มาวิเคราะห์คำทำนาย จากภัยธรรมชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 3 กรกฎาคม 2006.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ก่อนจะเป็นรหัสไบเบิล

    ขออธิบายสรุปย่อๆ เสียก่อนนะครับว่า สิ่งที่ นายไมเคิล ดรอสนิน ผู้เขียน "The Bible Code" (ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็น Torah Code ก็มี) อ้างก็คือ เขาสามารถค้นพบ "คำ" หรือ "วลี" ที่ซ่อนตัวอยู่ในไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู (ที่เรียกว่า the Book of Genesis) ได้ คำหรือวลีเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงและทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

    วิธีการค้นหาคำของนายดรอสนิน กล่าวโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ ใส่ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิลดังกล่าว เข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ ให้สามารถจัดเรียงคำให้เป็นแถวในแบบเดียวกับที่เราเห็นกันใน "ปริศนาอักษรไขว้" นั่นเอง และเมื่อต้องการอ่านคำใด ก็ให้โปรแกรมคัดเลือกอ่านตัวอักษรที่ "ห่างเท่าๆ กัน" ในแนวต่างๆ (แนวนอน, แนวตั้ง และแนวทแยง) ซึ่งก็สามารถอ่านได้ทั้งแบบไปข้างหน้าและย้อนกลับหลังอีกด้วย

    ประเด็นสำคัญก็คือ นายดรอสนินอ้างว่า ด้วยวิธีการดังกล่าว เขาสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณี 9-11, ฮิตเลอร์, ดาวหางชนดาวพฤหัสบดี, สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เขาอ้างว่า เขาพบข้อความเกี่ยวกับการลอบสังหาร นายยิตซ์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง และยังได้พยายามแจ้งเตือนนายกฯ ราบิน อีกต่างหาก

    ฟังดูมหัศจรรย์พันลึกนะครับ คราวนี้มาดูหลักฐานที่จะมาหักล้างกัน และเป็นหลักฐานที่จะชี้ชัดว่าทำไมเรื่องของ "The Bible Code" จึงไม่มีคุณค่าควรแก่การเชื่อถือใดๆ



    ปัญหาเรื่องตัวอักษรภาษาฮีบรู

    ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรูหลายท่าน ระบุตรงกันว่า ปัญหาแรกสุดของ The Bible Code อยู่ที่ความน่าเชื่อถือของภาษาฮีบรูที่ใช้ เนื่องจากภาษาดังกล่าวมีความยืดหยุ่นสูง (พูดง่ายๆ คือ "ดิ้นได้" มากนั่นเอง)

    ลองดูตัวอย่างรูปสุเหร่ายิวของแร็บไบอะบูลาเฟีย ในเมืองไทเบอริแอส [รูป abulafia_spell] จะเห็นว่า มีการเขียนชื่อของท่าน "อะบูลาเฟีย" แตกต่างกันถึง 4 แบบ [รูป abulafia_1]... ซึ่งก็ถูกต้องทั้ง 4 แบบ !

    ======================

    แต่ที่พิลึกไปกว่านั้นก็คือ ตัวสะกดที่นำมาใช้ในงานของทีม ดร.อีไลยาฮู ริปส์ (ที่นายดรอสนินอ้างว่าเชื่อถือได้ และใช้วิธีการของกลุ่มดังกล่าวในการ "ถอดรหัสไบเบิล" ของเขา) กลับไม่ใช่ทั้ง 4 แบบ แต่กลับเป็นแบบที่ 5 ไปเสียอีก [รูป abulafia_2]



    กลเม็ดลูกเล่นแบบนี้เองที่อาจจะมีส่วนในการช่วยให้คำใน The Bible Code ดูลงตัว และศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงพ้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น



    ความน่าเชื่อถือของวิธีการที่ใช้

    วิธีการที่นายดรอสนินใช้ในการถอดรหัสไบเบิลนั้น อ้างอิงจากผลงานที่ทีมนักวิจัย ซึ่งประกอบด้วย โดรอน วิตซ์ทัม, อีไลยาฮู ริปส์ และโยแอฟ โรเซนเบิร์ก ซึ่งจะขอเรียกเพื่ออ้างอิงต่อไปในที่นี้ว่า เป็นงานของ WRR (ตามอักษรย่อนามสกุลของทั้งสามคน) ผลงานดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Statistical Science (vol. 9, pp. 429-438) ปี 1994 ผลงานดังกล่าวใช้ชื่อเรื่องว่า Equidistant Letter Sequences in the Book of Genesis

    ตัววารสารดังกล่าวเองถือได้ว่า เป็นวารสารที่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้ในแวดวงวิทยาศาสตร์สถิติ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่างานทุกชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวจะ "ถูกต้อง" เสมอไปแต่อย่างใด และอันที่จริงแล้ว ผลงานของ WRR ดังกล่าวค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อยทีเดียว (ดังจะได้เห็นต่อไป)

    ที่กล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่า ในปี 1998 ก็มีผลงานชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Chance ของสมาคมสถิติอเมริกัน (ชื่อเรื่องคือ The Torah Codes: Puzzle and Solution) โดยหัวหน้าทีมนักวิจัยเจ้าของผลงานก็คือ เบรดัน แมกเคย์ ศาสตราจารย์ด้าน Computer Science แห่ง Australian National University ประเทศออสเตรเลีย งานชิ้นดังกล่าว เสนอหลักฐานทางสถิติซึ่งมีจุดที่น่าสนใจก็คือ ทีมดังกล่าวพิสูจน์ว่าวิธีการที่ทีม WRR ใช้นั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือทางสถิติแต่อย่างใด แม้แต่เมื่อเปลี่ยนจากไบเบิลมาเป็นหนังสือ "สงครามและสันติภาพ" ของ ตอลสตอย (ในฉบับภาษาฮีบรู) ก็ยังได้ผลในลักษณะที่คล้ายกันอยู่นั่นเอง... หากเลือกค่าบางอย่างในกระบวนการถอดรหัสดังกล่าวให้เหมาะสม

    แต่ข้อสรุปอีกอันหนึ่งของทีมดังกล่าว กลับยิ่งน่าตกใจมากขึ้นไปอีก ก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากงานของ WRR ในปี 1994 (ที่นำมาสู่หนังสือ The Bible Code ในที่สุด) มีลักษณะของการแต่งข้อมูล และน่าจะเกิดจากความจงใจของผู้ทำการทดลอง ไม่ได้เกิดมาจากความน่าจะเป็นทางสถิติ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของไบเบิลแต่อย่างใด ที่ผมบอกว่าน่าตกใจเพราะในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การจงใจสร้างหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือผลการทดลองถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ยอมความกันไม่ได้นะครับ เรียกว่า ใครเผลอไปทำเข้าแล้วถูกจับได้นี่ จะถึงกับหมดอนาคตกันเลยทีเดียว

    ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ออกมาคัดง้างกับงานของ WRR ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Statistical Science (ใช่แล้วครับ วารสารเดียวกันกับที่ตีพิมพ์งานของ WRR นั่นแหละครับ) ฉบับเดือนพฤศจิกายน 1999 (ชื่อเรื่องก็คือ Solving the Bible Code Puzzles) ผลงานชิ้นนี้เป็นฝีมือของทีมที่มี ศาสตราจารย์กิล คาไล แห่ง The Hebrew University ประเทศอิสราเอล เป็นหัวหน้า ซึ่งก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายกันกับงานของกลุ่มของศาสตราจารย์แมกเคย์ ในปี 1998 ว่า งานของ WRR นั้น เป็นเพียงผลที่เกิดจากการเลือก และการเก็บค่าบางอย่างในการทดลอง "อย่างจงใจให้มันเป็นเช่นนั้น"

