิชาพระพุทธศาสนาตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพ ฯ ประมาณ ๑๐ โรงเรียน เพื่อเป็นการเผยแพร่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้แก่นักเรียนและเยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมและสามารถนำหลักธรรมนั้นไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านอาจารย์ก็ได้เปิดสอนธรรมะพิเศษให้แก่เด็กนักเรียนขึ้นในวันเสาร์และวันอาทิตย์อีกด้วย และท่านอาจารย์ก็ได้เปิดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นในนามของมหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรกในกรุงเทพฯ อีกด้วย ซึ่งได้ทำการบรรยายและสอนอยู่ที่โรงเรียนพรวิทยาประสูทน์ ซึ่งมีนักเรียนและมีผู้สนใจนิยมมาเรียนและมาฟังกันเป็นจำนวนมาก จนล้นห้องเรียนไปยืนฟังข้างนอกก็มาก ช่วงนี้เอง คุณปุ่น จงประเสริฐ ก็ได้มาฟังธรรมะบรรยายของท่านอาจารย์พรด้วย และได้เกิดศรัทธาซื้อม้าหินอ่อนและก็นำลำโพงต่ออกไปข้างนอก ให้ผู้อยู่ข้างนอกได้ฟังธรรมะด้วย จนข้างนอกเอง ก็เกิดมีพ่อค้าแม่ค้านำของมาขายบริเวณลานอโศก จึงได้เกิดเป็นตลาดนัดขึ้นโดยปริยาย พร้อมกันนี้ก็ยังได้ตั้งธรรมวิจัย และปรับปรุงธรรมวิจัยขึ้นในวัดมหาธาตุ ฯ สำหรับการบรรยายธรรมะและการปฏิบัติวิปัสสนาให้แก่นักเรียนเยาวชนและประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อนึ่งในปีเดียวกันนี้เอง ท่านอาจารย์พร ก็ได้ไปบรรยายธรรมะทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ซึ่งบรรยายธรรมในเรื่องสุขภาพจิต ทางทีวี ขาว-ดำ ช่อง ๗ กองทัพบกติดต่อกันเป็นเวลานานถึง ๑๐ ปี จนเป็นที่มีผู้นิยมกันแพร่หลายและมีผู้คนติดตามชมกันโดยทั่วไป[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]งานด้านการเขียนหนังสือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปีพ.ศ. ๒๔๙๖ เขียนหนังสือพุทธวิทยาเล่ม ๑-๒ ซึ่งนับว่าเป็นหนังสือเล่มแรก ๆ ที่ท่านอาจารย์พรเขียนขึ้นเผยแพร่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปีพ.ศ. ๒๕๐๘ ตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นเป็นโรงพิมพ์วิญญาณ เขตพระนคร บางลำพู กรุงเทพ ฯ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อตั้งสำนักพิมพ์แล้ว ก็ได้ทำการวิจัยธรรม วิจัยการสอนวิชาศีลธรรมและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ โดยเฉพาะ วิชาธรรมประยุกต์ ท่านได้คิดมานานในเรื่องหลักธรรมที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิต ซึ่งในที่สุดก็พบว่า “ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของชีวิต ตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้แหละ คือธรรมประยุกต์ ที่สามารถใช้เป็นวัคซีนได้แน่นอน ถ้าได้ฉีดความรู้เรื่องนี้เข้าไปในจิตใจ ซึ่งเริ่มจากสิ่งที่ง่าย ๆ ก่อนแล้วจึงค่อยเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปดดยลำดับ จนกระมั่งมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว มีพื้นความรู้สึกสูงขึ้น ความรู้สึกอันนี้จะคอยเตือน คอยฉุดในเมื่อจะเดินผิดทางและก็คอยชี้ช่องทาง” ผลงานก้านการเขียนของท่านอาจารย์พรมีมาก อาทิ สัพพัญญู, อภิญญา, คู่มือการฝึกอานาปานสติสมาธิ, คำบรรยายพุทธปรัชญา, วิญญาณ, ชีวิตหลังจากตาย, สุขภาพจิต, วิญญาณคืออะไร เป็นต้น หนังสือที่ท่านเขียนขึ้นจะเป็นหนังสือหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา การฝึกสมาธิ วิญญาณ หรรษา พาชื่น วิธีชนะอารมณ์ และบทความอื่น ๆ อีกมากมายกว่า ๘๐ เรื่อง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]งานด้านการพัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปีพ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๓๕ ได้เป็นผู้บุกเบิกและก่อสร้างศูนย์พัฒนาศาสนาแคมป์สนขึ้น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าวิจัย ฝึกอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐาน แก่พระนิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนโดยทั่วไป และได้มอบศูนย์นี้ให้เป็นสมบัติของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เข้าไปดูแลและทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย จึงนับได้ว่า เป็นงานที่สำคัญมาก ที่ท่านอาจารย์ได้มาบุกเบิกไว้ให้เป็นสมบัติของพระศาสนาและสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและปฏิบัติธรรม ณ ศูนย์พัฒนาศาสนาแคมป์สนแห่งนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บั้นปลายชีวิต[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปีพ.ศ. ๒๕๒๙-๒๕๓๖ ตลอดชีวิตของท่านอาจารย์พรนั้น ท่านได้เป็นผู้เสียสละเกือบทั้งชีวิตของท่าน ซึ่งผลงานนั้นมีมากมาย เช่นการสอน การบรรยาย การฝึกอบรม นำผู้ปฏิบัติธรรมและสร้างถาวรวัตถุให้กับพระพุทธศาสนา และสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านอาจารย์พรได้เป็นผู้ดำเนินการตรวจชำระและจัดพิมพ์คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คือ หนังสืออรรถกถา-ฎีกา ซึ่งเป็นหนังสืออธิบายพระไตรปิฎก ที่เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรสืบไป และหนังสือคัมภีร์เหล่านี้ ท่านได้มอบให้กับสถาบันมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อไว้เป็นอุปกรณ์การศึกษาค้นคว้าอีกด้วย และในช่วงการดำเนินการตรวจชำระและจัดพิมพ์ได้เสร็จไปแล้ว ๔๗ คัมภีร์ และได้ทำพิธีมอบคัมภีร์อรรถกถาถวายมหาจุฬา ฯ ขึ้น ณ ภายในพระอุโบสถวัดมหาธาตุ ฯ พร้อมกับท่านอายุครบ ๖ รอบ ๗๒ ปี ในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๓[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ดังนั้น ชีวิตของท่านอาจารย์พร รัตนสุวรรณ นั้นถือได้ว่าเป็นผู้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความปรารถนาดี และท่านอาจารย์พรพูดอยู่เสมอว่า ถ้าไม่มีการให้ ก็ไม่มีทางพ้นจากความทุกข์ได้เลย เพราะชีวิตทั้งชีวิตของท่านอาจารย์ ท่านเล่าว่าท่านเป็นผู้ให้ตลอด ซึ่งท่านได้นำหลักทางพรุพุทธศาสนา และสอนธรรมะนี้แก่ปวงชน ผลบุญกุศลนี้จึงหนุนนำส่งให้ท่านมีความสุข และทำงานเพื่อสังคมส่วนรวมได้อย่างราบรื่นตลอดชีวิต ซึ่งท่านเคยพูดว่า ชีวิตของท่านบางครั้งเริ่มจากศูนย์ แต่เมื่อเป็นผู้ให้และเป็นผู้เสียสละแล้ว ผลที่ให้นั้นก็สะท้อนย้อนกลับ จึงทำให้ท่านอาจารย์พรเป็นคนได้รับความรักความเมตตา ความเอื้ออาทรจากผู้อื่นมากมาย ชีวิตของท่านอาจารย์พร จึงมีแต่ความสุขความสวัสดีในชาติปัจจุบันนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อาจารย์พร รัตนสุวรรณ ท่านได้ปลงภาระธุระและเป็นการยุติชีวิตของการเวียนว่ายในโลกสังสารวัฏนี้เสียที จึงได้ละกายเนื้อเข้าสู่ภูมิทิพย์ด้วยโรคตับวาย เมื่อวันพุธที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ เวลา ๐๖.๓๙ น. สิริรวมอายุได้ ๗๔ ปี ๓ เดือน ๖ วัน การสิ้นบุญของท่านครั้งนี้ นับได้ว่า นำความสลดใจมายังศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นผู้ที่เคารพนับถือและเป็นที่รักของทุก ๆ คนที่เป็นศิษย์ ท่านจากไปด้วยความอาลัยรักจากศิษยานุศิษย์จนชั่วนิรันดร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]********
    [/FONT]​
     
  17. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    <TABLE borderColor=#00ac00 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=620 bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#008600>ชีวิตหลังความตาย </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE width=610 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]


    ktt
    ใครก็กลัวความตายกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป คนจำนวนไม่น้อยที่มีประสบการณ์ "ผ่านความตาย" แล้วกลับมาเล่าสิ่งที่พวกเขาพบเห็น

    ขณะที่นักวิทยาศาสตร์มองว่า ประสบการณ์ใกล้ความตายเป็นเพียงแค่ภาพหลอน และไม่มีอะไรมากไปกว่าความฝันที่ติดตาเท่านั้น วันนี้เราจะนำชมชีวิตหลังความตายกัน

