หลวงปู่พิบูลย์ถูกถ่วงน้ำไม่ตาย

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย มากับพระครับ, 26 ตุลาคม 2009.

  1. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    สรุป

    พระกริ่งไทย ตำนานแห่ง พุทธศิลป์ ที่แสดงถึง ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์


    ปฐมบทแห่งตำนานการสร้างพระกริ่งของเมืองไทย ต้นกำเนิดเป็นที่ยอมรับกันมาช้านานว่า พระสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เป็นผู้รจนากำหนดขึ้นทั้งในส่วนพระยันต์ 108 นะปถมัง 14 นะ อันเป็นพระยันต์บังคับ และพิธีกรรมจัดสร้างซึ่งสรรพตำรานี้ ได้ตกทอดมาสู่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์ท่าเตียน) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศ ผู้สถาปนาพระกริ่งปวเรศ อันลือชื่อจากนั้น ตำราก็ตกไปอยู่กับสมเด็จพระพุธมาจารย์(มา) หรือท่านเจ้ามา แห่งวัดสามปลื้ม ผู้สร้างพระชัยวัฒน์ท่านเจ้ามา เมื่อสิ้นสมัยท่านเจ้ามา ผู้สืบทอดตำราก็คือ สมเด็จพระสังฆราช(แพ) แห่งวัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านได้สร้างพระกริ่งอันทรงพุทธานุภาพหลายรุ่นจึงนับได้ว่า ตำราการสร้างพระกริ่งของแผ่นดินสยาม ต้นกำเนิดมีขึ้นในยุคสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยพระอาจารย์ของพระองค์ท่าน ถือได้ว่า ปฐมบูรพจารย์แห่งพระกริ่งไทย ก็คือ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมเด็จพระสังฆราช ในสมัยครั้งอดีตกาล ผู้ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงให้ความเคารพบูชาอย่างยิ่ง
    และสมเด็จพระพนรัตนี้เองที่เป็นผู้ทรงทูลของบิณฑบาตชีวิต ของเหล่าทหารหาญที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่ทันในคราวที่ทรงประกาศพระบรมราชกฤษดาภินิหาร กระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา
     
  2. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    เรื่องกำเนิดพระกริ่งของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ เรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ชีวิต” ปีที่ 5 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2505 เป็นว่ามีสาระประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวเพื่อเชิดชูในเกียรติที่ท่านผู้มีปัญญาเลิศผู้หนึ่งในยุค 25 ความว่า ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่อง
    ฝ่ายพระผงเห็นจะได้แก่พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จ” วัดระฆัง”
    ฝ่ายพระโลหะเห็นจะได้แก่ พระกริ่งของสมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกร หรือที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศ”
    พิธีกรรมการสร้างพระผงแต่โบราณมาต้องทำผงวิเศษ ซึ่งสำเร็จจากสูตรสนธิต่าง ๆ ที่ขีดเขียนลงในกระดาษชนวน แล้วลบถมจนได้ที่ เป็นจำนวนผงที่ต้องการ สำหรับผสมกับการอื่นๆ พิมพ์เป็นองค์พระ
    การสร้างพระโลหะหรือพระกริ่งก็เช่นเดียวกันจะต้องลงเลขยันต์ในแผ่นโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมลงยันต์โดยมากท่านนิยมลงด้วยพระยันต์ 108 นปถมัง14 นะ ว่ากันว่าเป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การสร้างก็ต้องมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ ประกอบ
    พระกริ่งปวเรศนี้ เล่ากันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ ทรงสร้างพระกริ่งในเบื้องปัจฉิมสมัยแห่งพระชนมายุ แต่สร้างคราวละเล็กน้อยเชื่อกันว่ามี 2 คราวเท่านั้น ทรงแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิดและเจ้านาย ข้าราชการประชาชนที่มาสดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศวิหาร
    ฉะนั้นพระกริ่งปวเรศฯ จึงมีน้อยไม่แพร่หลาย ต่อมาเจ้าคุณวัดมกุฏกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองค์ท่าน ไปจัดสร้างขึ้นบ้างก็เป็นจำนวนน้อย ภายหลังตำราไปตกอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรรดิราชวาส ตามปากราษฎรเรียกว่า “ท่านเจ้ามา” เป็นพระเถระเชี่ยวชาญทางสมถภาวนา อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ำลงไปลงตะกรุด ณ ท่าแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดได้ ต่อมาท่านเจ้าก็มาเป็นประสาธน์ตำราแก่พระเทพโมฬี (แพ ติสฺสเทวา) วัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งภายหลังพระเทพโมฬีเจริญสมณศักดิ์โดยลำดับ จนได้ครองสมณอัครฐานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ 8 พระเทพโมฬีไดสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรก และได้สร้างติดต่อกันเรื่อยมาเป็นนิตย์ครั้งละมากบ้างน้อยบ้าง จนถึงดำรงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจำเดิมแต่นั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ต่างสำนักเลียนแบบสร้างพระกริ่งกันแพร่หลาย
    พระพุทธลักษณะของพระกริ่งเป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทาง ประเทศธิเบต และปรากฏในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกันกับเราเรียกว่า “กริ่งปทุม” ประเพณีสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้ และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว
    ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้ว ก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาสมถธุระวิปัสสนาธุระ
    อันที่จริงพระกริ่ง ก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานยิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่งคือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร” แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันว่าดังนี้
    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนี พุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก 8,000 องค์ พระโพธิสัตว์ 36,000 องค์ และพระราชาธิบดี เสนาอำมาตย์ตลอดจนปวงเทพก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉลียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดปรานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธานและคุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ” พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี โพธิสัตว์แล้วจึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า
    “ดูก่อนกุลาบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที 10 นทีรวมกัน ณ โลกธาตุหนึ่งนามว่าวิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ นั้นมีพระพุทธเจ้า ซึ่งมีทรงนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้รู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งทางโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ เป็นสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดา และมนุษย์เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตกาล เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน 12 ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุ
    มหาปณิธาน 12 ประการเป็นไฉน
    1. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ขอให้สรรพสัตว์จึงมีวรกายดุจเดียวกับเรา
    2. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตข์ ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึกส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปราถนา
    3. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้เราได้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนเลย
    4. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรคหากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนิดปฏิปทาแบบมหายาน
    5. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมณ์จรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่างได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อสดับนามแห่งเราก็ขอให้ จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคคตินิรยาบาย
    6. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทรามมีอินทรีย์ไม่ผ่องใสโง่เขลาเบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนาม แห่งเราก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์
    7. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตว์ ปราศจากวงศาคณาญาติอันความยากจนค้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่โสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายในอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติจนที่สุดก็จัดได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
    8. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปราถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปราถนา จนที่สุดก็จะได้สำเร็จแก่โพธิญาณ
    9. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิและให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด
    10. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตารางหรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอัววิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และมีคุณาภินิหาร ของเรา ขอให้สัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว
    11. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ ด้วยความหิวกระหายและประกอบอกุศลกรรม เพราะเหตุแก่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจะได้ประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังให้เขาอิ่มหน่ำสำราญ แล้วจะประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข
    12. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้เขาจักได้สิ่งที่ปราถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆ ฯลฯ
    ครั้นแล้ว พระบรมสาสาคาศากยะมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรีพุทธนี้ มีพระโพธิสัตว์ใหญ่ 2 องค์ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรงแสดงอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี” ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแลไซร้ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้ายศาสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ
    นอกจากนี้ยังทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีบูชาเครื่องนั้น ๆ และทรงประธานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรกฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้
    “นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไสฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺทเต สมฺยกสมฺพุทฺธาย โอมฺ ไภเษชฺเย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”
    ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏสัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ 108 หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ”
    พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิศดารอีกมากแต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่าท่านผู้ชมได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถามหาธารณีนั้นท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งได้และควรนับถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่ง โดยเฉพาะทีเดียว
    เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัดประเทศจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย
    สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้ และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น
    อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ
    ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท” พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์ แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม
    พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญา อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102 แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่าพระกริ่งปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์
    ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้ เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  3. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    ที่มาของพระขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล

    วัดป่าแก้วในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากเพราะเป็นวัดหลวงที่สร้างมาตั่งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่1คือราวในปีพุธศักราช 1900 เป็นที่พำนักของพระอริยะสงค์หลายองค์โดยเฉพะสมเด็จพระพนรัตน์ พระสังฆราชสมัยสมเด็จพระนเรศวร และมีพระเจดีใหญ่ชัยมงคลซึ่งบรรจุพระขุนแผนเคลือบอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดนี้ด้วย
    ตำนานพระขุนแผนเคลือบเริมต้นด้วยเรืองราวของสมเด็จพระพนรัตน์พระมหาเถระแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้ถวายธรรมเทศนาแก่สมเด็จพระนเรศวนมหาราชครั้งทรงชนช้างชนะพระมหาอุปราชแห่งกรุงหงสาวดีขอบิณฑบาตชีวิตของแม่ทัพนายกองเอาไว้
    เนื่องจากในการทำยุธหัตถีครั้งนั้นบรรดานายทหารอันเป็นข้าราชบริพารไม่อาจติดตามช้างพระที่นั่งของพระนเรศวรและพระเอกาทศรสได้ทัน จนช้างพระที่นั่งทั้งสองตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกแต่พระนเรศวรทรงมีพระปรีชากล้าหาญยิ่งนักจึงใด้ประกาศท้าพระมหาอุปราชให้มาทรงทำยุธหัตถีและทรงได้รับชัยชนะ โดยทรงฟันพรมหาอุปราชขาดคอช้างและกองทัพพม่าแตกสลายมื่อกองทัพ
    เทศนาอันระบือลือรั่นของสมเด็จพระพนรัตน์ครั้งนั้นเริ่มขึ้นโดยทรงทูลถามสมเด็จพระนเรศวรว่า เจริญพรสมเด็จบรมพิตรเจ้าพระองค์ทรงได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ต่ออริราชศัตรู แต่เหตุใดแม่ทัพนายกองจึงถูกลงพระอายาเล่า พระเจ้าข้า
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีพระราชดำรัสตอบว่า พวกแม่ทัพนายกองเหล่านี้ มันกลัวข้าศึกมากกว่า มหาบพิตร ปล่อยให้มหาบอพิตรเข้าสู่วงล้อมของข้าศึก ดีที่ชนช้างชนะ หากไม่ประชาราษฎร์จะตกเป็นทาสหงสาวดีอย่างอัปยศ

    สมเด็จพระพนรัตน์เทศนาต่อไปว่าเจริญพรสมเด็จบอพิตรเจ้าชัยชนะของพระองค์ครั้งนี้ยิ่งใหญ่นักเปรียบประดุจชัยชนะขององค์พระสำมาสำพุทธเจ้าที่มีต่อพระยามาราธิราช ในครังนั้นพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางทวยเทพมหาศาลแต่เมื่อพยามารยกทัพมาขันไล่ไปเสียจากโพธิ์บัลลังก์
    ทวยเทพก็ปลาสนากันหนีหายไปด้วยความตกใจกลัว
    ปล่อยให้พระองค์ทรงประจันหน้ากับพยามารเพียงลำพัง ต่อเมื่อทรงได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ต่อพระยามาราธิราชแล้ว
    ทวยเทพก็กลับมาเฝ้าแหน
    ยังให้ชัยชนะของพุทธองค์ในครั้งนั้นได้รับการเทิดพระเกียรติยศ ระบือลือรั่นไปทั้งสามโลกชะลอยบุญญาธิการของสมเด็จบรมบพิตรเจ้าจะดลบันดารให้พระองค์ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่มีพระเกียรติยศดุจดั่งพระพุทธองค์ข้าราชบริพารแม่ทัพนายกองไม่อาจติดตามช้างทรงของพระองค์ได้ทันจนกระทั่งทรงได้รับชัยชนะในการยุธหัตถีครั่งนี้ ขอบรมบอพิตรเจ้าอย่าได้ทรงพระพิโรธพวกนี้เลยอาตมาขอบิณฑบาตชีวิตพวกเขาไว้อีกสักครั้งเพื่อให้รับราชการเป็นข้าพระบาทสืบต่อไป
    คำเทศษนาอันเติมไปด้วยโวหารอุปมาอุปมัยอันมีความหมายลึกซึ้งของสมเด็จพระพนรัตน์ ทำให้สมเด็จพระนเรศวรพระเป็นเจ้าทรงคลายพระพิโรธยกโทษให้พวกแม่ทัพนายกอง แต่ให้ไปกระทำการแก้ตัวโดยการยกทัพไปตีพวกเขมรที่ชอบยกทัพมาลอบโจมตีทัพไทยทุกครั้งที่มีศึกพม่า นอกจากจะแสดงธรรมเทศนาได้ด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์จนสามารถช่วยให้บรรดาแม่ทัพนายกองลอดชีวิตจากพระอาญาดังกล่าวแล้ว สมเด็จพระพนรัตน์ยังได้เป็นองค์ประธานในการสร้างพระขุนแผนเคลือบ เพื่อบรรจุในพระเจดีย์ใหญ่ชัยมงคลซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงทำยุธหัตถีได้รับชัยชนะพระมหาอุปราชแห่งเมียนร์ม่า วึ่งต่อมาวัดป่าแก้วได้เปลื่ยนชื่อเป็นวัดใหญ่ชัยมงคลด้วย
     
