มหาสมยสูตร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย anand, 12 มกราคม 2010.

แท็ก: แก้ไข
  1. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    พระไตรปิฎกภาษาไทย
    ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    เล่ม ๑๐
    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค

    เรื่อง มหาสมยสูตร

    ที่มาของเรื่อง

    มหาสมยสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยการประชุมครั้งใหญ่ของเทวดา ชื่อนี้ตั้งตามเนื้อหาสาระของพระสูตร

    ที่มาของพระสูตร

    พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ขณะประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัศดิ์ แคว้นสักกะ โดยทรงปรารภการประชุมกันของเทวดา มาร เทพ และพรหมจาก ๑๐ โลกธาตุ หรือหมื่นจักรวาล เพื่อมาเฝ้าพระองค์และชมปฏิปทาของภิกษุสงฆ์

    รูปแบบของพระสูตร

    รูปแบบของมหาสมยสูตร ในตอนต้นที่เป็นความนำเป็นบรรยายโวหารแบบรายงาน ในตอนกลางซึ่งเป็นรายชื่อ และตอนสุดท้ายเป็นบรรยายโวหารแบบเล่าเรื่อง

    อนึ่ง พระสูตรนี้มีรูปแบบทางวรรณกรรมเป็นคำฉันท์หรือคาถาเป็นส่วนใหญ่ จึงจัดอยู่ในประเภท เคยยะ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในนวังคสัตถุศาสน์ คือ มีลักษณะ ทั้งร้อยแล้วและร้อยกรองผสมกัน

    ใจความสำคัญของพระสูตร

    เนื้อหาของมหาสมยสูตรแบ่งเป็น ๓ ตอน คือ

    ตอนต้น (ข้อ ๓๓๑-๓๓๓) เป็นความนำของท่านพระอานนท์ กล่าวถึงความเป็นมาของพระสูตรนี้

    ตอนกลาง (ข้อ ๓๓๔-๓๔๑) พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำให้ภิกษุทั้งหลายรู้จักชื่อเทวดา มาร เทพ และพรหม ตามลำดับหมู่คณะที่มาเฝ้าจากหมื่นจักรวาลหรือ ๑๐ โลกธาตุ พวกเทวดา มาร เทพ นำโดยพระอินทร์ ส่วนพวกพรหมนำโดยท้าวสุพรหมา สนังกุมารพรหม และติสสมหาพรหม

    ตอนสุดท้าย (ข้อ ๓๔๒-๓๔๓) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในที่ประชุมของเทวดา มาร เทพ และพรหมเหล่านั้นว่า เมื่อพวกเทวดา มาร เทพและพรหมมาพร้อมกันแล้ว ได้มีเสนามารบุกเขามาในที่ประชุมนั้นด้วยประสงค์ร้าย พระองค์จึงรับสั่งให้ที่ประชุมมัดไว้ด้วยราคะ อย่าให้ผู้ใดหลุดรอดไปได้ แล้วเอาฝ่ามือทุบดินเร่งเร้าให้เสนามารปฏิบัติตามให้สำเร็จ แต่ทรงแสดงพุทธานุภาพมีให้เสนามารและพญามารทำอะไรแก่ผู้มาประชุมได้เลย ในที่สุด พญามารได้กล่าวสรรเสริญพระสาวกของพระองค์ว่า เป็นผู้ชนะสงครามแล้ว ล่วงพ้นความหวาดกลัว มียศ ปรากฎอยู่ในหมู่ชน บันเทิงอยู่ในหมู่เทพทั้งหลาย

    ข้อสังเกต

    ในพระสูตรนี้ ก็มีเรื่องเทพนิยายแบบพุทธเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับ ๒สูตรแรก เพราะเป็นการประชุมใหญ่ของเทวดา มาร เทพและพรหม จาก ๑๐ โลกธาตุ วัตถุประสงค์ของการประชุม คือ เืพื่อมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคและชมปฏิปทาของภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ ณ ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัศดุ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๗ หลังจากทรงห้ามพระญาติ ๒ ฝ่ายมิให้ทำสงครามแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีกัน

