นางชัมพุกา หญิงสาวผู้พบรักแท้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย birdkub, 2 มกราคม 2010.

  1. birdkub

    birdkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +401
    นางชัมพุกา เป็นบุตรีของท่านเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก ท่านเศรษฐีเลี้ยงนางแบบตามใจทุกอย่าง ทำให้นางเป็นคนมองโลกในแง่ดีแง่เดียวมาตลอด เพราะไม่เคยพานพบความโหดร้ายใดๆ ในสังคม

    วันหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ที่ชั้นบนสุดของปราสาท และกำลังทอดสายตาชมวิวอยู่ข้างนอก พลันนางก็ได้เห็น เพชรฆาตสองท่านกำลังนำโจรหนุ่มคนหนึ่งไปประหารชีวิต ทันทีที่นางสบใบหน้าของโจรหนุ่มชัดๆ เท่านั้น (สงสัยจะสายตาดีนะครับ มองไกลก็ัชัด) บุพเพอาละวาด เอ้ย บุพเพสันนิวาส ก็พลันบังเกิดขึ้น นางหลงรักโจรหนุ่มจับจิตจับใจ (สงสัยจะหล่อไม่เบา)

    ว่าแล้วนางก็ไป อ้อนวอนท่านเศรษฐีให้ช่วย ท่านเศรษฐีตามใจทุกอย่าง จึงติดสินบน(อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีไม่ควรทำนะครับ)เำพชรฆาต ทำให้เพชรฆาตปล่อยตัวโจรหนุ่มออกมา แล้วท่านเศรษฐีก็พามาดูแลอย่างดี ให้โจรหนุ่มแต่งงานกับบุตรสาวแสนสวยของท่าน

    โจรหนุ่มจากที่กำลังจะ ตายอยู่แล้ว พลันได้รับการช่วยเหลือ ทั้งยังได้แต่งงานกับบุตรีเศรษฐีีอีก อย่างนี้เขาเรียกพกพาวาสนามาเกิด ในเบื้องต้นเขาก็ทำดีกับนางชัมพุกาทุกอย่าง แต่ภายในใจเขานั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า โจรก็ย่อมเป็นโจร เขาเบื่อหน่ายกับชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้อย่างยิ่ง อยากจะกลับไปใช้่ชีวิตเป็นโจรเหมือนเดิม(สงสัยมันคงตื่นเต้นดีมั้ง)

    วัน หนึ่งเขาก็คิดแผนการอันแยบคายขึ้นได้ เขาทำทีเป็นตีหน้าเศร้า นางชัมพุกาเห็นเช่นนั้นก็ไต่ถาม โจรหนุ่มบอกว่า ตนนั้นเคยบนกับเทพยดาบนภูเขาไว้ว่า ถ้ารอดชีวิตมาได้จะไปแก้บน ตอนนี้รอดมาได้แล้ว ยังไม่ได้ไปแก้บนเลย

    นางชัมพุกาบอก เรื่องนิดเดียวเอง ว่าแล้วก็ให้บ่าวไพร่เตรียมของแก้บน แล้วตัวเองก็แต่งตัวด้วยเครื่องประดับอลังการ ตามที่โจรหนุ่มบอก ว่าแล้วก็เคลื่อนขบวนไปที่ภูเขา ครั้นพอถึงเชิงเขา โจรหนุ่มก็ทำหน้าเคร่งขึมจริงจังว่า ช่วงนี้สำคัญยิ่ง นางกับเขาต้องปล่อยให้บริวารทั้งหมดรออยู่ที่นี้ จากนั้นก็ขึ้นไปบนเขากันแค่สองคน

    นางชัมพุกา หลงเชื่อทุกอย่าง ความรักทำให้คนตาบอดและหูหนวกจริงๆ (แต่ยังไม่เป็นใบ้) นางคิดเพียงว่า นางช่วยชีวิตเขาไว้ ทั้งยังดีกับเขาสุดหัวใจ เขาย่อมต้องดีต่อนางตอบแทนแน่นอน จะมีใครที่ไหนในโลก อกตัญญูต่อมีผู้พระคุณได้เชียวหรือ