  4. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    วัดใหญ่ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณนอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประวัติความเป็นมาของวัดใหญ่ชัยมงคล พิจารณาจากหลักฐานสำคัญ อันได้แก่พงศาวดารหลายฉบับ ไปจนถึงตำนานเก่าแก่ สันนิษฐานได้ว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยอโยธยา ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่าวัดพญาไทย
    จนถึงสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายหลังสงครามยุทธหัตถีกรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราช มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง ได้สถาปนาวัดพญาไทยเป็นที่ประทับของพระสังฆราชฝ่ายขวา ซึ่งเป็นฝ่ายอรัญวาสีหรือที่เรียกกันว่าฝ่ายวัดป่าแก้ว พระสังฆราชวัดป่าแก้วจะมีชื่อยศทางสมณศักดิ์ว่า สมเด็จพระพนรัตน์ (บ้างเรียกสมเด็จพระวันรัตน์ อันมีความหมายถึงพระรัตนตรัยที่รุ่งเรืองอยู่ในป่า) สมเด็จพระพนรัตน์พระองค์นี้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และยังโปรดให้สร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่สวมครอบทับพระเจดีย์องค์เล็กที่มีอยู่แต่เดิม เรียกขานกันต่อ ๆ มา ว่า ชัยมงคลเจดีย์ หรือเจดีย์ที่เป็นอนุสรณ์ถึงสงครามคราวยุทธหัตถี

    นอกจากนี้ตามตำนานหรือเรื่องเล่าเก่าแก่ครั้งสมัยกรุงศรี ยังระบุว่าปลายยอดพระเจดีย์ประดับด้วยลูกแก้วสี ที่พระเจ้ากรุงจีน ซึ่งถือเป็นมหาอำนาจของโลกในเวลานั้นถวายมาให้ ประกอบกับหลักฐานทางพงศาวดาร คราวจีนเกิดสงคราม สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจัดกองทหารอาสาพระเจ้ากรุงจีนเข้าช่วยรบ แต่ถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
    พระขุนแผนเคลือบซึ่งเป็นพระเครื่องอันดับ ๑ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอาจจะเป็นอันดับ ๑ ของประเทศในระยะเวลาอันใกล้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่าเป็นพระที่มหาราชผู้กู้ชาติเป็นผู้สร้าง คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชโดยมีสมเด็จพระพนรัตน์อาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นเจ้าพิธี โดยได้รับอิทธิพลจากจีนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบทางศิลปและวิทยาการชั้นสูงที่สุดในเวลานั้น

    ความงดงามทางศิลปของพระขุนแผนเคลือบทั้ง ๒ พิมพ์ ถือเป็นงานหนักสำหรับผู้มีพุทธิปัญญาเท่านั้นที่จะจรรโลง และสร้างสรรค์งานศิลปเช่นนี้ ซึ่งงานศิลปที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปกับศาสนาได้ลงตัวนั้น เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ผู้ชำนาญทางศิลปทั่วโลก ล้วนเห็นว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่างานศิลปใด ๆ
    พระขุนแผนเคลือบ เป็นปฏิมากรรม ซึ่งแสดงให้เห็นศิลปที่เน้นลายเส้นหนักเบา สร้างความรู้สึกเป็นหลัก มีความพริ้วไหวแบบธรรมชาติ สร้างความสมดุลย์สวยงามตามหลักศิลปแบบนามธรรม ซึ่งร่วมสมัยเดียวกับจิตรกรรมแบบพู่กันจีน แต่คงความเป็นเอกลักษณ์แบบไทยไว้โดยสมบูรณ์ จัดเป็นต้นแบบของพระพิมพ์ขุนแผนที่ได้จัดสร้างกันต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

    ส่วนกรรมวิธีการสร้าง ใช้วัตถุดิบภายในประเทศอันได้แก่ดินขาว ใช้เทคนิคการเคลือบชั้นสูงของจีน แบบเดียวกับถ้วยชามสังคโลก ถือเป็นพระกรุเพียงกรุเดียวเท่านั้นที่มีการเคลือบด้วยน้ำยา ซึ่งเป็นวิทยาการสูงสุดในสมัยนั้น

    พระขุนแผนเคลือบสันนิษฐานว่า ได้แตกกรุออกมาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา โดยมีผู้ลักลอบขุดกรุหาสมบัติหลายครั้งหลายหน จนเมื่อถึงพ.ศ. ๒๔๗๘ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดใหญ่ชัยมงคลเป็นโบราณสถานของชาติ และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงเริ่มมีพระสงฆ์เข้าไปจำพรรษาในวัดใหญ่ชัยมงคล โดยมีพระครูภาวนารังสี (เปลื้อง เริงเชียร) เป็นผู้บูรณะปฏิสังขรณ์กุฏิ ศาลา รวมทั้งสร้างกุฏิเพิ่มเติมแทรกอยู่ในบริเวณอุโบสถและวิหารด้วย ในเวลานั้นพระครูเปลื้องได้ประสานงานไปทางกรมศิลปากร เข้ามาบูรณะเจดีย์ จึงได้ขุดเจาะเพื่อสำรวจโครงสร้างและความแข็งแรงของรากฐาน ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ท่ามกลางปัญหาและอุปสรรค เนื่องจากมีข่าวลือว่ามีการลักขุดหาสมบัติในองค์เจดีย์ประธาน ได้พระพุทธรูปทองคำจากใต้ฐานกลางองค์เจดีย์แล้วเปิดขุดจากกลางองค์เจดีย์บนชั้นฐานทักษิณกับเปิดเจาะส่วนฐานล่างสุดด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังกลางเจดีย์

    การขุดค้นพบกำแพงซึ่งสร้างหลอกบังไว้ในยุคหลัง สันนิษฐานเกิดจากการจงใจอำพรางของนักล่าสมบัติ เมื่อทุบผนังนั้นออกพบเป็นช่องทางสำหรับการเข้าไปยังกลางองค์พระเจดีย์ได้ ส่วนด้านบน มีการตรวจสอบจากส่วนกลางองค์พระเจดีย์ลงไปพบว่าตรงกลางองค์พระเจดีย์นั้นได้มีการลักลอบขุดไปแล้วและได้นำเอาเศษอิฐหักกากปูนที่ขุดขึ้นมานั้นกลบลงไปตามเดิม ระหว่างที่นำเอาเศษอิฐหักกากปูนขึ้นมานั้น ปรากฏว่าได้พบร่องรอยของพระเจดีย์เก่าแก่ หลงเหลืออยู่ให้เห็นตั้งแต่ส่วนยอดลงไปจนถึงส่วนฐาน ร่องรอยดังกล่าวนั้นเป็นลักษณะของการลักขุดผ่ากลางองค์พระเจดีย์องค์เล็กนั้นเลย เมื่อมีการเปิดร่องรอยของการทับถมของเศษอิฐฯ ดังกล่าวไปเรื่อยๆ จนถึงระดับพื้นดินส่วนฐานขององค์พระเจดีย์ประธานก็ได้พบอุปกรณ์การลักลอบขุดหลงเหลืออยู่ อาทิ ท่อนไม้ไผ่ที่ทำไว้สำหรับปีนขึ้นลง เทียนไข และที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือได้พบกรุหินชนวน ขนาดประมาณ ๑.๐๐ ม. x ๑.๐๐ ม. สูง ๑.๐๐ เมตร ฝากรุแตกเป็นช่อง แต่คนไม่สามารถลงไปได้ ได้ตรวจดูแล้วไม่พบศิลปวัตถุใดๆ ในกรุดังกล่าว คงพบแต่หัวกะโหลกลิง ๑ หัว อยู่ในกรุนั้น ขณะที่ดำเนินการขุดค้นตรวจสอบนี้ ได้มีกลุ่มคนในวัดใหญ่ชัยมงคล พยายามขัดขวางการทำงานของกรมศิลปากรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและกรมศิลปากรจึงมีมติร่วมกันเห็นชอบให้ยุติการขุดค้น แล้วจึงอัดฉีดน้ำปูนพร้อมทั้งเทคอนกรีตเสริมเหล็กกลบหลุมเพื่อมิให้มีการขุดค้นอีกต่อไป