    ใน Statistical Science ฉบับเดือนพฤษภาคม 1999 ดังกล่าว ยังได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการอธิบายเหตุผลว่า การตีพิมพ์งานของ WRR ในปี 1994 นั้น ไม่ได้เป็นการจงใจพิสูจน์ "ความเชื่อถือได้" ของงานดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะไม่มีกรรมการผู้กลั่นกรองบทความ (หรือ reviewer) ของวารสารท่านใดเลยที่คล้อยตามข้อความในบทความดังกล่าว ตรงกันข้าม ต่างรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุได้ชัดเจนก็ตาม (ในเวลาอันจำกัดตอนนั้น) กรรมการส่วนใหญ่คาดว่า มีบางส่วนในกระบวนการทดลองที่ไม่ถูกต้อง)

    แม้กระนั้น ทางบรรณาธิการก็ยังตัดสินใจตีพิมพ์งานดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อเป็นการเสนอ "ปริศนาที่ท้าทาย (challenging puzzle)" ต่อผู้อ่าน มากกว่าจะเป็นการรับประกันความถูกต้องของชิ้นงาน

    เป็นยังไงบ้างครับ ... เริ่มได้กลิ่นทะ***ๆ ของ The Bible Code มากขึ้นหรือยังครับ

    หากหลักฐานเพียงเท่านี้ ยังไม่พอที่จะทำให้คุณเชื่อว่า The Bible Code เป็นเรื่องหลอกลวงเชื่อถือไม่ได้ ก็ลองเข้าไปดูที่ http://math.caltech.edu/code/petition.htm1 อันเป็นเว็บเพจ ที่เหล่านักคณิตศาสตร์ทั่วโลกมากกว่าครึ่งร้อย เข้ามาร่วมกันลงชื่อ (และที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ เพื่อพร้อมใจประกาศว่า The Bible Code เป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้

    ข้อสรุปส่วนหนึ่งในเว็บเพจดังกล่าว ที่ควรจะได้นำมากล่าวถึงไว้ในที่นี้ ก็คือ "...การทดลองดังกล่าวมีปัญหาสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ และการตีความข้อสรุป ..." และ

    "...ข้ออ้างทั้งมวลเกี่ยวกับความน่าจะเป็นอันน่าอัศจรรย์ สำหรับการเกิดคำต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่จริง เนื่องจากการคำนวณของพวกเขาขัดแย้งกับกฎมาตรฐานทางด้านความน่าจะเป็นและสถิติ"
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ความขัดแย้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

    ความไม่น่าเชื่อถือของรหัสไบเบิลที่ได้ ยังแสดงออกอีกแบบหนึ่งในรูปของ "รหัสลบ" (Negative Code) อีกด้วย

    "รหัสลบ" ที่ว่า ก็คือรหัสที่มีข้อความเป็นลบ มีนัยยะเป็นลบ หรือ ลบหลู่ต่อพระเจ้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ควรจะปรากฏมีอยู่ในไบเบิล ... หากว่าพระเจ้าเป็นผู้ใส่รหัสเหล่านั้นไว้ในไบเบิลจริง ตัวอย่างข้อความที่พบแล้ว เช่น (ขออนุญาตไม่แปลครับ)

    There is no God (พบทั้งหมด 5 แห่ง)

    Jehovah is a liar (พบทั้งหมด 8 แห่ง)

    There is no Jehova (พบทั้งหมดหลายสิบแห่ง)

    Jehovah is dead (พบทั้งหมดมากกว่าร้อยแห่ง)

    ที่ยกมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างนะครับ อันที่จริงมีผู้พบมากกว่านี้อีกมากครับ นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อความที่ขัดแย้งกันเอง ปรากฏอยู่ตลอดไบเบิลทั้งเล่ม เช่น มีทั้งข้อความ There is a God และ There is no God เป็นต้น นอกจากคำว่า God แล้วก็ยังมีคำอื่นๆ อีกที่ปรากฏในลักษณะเดียวกันอีก ไม่ว่าจะเป็น Heaven, Spirit, soul ฯลฯ เป็นต้น

    ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ต่อความเชื่อทางศาสนา แต่เรากำลังวิเคราะห์ว่า เหตุใด The Bible Code จึงเป็นเรื่องหลอกลวงที่เชื่อไม่ได้



    คำท้าทายและข้อพิสูจน์

    เขียนมาถึงตรงนี้ ก็ยังอาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเชื่อฝ่ายใดดี ก็เลยจะขอยกตัวอย่างชนิด "หนามยอกเอาหนามบ่ง" มาให้เห็นกันดีกว่านะครับ

    นายดรอสนิน ผู้เขียนเรื่อง The Bible Code เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวนิตยสาร Newsweek (June 9, 1997) ไว้ว่า "หากผู้ที่วิจารณ์งานของผม สามารถหาพบข้อความ เกี่ยวกับการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ซ่อนอยู่ในหนังสือ โมบี้ ดิกค์ ผมก็จะเชื่อเขา"

    แน่นอนครับ เล่นท้าทายกันแบบนี้ ก็ต้องมีคนคิดลองดีกันบ้างล่ะครับ แล้วในที่สุด นายดรอสนินแกก็เจอดีเข้าจนได้ครับ เพราะ ศ. แมกเคย์ (เจ้าเก่า) แกรับคำท้า แล้วลองไปค้นหารหัสลับในหนังสือโมบี้ ดิกค์ ผลที่ได้น่ะหรือครับ นายดรอสนินคงแทบอาเจียนเป็นเลือดถ้ารู้เข้า เพราะ ศ. แมกเคย์ ท่านไม่ได้เจอกรณีการลอบสังหารแค่เพียงหนึ่งเท่านั้น แต่พบทั้งหมดถึง 9 กรณีด้วยกัน !

    ใน 9 กรณีดังกล่าว รวมเอาการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย ในวันที่ 31 ตุลาคม 1884 [รูป gandhi] การลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ในวันที่ 14 เมษายน 1865 [รูป lincoln1] และการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ในปี 1963 [kennedy1, kennedy2, kennedy3] เข้าไว้ด้วย



    แต่ที่เด็ดขาดที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า หนึ่งในกรณีลอบสังหารที่พบก็คือ กรณีการลอบสังหารนายกรัฐมนตรียิตซ์ฮัก ราบิน ของอิสราเอล ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1995 [รูป rabin] ซึ่งเป็นกรณีที่นายดรอสนินยกมาหากินตลอดเวลานั่นเอง



    อย่างนี้สำนวนภาษากำลังภายในจีน เขาเรียกกันว่าเป็นการ "ยืมดาบสนองคืนผู้ใช้" โดยแท้นะครับ

    แต่ยังครับ ยังไม่หมดเท่านั้น... นอกจากจะพบว่าโมบี้ ดิกค์ ทำนายการลอบสังหารผู้นำไว้ถึง 9 กรณีแล้ว ศ.แมกเคย์ ยังพบการทำนายกรณีของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (ซึ่งรวมทั้ง กรณีวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์) ในนั้นอีกด้วย [รูป osama]

    ยังมีอีกครับ กรณีของเจ้าหญิงไดอาน่า ก็อยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย [รูป diana]