    อรรถกถาอธิบายความเป็นมาของการประชุมใหญ่ครั้งนี้มีใจความว่า พระญาติทั้งฝ่ายศากยวงศ์และฝ่ายโกลิยวงศ์ ครั้นทรงตระหนักถึงอันตรายที่เกิดจากสงครามเรื่องน้ำได้ จึงรู้สึกสำนึกในพระกรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค และได้นำขัตติยกุมาร ฝ่ายละ ๒๕๐ องค์มาถวายให้พระองค์ทรงบรรพชาอุปสมบทให้ หลังจากทรงบรรพชาอุปสมบทให้แล้ว ทรงนำภิกษุเหล่านั้นไปอบรมที่ป่ามหาวันแต่ถูกอดีตภรรยาของภิกษุเหล่านั้นตามมารบกวน จึงทรงนำไปอบรมที่ป่าหิมพานต์จนภิกษุเหล่านี้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง คือเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกทาคามีบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง และทรงนำกลับมาอบรมที่ป่ามหาวันอีก ภิกษุเหล่านั้นจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด และในตอนเย็นของวันนั้นเอง พวกเทวดา มาร เทพ และพรหมก็มาประชุมกันเป็นครั้งใหญ่ และครั้งแรกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ (ที.ม.อ. ๓๓๑/๒๘๗-๒๙๔)

    ในประเทศไทย นิยมกันว่า มหาสมยสูตรเป็นคาถาปราบมาร คำว่า "มาร" หมายถึง ยักษ์มาตลอดตจนผีสางที่เป็นฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ จึงใช้เป็นบทเจริญพระพุทธมนต์ในงานมงคลต่างๆ มาจนบัดนี้ คู่กับอาฏานาฏิยสูตรในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค


    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    [​IMG]



    มหาอนุโมทนา สาธุการ คุณ anand ค่ะ

    ได้รู้จักบทสวด มหาสมยสูตร นี้ ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๔๙ งานบุญใหญ่ มีเลี้ยงพระ ๕,๐๐๐ รูป ที่อยุธยา สาธุการค่ะ


    พร้อมนี้ เรียนเชิญกัลยาณมิตร ศึกษาความละเอียดและสดับฟังได้ ที่นี่ มหาสมยสูตร เลยนะคะ
    ขอความเจริญในพระธรรมค่ะ



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.704357/[/MUSIC]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1242320048.jpg
      1242320048.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.5 KB
      เปิดดู:
      741
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  3. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    ว่าด้วยการประชุมครั้งใหญ่ของเทวดา

    [๓๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัศดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์มีเหล่่่่่่่่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุมาประชุมกันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคและเยี่ยมภิกษุสงฆ์
    ป่ามหาวัน เป็นป่าที่เกิดเองตามธรรมชาติ อยู่ติดกับเทือกเขาหิมาลัย (ที.ม.อ.๓๓๑/๒๘๗)

    เทพชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ได้มีความดำริดังนี้ว่า "พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัศดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ มีเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุมาประชุมกัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคและเยี่ยมภิกษุสงฆ์ ทางที่ดี เราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกล่าวคาถาองค์ละคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาค"

    [๓๓๒] ลำดับนั้น เทพเหล่านั้นหายไปจากเทวโลกชั้นสุทธาวาสมาปรากฎ ณ เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร เทพองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า
    "มีการประชุมครั้งใหญ่ในป่าใหญ่
    มีหมู่เทพมาประชุมกัน
    พวกเราพากันมายัง
    ธรรมสมัยนี้
    ก็เพื่อได้เยี่ยมสงฆ์ผู้ไม่พ่ายแพ้"

    ธรรมสมัย ในที่นี้หมายถึงสถานที่ที่ประชุมเพื่อฟังธรรม (ที.ม.อ.๓๓๒/๑๙๕)

    จากนั้น เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า
    "ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น
    มีจิตมั่นคง ทำจิตของตนๆ ให้ตรง
    ภิกษุผู้เป็นบัณฑิตย่อมรักษาอินทรีย์ไว้
    เหมือนสารถีผู้กุมบังเหียนขับรถม้าไป"



    เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า
    "ภิกษุเหล่านั้นตัดกิเลสดังตะปู
    ตัดกิเลสดังลิ่มสลัก ถอนกิเลสดังเสาเขื่อนได้แล้ว
    เป็นผู้ไม่หวั่นไหว บริสุทธิ์
    เป็นผู้ปราศจากมลทิน เที่ยวไป
    เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุทรงฝึกดีแล้ว
    เหมือนช้างหนุ่ม ฉะนั้น"