    "คนเราเวลาตายจะยังไม่ตายทันที แต่จะใช้เวลาระยะหนึ่ง ทางการแพทย์นั้นถือว่า เมื่อหมดลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดทำงานก็จะถือว่า ณ จุดนั้นคนนั้นเสียชีวิตแล้ว " น.พ.ทองคำ สุนทรเทพวรากุล แพทย์กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวถึงจุดสุดท้ายของชีวิตมนุษย์

    เมื่อแพทย์ระบุว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะนำศพไปยังห้องเก็บศพทันที แต่จะรอดู 1- 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสิ้นชีวิตจริง เนื่องจากมีบางรายที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แต่สำหรับคนไข้ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการหนักอยู่แล้ว และแพทย์ได้ตรวจเช็คด้วยเครื่องตรวจระบบการทำงานของร่างกายแล้ว จึงสามารถยืนยันถึงวาระสุดท้ายได้

    ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย (Near Death Experience-NDE) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่หัวใจล้มเหลว ช่วงที่หมดสติไป บางคนมีประสบการณ์เห็นปรากฏการณ์บางอย่าง ซึ่งหลังจากฟื้นแล้ว มักจะเล่าประสบการณ์ดังกล่าวในลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน

    [​IMG]ในต่างประเทศ ได้มีความพยายามการศึกษาและทดลองเพื่อยืนยันถึงการดำรงอยู่ของ "วิญญาณ" ย้อนไปได้ถึงปี พ.ศ. 2425 สมาคมวิจัยจิตวิญญาณได้รับการก่อตั้งขึ้นมาและเริ่มทำการวิจัยปรากฏการณ์ใกล้ตายในสหรัฐ แต่ผ่านมาอีกร้อยปีก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่ยืนยันถึงภาวะหลังความตาย

    ราวปี พ.ศ. 2469 เซอร์วิลเลี่ยม บาร์เร็ต นักวิจัยสภาวจิตและสมาชิกราชบัณฑิตสภาได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ "นิมิตบนเตียงมรณะ" โดยคนไข้ใกล้ตายบอกเล่ากับเขาว่า ได้เห็นโลกอีกโลกหนึ่งก่อนที่จะสิ้นลม เห็นคนที่ตายไปแล้ว และยังได้พูดคุยด้วย นอกจากนี้ยังมีบางรายที่เล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงเพลงในขณะที่ใกล้สิ้นชีวิต และยังมีผู้เฝ้าไข้บอกว่าเห็นวิญญาณออกจากร่างผู้ป่วยด้วย

    ต้องไม่ลืมว่าในยุคที่การแพทย์ยังไม่เจริญ คนป่วยมักจะได้รับการดูแลอยู่ในบ้าน โดยมีญาติพี่น้องห้อมล้อม แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีการแพทย์รุดหน้า นิมิตบนเตียงมรณะจึงมีกล่าวถึงน้อยลงเนื่องจากวาระสุดท้ายของคนส่วนใหญ่จะลงเอยที่โรงพยาบาล และจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่ก็เป็นเรื่องประหลาด เพราะยิ่งการแพทย์พัฒนาไปเท่าไร รูปแบบของการรายงานประสบการณ์ใกล้ตายยิ่งแตกต่างออกไปจากเดิม

    ในปี 2518 เรย์มอนด์ มูดี้ แพทย์อเมริกันท่านหนึ่งเขียนหนังสือ ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีเรื่อง Life After Life โดยเขาได้สัมภาษณ์ผู้คนที่ "กลับมาจากความตาย" หลายคน ส่วนใหญ่จะเล่าว่า พวกเขาจะได้ยินเสียงบอกกับตัวเองว่า เขาตายแล้ว ตามมาด้วยเสียงหึ่งๆ หรือเสียงกริ๊งดัง อยู่ในอุโมงค์มืด เมื่อมองมาไกลๆ เห็นร่างของพวกเขานอนอยู่ และคอยเฝ้าดูอยู่อย่างนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ต่อมาได้พบกับคนอื่น ซึ่งช่วยเขาย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมา และมาช่วยกันประเมินสิ่งที่เคยเกิดขึ้น

    พอถึงระยะหนึ่ง ตัวเขาเผชิญกับกำแพงกั้น และรู้สึกว่าต้องกลับไป ถึงแม้จะเล่าว่ามีความรู้สึกอิ่มเอม รัก และสงบ ณ ดินแดนแห่งความตาย แต่พวกเขาต้องกลับไปคืนร่าง และมีชีวิตต่อ

    [​IMG]นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากไม่เชื่อในเรื่องดังกล่าว และสันนิษฐานว่าหมอมูดี้ปั้นแต่งเรื่องให้เกินจริง ต่อมามีแพทย์โรคหัวใจรายหนึ่งใช้เวลา 20 ปีสัมภาษณ์ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวกว่า 2,000 คน พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งมีประสบการณ์ตามแบบที่มูดี้บันทึกไว้ และในปี 2525 แบบสำรวจพบว่าคนอเมริกัน 1 ใน 7 เคยประสบกับภาวะเฉียดตาย และ 1 ใน 20 มีประสบการณ์ผ่านความตาย จึงดูเหมือนว่าสิ่งที่มูดี้บันทึกไว้ถูกต้อง

    แพทย์อายุรเวชจาก รพ.ราชวิถี อธิบายว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากสัญญาเก่า (ความทรงจำ) เช่น หากเกิดเหตุการณ์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์พยาบาล ต้องช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ ซึ่งพวกเขาอาจเห็นจากภาพยนตร์ หรือจากที่อื่น เพราะฉะนั้น จึงตีได้หลายประเด็น บางคนเมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลใช้เครื่องช็อกหัวใจ หรือซีพีอาร์ ช่วยให้ฟื้นยังไม่ถึงกับหมดสติเต็มที่

    "คงประกอบด้วยหลายอย่าง บางคนมีความรู้สึกได้ว่ามีคนมาช่วยเหลือ บางครั้งมีความรู้สึกเห็นภาพต่างๆ นานา มีแพทย์ใครต่อใครกำลังช่วยชีวิตเขาอยู่ คำอธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตายของคนไข้ลักษณะนี้ไม่อาจอธิบายได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพียงแต่ว่า คนไข้อาจจะไม่หมดสติ หรือประสาททั้งห้า ยังสามารถรับรู้อะไรได้บ้าง บางคนหูอาจยังพอได้ยิน ตาอาจจะยังพอเห็น หรือคนไข้ใกล้ๆ ตายบางทีไปกระซิบข้างๆ หูเขายังได้ยิน ด้วยเหตุนี้เราจึงพยายามไม่ให้มีการพูดที่ไม่ดีกับคนที่ใกล้ตาย" น.พ.ทองคำกล่าว

    [​IMG]ในพุทธศาสนา กล่าวถึงภาวะก่อนตายว่า จะมีนิมิตสามประเภทปรากฏให้เห็น ได้แก่ กรรมอารมณ์ เป็นเจตนา ไม่มีรูป ไม่มีอะไรให้เห็น เช่น การตั้งใจทำบุญ หรือเจตนาลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ เป็นความตั้งใจ เจตนาผุดขึ้นมาให้เห็นเสมือนกำลังไปทำกรรม ต่อมาคือ กรรมนิมิตอารมณ์ เป็นนิมิตให้เห็นทั้งรูป สี เสียง กลิ่น รสสัมผัส เหมือนขณะที่เรากำลังทำอยู่ในอดีต เช่น ขันข้าวใส่บาตร เครื่องมือลักทรัพย์ เครื่องมือฆ่าสัตว์มาปรากฏให้เห็น ข้อที่สามคือ คตินิมิต เป็นการมองเห็นสิ่งที่อยู่ในสถานที่ข้างหน้าที่ชีวิตจะไปเกิดใหม่

    "ยกตัวอย่างถ้าเห็นสัตว์วิ่งอยู่ในป่า ก็อาจหมายความว่า คนนั้นตายไปจะไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในป่า หรือเห็นครรภ์มารดา ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดาก็จะเห็นเป็นวิมาน" น.พ.ทองคำ อธิบายพร้อมกับอ้างอิงพุทธศาสนา

    เคนเน็ต ริง จากมหาวิทยาลัยคอนเนคติคัต สหรัฐ ได้สัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ผ่านความตายจำนวน 102 คน พบว่าร้อยละ 50 มีประสบการณ์ใกล้ตาย โดยสามารถแบ่งขั้นตอนของประสบการณ์ได้ 5 ขั้น ได้แก่ ภาวะสงบ ภาวะออกจากร่าง ภาวะเดินทางสู่ความมืด (ซึ่งคล้ายกับอุโมงค์) ภาวะมองเห็นแสงสว่าง และภาวะเดินเข้าใกล้แสงสว่าง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งน่าแปลกที่ดูเหมือนจะมีลำดับขั้นของประสบการณ์ที่รอคอยการไขปริศนาอยู่

    [​IMG]คำถามที่น่าสนใจคือ ประสบการณ์ชีวิตใกล้ตายเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมหรือไม่ มีงานวิจัยอยู่บ้างที่แสดงให้เห็นว่าในวัฒนธรรมอื่นๆ โครงสร้างประสบการณ์ใกล้ตายมีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐาน แม้ว่าภูมิหลังทางศาสนาอาจทำให้การตีความแตกต่างกันไป