    แม้บันทึกจากเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรได้ระบุเช่นนั้น แต่การบูรณะเจดีย์วัดใหญ่เมื่อปี ๒๔๙๙-๒๕๐๐ เป็นที่รู้กันว่าได้พบพระขุนแผนเคลือบจำนวนหนึ่ง จนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการพบพระขุนแผนเคลือบที่วัดเชิงท่า จังหวัดนนทบุรี และเมื่อ วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๐ มีพระขุนแผนเคลือบแตกกรุออกมาอีกครั้ง ที่วัดบ้านกลิ้ง อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวนสามสิบกว่าองค์แต่ในจำนวนนี้มีพระแตกหักเสียหายไปหลายองค์ ซึ่งพระทั้ง ๒ กรุล้วนเป็นพระสร้างขึ้นที่วัดใหญ่ชัยมงคล ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทั้งสิ้น

    พระขุนแผนเคลือบ เป็นพระกรุเพียงกรุเดียวที่สร้างโดยกษัตริย์ที่ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นมหาราชที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทั้งยังเป็นพระที่มีคุณค่าทางอายุผนวกเข้ามา ซึ่งถือเป็นโบราณวัตถุอายุเกินกว่า ๔๐๐ ปี และสร้างโดยวิทยาการชั้นสูง พระขุนแผนเคลือบจึงเป็นพระเครื่องที่นักสะสมพระชั้นนำ จำต้องเสาะหามาไว้ในครอบครอง
     
  5. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    สวัสดี ครับ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน กรุวัดกร่าง เป็นกรุพระเครื่องที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรี และที่มีคนรู้จักกันดีก็คือพระขุนแผนของกรุนี้ พวกผู้ชายส่วนใหญ่ก็ชอบตัวละครที่ชื่อขุนแผน เนื่องจากว่าเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมขลังและเจ้าชู้ พวกหนุ่มๆ หลายๆ คนชอบเสาะหาพระขุนแผนไว้ห้อยคอ ในสมัยก่อนถ้าใครใส่พระขุนแผนก็จะถูกล้อเอาว่าเป็นพวกเจ้าชู้ และพระขุนแผนกรุที่มีชื่อเสียงมากๆ ก็ได้แก่ พระขุนแผนกรุวัดใหญ่ไชยมงคล อยุธยา พระขุนแผนไข่ผ่าของกรุวัดพระรูป และพระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี เป็นต้น

    พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง นับเป็นพระกรุที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว วัดนี้ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีประจันต์ เป็นวัดใหญ่พอสมควร สันนิษฐานว่า สร้างมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา องค์พระเจดีย์ที่พบพระวัดบ้านกร่างองค์เดิมนั้นพังทลายไปนานแล้ว ปัจจุบันได้สร้างขึ้นใหม่คร่อมองค์เดิม พระกรุวัดบ้านกร่างแตกกรุออกเมื่อใดไม่มีใครทราบแน่นอน คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2440 เห็นพระวัดบ้านกร่างกองสุมเป็นพะเนินที่โคนต้นพิกุลหน้าวิหารหลังเก่า สันนิษฐานว่าองค์พระเจดีย์คงพังทลายลงมา พระเณรจึงช่วยกันรวบรวมพระเครื่องมากองไว้ที่ใต้ต้นพิกุล ในสมัยนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนสนใจใดนัก

    ต่อมามีชาวเรือที่เป็นคน ต่างถิ่น นำเอาสินค้าร่องเรือมาค้าขายที่สุพรรณฯ จอดพักเรือที่ท่าน้ำหน้าวัด บางคนก็ขึ้นไปเที่ยวในวัดบ้างกร่างและเก็บเอาพระวัดบ้านกร่างติดตัวกลับไป กันมาก ชาวบ้านแถบนั้น มีบางคนเอาพระไปเก็บไว้คนละพานสองพาน เพื่อฝูงญาติมิตรต่างถิ่นไปมาหาสู่ก็แจกพระไปคนละองค์สององค์ ต่อมามีผู้นำพระบ้านกร่างติดตัวไปแล้วไปเกิดถูกทำร้ายแต่ไม่เป็นอะไร จึงเกิดความนิยมกันมากขึ้น เกิดการเสาะหาพระบ้านกร่างกันมากขึ้นเป็นลำดับ พระที่กองไว้ที่วัดก็อันตรธานหายไปหมด

    พระกรุวัดบ้านกร่างนี้ใครเป็นผู้สร้างนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่จากการสันนิษฐานกันว่าเป็นพระที่สมเด็จพระนเรศวรฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถสร้างไว้ เนื่องจากเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรฯ กรีฑาทัพผ่านมาทางอำเภอศรีประจันต์ เพื่อรบกับพม่า หลังจากทรงกระทำยุทธหัตถีชนะแล้ว คงจะเดินทัพกลับ และอาจหยุดพักที่ตรงบริเวณนี้ก็เป็นได้ และพระวัดบ้านกร่างพิมพ์ขุนแผนอกใหญ่ก็มีลักษณะรูปทรงเหมือนกับพระขุนแผน เคลือบกรุวัดใหญ่ไชยมงคลมากจนเกือบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน และก็เป็นที่รู้กันว่าพระขุนแผนเคลือบนั้น สร้างโดยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว บรรจุไว้ในเจดีย์วัดใหญ่ไชยมงคล เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะในครั้งนั้น และเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารหาญที่เสียชีวิตในพระราชสงครามครั้งนั้น อีกประการหนึ่งก็คือพระที่เป็นทรงคู่แบบพระวัดบ้านกร่างนั้นมีที่นี่ที่ เดียว ก็น่าจะมีความหมายถึง สมเด็จพระนเรศวรฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทางด้านศิลปะก็เป็นศิลปะแบบอยุธยาตอนกลาง ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระนเรศวรฯ พอดี จึงเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าพระกรุวัดบ้านกร่างเป็นพระที่สมเด็จพระนเรศวรฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงโปรดให้สร้างขึ้นในครั้งนั้น