    และที่ผมเห็นว่าเป็นที่สุดของที่สุดก็ได้แก่ การที่ ศ.แมกเคย์ แกพบว่ามีการทำนายเรื่องลอบสังหารตัวนายดรอสนินเองอีกด้วย (ฮา) [รูป drosnin1]



    ก่อนจบขอแถมอีกสักหน่อย สำหรับหนังสือของนายดรอสนินก็แล้วกันนะครับ ดร.เดฟ โธมัส ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และเป็นบรรณาธิการที่ปรึกษาของนิตยสาร Skeptical Inquirer ได้ลองใช้วิธีการของนายดรอสนินเอง ถอดรหัสตัวอย่างหนังสือ The Bible Code II ที่ไปดาวน์โหลดมาจาก Amazon.com (เดาว่าแกคงเสียดายเงิน คิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะซื้อมังครับ - ฮา) ที่มีข้อความรวม 1,617 คำ หรือ 6,966 ตัวอักษรเท่านั้น

    ปรากฏว่า ข้อความสุดอะเมซิ่งที่ ดร.โธมัส พบก็คือ [รูป drosnin2b]

    "The Bible Code is a silly, dumb, fake, false, evil, nasty, dismal fraud and snake-oil hoax"

    ขอความสุข สวัสดีจงมีแด่บรรดา "เหยื่อ" ที่ถูกอำทั้งมวลครับ ว่าแต่... วันนี้ คุณเลิกเชื่อใครง่ายๆ หรือยังครับ ?

    ======================

    สำหรับท่านที่สนใจจะอ่านผลงานตีพิมพ์ทั้ง 3 เรื่องที่อ้างถึงในบทความ สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ URL ดังนี้ งานของ WRR และ งานของทีม ศ.แมกเคย์ : http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/torah.htm1 งานของทีม ศ. คาไล: http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/StatSci/
     
  3. XZODIA

    XZODIA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +124
    7.อ.นครอินทร์ จ.พัทลุง ไม่มีอำเภอนี้ในพัทลุง นะงับ ที่ใกล้เคียงน่าจะเป็น กิ่ง อ.ศรีนครินทร์
     
  4. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ภูเขาไฟในฟิลิปปินส์ยังพ่นลาวาไม่หยุด

    มะนิลา 30 ก.ค.
     
  5. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ฟ้าไหนครับ ??? น้องฟ้าเช้ารึเปล่า อิอิอิอิ



    สาระ:
     
  6. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    สึนามิ (TSUNAMI)

    สุวิทย์ โคสุวรรณ

    ในภาษาญี่ปุ่นเรียก Tsunami
    ในภาษาจีนเรียก Haixiao
    ในภาษาเกาหลีเรียก Haeil
    ในภาษาเยอรมันเรียก Flutwellen
    ในภาษาฝรั่งเศสเรียก Raz de mare
    ในภาษาสเปนเรียก Maremoto

    สึนามิ (Tsunami) เป็นคำที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า เป็นคลื่นยักษ์ที่มีความยาวคลื่นเป็นหลัก 100 กิโลเมตรขึ้นไป ที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ เป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นหากแปลตรงตัวคำว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2006
  7. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ภูเขาไฟบนเกาะชวา

    โดย สุทัศน์ ยกส้าน 15 พฤษภาคม 2549 17:36 น.

    โลกมีภูเขาไฟประมาณ 1,300 ลูก 700 ลูก เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว และอีก 600 ลูก ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ภูเขา Visuvius ในอิตาลี ภูเขาไฟ Etna บนเกาะ Sicily และ Kilauea บนเกาะฮาวาย เป็นต้น เมื่อใดที่ภูเขาไฟระเบิด เราจะเห็นว่าลาวาร้อนไหลลงจากยอดเขา ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่รายรอบภูเขาไฟ

    ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า Pliny ผู้เยาว์ คือ นักภูเขาไฟวิทยาคนแรกของโลกที่ได้ศึกษาและสังเกตการระเบิดของภูเขาไฟ Visuvius เมื่อปี พ.ศ. 612

    ณ วันนี้ นักวิทยาศาสตร์มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภูเขาไฟมาก จนรู้สาเหตุการเกิดภูเขาไฟว่า ใต้เปลือกโลกลงไป คือ ส่วนที่เราเรียกว่า เปลือกโลกชั้นในมีชั้นที่ลึกลงไปอีก คือ แก่นโลก เพราะอุณหภูมิใต้โลกสูงมาก ดังนั้น หินแข็งในบริเวณเปลือกโลกชั้นในจึงละลายเป็นหินเหลว ส่วนแก่นโลกนั้นเพราะมีอุณหภูมิสูงมาก จึงสามารถระบายความร้อนออกมาทุกทิศทาง เหมือนกับเวลาเราต้มน้ำในกา น้ำที่ก้นกาจะไหลวนพาความร้อนไปทั่ว ดังนั้น เวลาหินเหลวจากเปลือกโลกชั้นในไหลทะลักขึ้นผ่านรอยแตกของเปลือกโลก นั่นคือ การระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งจะนำหินเหลวร้อน (ลาวา) ก๊าซ ฝุ่น ดิน และหิน ขึ้นมาจากใต้ดินท่วมพื้นที่รอบ ๆ มีผลให้ลักษณะของภูมิประเทศในบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงทันที

    สถิติที่ปรากฏทุกวันนี้แสดงให้เห็นว่า ประชากร 600 ล้านคน อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟ เช่น ชาวเมือง Naples อาศัยอยู่ใกล้ Visuvius และชาวเมือง Seattle อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Rainier เป็นต้น

    ชวาเป็นเกาะ ๆ หนึ่งของอินโดนีเซียที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเกาะ ๆ นี้มีภูเขาไฟมากมาย ทั้งที่ดับแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ เช่น ภูเขาไฟ Papandayan ที่สูงประมาณ 3,200 เมตร ซึ่งได้ระเบิดเมื่อปี 2315 และการระเบิดครั้งนั้น ได้ทำให้หมู่บ้าน 40 แห่งถูกทำลาย ผู้คน 3,000 คน เสียชีวิต และหลังการระเบิด ยอดภูเขาไฟได้หดหายไปเหลือสูงเพียง 1,700 เมตร เท่านั้นเอง

    Galung Gung เป็นชื่อของภูเขาไฟอีกลูกหนึ่งที่มีป่าปกคลุมในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2425 ภูเขาไฟลูกนี้ได้ระเบิดนำโคลนขุ่น น้ำร้อน ลาวา เถ้าถ่าน ควัน ฝุ่น ไปตกไกล 60 กิโลเมตร จากภูเขาและภายในเวลา 5 ชั่วโมง หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟถูกทำลายราบเรียบ จนอีก 4 วันต่อมา ภูเขาไฟลูกนี้ได้ระเบิดอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้การระเบิดรุนแรงกว่าคราวแรก ทำให้ยอดภูเขาไฟยุบหายไป เหลือเป็นแอ่งลึก นักภูเขาไฟวิทยาประมาณว่า การระเบิดคราวนั้นได้สังหารผู้คนใน 114 หมู่บ้าน ไปประมาณ 4,000 คน