    ที่สำคัญกว่านี้คือ จำเป็นหรือไม่ว่าต้องใกล้ตายถึงจะมีประสบการณ์ดังกล่าว คำตอบคือ ไม่จำเป็น เนื่องจากมีบันทึกว่าบางคนที่รับประทานยาบางชนิด หรืออ่อนเพลียจัด หรือบางครั้งทำกิจกรรมตามปกติก็มีประสบการณ์ดังกล่าวได้เหมือนกัน

    สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์เห็นชีวิตใกล้ตาย วิญญาณออกจากร่าง สิ่งที่พวกเขาพบเห็นมันดูชัดเจนเป็นจริงยิ่งกว่าชีวิตประจำวันเสียอีก หรืออย่างประสบการณ์เห็นอุโมงค์ก็ไม่ได้เป็นแค่จินตนาการ พวกเขายืนยันว่า ภาพที่พวกเขามองเห็นเมื่อออกมาจากร่างกายก็ดูเป็นจริงเป็นจังมาก ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน เห็นได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่พูดว่าเขาเห็นภาพหลอน หรือเขาจินตนาการว่าได้ไปสวรรค์ แต่จะบอกว่าเขาได้ออกจากร่างไป และได้เห็นคุณทวด คุณตาในสวรรค์

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ผ่านช่วงนาทีเป็นนาทีตายแล้วจะมีประสบการณ์ใกล้ตายเหมือนกันหมด จึงน่าตั้งคำถามว่า คนแบบไหนที่มีแนวโน้มว่าจะมีประสบการณ์เห็นภาพชีวิตหลังความตาย ซึ่งความจริงคนที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตายกับคนทั่วไปไม่ได้มีลักษณะอะไรที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เฉียดความตายมามักจะเปลี่ยนบุคลิกพฤติกรรมของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น คนจำนวนไม่น้อยละทิ้งความโลภโมโทสัน เลิกนิยมวัตถุ รู้จักใส่ใจผู้อื่น




    [​IMG]กายทิพย์และโลกหลังความตาย

    สิ่งที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามกันคือ วิญญาณมีจริงหรือไม่ แล้วโลกหลังความตายเป็นอย่างไร?

    ไม่ต้องสงสัย คติทางพุทธศาสนา ซึ่งให้ความสำคัญกับกรรม แสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อชีวิตหนึ่งสิ้นสุดลง วิญญาณจะเคลื่อนจากภาพเก่าสู่ภพใหม่ทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับกรรม

    ในหลายๆ วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องวิญญาณออกจากร่างเป็นความเชื่อที่คล้ายกัน และเป็นประสบการณ์คนละส่วนกับประสบการณ์ของคนใกล้ความตาย ในการสำรวจในปี 2521 พบว่า มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน 50 วัฒนธรรมที่เชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ และจิต ซึ่งสามารถออกจากร่างได้ ดังนั้น ทั้งประสบการณ์ถอดวิญญาณและความเชื่อเรื่อง "กายทิพย์" ในอีกภพหนึ่งจึงเป็นความเชื่อร่วมกันของมนุษยชาติ แล้วเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดหรืออย่างไร หรือยังมีอีกร่างหนึ่งอยู่จริง


    การตั้งทฤษฎีดังกล่าวดูจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่ต้องไม่ลืมว่า หลายครั้งวิทยาศาสตร์เองไม่สามารถนำไปใช้วัด หรือทดสอบเรื่องราวที่เป็นอภิปรัชญาได้เลย

    ก่อนหน้านี้เคยมีการพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของกายทิพย์ โดยทดลองชั่งน้ำหนักคนที่กำลังใกล้ตายเพื่อวัดน้ำหนักของวิญญาณที่ออกไปจากร่าง โดยการทดลองในต้นศตวรรษสามารถวัดได้ว่าวิญญาณหนักประมาณ 1 ออนซ์ (28 กรัม) แต่เมื่อเครื่องชั่งมีความละเอียดขึ้น น้ำหนักที่ได้กลับลดลง เท่ากับว่าการวัดน้ำหนักเชื่อถืออะไรไม่ได้

    <TABLE cellSpacing=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ต่อมามีความพยายามใช้เครื่องมืออย่างเช่น เครื่องวัดรังสีอัลตราไวโอเลตและอินฟราเรด เครื่องวัดการไหลของสนามแม่เหล็ก เครื่องวัดอุณหภูมิ เพื่อวัดขนาดของวิญญาณของคนที่สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างได้ แต่ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ

    ซูซาน แบลคมอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวสต์ออฟอิงแลนด์ ประเทศอังกฤษมองว่า ถ้าทฤษฎีเรื่องกายทิพย์มีจริง มนุษย์น่าจะสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยาก แต่ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยากเย็นแค่ไหน ดังนั้น หากเอาทฤษฎีกายทิพย์มาอธิบายเรื่องวิญญาณออกจากร่างคงไม่เป็นประโยชน์

    ขณะเดียวกัน มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผู้หมดสติมองเห็นภาพตัวเองเดินทางไปในอุโมงค์มืด ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายว่า การมองเห็นภาพอุโมงค์เปรียบเสมือนการเห็นภาพย้อนอดีตสมัยที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา อุโมงค์ก็คือช่องคลอด และแสงสว่างก็คือแสงจากโลกภายนอก

    อย่างไรก็ดี ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อนหลายประการ ประการแรก ช่องคลอดที่ให้กำเนิดทารกออกมานั้นมีลักษณะบีบรัด และบ่อยครั้งแพทย์ต้องช่วยดึงทารกออกมา ขณะที่มารดาต้องออกแรงเบ่ง เด็กโดยมากจะกลับหัวออกไม่ได้มองออกมา (ที่สำคัญยังหลับตาอยู่) ประการที่สอง จากการสัมภาษณ์พบว่า เด็กที่คลอดด้วยวิธีผ่าท้องมีประสบการณ์เห็นภาพอุโมงค์ในภาวะหมดสติเช่นกัน

    มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า ไม่เฉพาะคนที่หมดสติใกล้ตายเท่านั้นที่มองเห็นภาพอุโมงค์ คนที่เป็นไมเกรน นอนหลับ ทำสมาธิ หรืออยู่ในภาวะผ่อนคลาย หรือมีสิ่งของหนักๆ ทับลูกตาอยู่ บางครั้งเกิดกับคนที่รับประทานยาบางอย่างเช่น แอลเอสดี ไฟโลไซบิน และเมสคาไลน์ ก็มองเห็นภาพอุโมงค์ได้เช่นกัน

    [​IMG]ย้อนกลับไปราว 70 ปีก่อน มีงานวิจัยโดยเฮนริช คลูวาร์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ระบุภาวะภาพหลอนไว้ 4 ประเภท ได้แก่ มองเห็นอุโมงค์ ภาพหมุนเกลียว ภาพตะแกรง และภาพตาข่ายใยแมงมุม เขากล่าวว่าภาพลวงตาเหล่านี้เป็นไปได้ว่ามาจากโครงสร้างของสมองส่วนคอร์เท็กซ์ที่ใช้ประมวลผลข้อมูลภาพ ภาพหลอนที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการสร้างแผนภาพที่เกิดขึ้นบนเรตินาก่อน และเกิดขึ้นอีกครั้งที่คอร์เท็กซ์
    ต่อมาในปี 2525 แจ็ค โควาน นักชีวประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้นำเอาการสร้างแผนผังนี้มาอธิบายการมองเห็นภาพอุโมงค์ เขากล่าวว่า กิจกรรมของสมองปกติแล้วจะมีสภาพคงที่ก็ต่อเมื่อเซลล์บางตัวไปขัดขวางการทำงานของเซลล์อื่น ครั้นเมื่อกิจกรรมในการยับยั้งเซลล์ลดลงส่งผลให้เกิดกิจกรรมมากมายในสมอง ภาวะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงใกล้ตายเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือเพราะรับประทานยาแอลเอสดี ซึ่งส่งผลไปขัดขวางกระบวนการยับยั้งเซลล์


    คนส่วนใหญ่ "ตายไม่เป็น"

    ในขณะที่วิทยาศาสตร์พยายามหาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ความตาย การถอดวิญญาณ และโลกหน้า และไม่ว่าผลจะลงเอยอย่างไร และสามารถหาคำตอบได้หรือไม่ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในแต่ละวินาทีมีคนไข้จำนวนมากที่นอนรอความตาย ซึ่ง น.พ.ทองคำ จากโรงพยาบาลราชวิถีมองว่า คนไข้เหล่านี้ ถ้าได้รับการดูแลไม่ดี ไม่คำนึงถึงสภาพจิตวิญญาณ คนไข้ก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ จิตใจไม่ดี เศร้าหมอง ส่งผลให้คนไข้ส่วนใหญ่ไปสู่ทุกขคติ

    "ความตาย ถ้าตายไม่เป็นมันน่ากลัวมาก ถ้าตายพร้อมกับโทสะ ความหวาดกลัว จะไปนรก ตายด้วยความยินดี ติดใจในกามคุณ 5 โลภะเกิดส่วนใหญ่ไปเป็นเปรต ไม่รู้จักสภาวธรรมความจริง ตายไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่จะไปเป็นสุขนั้นน้อยมาก" น.พ.ทองคำ อ้างอิงคติทางพุทธศาสนา