    พระกรุวัดบ้านกร่างมีจำนวนองค์พระและพิมพ์ต่างๆ มากมาย พอจะรวบรวมได้ดังนี้ พระขุนแผนพิมพ์อกใหญ่ พระขุนแผนพิมพ์อกเล็ก พิมพ์ทรงพลใหญ่ พิมพ์ทรงพลเล็ก พิมพ์พระประธาน พิมพ์ซุ้มเหลือบ พิมพ์เถาวัลย์ พิมพ์ใบไม้ร่วง พิมพ์ซุ้มประตู พิมพ์หน้าเทวดาซุ้มเดี่ยว-ซุ้มคู่ พิมพ์หน้าฤาษี พิมพ์หน้านาง พิมพ์แขนอ่อน พิมพ์ใบมะยม พิมพ์ใบพุทรา พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ก้างปลา พิมพ์ฐานกระหนก พิมพ์ฐานหมอน พิมพ์เศียรโต และพิมพ์บ้านกร่างคู่ยังแยกออกได้อีกหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์หน้ายักษ์ พิมพ์หน้าเทวดาซุ้มเดียว-ซุ้มคู่ พิมพ์เศียรโต พิมพ์หน้าแก่ พิมพ์หน้าฤาษี พิมพ์หน้าหนุ่ม พิมพ์หน้ายาว พิมพ์หน้ากลม พิมพ์อกครุฑ พิมพ์หน้ามงคล และพิมพ์สองปาง เป็นต้น

    พระกรุวัดบ้านกร่างนั้นมีประสบการณ์ในด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาดสูง ในสมัยก่อนคนมีพระบ้านกร่างนั้นจะห่วงกันมาก ขนาดเอาวัวคู่หนึ่งมาแลกพระบ้านกร่างคู่หนึ่งองค์เขายังไม่ยอมแลกด้วยเลย เรื่องประสบการณ์นั้นเคยมีอดีตนายอำเภอศรีประจันต์ นั่งเรือหางยาวแล้วเกิดเรือคว่ำ ใบพัดเรือฟันเอานายอำเภอผู้นั้น แต่ปรากฎว่าไม่เป็นอะไรเลย อีกเรื่องหนึ่งที่อำเภอเดิมบางนางบวชมีการปล้นกัน และมีคนถูกยิงด้วยเอ็ม 16 จนล้มคว่ำ แต่ไม่เข้าเลยมีแต่รอยไหม้เป็นจุดๆ เท่านั้น

    พระกรุวัดบ้านกร่างในปัจจุบันมีสนนราคาสูงมากขึ้นจากเดิมมากครับ และในวันนี้ผมได้นำรูปพระขุนแผน กรุบ้านกร่างพิมพ์เทวดา (หน้าใหญ่) สภาพสวยของจ่าเบิร์ด เพชรบุรี มาให้ชมกันหนึ่งองค์ครับ

    ด้วยความจริงใจ

    แทน ท่าพระจันทร์
     
  6. กำยาน

    กำยาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +619
    อ่านละพี่เอกจัง พิมพ์เก่งจริงๆ
     
  7. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    ความเป็นมาบางส่วนของพระยันต์นเรศวรปราบหงสา

    "พระยันต์" นี้ได้บันทึกอยู่ในสมุดข่อยวัดประดู่ทรงธรรม อาตมาไม่ทราบว่าในชาติอดีตเกิดมากรุงศรีอยุธยา กรุงสยาม เพราะเป็นลูกที่นี่ อาจะมีเชื้อสายหรือจะไปเทกระโถนให้กับสมเด็จพระนพรัตน์อดีตชาติก็ไม่รู้ถึง จะต้องมาสร้างตรงนี้ขึ้น ทำไมจึงเรียกว่า "ยันต์ปราบหงสา" เพราะยันต์มีเป็นร้อยๆ แต่ทำไมมาเอาตรงนี้


    สมเด็จพระนพรัตน์คิดว่าดีมันสมควรที่จะคู่ควรกับพระยามหากษัตริย์ถึงเอา ยันต์อันนี้ลง เกิดชนะศึกขึ้นมาชาวบ้านชาวเมืองจึงตั้งยันต์อันนี้ตามตำรับวัดประดูทรงธรรม ว่ายันต์ปราบหงสา ยันต์มหาปราบ หรือปราบหงสาวดี ครั้งนั้นตำราอันนี้ก็เผยแพร่ออกไปคนก็มาเรียนกัน สมัยก่อนวัดประดู่ทรงธรรมเป็นเมืองกตักศิลาใครก็มาเรียนวิชาอาคม หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นต้น ซึ่งตำรับตำราเก่าๆ อยู่ที่นี่ก็มีการเผยแพร่กันไป


    พระยันต์ที่ทำนี้เป็นพระยันต์ค่าคนเมืองมาก มันมีความเป็นมากับพระมหากษัตริย์กับการกู้ชาติบ้านเมือง มียันต์มากมาย ทำไมต้องเอายันต์นี้ลงมันมีความหมาย ซึ่งก็ได้อ่านดูแล้วเป็นยันต์ของสูง จึงนำยันต์ตรงนี้มาลงให้เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ยันต์นี้ก็เป็นยันต์ค่าคนเมือง มีความหมายว่า ค่าคนเมืองคือหาค่าไม่ได้ จะเอาอะไรมาแลกตรงนี้คงไม่ได้เพราะยันต์นี้เป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้กับสมเด็จ พระนเรศวรทรงชนะศึก ให้เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่คาดตะกรุดหรือมียันต์ เพื่อมีกำลังใจหึกเหิมแคล้วคลาดด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น อุกฆะมโนนิธิเกิดขึ้น ก็เป็นยันต์ที่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์เชื่อมั่น ถ้าไม่มีตรงนี้แล้วทหารก็อ่อนท้อเข้าไปก็ตายอย่างเดียว


    เมื่อมีตรงนี้ขึ้นมามันยิ่งกว่าเมือง จึงเขียนว่า "พระยันต์ค่าควรเมือง หรือชื่อว่าพระนเรศวรปราบหงสา" จึงมีความเป็นไปเป็นมาของพระยันต์ ซึ่งเป็นตำรับตำราของวัดประดู่ทรงธรรมเป็นกรุวิชาของกรุงศรีอยุธยา จึงได้ร่ำเรียนศึกษาจากครูบาอาจารย์และเก็บรักษาตำรานี้ไว้ เห็นว่าเป็นยันต์ค่าควรเมือง ถ้าปล่อยนิ่งเฉยก็คงจะสาบสูญหายไป และเทิดทูนคุณของสมเด็จพระนเรศวรเป็นค่าควรเมืองเป็นยันต์สำคัญอย่างยิ่ง มีความสำคัญไปมาจึงเอาพระยันต์อันนี้มาสร้างเป็นตะกรุดขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนเป็น อนุสสติ เป็นกฤษดานุภาพรำลึกถึงพระนเรศวรทรงกู้ชาติ และให้รำลึกถึงสมเด็จพระนพรัตน์ แห่งวัดป่าแก้ว ทุกคนที่ถูกลืม บางคนรู้จักสมเด็จพระนเรศวรแต่ไม่รู้จักสมเด็จพระนพรัตน์


    สมเด็จพระนพรัตน์ มีส่วนสำคัญในการดูดวงฤกษ์ยามให้กับสมเด็จพระนเรศวรในการปราบข้าศึก ทำไมคนสมัยก่อนจึงเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังเพราะมีมาตั้งแต่สมัยขอม เรื่องอย่างนี้มีความเชื่อตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาแล้ว แม้แต่กลองไพรีในสนามรบก็ต้องลงยันต์ ธงชัยเฉลิมพลก็ต้องลงยันต์ ตะกรุดคอช้าง คอม้า ก็ต้องมี คนที่จะเป็นแม่ทัพนายกองได้ต้องเรียนตำรับตำราพิชัยสงคราม
    ที่มา พระครูสังฆรักษ์ คุณสาโร (อาจารย์นพววรณ) เจ้าอาวาสวัดเสนานิมิต ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
     