    ช่องแคบ Sunda ในทะเลระหว่างชวากับสุมาตรา มีภูเขาไฟลูกหนึ่งชื่อ Krakatau ซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2426 แทบไม่มีใครในโลกรู้จักภูเขาไฟลูกนี้เลย เพราะตลอดเวลา 200 ปีก่อนนั้น ภูเขาไฟไม่เคยระเบิดเลย ทำให้ทุกคนคิดว่า ภูเขาไฟได้ดับไปแล้ว ดังนั้น ชาวบ้านบนเกาะชวา และสุมาตรา จึงพายเรือไปเก็บผลไม้ในป่าที่ปกคลุมเชิงเขาอยู่เนือง ๆ จนกระทั่งถึงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2426 ภูเขาไฟลูกนี้ได้ระเบิด สถิติการสำรวจแสดงได้ให้เห็นว่า นี่เป็นการระเบิดที่รุนแรงเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์ที่ผู้คน ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 4,600 กิโลเมตร ก็ยังได้ยินเสียงระเบิด แม้แต่ชาว Batavia ก็ได้ยินเสียงระเบิดเหมือนเสียงปืนใหญ่ กัปตันเรือที่อยู่บนเรือซึ่งกำลังเดินทางผ่านช่องแคบ Sunda ได้รายงานว่า เห็นฝุ่นควัน พุ่งขึ้นท้องฟ้า เป็นลำสูง 10 กิโลเมตร และเสียงระเบิดดังเป็นระยะ ๆ นาน 14 สัปดาห์ จนถึงวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม ก็มีการระเบิดใหญ่ เพราะ Krakatau ไม่มีผู้คนอาศัยเลย ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้จักว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น แต่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ระเบิดก็ยังรีบหนีเอาชีวิตรอด หลังการระเบิด กะลาสีเรือที่เดินทางผ่านใกล้ภูเขาไฟได้รายงานว่า เกาะทั้งเกาะได้จมหาย มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และแผ่นดินไหวรุนแรง ท้องฟ้าเหนือ Krakatau มีทะเลฝุ่นสีเหลืองปกคลุมทั่ว สำหรับคนที่อยู่ริมฝั่งก็ถูกคลื่นยักษ์สึนามิสูง 40 เมตร พุ่งถล่ม จนผู้คน 34,000 คนเสียชีวิต การสำรวจยังรายงานอีกว่า เมืองต่าง ๆ ที่อยู่ตามชายฝั่งของช่องแคบ Sunda ถูกคลื่นทำลายราบเรียบ โดยเฉพาะที่เมือง Telok Betong บนเกาะ Sumatra คลื่นสึนามิได้พัดพาเรือประมงเข้าไปในฝั่งไกล 3 กิโลเมตร อนึ่ง การระเบิดของ Krakatau ในครั้งนั้นได้ทำให้ภูเขาไฟลูกอื่น ๆ บนเกาะชวาถูกกระทบกระเทือนจนเกือบระเบิดด้วย เช่น ภูเขาไฟ Semeru และ Gunung Guntur ก็ส่งเสียงคำราม แต่ไม่ระบิด อนึ่ง เหตุการณ์ระเบิดครั้งนั้น ได้ทำให้ Sir Robert Ball ชาวอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ Earths Beginnings ที่ตีพิมพ์ในปี 2445 ว่า ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2426 เวลา 10 โมงเช้า ขณะซ้อมดนตรีอยู่ในโรงละคร บนเกาะ Rodriguez ซึ่งอยู่ไกลจาก Krakatau 4,500 กิโลเมตร เขาได้ยินเสียงระเบิด 2 - 3 ครั้ง นั่นเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังจากที่ Krakatau ระเบิดจริง ทั้งนี้ เพราะเสียงต้องใช้เวลาในการเดินทางนั่นเอง

    แม้กระทั่ง ลอนดอนประเทศอังกฤษก็ได้รับผลกระทบจากการระเบิด เพราะท้องฟ้าเหนือกรุงลอนดอนในฤดูใบไม้ร่วงมืดมัว และดวงอาทิตย์ดูแดง ซึ่งเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้ William Ashcroft ได้วาดภาพท้องฟ้าเหนือ Chelsea ในกรุงลอนดอนเมื่อปี 2426 ไว้ (ดังภาพ) ผู้คนที่ Madagascar, Australia, Cape of good Hope และ California ต่างก็ได้รายงานการเห็นดวงอาทิตย์มีสีแดงผิดปกติ และฟ้ามีเมฆฝุ่นปกคลุม หลังการระเบิดนานเป็นสัปดาห์ ในส่วนที่เป็นด้านดี การระเบิดของ Krakatau ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้ธรรมชาติของบรรยากาศเหนือโลกดีขึ้น เพราะในสมัยนั้น นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า ที่ระดับสูงกว่า 15 กิโลเมตร มีลมพัดเหมือนบนโลก ดังนั้น เมื่อเห็นฝุ่นภูเขาไฟถูกลมพัดไปรอบโลกได้ โดยใช้เวลานานประมาณ 13 วัน นักวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่า ลมเหนือโลกพัดเร็วเหมือนลมเฮอริเคน

    ในปี 2546 Simon Winchester ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ Krakatoa : The Day the World Exploded : August 27, 1883 หนังสือราคา 25.95 เหรียญ หนา 432 หน้า มีภาพประกอบ 58 ภาพ ซึ่งได้กล่าวถึงวันที่โลกแตก และนรกผุดเหนือ Krakatau

    เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดี Susilo Bamhang Yudhoyono แห่งอินโดนีเซีย ก็ได้ประกาศเตือนชาวชวาที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟ Merapi ซึ่งสูง 2,914 เมตร ว่าภูเขาไฟลูกนี้จะระเบิดในอีกไม่นาน เพราะในช่วงนี้ อุณหภูมิภูเขาไฟได้เพิ่มสูงจนภูเขามีควันระอุ และภูเขาส่งเสียงคำรามเป็นระยะ ๆ การศึกษาประวัติการระเบิดของภูเขาไฟแสดงให้รู้ว่า เมื่อใดที่แผ่นดินไหวบ่อยกว่า 90 ครั้ง/วัน นั่นคือ สัญญาณว่า ภูเขาไฟใกล้ระเบิด และในกรณีของ Merapi นี้สัญญาณแผ่นดินไหวเกิดมากถึง 150 ครั้ง/วัน

    สถิติการระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้ยังระบุอีกว่า ในปี พ.ศ. 2434 ภูเขาไฟ Merapi ได้เคยระเบิดแล้ว และทำให้ผู้คนเสียชีวิตไป 1,300 คน โดยลาวาได้ไหลเป็นทางไกล 6 กิโลเมตร และกว้าง 200 เมตร และลึก 3 เมตร และการระเบิดครั้งสุดท้ายเมื่อ 12 ปีก่อน ได้ทำให้คน 60 คนตาย

    ดังนั้น รัฐบาลอินโดนีเซียจึงสั่งห้ามกิจกรรมขุดเหมืองแร่ ไต่เขาหรือเดินเขาทุกรูปแบบ อย่างเด็ดขาด และได้เตรียมที่พักชั่วคราวให้ผู้คนที่อาศัยในบริเวณภูเขาไฟได้เข้าพัก เพื่อความปลอดภัยครับ

    สุทัศน์ ยกส้าน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สสวท


    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2006
  8. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    การเกิดภูเขาไฟ (Volcanism)

    การเกิดภูเขาไฟ (Volcanism)

    เป็นการเคลื่อนที่ของหินหนืด ขึ้นมาสู่ผิวโลกหรือใกล้กับผิวโลก ถ้าหินหลอมเหลวเคลื่อนที่ผ่านผิวโลกโดยทางปล่องของผิวโลก (Vent) เราเรียกว่า "Volcano" หรือ ผ่านรอยแตก (Fissure) ของเปลือกโลกซึ่งเรียกว่า Mass eruption