    <TABLE cellSpacing=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อย่างไรก็ดี แนวโน้มการดูแลผู้ป่วยในปัจจุบัน แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญต่อจิตวิญญาณของคนไข้มากขึ้น และมีความสนใจทางด้านนี้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการอบรมแพทย์ประจำบ้านเกี่ยวกับ End of Life Care และ Spiritual Aspect สอดแทรกไปในการเรียนการสอนเรื่องจรรยาแพทย์ด้วย ปัจจุบันจะเห็นว่าการดูแลคนไข้ไม่ได้คำนึงถึงสภาพการรักษาร่างกายอย่างเดียว แต่จะคำนึงถึงสภาพทางจิตวิญญาณด้วย ยกตัวอย่าง คนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย ทำอย่างไรถึงให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่สงบสุข และไม่ทรมาน

    "ผู้ป่วยบางคนไม่ต้องการให้ใช้เครื่องพีซีอาร์ อย่างคนไข้ระยะสุดท้าย เขาต้องการตายอย่างเดียว ตายอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน ถ้าผู้ป่วยเคยฝึกสมาธิวิปัสสนามาบ้าง ก็สามารถทำจิตใจให้ผ่องใสได้ ถ้าไม่เคยฝึกมาก่อนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก" น.พ.ทองคำ กล่าว

    [​IMG]บางครั้งแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะคอยแนะนำให้ญาตินำเทปธรรมะมาเปิดให้คนไข้ฟัง เพื่อให้จิตผ่องใส และไปสู่สุขคติ หรือในบางกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในขั้นโคม่า แพทย์จะประคองให้ยาระงับปวดเต็มที่ แต่ไม่ให้หมดสติเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินจิตให้เป็นกุศลได้

    "ในต่างประเทศ บาดหลวงจะมาเยี่ยมอยู่ข้างๆ ผู้ป่วย ของเราเองก็มี เราจะให้คนไข้ได้ทำบุญเป็นระยะสุดท้าย หรือทำสังฆทานอาสัญกรรม ซึ่งเป็นการทำบุญใกล้ตาย"

    แพทย์อายุรกรรมโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ถ้าญาติเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยคนไข้ได้มาก แต่ถ้าญาติไม่เข้าใจ ร้องไห้เสียใจ ยิ่งจะทำให้คนไข้ทุกข์ขึ้น บรรยากาศยิ่งเลวร้ายลง เต็มไปด้วยความซึมเซาและเศร้าหมอง

    น.พ.ทองคำยังแนะนำด้วยว่า การฝึกจิตเป็นเรื่องสำคัญ และควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เป็นเรื่องที่ควรรู้ อย่าไปปฏิเสธ รวมถึงเรื่องภพภูมิ เนื่องจากมันจะไปปิดกั้นการทำความดี

    "การไม่เชื่อเรื่องสวรรค์หรือนรก มันจะไปปิดกั้นโอกาสทำความดี ลองคิดดูว่า ถ้าห้องไม่มีแสงสว่าง ห้องก็ดูมืดมิด มองไม่เห็นประตู พอมีคนบอกว่าข้างนอกมีแสงสว่าง มีประตูออก แต่คนข้างในไม่เชื่อ เพราะพวกเขามองไม่เห็นและปฏิเสธมัน คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางเห็นแสงสว่าง"

    ที่มา

    http://artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=6043
    </TR></TBODY>

    </TR></TBODY>
     
  18. GupTun

    GupTun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +113
    ขอบคุณ ที่นำเนื้อเรื่องแบบอ่านได้มาโพสท์นะครับ จะได้มาอ่านเวลาทำงาน เปิดไฟล์เสียงฟังบนโต๊ะทำงานไม่ค่อยเหมาะอ่ะครับ :cool:
     
  19. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">อำนาจแห่งความยึดมั่นของจิต </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><FORM action=index.php method=post>ความนิยมของผู้ชม:[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG] / 1
    แย่มาก<INPUT type=radio alt="vote 1 star" value=1 name=user_rating><INPUT type=radio alt="vote 2 star" value=2 name=user_rating><INPUT type=radio alt="vote 3 star" value=3 name=user_rating><INPUT type=radio alt="vote 4 star" value=4 name=user_rating><INPUT type=radio alt="vote 5 star" CHECKED value=5 name=user_rating>ดีมาก <INPUT class=button type=submit value=ให้คะแนน name=submit_vote><INPUT type=hidden value=vote name=task><INPUT type=hidden value=0 name=pop><INPUT type=hidden value=com_content name=option><INPUT type=hidden value=99999999 name=Itemid><INPUT type=hidden value=72 name=cid><INPUT type=hidden value=http://www.dhammajak.net/index.php?option=com_content&id=72&task=view name=url></FORM><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD>พระนิพนธ์ เรื่อง ตนอันเป็นที่รักยิ่งของตน </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>

    ๐ ความผูกพันของจิต
    สมัยพุทธกาล มีเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง มีจิตห่วงผ้าสบงจีวรที่เพิ่งได้มาใหม่ ซักตากไว้บนราว มรณภาพไปขณะผ้านั้นยังไม่แห้ง จิตที่ผูกพันในผ้าสบงจีวรนั้น ทำให้ไปเกิดเป็นตัวเล็นเล็กๆ เกาะติดอยู่กับผ้า
    พระภิกษุอีกรูปหนึ่ง เห็นผ้าสบงจีวรนั้นไม่มีเจ้าของแล้ว ก็จะนำไปใช้ พระพุทธองศ์ทรงทราบ ได้ทรงมีพระพุทธดำรัสห้ามตรัสให้รอ เพราะพระภิกษุรูปนั้นจะสิ้นภพสิ้นชาติของการเป็นเล็นในเวลาเพียงไม่กี่วัน ถ้าไปนำสบงจีวรนั้นไปขณะยังเป็นเล็นอยู่ ก็จะโกรธแค้น จะไม่ได้ไปเสวยผลแห่งกุศลกรรมที่ได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก นี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ทรงรับรองว่าอำนาจจิตจะทำให้มนุษย์ไปเป็นสัตว์ได้
    ๐ กรรม...น่ากลัวยิ่งนัก พึงหนีให้พ้นอำนาจกรรม
    เทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ได้ มนุษย์ไปเกิดเป็นเทวดาได้ เทวดามาเกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์เกิดเป็นเทวดาได้ มนุษย์เกิดเป็นสัตว์ได้และสัตว์ก็กลับเกิดเป็นมนุษย์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของกรรมเท่านั้น ที่ตกแต่งชีวิตให้เป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อถึงเพียงนี้ กรรมจึงน่ากลัวจริงๆ น่าหนีให้พ้นอำนาจกรรมจริงๆ ทั้งกรรมในอดีตและกรรมในปัจจุบัน
    ๐ ชนกกรรม...กรรมอันเป็นเหตุนำให้เกิด
    กรรมอันเป็นเหตุนำให้เกิด คืกชนกกรรม เป็นกรรมสุดท้ายก่อนชีวิตจะขาดจากภพภูมินี้ กรรมสุดท้ายหรือเรื่องสุดท้ายที่จิตผูกพันคิดถึงอยู่คือชนกกรรมอันนำไปเกิด
    นึกถึงความดีที่เป็นบุญเป็นกุศล ในขณะก่อนจะดับจิต จิตก็จะไปสู่ทุคติ นำกายไปสุคติด้วย
    นึกถึงความไม่ดีที่เป็นบาปเป็นอกุศล ในขณะก่อนจะดับจิต จิตก็จะไปสู่ทุคติ นำกายไปสู่ทุคติด้วย
    จิตที่ใกล้จะแตกดับนั้น ปกติเป็นจิตที่อ่อนมาก ไม่มีกำลังที่จะต้านทานใดๆทั้งนั้น คุ้นเคยกับความรู้สึกใดเกี่ยวกับเรื่องใดความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น ก็จะเข้าครอบงำจิต มีอำนาจเหนือจิต ทำให้จิตเมื่อใกล้ดับ ผูกพันกับความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้น เมื่อจิตดับคือออกจากร่าง ก็จากไปพร้อมกับความรู้สึกนั้น นำไปก่อเกิดกายที่ควรแก่สภาพจิตทุกประการ ผู้ที่หวงสมบัติ กลัวจะมีผู้มานำไป ก่อนจะดับจิตมีใจผูกเฝ้าสมบัติอย่างหวงแหน เมื่อดับจิตก็เคยมีที่ไปเกิดเป็นงู เฝ้าอยู่ที่สมบัตินั้น ผู้ใดเข้าไปใกล้ก็จะแสดงตัวให้เห็นเป็นงูใหญ่
    เช่นที่เล่ากันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ว่า ข้าราชการผู้หนึ่งมีพระพุทธรูปที่หวงมากอยู่องศ์หนึ่ง เมื่อละโลกนี้ไป สหายไปเยี่ยมศพ ได้ขอดูพระองศ์นั้น ขณะกำลังดูอยู่ก็มีงูตัวหนึ่งมาจากไหนไม่ปรากฏ มาแผ่แม่เบี้ยอยู่ใกล้ๆ ผู้มาขอดูไหวทันเข้าใจทันทีว่าเจ้าของได้เฝ้าพระอยู่ด้วยความหวงแหน จึงพูดกับงูดังๆว่า ไม่ได้คิดจะนำพระไปไหน เพียงมาขอดูเท่านั้น อย่าเป็นห่วง เพียงเท่านั้นงูก็เลื้อยห่างหายไป
    นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อไม่นานมานี้ ที่เชื่อว่าผู้ที่หวงสมบัติมากๆตายไปในขณะที่จิตผูกพันเช่นนี้ ต้องไปเกิดเป็นงู ต้องเฝ้าสมบัติ ไม่ได้ไปเสวยผลของกรรมดีใดๆ ที่ได้กระทำไว้ จนกว่าใจจะปล่อยวาง ละความยึดถือความหวงแหนสมบัตินั้นๆ
    ๐ อำนาจแห่งความยึดมั่นของจิต
    ด้วยผู้ใหญ่ที่มีสัมมาทิฐิ สัมมาปัญญา แต่ไหนแต่ไรมาท่านเชื่อในเรื่องอำนาจความยึดมั่นของจิต ท่านจึงสอนลูกหลานไว้ว่าก่อนจะหลับไปให้ภาวนาพุทโธนึกถึงพระพุทธเจ้า และให้ตั้งใจปรารถนาว่า เมื่อจากโลกนี้ไปเมื่อใดก็ตาม ขอให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ใหได้พบพระพุทธศาสนา ท่านสอนกันให้ตั้งใจเช่นนี้ก่อนจะหลับไป
    ละท่านสอนว่า ถ้าการหลับครั้งนั้น จะไม่ได้กลับตื่นขึ้นมาอีกก็จะได้ไปดี เป็นไปดังแรงปรารถนา การได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนานั้น เป็นมงคลสูงสุดของชีวิต ผู้มีสัมมาทิฐิจึงตั้งจิตปรารถนาอย่างจริงจัง