  8. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    พิมพ์อะไร ไปก๊อปเค้ามาวางให้อ่านต่างหาก แล้วเด๋วค่อยพิมพ์สรุปให้ พิมพ์เล่าทั้งหมดไม่ไหวหรอก ๓ วันยังไม่หมด
     
  9. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=1><TBODY><TR><TD class="text6 style11" vAlign=center bgColor=#fead0b height=23>
    วัตถุมงคลสานตำนานพระเวท หลวงพ่อเจือ สร้าง รุ่นรักชาติ​



    </TD></TR><TR><TD class=text6 vAlign=top width="100%" bgColor=#ffffcc height=117><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>พุทธศักราช 2310 ในขณะที่กรุงศรีอยุธยากำลังรบกับข้าศึกอยู่ สมุดข่อยโบราณจากหลายวัดภายในพระนครศรีอยุธยา ได้ถูกลำเลียงไปเก็บรักษาไว้ ณ วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นเหตุให้ตำราพระเวทและพิชัยสงครามสำคัญไปเจริญงอกงามอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว

    โดยเฉพาะในสมัย "หลวงปู่บุญ ขันธโชติ เป็นเจ้าอาวาสนั้น สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ถึงกับเสด็จไปศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาอยู่บ่อยๆ พอสิ้นยุคสมัยหลวงปู่บุญ องค์ความรู้เหล่านี้ได้ถูกสืบทอดผ่าน หลวงปู่เพิ่ม จนมาสู่ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้วรูปปัจจุบัน

    "หลวงปู่เจือ" ท่านได้ตั้งใจที่จะอนุรักษ์พระเวทวิทยาการ และตำรับพิชัยสงครามต่างๆ เหล่านี้ให้กลับคืนสู่ยังดินแดนต้นกำเนิด จึงได้เมตตาการจัดสร้าง "วัตถุมงคลรุ่นรักชาติ"ขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย พระกริ่งนเรศวรชัยคล ทั้งขนาดบูชาและขนาดห้อยคอ, พระขุนแผนรักชาติ เนื้อไม้รักแกะและเนื้อผง, ตะกรุดนเรศวรปราบหงสา และมีดปราบหงสา



    ได้จัดพิธีบวงสรวงเททอง และมหาพุทธาภิ เษก อย่างใหญ่ร่วมกับ พระครูพิสุทธิ์บุญสาร (แก่น) เจ้าอาวาสวัดใหญ่ชัยมงคล และสุดยอดพระเกจิอาจารย์สายจังหวัดอยุธยาทั้งหมด ณ วัดใหญ่ชัยมงคล (วัดป่าแก้ว) ที่สถิต สมเด็จพระพนรัตน์ (สมเด็จพระสังฆราช) ฝ่ายอรัญวาสีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนับถือมาก ซึ่งท่านเป็นผู้สร้างพระขุนแผนและตะกรุดปราบหงสาถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อีกทั้งท่านยังเป็นต้นตำรับนวโลหะที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ) แห่งวัดสุทัศน์ฯ ได้นำมาสร้างพระกริ่งอันโด่งดังจนถึงยุคปัจจุบัน

    วัตถุมงคลรุ่นรักชาตินี้ นับได้ว่าเป็นรุ่นแรกที่ได้มีการจัดสร้างอย่างถูกต้องตามตำรับของสมเด็จพระพนรัตน์ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพระสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จัดสร้างและปลุกเสกตามขั้นตอนโบราณทุกประการ คือ บวงสรวงจัดสร้างวันกองทัพไทย 18 ม.ค.2551 หลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว และพระครูพิสุทธิ์บุญสาร(แก่น) เจ้าอาวาสวัดใหญ่ชัยมงคล ร่วมเป็นประธานในพิธีบวงสรวง กล่าวขออนุญาตต่อดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระพนรัตน์ กดพิมพ์พระขุนแผนรักชาติเป็นปฐมฤกษ์ ณ บริเวณพระเจดีย์ใหญ่วัดใหญ่ชัยมงคล

    เททองและมหาพุทธภิเษกเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2551 โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต อาทิ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล และพระครูพิสิทธิ์บุญสาร(แก่น) เจ้าอาวาสวัดใหญ่ชัยมงคล ยอดพระเกจิอาจารย์สายอยุธยา หลวงปู่ทิม วัดพระขาว, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน, หลวงพ่อรวย วัดตะโก, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ, หลวงพ่อเสาร์ วัดดอนหญ้านาง, หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้, หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม, หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรย์, หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม

    พิธีชัยมงคลาภิเษกสมโภชวันจักรีที่ 6 เม.ย. 2551 โดยพระเกจิอาจารย์มงคลนาม คือ หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อสิริ, หลวงปู่สวัสดิ์ วัดศาลาปูน, หลวงปู่ดี วัดเทพพากร รวมเป็น "อวยพรสิริสวัสดี" ทำการเป่ายันต์ปราบหงสา เพื่อปราบทุกข์โศก โรคภัย เสนียดจัญไร ศัตรูหมู่มาร สู่วัตถุมงคลจนเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้บูชา จากนั้นจึงได้ทำการเป่ายันต์สู่ผู้ร่วมพิธี

    สนใจร่วมบุญบูชาวัตถุมงคลรุ่นรักชาติได้ที่วัดอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา และที่วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร หรือธนาณัติสั่งจ่าย พระสมพงษ์ สมจิตโต วัดท่าเสา อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร

    สดจากหน้าพระ
    อนุชา ทรงศิริ

    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ : ข่าวสด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  10. ซักวันจะคิดออก

    ซักวันจะคิดออก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,556
    ค่าพลัง:
    +6,328
    จำได้ว่าตอนนั้น เช่าตะกรุด กะ พระกริ่งมา ไม่รู้หายไปไหนแล้ว

    เช่าไว้ตั้งแต่เมื่อตอนที่ ออกให้บูชาใหม่ๆเลย ไว้ต้องไปหามาห้อยซะแล้ว
     
  11. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    ดูเหมือนคนอ่านเด๋วนี้สมาธิสั้น อ่านอะไรยาวๆไม่อยากอ่าน
     
  12. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    ความเข้าใจที่ผิดกันมาตลอดเกี่ยวกับพระขุนแผน