    รูปร่างภูเขาไฟ
    แบ่งเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ
    1) ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ในปัจจุบัน
    2) ภูเขาไฟสงบแต่เมื่อมีพลังมากๆ จะระเบิดขึ้นอีกและ
    3) ภูเขาไฟที่ดับแล้ว

    ภูเขาไฟโดยทั่วไปหากแบ่งตามชนิดของลาวาได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
    กรวยภูเขาไฟสลับชั้น (Composite volacano)
    ภูเขาไฟรูปโล่ (Flood basalt & Shield volcano)
    และกรวยกรวดภูเขาไฟ (Cinder cone)
     
  9. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    หินอัคนี ได้แก่ หินที่เกิดจากการเย็นตัวของหินหนืด (magma) หรือหินหลอมเหลวที่อยู่ภายในผิวโลกลึกลงไปในโลกหินจะอยู่ในสภาพหลอมเหลวเพราะว่ามีอุณหภูมิและความดันสูงมาก การเย็นตัวหรือแข็งตัวของหินแบบนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่ออุณหภูมิและความดันลดลง เช่น ในบริเวณที่ใกล้กับผิวโลกและการเย็นตัวหรือแข็งตัวของหินหลอมเหลวเหล่านี้ จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าจะใกล้หรือไกลจากบรรยากาศเพียงใด หินอัคนี จะพบในบริเวณที่ลึกมาก ๆ เนื่องจากเย็นตัวจากหินหนืด ซึ่งอยู่ในสภาพหลอมเหลว ถ้ามีจุด อ่อน หรือช่องว่างเกิดขึ้นบนหินที่อยู่เหนือขึ้นมา หินหนืดจะดันตัวออกมาถึงผิวโลกได้

    การโผล่ขึ้นมาของหินหนืดในรูปนี้ คือ การเกิดภูเขาไฟ จึงพบหินอัคนีบนผิวโลกด้วย เมื่อหินหนืดแทรกตัวขึ้นมาผ่านหินที่มีอยู่ก่อนแล้วในบริเวณนั้นจะทำให้หินใกล้เคียงกับช่องที่แทรกตัวถูกแปรสภาพเกิดเป็นหินแปร หินที่มีอยู่ในบริเวณนั้นปกติจะเป็นหินที่เกิดจากการทับถมตามธรรมชาติบนผิวโลก เช่น การตกตะกอนทับถมในแม่น้ำหรือทะเล ตะกอนเหล่านี้เมื่อทิ้งไว้นานๆ และทับถมกันมากขึ้นจะแน่นตัวเข้าจนกระทั่งเกิดเป็นหินในที่สุด กระบวนการทับถมของตะกอนที่ได้จากการพังทลายพัดพาเมื่อแน่นตัวทำให้เกิดหินตะกอน หรือหินชั้นขึ้นมา การเย็นตัวของหินอัคนีนั้นขึ้นอยู่ว่าอยู่ห่างจากผิวโลกแค่ไหน ซึ่งการแข็งตัวช้าหรือเร็วนี้จะทำให้เกิดเป็นหินอัคนีชนิดต่างๆ ห่างจากผิวโลกลงไปเหนือส่วนที่ยังหลอมเหลว จะเป็นบริเวณที่เกิดหินอัคนีที่เย็นตัวช้า เรียกว่า หินอัคนีระดับลึก (plutonic หรือ intrusive rocks) จากการเย็นตัวของหินหนืดอย่างช้าๆ ทำให้แร่มีโอกาสที่จะตกผลึก (crystal) ขนาดใหญ่ๆ ได้ ตามปกติเมื่อให้เวลาและช่องว่างพอเพียง ผลึกจะเติบโตมีรูปร่างและมีหน้าผลึกถูกต้องและครบถ้วน ดังนั้นพวกหินแบบ plutonic จึงมีเนื้อหินค่อนข้างหยาบ เพราะมีเวลามากพอในการสร้างตัวของผลึก พวกที่ดันไหลออกมากระทบความเย็นของบรรยากาศอย่างรวดเร็ว ดังเช่นในกรณีของการเกิดภูเขาไฟ เราเรียกว่า volcanic หรือ extrusive rocks ธรรมดาหินหลอมเหลวที่อยู่ใต้ผิวโลกเรียกว่า หินหนืด (magma) แต่เมื่อไหลออกมานอกผิวโลกแล้วจะเรียกว่า หินลาวา (lava) การเกิดผลึกจากลาวาใช้เวลาสั้นและเกิดผลึกชนิดเล็กมากซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (cryptocrystalline) เนื้อหินแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกเนื้อละเอียด ในกรณีที่แร่ไม่เป็นผลึกเลยหรือที่เรียกว่าอสัณฐานก็มีอยู่มาก ได้แก่ พวกแก้วจากภูเขาไฟ (volcanic glasses) ซึ่งมีเนื้อละเอียดเหมือนกับแก้ว นอกจากแบบที่เย็นตัวช้าและเย็นตัวเร็วแล้ว หินอัคนีที่เย็นตัวในระดับปานกลางเรียกว่า intermediate หรือ hypabyssal rocks หินประเภทนี้จะมีการเย็นตัว 2 จังหวะ คือ ในระยะแรกจะมีการเย็นตัวอย่างช้าๆ แร่บางชนิดโดยทั่วๆ ไป เช่น พวกเฟลด์สปาร์ ควอร์ตซ์ หรือไมกา เริ่มตกผลึกก่อน (เพราะถึงระดับอุณหภูมิที่มันตกผลึก) ในระยะที่สอง ส่วนของหินหนืดอาจจะแยกออกไปจากแหล่งกำเนิดเป็นสายเล็กลงที่เรียกว่า พนัง (dyke) โดยผ่านแทรกตัวไปในหินที่มีอยู่เดิมในบริเวณนั้นซึ่งเย็นกว่า หินหนืดในสภาพนี้จะเย็นตัวค่อนข้างเร็วและตกผลึกพร้อมกันหมด นั้นคือขาดเวลาและช่องว่างที่จะสร้างผลึกก้อนโตๆ ดังนั้น แร่ที่ประกอบในเนื้อหินจะเป็นประเภทที่มีเนื้อละเอียดกว่า เรียกว่า แร่พื้น (groundmass) แต่จะมีพวกผลึกที่เกิดก่อนแล้ว จะมีขนาดใหญ่กว่าเรียกว่าแร่ดอก (phenocryst) หินแบบนี้เรียกว่าหินเนื้อดอก (porphyry) ซึ่งจะเกิดได้ในเนื้อหินอัคนีหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นพวกหินอัคนีระดับลึก หรือหินภูเขาไฟ (volcanic rocks) ในประเทศไทยหินแบบนี้ที่พบมากคือหินแกรนิตเนื้อดอก (granite porphyry) และหินแอนดีไซต์เนื้อดอก (andesite porphyry)


    ภูเขาไฟระเบิด

    นิยาม
    เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง การระเบิดของภูเขาไฟนั้นแสดงให้เห้นว่าใต้ผิวโลกของเราลงไประดับหนึ่ง มีความร้อนสะสมอยู่มากโดยเฉพาะที่เรียกว่า"จุดร้อน" ณ บริเวณนี้มีหินหลอมละลายเรียกว่า แมกมา และเมื่อมันถูกพ่นขึ้นมาตามรอยแตกหรือปล่องภูเขาไฟ เราเรียกว่า ลาวา

    สาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิด
    กระบวนการระเบิดของภูเขานั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดนัก นักธรณีวิทยาคาดว่ามีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณนั้น ทำให้มีแมกมา ไอน้ำ และแก๊ส สะสมตัวอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อให้เกิดความดัน ความร้อนสูง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะระเบิดออกมา อัตราความรุนแรงของการระเบิด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระเบิด รวมทั้งขึ้นอยู่กับความดันของไอ และความหนืดของลาวา ถ้าลาวาข้นมากๆ อัตราการรุนแรงของการระเบิดจะรุนแรงมากตามไปด้วย เวลาภูเขาไฟระเบิด มิใช่มีแต่เฉพาะลาวาที่ไหลออกมาเท่านั้น ยังมีแก๊สไอน้ำ ฝุ่นผงเถ้าถ่านต่างๆ ออกมาด้วย มองเป็นกลุ่มควันม้วนลงมา พวกไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นน้ำ นำเอาฝุ่นละอองเถ้าต่างๆ ที่ตกลงมาด้วยกัน ไหลบ่ากลายเป็นโคลนท่วมในบริเวณเชิงเขาต่ำลงไป ยิ่งถ้าภูเขาไฟนั้นมีหิมะคลุมอยู่ มันจะละลายหิมะ นำโคลนมาเป็นจำนวนมากได้ เช่น ในกรณีของภัยพิบัติที่เกิดในประเทศโคลัมเบียเมื่อไม่นานนี้

    แหล่งที่มา:คณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์.สารานุกรมวิทยาศาสตร์.2534.

    โทษของภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิด
    1. แรงสั่นสะเทือน มีทั้งการเกิดแผ่นดินไหวเตือน แผ่นดินไหวจริง และแผ่นดินไหวติดตาม ถ้าประชาชนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชิงภูเขาไฟอาจหนีไม่ทันเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
    2. การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเคลื่อนที่รวดเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษย์และสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
    3. เกิดฝุ่นภูเขาไฟ เถ้า มูล บอมบ์ภูเขาไฟ ระเบิดขึ้นสู่บรรยากาศ ครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภูเขาไฟ และลมอาจพัดพาไปไกลจากแหล่งภูเขาไฟระเบิดหลายพันกิโลเมตร ภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดที่เกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ ฝุ่นภูเขาไฟยังมาตกทางจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดสงขลา นราธิวาส และปัตตานี เกิดมลภาวะทางอากาศและแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชน รวมทั้งฝุ่นภูเขาไฟได้ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ใช้เวลานานหลายปี ฝุ่นเหล่านั้นถึงจะตกลงบนพื้นโลกจนหมด
    4. เกิดคลื่นซึนามิ ขณะเกิดภูเขาไประเบิด โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องมหาสมุทร คลื่นนี้จะโถมเข้าหาฝั่งสูงขนาดตึก 3 ชั้นขึ้นไป กวาดทุกสิ่งทั้งผู้คนและสิ่งก่อสร้างลงสู่ทะเล เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
    5. หลังจากภูเขาไฟระเบิด มีฝุ่นเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ เมื่อฝนตกหนัก อาจจะเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมาจากฝุ่นและเถ้าภูเขาไฟเหล่านั้น

    ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด
    1. การระเบิดของภูเขาไฟช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล
    2. การเคลื่อนที่ของลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้หินอัคนีและหินชั้นใต้ที่ลาวาไหลผ่านเกิดการแปรสภาพ เช่น หินแปรที่แข็งแกร่งขึ้น
    3. แหล่งภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดแหล่งแร่ที่สำคัญขึ้น เช่น เพชร เหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมาก
    4. แหล่งภูเขาไฟจะเป็นแหล่งดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ดินที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
    5. แหล่งภูเขาไฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติฮาวาย ในอเมริกา หรือแหล่งภูกระโดง ภูอังคาร ในจังหวัดบุรีรัมย์ของไทย เป็นต้น
    6. ฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลง ปรับระดับอุณหภูมิของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกที่กำลังร้อนขึ้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำแอลนิโน ที่ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกสูงขึ้นนั้นลดต่ำลง

    สถิติการเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งสำคัญ

    การระเบิดของภูเขาไฟครั้งสำคัญได้ทำลายชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ 2 แสนคน นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยในปี ค.ศ. 1985 ประชาชนชาวโคลัมเบียสูญเสียชีวิตเป็นหมื่นเช่นกัน ใน 17 ครั้ง 11 ครั้งเป็นการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งอยู่ในประเทศเขตร้อน ได้แก่ ดินแดนประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี เกาะมาร์ตินีก อยู่ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกและกัวเตมาลา (ละติจูด 15° เหนือ) ประเทศโคลัมเบีย (ละติจูด 5° เหนือ) และประเทศแคเมอรูน (ละติจุด 5° เหนือ) เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในเขตร้อนมักจะประสบภัยจากธรรมชาติหลายประเทศ ตลอดจนภูเขาไฟระเบิดด้วย ซ้ำประเทศเหล่านี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา สถิติประชากรประสบภัยยังอยู่ในอัตราสูงเพราะขาดการเตือนภัยที่ดี และการอพยพประชากรทำได้ลำบากเพราะความไม่สะดวกของเส้นทางคมนาคม ตลอดจนการพยากรณ์ภัยพิบัติไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร หรือขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกากลับมีผู้เสียชีวิตเพียง 60 คน เท่านั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ถ้าการพยากรณ์และเตือนภัยภูเขาไฟระเบิดกระทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมาก ภูเขาไฟบางลูกอาจทำลายชีวิตผู้คนหลายหมื่นคน ในการระเบิดเพียงครั้งเดียว ถ้ามีการตายจำนวน 2-3 พันคน จากการระเบิดของภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นโดยต่างปี ต่างสถานที่กันและอีกหลายปีผ่านไปอาจไม่มีใครเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิดเลยก็ได้ ต่างจากแผ่นดินไหวที่แต่ละปีมีคนตายเป็นพันๆ คน เกือบทุกปี เช่น แผ่นดินไหวที่เคยเกิดเมื่อปี ค.ศ.1928,1950 และ 1976 ที่มีคนตายถึง 100,000 คน การเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างมหาศาล ประชาชนทั้งหลายย่อมได้ฟังมามากมาย แต่เพราะเหตุใดเขาเหล่านั้นยังคงเลือกที่จะอยู่ในสถานที่อันตรายทั้งที่รู้แล้วว่าอีกไม่นานอาจเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำลายบ้านเรือนหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองได้ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นคงมีแต่ความเลวร้าย เพราะเหตุใด คำตอบมีดังนี้
    1)ประชาชนรู้จากประสบการณ์ว่าแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด เกิดในเขตเดียวกันของโลก และจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เขาเชื่อว่าความสูญเสียยังคงเหลือคนดีอยู่บ้าง คงไม่เสียหายจนหมด
    2)ประชาชนรักถิ่นที่อยู่มีความรู้สึกผูกพัน ถ้าจะต้องอพยพย้ายถิ่นด้วยเหตุทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลอื่นใด ย่อมมีความเสียใจพอๆ กับบ้านเรือนถูกทำลายทีเดียว
    3)ประชาชนชอบอยู่ในที่เดิม เว้นแต่ว่าตั้งใจออกไปหาที่อยู่ใหม่ที่มั่นคงกว่าได้ ดังนั้น ผู้คนจำนวนหลายร้อยล้านคน ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ล่อแหลมต่ออันตรายของเขตเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ทั้งๆ ที่รู้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะต้องการพื้นที่ก็ไม่สามารถย้ายออกไปได้ เพราะพื้นที่โลกที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยมีจำกัด แผ่นดินโลกร้อนเกินไปเสียแล้ว
    การพยากรณ์ภูเขาไฟระเบิด