    ๐ การตั้งจิตอธิษฐานที่ถูกต้อง ควรทำอย่างยิ่ง
    ผู้อธิษฐานจิตปรารถนากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนานั้น คือผู้รับรองความสำคัญของชีวิตนี้ ที่แม้น้อยนัก ว่าชีวิตนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสวัสดีมีสุขได้อย่างแท้จริง เพราะชีวิตนี้เท่านั้นที่พร้อมสำหรับการบำเพ็ญกุศลทุกประการจะทำดีเพียงไรก็ทำได้ในชีวิตนี้ ทำดีสูงสุดจนเกินผลสูงสุดคือการปฏิบัติได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน พ้นทุกข์สิ้นเชิง ไม่ต้องกลับมาวนเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ก็ทำได้ในชีวิต หรือทำดีเพียงเพื่อได้สวรรค์พ้นนรก ก็ทำได้ในชีวิตนี้ การตั้งจิตอธฺษฐานไม่ให้หลงไปภพภูมิอื่นหลังละโลกนี้ไปแล้ว แต่ให้กลับมาสู่ภพภูมิมนุษย์โดยเร็ว ได้พบพระพุทธศาสนา จึงเป็นความถูกต้องพึงทำอย่างยิ่ง
    แม้ไม่ต้องการมีความทุกข์ในภพชาติข้างหน้า ก็ต้องทำใจให้ไม่มีความทุกข์ตั้งแต่ในภพชาติปัจจุบันนี้ ไม่ปรารถนาอะไร ไม่ปรารถนาเป็นอย่างไรในชาติหน้า ก็ต้องทำใจ คือทำใจไม่ให้เกาะเกี่ยวข้องอยู่กับอะไรทั้งนั้น กับอย่างนั้น ตั้งแต่ในปัจจุบันชาติ จึงจะสมปรารถนา ไม่เช่นนั้นก็จะสมปรารถนาไม่ได้
    ๐ เลือกชีวิตในภพชาติใหม่ ได้ในปัจจุบันชาติ
    การจะทำใจให้เป็นสุข ปราศจากทุกข์แม้พอสมควรขณะใกล้จะดับจิต คือการเลือกชีวิตในภพชาติใหม่ให้มีความสุขปราศจากความทุกข์ได้พอสมควร แต่การจะสามารถทำใจให้เป็นเช่นไรในเวลาใกล้จะดับจิตนั้น ก็มิใช่จะทำได้ทันทีโดยมิได้มีความคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน ความคุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างใด คือมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอๆ เช่นการท่องพุทโธไว้ในใจเสมอ นั่นคือความคุ้นเคยกับพุทโธ
    ๐ ความคุ้นเคยกับสิ่งดีมีมงคลสำคัญอย่างยิ่ง
    ความคุ้นเคยกับบุคคลใดที่เคยให้ความเมตตาอุปการะช่วยเหลือจะทำให้ใจนึกถึงบุคคลนั้นได้โดยอัตโนมัติเมื่อถึงคราวคับขัน ความคุ้นเคยกับความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งก็เช่นกัน อบรมไว้ให้คุ้นเคยกับความรู้สึกใด เช่นคุ้นเคยกับอารมณ์มีพระพุทโธหรือคุ้นเคยกับการท่องพุทโธ เมื่อถึงเวลาคับขัน ใจจะไม่ไปยึดมั่นเกาะเกี่ยวกับอะไรอื่นที่ไม่คุ้นเคย แต่จะไปเกาะอยู่กับพระพุทโธ ที่เป็นยอดของสิริมงคลทั้งปวง ย่อมได้รับสิริมงคลนั้น อันจักนำให้พ้นพาลภัยใหญ่น้อย ความคุ้นเคยกับสิ่งดีมีมงคล จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง
    ทุกคนผ่านชีวิตในอดีตชาติมาแล้วเป็นอันมาก นับภพชาติไม่ถ้วน มีความคุ้นเคยกับเรื่องราวหรือารมณ์ต่างๆมาแล้วมากมาย
    คุ้นเคยเรื่องราวหรืออารมณ์ใดมาก ใจยึดมั่นผูกพันข้องติดอยู่กับเรื่องใดอารมณ์มากมาแต่อดีตชาติ ผลของความยึดมั่นผูกพันนั้นจะนำมาสู่ภพชาติปัจจุบัน ดูภพชาติของตนในปัจจุบันก็พอจะเข้าใจว่าอดีตนั้น คฃตนผูกพันกับเรื่องใดอารมณ์ใดมามากดีหรือว่าไม่ดี
    ๐ ใจที่ผูกพันและความคุ้นเคยกับการกระทำ
    ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ “การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำทานการกุศล” มามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ คือปัจจุบันชาติจะสมบูรณ์พูนสุขด้วยทรัพย์สินเงินทอง
    ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ “การเอื้ออาทรดูแลรักษา ให้ข้าวปลาอาหารยารักษาไข้และเงินทองเพื่อผู้เจ็บไข้ได้ป่วย” มามากในอดีตชาติไม่เบียดเบียนชีวิตร่างกายผู้อื่นสัตว์อื่น ก็จะรู้ได้ในปัจจุบันชาติ คือปัจจุบันชาติจะสมบูรณ์แข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีพลานามัยดี อันนับเป็นลาภอย่างยิ่ง
    ผู้มีใจผูกพันอยู่กับ “การระวังรักษากายวาจาใจของตน” ให้สุภาพอ่อนน้อมต่อผู้ควรได้รับความอ่อนน้อม ยกย่อง ไม่ล่วงเกินดูหมิ่น ผูกพันเช่นนี้มามากในอดีตชาติ ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ คือปัจจุบันชาติจะเป็นผู้อยู่ในตระกูลสูง อันผู้อยู่ในตระกูลสูงย่อมเป็นผู้ได้รับความเคารพอ่อนน้อมยกย่อง ไม่ถูกล่วงเกินดูหมิ่น เป็นไปเช่นเดียวกับที่ตนเองได้ปฏิบัติไว้ต่อผู้อื่นเป็นอันมากในอดีตชาติ
    ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ “การช่วยประคับประคอง รักษาชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นไ มามากในอดีตชาติ ไม่เบียดเบียนตัดรอนทำลายชีวิตอื่น ก็ตะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ คือปัจจุบันชาติจะเป็นผู้มีอายุยืน ไม่ถูกตัดรอยเบียดเบียนทำลายด้วยเหตุใดทั้งสิ้น ไม่ให้ต้องเป็นผู้มีชีวิตน้อยมีชีวิตสั้น
    ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ “การรักษากายวาจาใจอยู่ในศีลบริสุทธิ์มามากในอดีตชาติ มีจิตใจผ่องใสไม่เศร้าหมอง ก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติคือปัจจุบันชาติจะเป็นผู้มีผิวพรรณงดงาม หน้าตาผ่องใส เป็นที่เจริญตาเจริญใจผู้พบเห็นทั้งหลาย
    ผู้ที่มีใจผูกพันอยู่กับ “การปฏิบัติธรรม” มากมาย ในอดีตชาติก็จะรู้ได้จากปัจจุบันชาติ คือปัจจุบันชาติจะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ศึกษาและปฏิบัติธรรมเข้าใจง่าย เจริญดีในธรรม​

    จำนวนอ่าน: 1031

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    Be first to comment this article​
    </TD><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>Only registered users can write comments.
    Please login or register.