    กิเลสดังตะปู ในที่นี้หมายถึง ราคะ โทสะ และโมหะ กิเลสดังลิ่มสลัก ก็มีนัยเช่นเดียวกัน (ที.ม.อ.๓๓๒/๒๙๖)
    มีพระจักษุ หมายถึงมีพระจักษุ ๕ คือ ๑. มังสะจักษุ (ตาเนื้อ) ๒. ทิพพจักขุ (ตาิทิพย์) ๓.ปัญญาจักขุ (ตาปัญญา) ๔. พุทธจักขุ (ตาพระพุทธเจ้า) ๕.สมันตจักขุ (ตาเห็นรอบ) (ขุ.ม.(แปล) ๒๙/๑๑/๕๔, ที.ม.อ.๑๘๖/๑๖๙,๓๓๔/๓๐๐

    เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า
    "เหล่าชนผู้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
    จักไม่ไปสู่อบายภูมิ ครั้นละกายมนุษย์แล้ว
    จักทำให้หมู่เทพเจริญเต็มที่"
     
  5. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    การประชุมของเทวดา

    [๓๓๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาจำนวนมากใน ๑๐ โลกธาตุประชุมกันเพื่อเยี่ยมตถาคต และภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล ที่มาประชุมกันครั้งที่มีจำนวนสูงสุดก็เท่ากับพวกเทวดาของเรานี้เองที่มาประชุมกันในบัดนี้ พวกเทวดาของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตกาลที่มาประชุมกัน ครั้งที่มีจำนวนสูงสุดก็เท่ากับพวกเทวดาของเรานี้เองที่มาประชุมกันในบัดนี้ เราจักบอกชื่อของหมู่เทพ จักระบุชื่อของหมู่เทพ จักแสดงชื่อของหมู่เทพ เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว" ภิกษุเหล่านั้นทูล่รับสนองพระดำรัสแล้ว

    [๓๓๔] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
    "เราจักกล่าวเป็นคาถา
    เหล่าภุมมเทวดาอาศัยอยู่ในที่ใด
    เหล่าภิกษุก็อาศัยอยู่ในที่นั้น
    (เรา ในที่นี้หมายถึงพระผู้มีพระภาค)

    ภิกษุเหล่าใดอาศัยซอกเขา
    มีจิตมุ่งมั่น มีจิตตั้งมั่น
    พวกเธอมีจำนวนมากเร้นอยู่ เหมือนราชสีห์
    ข่มความขนพองสยองเกล้าได้
    มีจิตสะอาด หมดจดผ่องใส ไม่ขุ่นมัว
    พระศาสดาทรงทราบว่ามีภิกษุกว่า ๕๐๐ รูป
    ผู้อยู่ในป่า ในเขตกรุงกบิลพัศดุ์
    จึงรับสั่งเรียกเพราะสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทพมุ่งมากันแล้ว
    พวกเธอจงรู้จักเทพเหล่านั้น"

    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
    พากันทำความเพียร (ในที่นี้หมายถึงการเข้าผลสมาบัติ)
    จึงมีญาณอันเป็นเหตุให้เห็นพวกอมนุษย์ปรากฏขึ้น
    ภิกษุบางพวก เห็นอมนุษย์ ๑๐๐ ตน
    บางพวกเห็น ๑,๐๐๐ ตน
    บางพวกเห็น ๗๐,๐๐๐ ตน
    บางพวกเห็น ๑๐๐,๐๐๐ ตน
    บางพวกเห็นมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
    อมนุษย์อยู่กระจายไปทั่วทุกทิศ
    พระศาสดาผู้มีพระจักษุ
    ทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้ว
    จึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทพมุ่งมากันแล้ว
    เธอทั้งหลายจงรู้จักหมู่เทพเหล่านั้น
    เราจะบอกเธอทั้งหลายด้วยวาจาตามลำดับ

    [๓๓๕]
    ยักษ์ ๗,๐๐๐ ตนที่เป็นภุมมเทวดาอยู่ในกรุงกบิลพัศดุ์
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง (หมายถึงประกอบด้วยอานุภาพ)
    มีผิวพรรณ งดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ยักษ์ ๖,๐๐๐ ตนอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์
    มีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

    ยักษ์ ๓,๐๐๐ ตน อยู่ที่ภูเขาสาตาคีรี
    มีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ยักษ์เหล่านั้นรวมเป็น ๑๖,๐๐๐ ตน
    มีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ยักษ์ ๕๐๐ ตนอยู่ที่ภูเขาเวสสามิต
    มีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    กุมภีรยักษ์ผู้รักษากรุงราชคฤห์อยู่ที่ภูเขาเวปุลละ
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย


     
  6. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    [๓๓๖]
    ท้าวธตรฐปกครองทิศตะวันออก
    เป็นหัวหน้าของพวกคนธรรพ์
    เป็นมหาราชผู้มียศ
    แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก
    ต่างมีพลังมาก (และ) มีชื่อว่า อินทะ
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ท้าวิรุฬหกปกครองทิศใต้
    เป็นหัวหน้าของพวกกุมภัณฑ์
    เป็นมหาราชผู้มียศ
    แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก
    ต่างมีพลังมาก (และ) มีชื่อว่า อินทะ
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ท้าววิรูปักษ์ปกครองทิศตะวันตก
    เป็นหัวหน้าของพวกนาค
    เป็นมหาราชผู้มียศ
    แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก
    ต่างมีพลังมาก (และ) มีชื่อว่า อินทะ
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ท้าวกุเวรปกครองทิศเหนือ
    เป็นหัวหน้าของพวกยักษ์
    เป็นมหาราชผู้มียศ
    แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก
    ต่างมีพลังมาก (และ) มีชื่อว่า อินทะ
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    ท้าวธตรฐอยู่ทางทิศตะวันออก
    ท้าววิรุฬหกอยู่ทางทิศใต้
    ท้าววิรูปักษ์อยู่ทางทิศตะวันตก
    ท้าวกุเวรอยู่ทางทิศเหนือ
    ท้าวจาตุมหาราชนั้น
    มีแสงสว่างส่องไปโดยรอบทั่วทั้งสี่ทิศ
    สถิตอยู่ในป่า เขตกรุงกบิลพัศดุ์
    [๓๓๗]
    พวกผู้รับใช้ของท้าวจาตุมหาราชเหล่านั้น
    เป็นพวกมีมายา หลอกลวง โอ้อวดก็มาด้วย
    พวกผู้รับใช้ที่มีมายา คือ
    กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏู วิฏุฏะ
    จันทนะ กามเสฏฐะ กินนุฆัณฑุ และนิฆัณฑุ ก็มาด้วย
    ปนาทะ โอปมัญญะ มาตลิผู้เป็นเทพสารถี
    จิตตเสนะ ผู้คนธรรพ์ นโฆราชะ ชโนสภะ ปัญจสิขะ
    ติมพรุ (คนธรรพ์เทวราชา) และสุริยวัจฉสา (คนธรรพ์เทวธิดา) ก็มาด้วย
    (จิตตเสนะ เป็นชื่อเทวบุตรพวกคนธรรพ์ ๓ องค์คือ ๑. จิตตะ ๒.เสนะ ๓.จิตตเสนะ)
    เทวราชเหล่านั้นและคนธรรพ์อื่นๆ ที่มาพร้อมเทวราช
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    [๓๓๘]
    อนึ่ง หมู่นาคที่อย่ในสระนาภสะ
    และที่อยู่ในกรุงเวสาลีมาพร้อมด้วยพวกนาคตัจฉกะ
    นาคกัมพลและนาคอัศดรก็มาด้วย
    และนาคที่อยู่ในท่าปายาคะก็มาพร้อมด้วยหมู่ญาติ
    นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา
    และนาคที่เกิดในตระกูลธตรฐผู้มียศก็มา
    พญาช้างเอราวัณก็มายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    เหล่าครุฑผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์
    ผู้สามารถจับนาคราชได้ฉับพลัน
    ผู้บินมาทางอากาศถึงท่ามกลางป่า
    มีชื่อว่าจิตรสุบรรณ
    เวลานั้น พวกนาคราชไม่มีความหวาดกลัว
    (เพราะ) พระพุทธเจ้าทรงกระทำให้ปลอดภัยจากครุฑ
    นาคกับครุฑเจรจากันด้วยวาจาอันไพเราะ
    ต่างมีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
    [๓๓๙]
    อสูรพวกที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร
    เป็นผู้พ่ายแพ้ต่อพระอินทร์ผู้ถือวชิราวุธ
    อสูรเหล่านั้นมีฤทธิ์ มียศ
    เป็นพี่น้องของท้าววาสวะ
    พวกอสูรกาลกัญชะมีร่างน่ากลัวมาก
    พวกอสูรทานเวฆสะ อสูรเวปจิตติ
    อสูรสุจิตติ อสูรปหาราทะ
    และพญามารนมุจีก็มาด้วย
    บุตรของพลิอสูร ๑๐๐ ตนที่ชื่อว่า เวโรจะ
    ทุกตนต่างสวมเกราะเข้มแข็งเข้าไปใกล้ราหูจอมอสูร
    แล้วกล่าวว่า "ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน
    บัดนี้ ถึงเวลาที่ท่านควรเข้าไป
    สู่ป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย"
    [๓๔๐]
    เวลานั้น เทพ (๑๐ หมู่) คือ
    อาโป ปฐวี เตโย วาโย
    วรุณะ วารุณะ โสมะ ยสสะ
    เมตตาและกรุณา เป็นผู้มียศก็มาด้วย
    (เมตตาและกรุณา หมายถึงเหล่าเทพที่เกิดด้วยอำนาจเมตตาฌานและกรุณาฌานที่เคยบำเพ็ญมา (ที.ม.อ. ๓๔๐/๓๐๕)

    เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลากหลาย
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    เทพ (๑๐ หมู่) คือ
    เวณฑู สหลี และเทพ ๒ หมู่ คืออสะ และยมะก็มา
    เทพผู้อาศัยพระจันทร์ มีพระจันทร์นำหน้ามา
    เทพผู้อาศัยพระอาทิตย์ มีพระอาทิตย์นำหน้ามา
    เทพพวกมันทวลาหกะ มีพระนักษัตรนำหน้ามา
    (เทพพวกมันทวลาหกะ ในที่นี้หมายถึงเทพ ๓ องค์ คือ๑. วาตวลาหกเทพบุตร ๒. อัพภวลากหเทพบุตร ๓. อุณหวลาหกเทพบุตร (ที.ม.อ. ๓๓๘/๓๐๕)
    พระอินทร์ผู้เป็นท้าวสักกะ
    ผู้เป็นท้าวปุรินททะ ท้าววาสวะ
    (ปุรินททะ ตามคติของฮินดูเป็นชื่อหนึ่งของพระอินทร์แปลว่า ผู้ทำลายเมือง (ปุรททะ) ตามคติพุทธศาสนาเป็นชื่อหนึ่งของพระอินทร์ แปลว่า ผู้ให้ทานในกาลก่อน (ปุเร ทานํ ททาตีติ ปุรินฺทโท) (T.W.Rhys Davids and William Stede p.469)
    ประเสริฐกว่าเหล่าเทพวสุ ก็มา
    (เทพวสุ หมายถึงเทพเจ้าแห่งทรัพย์ (T.W.Rhys Davids and William Stede p.605)
    เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลากหลาย
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

    เทพอีก (๑๐ หมู่) คือ
    สหภู ผู้รุ่งเรือดังเปลวไฟ
    อริฏฐกะ โรชะ ผู้มีรัศมีดังสีดอกผักตบ
    วรุณะ สหธรรม อัจจุตะ อเนชกะ
    สุเลยยะ รุจิระ และวาสวเนสีก็มา
    เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

    เทพอีก (๑๐ หมู่) คือ
    สมานะ มหาสมานะ มานุสะ
    มานุสุตตมะ ขิฑฑาปทูสิกะ มโนปทูสิกะ
    หริ โลหิตวาสี ปารคะ และมหาปารคะผู้มียศก็มา
    เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