    ได้มีการบันทึกการระเบิดครั้งสำคัญของภูเขาไฟในอดีตจนถึงปัจจุบันไว้ดังนี้
    พ.ศ. ชื่อภูเขาไฟ จำนวนผู้เสียชีวิต
    622 ภูเขาไฟวิสุเวียส-อิตาลี 16,000
    1712 ภูเขาไฟเอ็ตนา เกาะซิซิลี
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ข่าวกองบิน 21

    อุทกภัยที่เกิดจากสภาพอากาศหรือแผ่นดินไหวมักจะสร้างความพินาศเสียหายได้อย่างมหาศาลเกินกว่าที่จะบรรยาย ไม่ว่าจะเป็นคลื่นยักษ์ซึนามิ น้ำท่วมหนัก และแผ่นดินถล่มอันเนื่องมาจากน้ำกัดเซาะ ล้วนเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติที่มนุษย์แทบไม่อาจควบคุมได้

    ซึนามิ คืออะไร
    ซึนามิ ก็คือ คลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ หรือระลอกคลื่นที่มีกำลังแรงพอที่จะกวาดเมืองทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง ซึนามินั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนพื้นใต้ทะเลสั่นไหวและหนุนให้น้ำทะเลยกตัวขึ้น แรงสั่นสะเทือนดังกล่าว ได้แก่ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิด แผ่นดินถล่มลงสู่ทะเลเป็นปริมาณมหาศาล

    แผ่นดินใต้ท้องทะเลเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง หรือแม้กระทั่งแรงกระแทกจากดาวเคราะห์ สะเก็ดดาว หรือดาวหาง ขณะเกิดคลื่นซึนามิ น้ำทะเลปริมาณมหาศาลและพลังขนาดมหึมาจะรวมตัวเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วถึง
    800กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเร็วเทียบเท่าเครื่องบินไอพ่น

    การตรวจจับคลื่นซึนามิในทะเลลึกทำได้ยาก เพราะจะเห็นเฉพาะส่วนยอดของคลื่นซึ่งสูง 20-60 เซนติเมตรเท่านั้น ขณะที่ลูกคลื่นขนาดยักษ์แฝงตัวอยู่ลึกลงไปในทะเลหลายร้อยเมตร ซึนามิมีขนาดใหญ่มโหฬาร ระยะจากยอดคลื่นลูก
    หนึ่งไปถึงอีกลูกอาจยาวถึง 1,000 กิโลเมตร และคลื่นมหาภัยนี้ยังโถมใส่พื้นที่กว้างใหญ่ได้โดยสูญเสียพลังเพียงเล็กน้อย

    ต่อเมื่อซึนามิเคลื่อนตัวถึงชายฝั่งน้ำตื้น มันจึงเผยโฉมเหนือพื้นน้ำ ซึ่งมักเห็นเป็นกำแพงน้ำดำทะมึน บางครั้งน้ำทะเลอาจถูกดูดออกไปนอกฝั่งจนมองเห็นปลาโดดดิ้นบนพื้น จากนั้นคลื่นยักษ์จึงถาโถมเข้ามาและกวาดทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนราบเรียบแรงระเบิดที่ทำให้เกิดคลื่นมหาภัย

    เมื่อภูเขาไฟกรากะตัวระเบิดในวันที่ 27 สิงหาคม 2426 (ค.ศ.1883) ได้เกิดคลื่นซึนามิที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยปรากฎมา แรงระเบิดทำให้เกิดแอ่งภูเขาไฟลึก 290 เมตรที่ท้องสมุทร เกิดคลื่นสูง 40 ม.ถาโถมสู่ฝั่งยาว 5 กิโลเมตร ตามแนวเกาะแถบชวาและสุมาตรา น้ำกลืนชีวิตนับพัน เรือรบดัตช์ลำหนึ่งถูกเหวี่ยงลอยสูง 3 กิโลเมตรไปตกในหุบเขาแห่งหนึ่งในสุมาตรา แม้แต่อินเดียซึ่งไกลออกไป 5,000 กิโลเมตร พลังคลื่นยักษ์ยังทำให้เรือในแม่น้ำคงคาล่ม 300 ลำ รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตทั่วโลก 36,000 คน จากการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัว

    คลื่นมหึมาทุบสถิติโลก
    คลื่นยักษ์ซึนามิซึ่งกระหน่ำอ่าวลิตูยาบริเวณชายฝั่งอะลาสกา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2501 (ค.ศ.1958) โดยมันครองสถิติคลื่นที่มีความสูงที่สุด โดยคลื่นลูกนี้มีความสูงถึง 530 เมตร เมื่อเทียบแล้วจะสูงกว่าตึกเอ็มไพร์สเตท ในมหานครนิวยอร์ก ถึง 10 ชั้น
    คลื่นดังกล่าวเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่ทำให้แผ่นดินถล่มบริเวณตอนบนของอ่าว มีหินถล่มลงมาเป็นสายราวน้ำตกจากแนวเขาที่สูงเกือบ 1 กิโลเมตร ทำให้ธารน้ำแข็งลิตูยาแตกและไหลลงไปในอ่าวเมื่อเศษซากน้ำแข็งราว 30 ล้านลูกบาศก์เมตรเคลื่อนไหลลงไปในน้ำ ทำให้เกิดคลื่นมหึมาโถมขึ้นทางด้าน
    ลาดฝั่งตรงข้ามกับอ่าวลิตูยา กวาดดินและต้นไม้ตามแนวเขาให้พังทลายลงมา เรือประมงลำหนึ่งพร้อมลูกเรือ 2 คน เจอฤทธิ์ของคลื่นนี้ด้วย แต่เรือและลูกเรือ 1 คน รอดปลอดภัยมาได้แม่น้ำล้นท่วมเมืองและหมู่บ้านอุทกภัยตามแนวชายฝั่งยาว 1,600 กิโลเมตรของแม่น้ำมิสซิสซิปปีและมิสซูรี เมื่อเดือนกรกฎาคม 2536 (ค.ศ.1993) ทำให้ไร้ที่อยู่อาศัย 70,000 ราย ตลอด 9 เดือนก่อนหน้านั้น พื้นที่ตอนกลางของอเมริกาเหนือเจิ่งนองด้วย

    น้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเพราะพายุกระโชกแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินจึงชุ่มน้ำเต็มที่ และแม่น้ำรับน้ำไว้เต็มตลิ่งจนแนวเขื่อนดินที่กั้นน้ำทานแรงไม่ไหว ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อุทกภัยจากแม่น้ำมิสซิสซิปปียังความเสียหายอย่างรุนแรง จากเมืองวัลเมเยอร์ ในมลรัฐอิลลินอยส์ ต้องสร้างเมืองทั้งเมืองขึ้นใหม่ให้สูงกว่าระดับเดิม
    ผู้คนส่วนใหญ่ยังกริ่งเกรงว่าในอนาคตจะมีโอกาศรอดพ้นจากอุทกภัยหรือไม่ แม้วิศวกรจะสร้างเครื่องป้องกันน้ำท่วมและมีการพยากรณ์อากาศช่วยเตือนล่วงหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความเสี่ยงเสมอ หากอยู่ในเขตลุ่มน้ำตามแม่น้ำสายใหญ่ ๆ