    Powered by AkoComment Tweaked Special Edition v.1.4.6
    AkoComment © Copyright 2004 by Arthur Konze -
    www.mamboportal.com
    All right reserved
    </TD></TR></TBODY></TABLE> <TABLE style="MARGIN-TOP: 25px" align=center><TBODY><TR><TH class=pagenav_prev>< ก่อนหน้า </TH><TD width=50> </TD><TH class=pagenav_next>บทความถัดไป > </TH></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา
    ๙.อำนาจแห่งความยึดมั่นของจิต
     
  20. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    การดูแลด้านจิตวิญญานแก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    ตามแนวพระพุทธศาสนา สำหรับญาติ
    อ.พญ. ลำพู โกศัลวิทย์


    [​IMG] มนุษย์ทุกคนต่างสงสัยกันมานาน คือ ตายแล้วไปไหน
    พราะความไม่รู้ มนุษย์จึงกลัวตายและไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบจากที่ใด
    บ้างก็ได้ยินได้ฟังมาจากปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ว่าอย่างนี้อย่างนั้น
    ได้เรียนรู้มาจากศาสนาที่ตนนับถือบ้าง พอได้ยินได้ฟังมากๆ หลายๆ กระแส
    ก็นึกคิดเอาเองบ้างตามแต่ที่ตนจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บ้างก็ว่าตายแล้วสูญ
    บ้างก็ว่าตายแล้วก็เกิดใหม่ ไปสวรรค์ ไปนรก ไปพบพระเจ้า ไปแดนสุขาวดี
    บ้างก็ว่าตายแล้วก็เป็นปุ๋ยคืนสู่โลก

    อันที่จริงความตายอาจไม่น่ากลัว เท่ากับ การกลัวตาย หรือ
    กลัวคนอันเป็นที่รักของเราต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

    ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา
    ก็คือ ความสงสัยในเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้เช่นกัน และแน่นอน
    สิ่งที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมานับชาติไม่ถ้วน เพื่อตอบคำถามเหล่านี้
    ห้แก่สรรพสัตว์ผู้ไม่รู้ทั้งหลาย ซึ่งเป็นทั้งผู้ที่รู้ว่าตัวไม่รู้ และ
    ผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวไม่รู้ หรือพูดให้ง่าย ก็คือ ผู้ที่คิดว่าตัวรู้ แต่แท้จริง
    ไม่รู้ว่าตัวยังไม่รู้ พระองค์ได้ให้คำตอบเอาไว้มากมายในพระไตรปิฎก
    เกี่ยวกับเรื่อง ตายแล้วไปไหน และมนุษย์ควรมีวิธีเตรียมตัวอย่างไร
    เมื่อหลุดพ้นจากความตายในโลกนี้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

    “ จิตเต อสงฺกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป ”
    พุทธพจน์บทนี้จัดเป็น หัวใจหลักของการเตรียมตัวตายให้เป็น

    ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
    เป็นเรื่องที่เป็นสัจธรรม ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังไม่บรรลุอรหันต์
    ไม่มีทางหนีพ้น อันที่จริง ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
    เป็นความจริงของชีวิตที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และ
    มิได้เป็นจุดจบ หรือจุดสิ้นสุด อย่างที่เราๆ เข้าในกัน

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้คือ “เมื่อเราตายจากการเป็นมนุษย์แล้ว
    เราไม่ได้สูญไปไหน” หรือ พูดให้สั้นเข้าก็คือ “ตายแล้วไม่สูญ”

    หากเรายังไม่หมดกิเลส เรายังต้องว่ายเวียนตายเกิดต่อไป
    การตายจากการเป็นมนุษย์ จะเป็นจุดเชื่อมต่อให้เราไปเกิดเป็นอย่างอื่นๆ
    ตามกำลังบุญและบาป ที่เราได้กระทำไว้ในขณะที่เป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน



    [​IMG]ตายแล้วไปไหน
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรื่องนี้ไว้ ๓ ประเด็นใหญ่ว่า เมื่อตายแล้ว
    ๑. บางพวกตกนรก หรือ ไปนรก
    ๒. บางพวกไป สวรรค์ (เทวโลก หรือ พรหมโลก)
    ๓. บางพวกหมดกิเลสแล้ว ไปนิพพาน
    ในธรรมบทกล่าวว่า พวกที่ไปนรกกับพวกที่ไปสวรรค์ ๒ พวกนี้
    ยังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วนจนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน
    จึงไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดอีก เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย

    บางพวกกระทำแต่ อกุศลกรรมเอาไว้มาก ตายแล้วไปนรก
    ตกนรกอยู่นานนับล้านๆปีมนุษย์ พอหมดเวรก็กลับมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    อีกหลายชาตินัก กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครา

    บางพวกที่ได้ไปสวรรค์ เป็นพวกที่ยังมีบาปอยู่เหมือนกัน
    แต่ว่าบุญเยอะกว่า หรือ จิตก่อนละโลกนึกถึงบุญที่ตัวทำน้อยนิดได้
    จนกระทั่งบาปหนักที่ตนได้ทำมาตลอดชีวิต ไม่ได้ช่องส่งผลในคตินิมิต
    เมื่อละโลกแล้วจึงได้ไปสวรรค์


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการมาเกิด-
    ไปเกิดของคนเราว่ามี ๔ แบบ คือ
    ๑. มามืดไปมืด : คือ ก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์มาจากนรก จากสัตว์เดรัจฉาน
    พอเกิดเป็นคนแล้วยังก่ออกุศลกรรมเป็นอาจิณอีก เมื่อตายจากชาติที่เป็นมนุษย์
    ก็กลับไปเกิดในนรก เสวยวิบากกรรมอันเป็นผลที่ตนได้กระทำไว้อีก

    ๒. มามืดไปสว่าง : คือ พวกที่พ้นนรกขึ้นมา แล้วได้เกิดเป็นมนุษย์
    ได้ตั้งใจทำความดี พอละโลกก็ได้ไปเกิดในสวรรค์

    ๓. มาสว่างไปมืด : คือพวกที่มาจากสวรรค์ เพราะชาติก่อนๆ
    ได้ทำกรรมดีไว้มากกว่ากรรมชั่ว แต่พอชาตินี้มาเกิดเป็นมนุษย์
    ได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท ก่ออกุศลกรรมไว้มาก เมื่อละโลก ก็ต้องไปเกิดในนรก

    ๔. มาสว่างไปสว่าง : คือ พวกที่มาจากสวรรค์ ครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
    ก็กระทำแต่กุศลกรรมเป็นส่วนมาก เมื่อตายไป ก็ได้กลับไปเกิดในเทวโลก
    คือโลกแห่งเทวดา หรือ สวรรค์นั่นเอง

    ฉะนั้น เราจึงควรประกอบกุศลกรรมเพื่อเป็นเสบียงบุญติดตัวไปในภพเบื้องหน้า
    เพราะแม้ว่าเราเคยได้ยินได้ฟังมาว่า เมื่อเรามาเกิด เราไม่ได้เอาอะไรมา
    เมื่อเราตายเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ อันที่จริงมีอยู่ 2 สิ่งที่ตอนเราเกิด และ
    ตอนเราตาย เราต้องเอาไปด้วย แม้ว่าเราไม่อยากเอาไป เราก็ไม่อาจขัดขืนได้
    ของ 2 สิ่งดังกล่าว ที่ติดตามตัวเราไปทุกหนทุกแห่ง นั้นก็คือ บุญ และ บาป
    เมื่อเรามาเกิด เราก็นำเอา บุญเก่า และ วิบากกรรมเก่า
    ที่ได้เคยกระทำไว้นับภพนับชาติไม่ถ้วนมาด้วเมื่อตายลง
    เราก็ต้องนำเอา บุญ-บาปเก่า และ บุญ-บาปใหม่ในชาตินี้
    ไปด้วยเช่นเดียวกันเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ก็ขออย่าเพิ่งท้อแท้ใจ
    หากแม้ว่าตลอดชีวิตไม่ค่อยได้ทำบุญทำทาน
    ก็ควรรีบทำเสียตั้งแต่วันที่ยังพอมีลมหายใจ หรือ
    แม้ว่าต้องนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ก็ยังไม่ควรละความพยายามที่จะสร้างบุญกุศล
    เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้เราได้เกาะเกี่ยวไปสู่สุคติ


    [​IMG]ทำอย่างไรจึงได้ตายดี
    เป็นที่แน่นอนว่า เราทุกคนหากให้เลือกว่าเมื่อตายแล้วอยากไปไหน
    คนส่วนใหญ่คงตอบว่า อยากไปสู่สุคติ
    แต่มีคำถามว่า ปุถุชนอย่างเราๆท่านๆ บ้างก็ทำชั่ว บ้างก็ทำดี
    และแน่นอนว่ายังไม่หมดกิเลส บางคนวัดก็เข้า เหล้าก็กิน
    ฆ่าสัตว์ทำอาหารไปเลี้ยงพระก็บ่อย แล้วจะทำอย่างไร จะได้ไปสวรรค์ หรือ นรก

    เรื่องภพเบื้องหน้า อันเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตหลังการตาย
    จากการเป็นมนุษย์ของเรานี้ ตามศาสนาพุทธ กล่าวไว้ว่า
    อยู่ที่ว่าจิตก่อนละโลกเป็นอย่างไร หากจิตผ่องใส
    นึกถึงคุณงามความดีที่ตนได้กระทำไว้ตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต
    จนก่อนวาระสุดท้ายของชีวิตไว้ได้ จิตที่ผ่องใสนั้น ก็จะนำให้ไปเกิดในสวรรค์