    เทพอีก (๑๐ หมู่) คือ
    สุกกะ กรุมหะ อรุณะ เวฆนสะ
    โอทาตยคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้า วิจักขณะ
    สทามัตตะ หารคชะ มิสสกะผู้มียศ
    และปชุนนเทวราชผู้บันดาลฝนให้ตกทั่วทุกทิศก็มา
    เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    เทพอีก (๑๐ หมู่) คือ
    เทพพวกเขมิยะ เทพชั้นดุสิต เทพชั้นยามา
    เทพพวกกัฏฐกะ ผู้มียศ เทพพวกลัมพีตกะ
    เทพพวกลามเสฏฐะ เทพพวกโชติ อาสวะ
    เทพชั้นนิมมานรดี และเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีก็มา
    (กัฏฐกะ เรียอีกชื่อหนึ่งว่า กถกะ)
    (อาสวะ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อาสา)
    เทพทั้ง ๑๐ หมูนี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก
    ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก
    มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง
    มีผิวพรรณงดงาม มียศ
    ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย
    เทพทั้งหมด ๖๐ หมู่
    ล้วนมีผิวพรรณหลากหลาย มาแล้วตามกำหนด
    ชื่อหมู่เทพและเทพพวกอื่น
    ผู้มีผิวพรรณและชื่อเช่นนั้นก็มา (ด้วยคิด) ว่า
    "พวกเราจะเข้าพบพระนาคะ
    ผู้ไม่มีการเกิด ไม่มีกิเลสดังตะปู
    ผู้ข้ามโอฆะ ได้แล้ว ไม่มีอาสวะ
    ผู้พ้นโอฆะได้แล้ว ล่วงพ้นธรรมดาดังดวงจันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น"
    (พระนาคะ เป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ทำความชั่ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2011
  7. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    [๓๔๑]
    สุพรหมและปรมัตตพรหม
    ผู้เป็นบุตรของพระผู้ทรงฤทธิ์ก็มาด้วย
    สนังกุมารพรหมและติสสพรหมก็มายังป่าที่ประชุม
    (บุตรในที่นี้หมายถึงพุทธบุตรผู้ที่เป็นอริยสาวกผู้เป็นพรหม
    พระผู้ทรงฤทธิ์ หมายถึงพระพุทธเจ้า)
    ท้าวมหาพรหม ๑,๐๐๐ องค์ ปกครองพรหมโลก
    ท้าวมหาพรหมนั้น อุบัติขึ้นในพรหมโลก
    มีความรุ่งเรือง มีกายใหญ่ มียศก็มาก
    มีพรหม ๑๐ องค์ ผู้เป็นใหญ่กว่าพรหม ๑,๐๐๐ องค์
    มีอำนาจเฉพาะองค์ละอย่างก็มา
    มหาพรหมชื่อหาริตะ มีบริวารห้อมล้อม
    มาอยู่ท่ามกลางพรหม ๑,๐๐๐ องค์นั้น
    [๓๔๒]
    เมื่อเสนามารมาถึง
    พระศาสดาได้ตรัสกับพวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น
    พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหมผู้ประชุมกันอยู่
    จงดูความโง่เขลาของกัณหมาร
    มหาเสนามารได้ส่งเสนามารไป
    ในที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพด้วยคำว่า
    "พวกท่านจงไปจับหมู่เทพผูกไว้
    พวกท่านจงผู้ไว้ด้วยราคะเถิด
    จงล้อมไว้ทุกด้าน
    ใครๆ อย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดหลุดพ้นไป"
    แล้วก็เอาฝ่ามือตบแผ่นดินทำเสียงน่ากลัว
    (แต่) ในเวลานั้น ไม่อาจทำให้ใครตกอยู่ในอำนาจได้
    จึงกลับไปทั้งที่เกรี้ยวโกรธ
    เหมือนเมฆฝนที่บันดาลให้ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฉะนั้น
    [๓๔๓]
    พระศาสดาผู้มีพระจักษุ
    ทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้ว
    จึงรับสั่งเีรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า
    "ภิกษุท้งหลาย เสนามารมุ่งมากันแล้ว
    พวกเธอจงรู้จักพวกเขา"
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
    พากันทำความเพียร
    เสนามารหลีกไปจากเหล่าภิกษุผู้ปราศจากราคะ
    ไม่อาจแม้ทำขนของภิกษุเหล่านั้นให้ไหวได้

    (พญามารกล่าวสรรเสริญว่า)
    "หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้า
    ชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้นความหวาดกลัว
    มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน
    บันเทิงอยู่กับภูตทั้งหลาย
    ภูตในที่นี้ หมายถึงพระอริยะในศาสนาของพระทศพล (ที.ม.อ.๓๔๗/๓๑๐)

    มหาสมยสูตรที่ ๗ จบ


     
  8. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    "หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้า
    ชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้นความหวาดกลัว
    มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน
    บันเทิงอยู่กับภูตทั้งหลาย
    ภูตในที่นี้ หมายถึงพระอริยะในศาสนาของพระทศพล (ที.ม.อ.๓๔๗/๓๑๐)


    มหาสมยสูตรที่ ๗ จบ

    สาธุ ขออนุโมทนาด้วยใจ
     
  9. anand

    anand เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,118
    ค่าพลัง:
    +641
    สาธุเจ้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...