    เขตภูเขาที่ยังรอคอยหายนะ
    ภูเขาที่งดงามในเทือกเขาแอลป์ของอิตาลีได้ชื่อว่ามีน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง อุทกภัยเช่นนี้ซึ่งเกิดในปี 2537 (ค.ศ.1994) ทำให้เขตปิเอด์มองต์ รอบเมืองเจนัวเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 100 คน ไร้ที่อยู่อาศัย 10,000 คน

    เทือกเขาแอลป์ตั้งตระหง่านเป็นกำแพงขวางแนวเคลื่อนตัวของอากาศอุ่นชื้นที่พัดมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กลุ่มเมฆมักแปรสภาพเป็นฝนตกตามบริเวณแนวด้านใต้ของเทือกเขา น้ำฝนไหลรี่ชะตามแนวลาดชันกลายเป็นน้ำเชี่ยวกรากที่ทำให้เมืองและหมู่บ้านแถบนั้นราบคาบโดยแทบไม่รู้ตัวล่วงหน้า
    กำแพงน้ำหายนะ

    วันที่ 17 กรกฎาคม 2541 (ค.ศ.1998) คลื่นยักษ์ซึนามิเข้าถล่มชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะปาปัวนิวกินีราบเป็นระยะทาง 30 กม. ทำลายเมืองและหมู่บ้านแถบนั้นจนพินาศ ชาวบ้าน 10,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า จู่ๆ ก็ไม่เห็นทะเลไปเลย ชั่วครู่ต่อมามีเสียงสนั่นเหมือนเครื่องยนต์ไอพ่นดังมาแต่ไกล และแล้วกำแพงน้ำสูงตระหง่านก็ผุดโผล่ขึ้นมาจากทะเล มองเห็นไกลออกไป มันเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีโอกาสหนีทันขณะรุกเข้ามาบนเกาะ

    คลื่นยักษ์ซึนามิหอบเอาพื้นทรายจากก้นทะเลขึ้นมาด้วย จึงฝังผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตไปกว่า 2,000 คนคลื่นยักษ์ซึนามิเกิดขึ้นจากแรงไหวตัวที่ทำให้ส่วนที่เป็นแผ่นดินใต้น้ำเลื่อนถล่ม เชื่อว่าคลื่นยักษ์ 1 ใน 3 อาจเกิดจากการทรุดตัวใต้น้ำในลักษณะดังกล่าว

    . พายุร้ายถมเมืองด้วยโคลน
    เวเนซุเอลาประเทศในแถบละตินอเมริกา ต้องผจญกับพายุฝนฟ้าคะนองอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2542 (ค.ศ.1999) โดยร้อยละ 80 ของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีถล่มลงมาภายใน 16 วัน ทำให้เมืองคาราคัส ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างภูเขาชันต้องประสบหายนะ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2542 (ค.ศ.1999)ฝนที่กระหน่ำรุนแรงทำให้ดินถล่มอย่างหนักจนมีผู้เสียชีวิติถึง 50,000 คน
    เชื่อว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้น เนื่องจากแนวพายุเขตร้อนที่อยู่เหนือแถบ หรือใต้เส้นศูนย์สูตรตามฤดูกาลเคลื่อนตัวขึ้นเหนือมากกว่าปกติ แต่ไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเหตุใดพายุจึงเปลี่ยนเส้นทาง
     
  11. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอเชิญชวนผู้กล้า ร่วมภารกิจทายท้า กับการค้นหา
     
  12. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    อ่าน เรื่องที่เกี่ยวข้อง ที่..

    อันสืบเนื่องจาก
     
  13. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    <TABLE width=600 border=0><TBODY><TR align=middle><TD>ขอเชิญชวนผู้กล้า ร่วมภารกิจทายท้า กับการค้นหา
     
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    นักวิทยาศาสตร์เพิ่มระดับเตือนภัยภูเขาไฟมายอนระเบิด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headline-bold>นักวิทยาศาสตร์เพิ่มระดับเตือนภัยภูเขาไฟมายอนระเบิด</TD></TR><TR><TD class=text-normal-th bgColor=#e9e9f3>มะนิลา 7 ส.ค.
     
  15. อิทธิ

    อิทธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +52
    กรรมที่มีมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน และวิถีของโลกกำลังจะให้ผลเร็วๆนี้แล้ว ภูเขาไฟใต้ทะเล จุดที่อยู่ใกล้ๆกับที่ทำให้เกิด ซึนามิถล่มภูเก็ตครั้งก่อนกำลังจะระเบิด ครั้งนี้จะทำให้เกิดซึนามิครั้งใหม่ นำความเดือดร้อนใหเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเป็นอย่างมาก ชตากรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้อง ขอให้โชคดี รอดพ้นภัยพิบัติ
     
  16. อิทธิ

    อิทธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +52
    กรรมที่มีมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน และวิถีของโลกกำลังจะให้ผลเร็วๆนี้แล้ว ภูเขาไฟใต้ทะเล จุดที่อยู่ใกล้ๆกับที่ทำให้เกิด ซึนามิถล่มภูเก็ตครั้งก่อนกำลังจะระเบิด ครั้งนี้จะทำให้เกิดซึนามิครั้งใหม่ นำความเดือดร้อนใหเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเป็นอย่างมาก ชตากรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้อง ขอให้โชคดี รอดพ้นภัยพิบัติ
     
  17. Good_oom

    Good_oom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +562
    เมื่อไฟทั้งสองลูกผ่านไปแล้ว มนุษย์จะพบกับไฟลูกที่สามซึ่งไฟลูกที่สามจะร้ายแรงมากจะทำลายไม่เหลือแม้ผงเถ้าทุลี จากนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะชำระอีกทีหนึ่ง

    รัสปูติน.........


    ใการสิ้นสุดศตวรรษที่นับเป็นการสิ้นสุดยุคอัน รุ้งเรืองของโลกแต่ไม่ใช่การสิ้นสุดของโลก การสิ้นสุดอันรุ้งโรจน์ของโลก ...

    นอสตาดามุส..........
     
  18. boydd

    boydd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เมื่อกี้ เพิ่งดูหนังเรื่องthe day after tomorow
    จบ ตอนสุดท้ายที่คนรอดตายออกมาจากตึก
    มันทำไห้ รู้สึกประหลาดๆ จนร้องให้ออกมาเลย
    ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ อีกไม่นาน ต้องเกิดเหตุการ
    อย่างในหนังเรื่องนี้แน่ๆเลย
    แต่เราก้อพร้อมสู้อยู่แล้ว
    สู้ต่อไป มุซาชิ อิอิ
     
  19. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    รีบฝึกอภิญญากันจะได้มีกองทัพพลังจิต เอาไว้ช่วยโลก บ้าไงก็บ้าตามกันอยู่แล้ว
     
  20. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,815
    ค่าพลัง:
    +84,008
    ไข้วัดนก ภัยใหญ่ที่จะคร่าชีวิตคน ในปี 50-51 ให้ตายกันเกลื่อนเหมือนโรคห่าระบาดในอดีต โปรดระมัดระวังครับ ข่าววงใน
     

แชร์หน้านี้

Loading...