    การที่จิตก่อนละโลกจะผ่องใส หรือเศร้าหมองอยู่ที่ว่า
    ณ ขณะนั้นของจิตบุญมาส่งผลก่อน หรือ บาปมาส่งผลก่อน

    ช่วงท้ายของชีวิตมนุษย์ทุกคน จะมีคตินิมิต
    ที่เป็นเสมือนภาพยนตร์ส่วนตัวของคนๆ นั้น ว่าในอดีต
    ตนได้กระทำกรรมดี กรรมชั่วอะไรไว้บ้าง

    บางคนทำปาณาติบาต เป็นอาจิณกรรม เช่น ทุบหัวปลาทำอาหาร
    ยิงนกตกปลา ก็จะมีคตินิมิตก่อนตายเป็นภาพปลาบ้าง นกบ้าง
    มาว่ายเวียนรอบตัวกลุ่มรุมทำร้าย ทำให้ผู้ป่วยกลัวและกระวนกระวายยิ่งนัก
    บ้างก็ทำท่าเหมือนกำลังจะทอดแหจับปลา
    บ้างก็บอกว่ามีปลามากมายมาว่ายอยู่รอบตัว
    หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่าอันตรายยิ่งนักที่ชีวิตใหม่หลังความตาย
    อาจต้องไปเกิดในนรก เพราะคตินิมิตที่เห็นนั้นเป็นบาปอกุศลทั้งสิ้น

    บางคนทำบุญเป็นอาจิณกรรม จิตก่อนละโลก
    จึงเหนี่ยวนำให้เกิดคตินิมิตเป็นภาพกุศลกรรมต่างๆ
    ที่ตนได้สั่งสมกระทำไว้มาก เช่น ภาพตักบาตร
    ภาพงานบวชพระลูกชาย ภาพยกช่อฟ้าศาลาวัด
    ภาพช่วยผู้ประสบภัย คตินิมิตเหล่านี้ ก็จะยังจิตของผู้ป่วยให้ผ่องใส
    ย่อมได้ไปเกิดในเทวโลก เรื่องใจผ่องใส กับ ใจเศร้าหมอง ขุ่นมัว
    ในช่วงใกล้ละโลกเป็นเรื่องสำคัญในทางพระพุทธศาสนา
    เพราะเป็นตัวกำหนดความสุข-ความทุกข์ของชีวิตใหม่ในสัมปรายภพ
    จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องทำให้ผู้ป่วยที่ใกล้จะละโลกนี้
    มีคตินิมิตที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อให้เขาได้ไปสู่สุคตินั่นเอง
    ซึ่งหน้าที่นี้ ไม่มีใครทำได้ดีเท่าลูกหลาน

    หากลูกหลานทำไม่เป็น ไม่เคยทำ ไม่ทราบเรื่องราวทางพุทธศาสนา
    เช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อครานี้ได้มีโอกาสทราบแล้ว
    ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทดแทน และช่วยเหลือทำศึกชิงภพนี้ให้แก่บุพการี
    และ ญาติมิตร ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
    ทางพระพุทธศาสนานั้นถือว่า
    ชีวิตคนมีโอกาสตลอดเวลาจนถึงวาระสุดท้ายที่ยังมีโอกาส
    ที่จะได้ทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นที่ได้มีเรื่องเล่าว่า
    คนทุศีลคนหนึ่งตลอดชีวิตไม่เคยรู้บาปบุญคุณโทษ
    แต่เมื่อวาระจิตสุดท้ายนึกได้ถึงอกุศลกรรมทีตนได้กระทำไว้มาก
    ทำให้รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมา วาระจิตสุดท้ายที่ดีงามนั้นเอง
    จึงช่วยให้เขารอดพ้นจากอบายภูมิ

    [​IMG]ข้อแนะนำการช่วยเหลือด้านจิตใจแก่
    ผู้ป่วยระยะสุดท้าย

    การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องแบ่งเป็น 2 เรื่อง คือ

    1. การดูแลรักษาโรคทางกาย

    การดูแลทางกายทำได้โดยพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาให้ดีที่สุด
    เท่าที่เราจะทำได้ที่ฐานะ, สภาพแวดล้อมจะอำนวย และ เท่าที่ผู้ป่วยจะทนได้
    หากไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ก็พยายามประคับประคองให้ผู้ป่วย
    ทุกข์ทรมานกายให้น้อยที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต


    2. การดูแลรักษาใจของผู้ป่วย
    ขอยกเอาพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า
    “บุตรพึงแบกมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง แบกบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
    เขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และพึงปฏิบัติบำรุงทั้ง ๒ ด้วยการอบกลิ่น
    การนวด การให้อาบน้ำ และการบีบนวดอวัยวะต่าง ๆ แก่ท่านทั้งสอง
    แม้ท่านทั้ง ๒ ก็พึงถ่ายอุจจาระบนบ่านั่นเอง ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชื่อว่า
    ตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดา บุตรพึงตั้งมารดาไว้ในราชสมบัติ
    มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดินใหญ่ แม้กระนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนคุณมารดาบิดา
    ส่วนบุตรคนใด ทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา
    ให้มารดาบิดาผู้มีทุศีลสมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา ให้บิดามารดาผู้มีความตระหนี่
    สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้ทรามปัญญา
    สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้น
    และบุตรย่อมชื่อว่าเป็นผู้อันกระทำตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดาแล้ว ”

    เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ตอบแทน
    ผู้มีพระคุณด้วยการยังจิตสุดท้ายก่อนดับให้อยู่ในกระแสแห่งบุญและธรรมะ

    [​IMG]ขั้นตอนการดูแลจิตก่อนตายอย่างชาวพุทธ

    แม้ว่าบางครั้งการให้ยาระงับความทุกข์ทรมานทั้งปวงแล้ว
    ก็ยังไม่อาจลดทุกขเวทนาของผู้ป่วยได้
    บ่อยครั้งที่ธรรมโอสถอาจเป็นทางออกสุดท้าย
    เพื่อเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวใจให้รู้สึกหวาดหวั่น หวาดกลัว ต่อมรณภัยให้น้อยลง
    แม้ว่าตลอดชีวิตผู้ป่วยท่านนั้นอาจไม่ได้เคารพเลื่อมใส
    ในพระพุทธศาสนามากนักก็ตาม ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินแทนผู้ป่วย
    ว่าในช่วงวินาทีทองของชีวิตอันจัดเป็นช่วงศึกชิงภพนี้
    ผู้ป่วยจะไม่ยินดีต่อการทำบุญทำทาน

    @ การจัดเตรียมสถานที่ตาย

    ในห้องผู้ป่วย ควรมีพระพุทธรูป หรือ ภาพของพระพุทธเจ้า
    หรือ พระสงฆ์ ให้ผู้ป่วยได้มีที่พึ่งที่ระลึกอาจมีการเตรียมเสียงธรรมะ
    เพื่อเปิดให้ผู้ป่วยฟัง เพื่อเป็นการส่งผู้ป่วยในวาระสุดท้าย
    ซึ่งดีกว่าการที่ผู้ป่วยได้ยินลูกหลานถกเถียงกันเรื่องมรดก
    หรือเรื่องต่างๆที่อาจทำให้เกิดความไม่สบายใจ
    หรือการที่ญาติร้องไห้คร่ำครวญเสียใจกับอาการป่วย
    ก็หวังได้ว่า การตายครั้งนี้ของเขาคงไม่ดีนัก
    ทำให้จิตของผู้ป่วยปล่อยวางได้ยาก
    หากแม้ว่าวาระสุดท้ายญาติและ/ หรือผู้ป่วยมีความประสงค์
    ที่จะสิ้นลมที่บ้าน ก็เป็นสิทธิ์ที่จะร้องขอ หรือ ปรึกษากับแพทย์ผู้รักษาได้
    ด้วยการตรึกตรองถึงประเด็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรี และ
    การตายดี ที่ทุกคนล้วนต้องการด้วยกันทั้งนั้น
    ว่าหากเป็นเราเลือกที่จะตายโดยมีแพทย์พยาบาลและ
    สายระโยงรยางค์ หรือว่าอยากสิ้นลมที่บ้านท่ามกลางลูกหลานที่ตนรัก

    @ ความสะเทือนใจที่ญาติควรระมัดระวัง

    สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ จิตที่หวาดหวั่น รับไม่ได้ต่อการสูญเสีย
    บุคคลอันเป็นที่รักของญาติหลายๆครอบครัว ญาติพากันร้องไห้ระงม
    ซึ่งอาจนำพาให้จิตของผู้ป่วย ไม่คลายความห่วง จิตไม่ผ่องใสเท่าที่ควร

    ญาติจึงควรตั้งสติของตนเสียก่อนที่จะพยายามให้ผู้ป่วยตั้งสติ เพราะ
    ในยามที่คนเราหวาดหวั่นมากที่สุด หากคนที่อยู่รายล้อมเรามีความสงบระงับ
    และ มั่นคงแห่งอารมณ์ ก็จะทำให้เราอบอุ่นใจมากขึ้น
    ที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราจะเจอต่อไป