    พระขุนแผนนั้น ความจริงองค์พระหาใช่ตัวขุนแผน และ ฐานบัวที่รองประทับนั่งนั้นก็หาใช่กุมารทองนอนหงายไม่ แต่พระขุนแผนแท้จริงแล้วคือพระพุทธชินราช แห่งเมืองพิษณุโลก สถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชสมภพและพระองค์ก็ทรงศรัทธาในพระพุทธรูปองค์นี้ ดังนั้นในขณะที่พระองค์ทรงนำทัพเข้าต่อสู้กับพม่าที่เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ขณะนั้นได้พักทัพที่อ.ศรีประจันต์และได้สร้างพระเนื้อดินเผาขึ้นให้ทหารติดตัวเข้ารณรงค์สงคราม เมื่อรบเสร็จแล้วก็ได้เอาพระมารวมกันบรรจุลงกรุไว้ในที่สุด เนื่องจากคนสมัยโบราณถือว่าพระพุทธเป็นของสูงจะไม่นำติดตัวเหมือนเครื่องราง เพราะในบางครั้งอาจเผลอเข้าใต้ถุนเรือนหรือรอดใต้หัวสะพาน ดังนั้นพระขุนแผนจึงมิใช่พระทางเจ้าชู้อย่างที่เข้าใจกัน
     
  13. มากับพระครับ

    มากับพระครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,153
    ค่าพลัง:
    +1,836
    ดังนั้นผู้ที่ได้รับพระขุนแผนรักชาติไปอย่าหวังเอาไปใช้ทางเจ้าชู้นะครับไม่ได้ผลแน่นอน พระขุนแผนหลวงปู่เจือรุ่นรักชาตินี้ออกทางคุ้มครองป้องกันภัยมีชัยชนะต่อศัตรูหมู่มารอายุยืนยาวนานในพระศาสนา ดีทางมหาอำนาจ เหมาะแก่ผู้ที่รับราชการและคนที่ทำงานในหน่วยงานเอกชนที่ต้องการความก้าวหน้าปกป้องคุ้มครอง
     
  14. Reflect

    Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    มาแล้วหายไปไหนกันหมดว่าจะมาเล่าอะไรให้ฟัง วันนี้จะเล่าให้ฟังซักเล็กน้อยแล้วกัน ขณะนี้ "พวกนาธาน(ตอแหล)" ล่าสุดมีการสร้างภาพอีกแล้วสร้างกระแสเป็นคนดีของสังคมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจาก disaster ไม่รู้เงินจะถึงผู้ตกทุกข์ได้ยากจริงๆหรือเข้ากระเป๋าตัวเอง ส่วนอีกกลุ่มก็ใช่ย่อยเหมือนกันรู้สึกว่าจะมีการจัดรายการ navigator เรียกเรตติ้งอีกแล้ว และขาประจำที่ขาดไม่ได้เลยรายนี้เค้าจัดรายการ "โกหกรายวัน" ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกแล้ว ไม่เข้าใจนะคนพวกนี้ต่างคนต่างมาจากคนละที่แต่ทำไม๊ทำไมต้องมาร่วมกันหลอกลวงประชาชนเหมือนกันด้วย แบบนี้เค้าเรียกว่า คน...........(กรุณาเติมคำในช่องว่าง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  15. Def~devill

    Def~devill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    342
    ค่าพลัง:
    +657
    ไม่ต้องห่วงครับ เล่ามาเลยๆๆ คนรอฟังเยอะแยะครับ
    แต่ถ้าไม่มีใครฟัง ผมก็คนหนึ่งละครับที่จะฟัง เล่ามาเลยครับ...
     
  16. ซักวันจะคิดออก

    ซักวันจะคิดออก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,556
    ค่าพลัง:
    +6,328
    ครับเข้ามายืนยันอีกหนึ่งเสียง ว่าขุนแผนของเก่า ของกรุ ไม่มีเมตตา ต่อให้มีก็น้อยมาก
    ต้องเด่นคงกระพันเท่านั้น มหาอุตม์ยังไม่ค่อยมีเลย
    เพราะสมัยก่อน ฟันกันอย่างเดียว ไม่มีปืนเท่าไหร่ เลยไม่จำเป็นต้องมีมหาอุตม์
     
  17. Reflect

    Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    ไปอ่านเจอมา ฝากให้เป็นแง่คิด

    ถูกตุ๋น-ถูกทำอนาจาร
    [​IMG]
    แม้ปัจจุบันจะมีสารพัดสิ่งที่ใช้เสริม-เติม-แต่งให้ผู้หญิง ดูสวย-ดูดี-ดูมีความน่าสนใจ อีกทั้งสังคมไทยยุคนี้ก็เปิดกว้างมากขึ้น สำหรับการแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง แต่กระนั้น...กับความต้องการมี “เสน่ห์” ดึงดูดใจชายของ หญิงไทยจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ต้องการให้ชายมารัก-มาเป็นสามี และที่ต้องการมิให้ชายอันเป็นคู่รัก-เป็นสามี ตีจากไปเป็นอื่น ก็ยังยึดโยงอยู่กับ “พิธีกรรมทางไสยศาสตร์” แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคไอที-ยุคไฮเทค ก็ตาม

    “หมอเสน่ห์” อาชีพดึกดำบรรพ์...จึงยังคงมีอยู่

    และ...บ่อยครั้งที่มีข่าว “ต้มตุ๋น-ละเมิดทางเพศ”

    อย่างเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวว่าที่ จ.อ่างทอง ทางตำรวจได้เข้าจับกุมชายวัย 40 ปี รายหนึ่งที่ตั้งตนเป็น “หมอเสน่ห์” หลังจาก มีหญิงสาวรายหนึ่งเข้าแจ้งความว่าไปให้ชายผู้นี้ทำเสน่ห์แล้ว “ถูกลูบคลำหน้าอกและอวัยวะเพศ” โดยอ้างว่าเสน่ห์จะได้ขลัง ?!? อีกทั้งหญิงสาวรายนี้ยังเล่าให้ตำรวจฟังด้วยว่ามีเพื่อนหญิงที่เข้าทำเสน่ห์ที่นี่บางรายถึงขั้นถูกบังคับร่วมเพศหรือ “ถูกข่มขืน” ซึ่งจากการตรวจค้นทางตำรวจพบรูปผู้หญิงที่บ้านชายผู้นี้เป็นลัง ๆ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นรูปของผู้หญิงที่เคยมาให้ทำเสน่ห์ โดยลูกค้านั้นแม้แต่นางงาม-ดาราก็ยังมี ?!?

    นี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างว่าหมอเสน่ห์ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ยังคงมีหญิงไทยเชื่อเรื่องการ “ทำเสน่ห์” ทั้งนี้ ว่ากันถึงเรื่องเสน่ห์ที่เชื่อกันว่าทำให้เกิดได้ด้วยไสยศาสตร์นั้น ในการทำก็เชื่อกันหลายแบบ เช่น... ใช้วิธี “ลงนะหน้าทอง” ใช้แผ่นทองเปลว 3, 9, 12 หรือ 24 แผ่น แปะลงหน้าผากหรือจุดอื่น ๆ ของใบหน้า เชื่อว่าใครเห็นก็รักใคร่

    ใช้ “สาลิกาลิ้นทอง” เป็นเครื่องราง เป็นยันต์ มีการใช้แผ่นทองเปลวที่จารึกอักขระสาลิกาลิ้นทองแปะลงบริเวณปลายลิ้น เชื่อว่าทำให้มีวาจาไพเราะเสนาะหูจนคนรักคนหลง, ใช้ “หุ่นทำเสน่ห์” วิธีการทำ-คาถาก็ต่างกันไปแต่ละแหล่ง แต่โดยรวมคือนำวัสดุต่าง ๆ เช่น เทียน ดินเหนียว ทำเป็นหุ่นชาย-หญิงแล้วมัดติดกันด้วยสายสิญจน์ บางแหล่งก็อาจจะใช้รูป ของใช้ เสื้อผ้า ของคนที่ทำร่วมด้วย แล้วก็บริกรรมคาถาใส่ นี่ก็เชื่อว่าทำให้เกิดรัก-หลง, ใช้ “น้ำมันพราย” นี่ออกแนวน่ากลัว เพราะเชื่อกันว่าต้องใช้น้ำมันพรายจากศพผู้หญิงตาย ทั้งกลม

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างวิธีทำเสน่ห์ที่เชื่อ ๆ กันมาในอดีต

    แต่ในยุคนี้คนที่เชื่อมักจะถูกตุ๋น-ถูกละเมิดทางเพศ !!