    @ การช่วยให้ผู้ป่วยมีสติเป็นเรื่องสำคัญ
    ในกรณี ผู้ป่วยหนัก มีอาการเป็นตายเท่ากัน
    เรื่องการให้สติแก่ผู้ป่วยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
    เพื่อให้ใจของผู้ป่วยพอเป็นใจที่สงบระงับรองรับการเกาะเกี่ยว
    ในคุณงามความดีที่ตนได้สั่งสมมา ทำให้ใจคลายความทุรนทุรายลง
    เพราะการละโลกไปสุคติ หรือ ทุคติ ขึ้นอยู่ที่สติก่อนตายนี้เอง
    ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
    “ เมื่อจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง สุคติ เป็นที่ไป
    ” ซึ่งตรงกันข้ามกับ “ เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป”


    @ สิ่งที่ควรทำเพื่อช่วยผู้ป่วยก่อนตาย

    บอกความจริงแก่ผู้ป่วยด้วยใจที่มั่นคง อบอุ่น และให้กำลังใจ

    หากลองหลับตานึกว่า ถ้าเรากำลังจะตาย เราอยากที่จะทำอะไร
    อยากให้รอบข้างของเราเป็นอย่างไร มีลูกหลานมากมาย
    ซุบซิบพูดแต่เรื่องอาการป่วยหนักของเรา หรือว่า
    อยากให้ลูกหลานบอกทุกอย่างกับเราตรงๆ เพื่อจะได้เตรียมพร้อม
    และ สะสาง สั่งเสีย สิ่งต่างๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจให้จบสิ้นไปเท่าที่ร่างกายจะพอทำไหว


    @ ยังจิตของผู้ป่วยให้อยู่ในกระแสแห่งกุศลธรรม

    หากลูกหลานแสดงความห่วงใย ไม่เพียงแค่ดูแลเช็ดล้างอุจจาระ
    ปัสสาวะ หรือ มานอนเฝ้าเฉยๆ เท่านั้น แต่สวดมนต์ให้ฟัง
    อ่านธรรมะของหลวงพ่อองค์ที่นับถือให้ฟัง ทั้งที่ลูกหลานคนนั้น
    ไม่ได้นับถือหลวงพ่อองค์นั้นเลยก็ตาม หรือ ลูกหลานซื้อไทยธรรมมาให้
    พยายามจับมือที่ไร้เรี่ยวแรงให้อธิษฐานจิต เพื่อนำไทยธรรมนั้นๆ
    ไปถวายพระแทนผู้ป่วย อย่างน้อยความรู้สึกก่อน
    ลมหายใจสุดท้ายของชีวิตคงจะแช่มชื่น นึกขอบใจลูกหลาน
    ที่มีใจอันละเอียดอ่อน ใจคงจะชื้นขึ้นว่าที่ผ่านมา
    แทบไม่ได้ทำบุญแต่อย่างน้อยช่วงสุดท้ายของชีวิต
    ก็ยังได้ทำบุญ ก็หวังว่าบุญที่ทำนี้จะนำไปสุ่สุคติบ้าง


    @ ผู้ป่วยโคม่าช่วยให้อยู่ในกระแสกุศลธรรมได้อย่างไร

    แม้ว่าป่วยหนักถึงขั้นโคม่า ก็มิได้เป็นเรื่องผิดประหลาดแต่อย่างใด
    ที่จะอ่าน บทสวดมนต์ หรือ เอาหูฟังเสียงธรรมะให้ผู้ป่วยฟังเพื่อยังให้ถึง
    พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ เรพาะจิตก่อนละโลกเป็นจิตที่อ่อนถูกเหนี่ยว
    ได้ง่ายทั้งจากสิ่งที่เป็นกุศลและสิ่งที่เป็นอกุศล

    มีเรื่องเล่าหลายครั้งว่า แม้ว่าผู้ป่วยโคม่า ไม่ตอบสนองใดๆ
    ต่อการเรียกชื่อจากปากของลูกหลานที่เขารักมากที่สุด
    แต่กลับน้ำตาไหลพราก เมื่อพยาบาล หรือ ใครก็ตามแม้ไม่ใช่ญาติ
    เลยได้สวดมนต์ให้เขาได้ฟัง


    @ สอนให้ผู้ป่วยนอนทำสมาธิ

    การให้ผู้ป่วยนอนทำสมาธิ เพื่อดำรงสติในวาระก่อนตายได้ง่ายขึ้น
    โดยอาจให้ตามลมหายใจเข้าออก หรือ ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่
    ผู้ป่วยเคารพนับถือ เพื่อเจริญพุทธานุสติ หรือ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อที่นับถือ
    เพื่อเจริญสังฆานุสติ เป็นต้น

    สมาธินอกจากช่วยให้มีสติแล้ว อาจช่วยลดความเจ็บปวดทรมาน
    ทำให้ใจสงบ น้อมระลึกถึงคุณงามความดีของตนได้ง่ายขึ้น
    แทนที่ความรู้สึกผิดบาปที่ตนได้ทำเอาไว้ และเป็นการปลดปล่อย
    ความห่วงความกังวลที่มีอยู่ให้หมดสิ้น ทั้งเรื่อง คู่ครอง ลูกหลาน
    ทรัพย์สิน คู่แค้น อันเป็นเครื่องผูกใจให้เศร้าหมอง


    วิธีการนอนทำสมาธิ

    การทำสมาธิมีหลายวิธี อาจเลือกในแบบที่คิดว่าทำได้ง่ายที่สุด
    โดยการคำนึงถึงเรื่องจริต เป็นสิ่งที่ไม่ควรกังวลมากนัก

    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการทำสมาธิแบบง่ายเพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงความสงบ

    วิธีที่ 1 สอนให้ผู้ป่วยวางใจให้นิ่งเฉยๆ ไว้กลางท้อง

    ให้นึกว่าช่องท้องของตนนั้นเป็นห้องสว่างที่โล่งกว้าง
    ในห้องนั่นมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ให้ผู้ป่วยพยายามนึกให้เห็นภาพเช่นนั้นตลอดเวลา
    โดยอาจบริกรรมภาวนาไปพร้อมกัน เช่น ใช้คำว่า พุทโธ สัมมาอะระหัง หรือ สว่าง สงบ

    วิธีที่ 2 ให้ผู้ป่วยนึกถึงพระพุทธรูปหรือ พระสงฆ์ที่ผู้ป่วยนับถือ
    ไว้ให้ได้ตลอดเวลา โดยอาจจะบริกรรมหรือ ไม่บริกรรมใดๆ ก็ได้

    วิธีที่ 3 ให้ผู้ป่วยตามดูลมหายใจเข้าและออก เมื่อหายใจเข้า
    ให้บริกรรมในใจว่า “พุท” เมื่อหายใจออก บริกรรมว่า “โธ”
    โดยตามดูลมหายใจเช่นนั้นไปเรื่อยๆ

    @ เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ขออโหสิกรรม และ
    ให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่ได้เคยมีเรื่องกันมาให้อดีต

    ทำได้ด้วยวิธีการต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เช่น ให้ผู้ป่วยเขียนแทนคำพูดโดย
    จินตนาการว่าคนที่ตนต้องการพูดด้วยนั้นอยู่ต่อหน้า หรือ
    ให้ผู้ป่วยได้พูดออกมาด้วยตนเองจะด้วยการจินตนาการหรือ
    ด้วยการตามคู่กรณีมาเยี่ยมหากผู้ป่วยอยู่ในระยะโคม่า
    ก็ให้ญาติสนิททำสิ่งต่างๆข้างต้นแทน โดยการพูดข้างหู
    ของผู้ป่วยเสมือนว่าผู้ป่วยรับรู้สิ่งเหล่านั้นได้
    เพราะภาวะจิตของผู้ป่วยก่อนละโลกเป็นช่วงที่แม้ไม่มีสติ
    พูดคุยไม่ได้ แต่พลังชีวิตช่วงสุดท้ายของเขายังทำให้เขารับรู้
    การสื่อสารต่างๆ ที่เป็นความดีงามและ ความชั่วร้ายได้
    ฉะนั้นจึงอยู่ที่เราจะจัดสภาพแวดล้อมเหล่านั้นอย่างไร


    ************************************************************************************************
    เอกสารอ้างอิง
    1. พระภาวนาวิริยคุณ. ศึกชิงภพ. กรุงเทพฯ : วัชระอินเตอร์ปริ้นติ้ง จำกัด, 2550.
    2. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) การแพทย์ยุคใหม่ในพุทธทัศน์ :
    ช่วยให้ตายเร็วหรือช่วยให้ตายช้า. กรุงเทพฯ : ธีระอรุณการพิมพ์, 2542.
    3. อนุพันธ์ ตันติวงศ์, ผ่องพักตร์ พิทยพันธุ์, สุชาย สุนทราภา.
    การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย. กรุงเทพฯ : เอช.ที.พี เพรส จำกัด, 2550.
    อ.พญ. ลำพู โกศัลวิทย์ , โครงการจัดตั้งภาควิชาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


    Tags: บทความอาจารย์ประจำ, ผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    Prev: UPDATE INTERESTING PAPER
    Next: ความเห็นผู้เข้าชม web


    ที่มา

    คลินิกจิตเวช ธรรมศาสตร์ - บทความจาก อ. พญ. ลำพู โกศัลวิทย์ "การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย"
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...