    ทั้งนี้ อุษา เลิศศรีสันทัด แห่งมูลนิธิผู้หญิง สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... การที่หญิงสาวเข้าทำพิธีต่าง ๆ นานา อาทิ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ รวมไปถึงทำพิธี-ทำเสน่ห์ต่าง ๆ จนกลายเป็นเรื่องถูกหลอกลวง ถูกล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะเชื่อคนง่าย และ ถูกโน้มน้าวด้วยกลวิธีต่าง ๆ จนเคลิบเคลิ้ม ซึ่งเมื่อคนที่ตั้งตนเป็นผู้ทำไม่ใช่คนที่ทำตามพิธีกรรมความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ก็ย่อมเข้าข่ายหลอกลวง

    “แม้แต่ในกรุงเทพฯ.ก็เคยพบ 2 ราย ในพื้นที่ สน.สามเสน” ...อุษาระบุ พร้อมบอกต่อไปว่า... การถูกหลอกลวงในลักษณะนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าผู้หญิงมีการศึกษาดีหรือไม่ดี ใคร ๆ ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อถูกละเมิดสิทธิแบบนี้ เป็นเพราะการเชื่อคำโน้มน้าว คล้อยตามคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือ ซึ่งหากกำลังมีปัญหาด้านนี้อยู่ก็เสียท่าได้ง่าย ๆ

    “เช่น สามีไม่กลับบ้านสักระยะ ก็มีวิธีการพูดว่าถ้าทำพิธีแล้วจะกลับใน 1-2 วัน รวมทั้งมีภาพของผู้หญิงคนอื่น ๆ ให้ดู ว่าเป็นคนนั้นคนนี้เคยมาทำ ซึ่งเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือกับเหยื่อ”

    อุษาบอกอีกว่า... การทำเสน่ห์นั้นผู้หญิงมักถูกสั่งให้ต้องถอดเสื้อชั้นใน-กางเกงใน ให้ใส่ผ้าพันแทน และก็จะมีการจุดเทียน หรือมีการให้กินยาลูกกลอน กินน้ำมนต์ ซึ่งอาจมีการใส่ยานอนหลับ ทำให้ เคลิบเคลิ้ม จนเป็นเหยื่อ

    “ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีผู้หญิงก็อาจตกเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีที่พัฒนาไประดับหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องของผู้หญิงถูกกระตุ้นด้วยวิธีต่าง ๆ และเชื่อว่าจะสมหวังต่างหาก” ...อุษากล่าว

    ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกกับ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... เพราะผู้ชายไม่เคยพอ ผู้หญิงแม้จะสวย แค่ไหนก็อาจถูกผู้ชายตีจากไปมีคนอื่นได้ เป็นปัญหาโลกแตก ผู้หญิงเมื่อเจอเรื่องนี้ แม้จะเป็นคนสวยแค่ไหน ก็สามารถจะเกิดการ “ขาดความมั่นใจในตัวเอง-ขาดความเชื่อมั่นเรื่องความรัก” ซึ่งทางจิตวิทยาผู้หญิงพวกนี้เป็นโรควิตกกังวลสูง ระแวง และกับบางคนก็อาจนำไปสู่การ “ต้องการเอาชนะผู้ชาย”

    เมื่อผู้หญิงขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ขาดที่พึ่ง และผู้หญิงอีกกลุ่มคือยังไม่มีคู่รักคู่ครอง ก็อาจจะคิดหวังพึ่งการทำเสน่ห์ อาจขาดสติคิดว่าจะทำให้ผู้ชายหลงรักได้ ก็จะไปเข้าทางพวกฉวยโอกาส ที่จะหาผลประโยชน์กับผู้หญิง ซึ่งก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงก็ยังมีพวกหมอทำเสน่ห์อยู่เป็นจำนวนมาก

    “เมื่อเชื่อคล้อยตามคำพูดหมอเสน่ห์ ก็อาจเสียทั้งเงิน-เสีย ทั้งตัว พอรู้ตัวก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งเสน่ห์นั้นไม่มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นได้ เสน่ห์นั้นอยู่ที่ตัวเอง ผู้หญิงจะมีเสน่ห์ก็อยู่ที่การมีจริตในความเป็นหญิง มีความอ่อนหวานอ่อนโยน นี่คือยาเสน่ห์ของผู้หญิงที่ใช้ดึงดูดผู้ชายที่ดีที่สุด” ...ดร.วัลลภ ระบุ

    “หมอเสน่ห์” ยุคนี้ยังเกลื่อน...ซ้ำบางรายก็แฝงจีวร

    จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด...ถ้ายังมีคนเชื่อเรื่องทำเสน่ห์ !!.

    [​IMG]

    เอามาให้อ่านกันครับ ในเวปนี้ผมว่ามีแน่นอนพวกนี้ซึ่งก็คือพวก YKW หรือพวกนาธาน(ตอแหล)นั่นเองหลอกลวงกันได้ทุกวี่ทุกวัน
     
  18. Def~devill

    Def~devill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    342
    ค่าพลัง:
    +657
    นี่ละครับ พระขุนแผนรักชาติ จึงเป็นขุนแผนอีกรุ่นหนึ่ง ที่ไม่ได้ออกมาโดยตามกระแส
    แต่ทำขึ้นเพื่อสืบทอดครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น การสร้างรวมไปถึงรูปลักษณ์ก็ต้องถูกต้องตามโบราณ อย่างที่พี่เอกกล่าวครับ พระของหลวงปู่เจือทวีราคาสูงขึ้นทุกวัน แต่พระขุนแผนรักชาติ รุ่นนี้ ทางพี่เอกกลับนำมาแจกขึ้นฟรีโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร ถือเป็นการสืบทอดครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  19. โก๋เอี่ยม

    โก๋เอี่ยม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,784
    ค่าพลัง:
    +730
    ไชโย อ่านเกิน 7 บรรทัดวุ้ยวันนี้ 555
    อ่านแย้วอยากไปเที่ยวอยุธยา ไหว้พระ 9 วัด เคยแต่ผ่าน ไม่เคยแวะ
     
  20. K_P

    K_P เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,151
    ค่าพลัง:
    +3,536
    สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน มารออ่านความรู้ครับ

    โอยอ่านซะตาเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...