    อนิจจา นางผู้มองโลกดีเหลือเกิืน ไม่เคยมองเห็นอีกด้านหนึ่งของโลกเลย ก็ได้เดินขึ้นภูเขาพร้อมเครื่องประดับอันอลังการ ไปพร้อมโจรหนุ่มผู้นั้น ครั้นเดินขึ้นไปถึงยอดเขา นางก็ไม่เห็นโจรหนุ่มทำอะไรเลย เขาเพียงยืนมองดูภูเขาอยู่เฉยๆ นานพอควร

    นางจึงถามว่า พี่จ๊ะ เมื่อไหร่เราจะเริ่มพิธีกรรมแก้บนกันได้ล่ะจ๊ะ
    โจร หนุ่ม หันหน้ากลับมาหานาง ด้วยสายตาที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต พร้อมกันหัวเราะลั่นว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า นางโง่ แก้บนที่ไหนกัน วันนี้จะมีพิธีส่งดวงวิญญาณแกออกจากร่างต่างหาก

    นางตกใจยิ่งนักจึงถามว่า หมายความว่าอย่างไรจ๊ะพี่ น้องไม่เข้าใจ
    โจร หนุ่มจึงบอกว่า ได้ ข้าจะอธิบายช้าๆ วันนี้ ข้าจะฆ่าแกซะ แล้วนำเครื่องประดับอันอลังการในตัวแกไปขาย คงจะได้ทรัพย์ใช้จ่ายสบายๆไปหลายเดือนทีเดียว

    นางได้ฟังก็ทั้งสงสัย และทั้งสะเทือนใจยิ่งนัก แต่ก็ยังมีสติ ถามต่อว่า พี่ต้องการทรัพย์ ทำไมพี่ต้องฆ่าฉันด้วยล่ะจ๊ะ แค่พี่บอกมาคำเดียว พวกบ่าวไพร่ก็จะขนทรัพย์สินมาให้พี่ใช้สอยได้อย่างสุขสบายไปตลอดชาติทีเดียว
    โจร หนุ่ม จึงตะคอกใส่ไปว่า นางโง่ ชีวิตแบบนั้น เป็นชีวิตที่ข้าเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง มันต้องเป็นโจรนี่สิ ปล้นฆ่าทรัพย์ผู้อื่นนี่สิ ชีวิตถึงจะมีรสชาด อย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย รีบถอดเครื่องประดับทั้งหมดออกมาซะ แล้วแกจะได้ตายอย่างสบายไม่ต้องทรมาณ

    นาง ชัมพุกา สะเทือนใจยิ่งนัก โอ้ ชายหนุ่ม ที่นางรักเขาหมดหัวใจ เขาไม่เคยรักใคร่อะไรนางเลย และกำลังคิดจะตอบแทนนางด้วยความตาย

    ณ วินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง นางชัมพุกาสะเทือนใจถึงขีดสุด นางนึกประชดในใจว่า เมื่อชายคนรักต้องการให้เราตายเช่นนี้ แล้วเราจะยังมีชีวิตอยู่ไปทำไม ก็ตายด้วยน้ำมือเขาให้รู้แล้วรู้รอด(เอ้ยรู้ไม่รอด)ไปเลยดีกว่า

    แต่ นั่นมันเป็นเรื่องราวในนิยายน้ำเน่า(ผมเสริมเข้าไปเอง) ก็ในเมื่อเขาไม่รักเรา แถมยังคิดจะฆ่าเรา เราจะพลีชีพเพื่อเขาไปทำไม เมื่อคิดได้ดังนั้น สติของนางก็กลับแจ่มใส พลางครุ่นคิดหาวิธีหาตัวรอด ด้วยความที่นางเป็นผู้มีบุญมีปัญญา เพียงแต่ถูกความรักมาบดบังชั่วคราว จึงไม่ได้นำปัญญามาใช้ ครั้นตอนนี้ ความตายมาอยู่ตรงหน้าสติปัญญาก็แจ่มใส เห็นหนทางรอดขึ้นมา

    นางจึงแกล้งตีหน้าเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง พรางบอกว่า "ในเมื่อพี่ต้องการให้น้องตายเช่นนั้น น้องก็ยินดีขอเพียงให้พี่มีความสุข(ว่าเข้าไปนั่น) เพียงแต่การจากกันครั้งนี้ของเราจะเป็นการจากกันชั่วกาลปาวสาน ดังนั้น ก่อนที่น้องจะตาย ขอให้น้องได้ทำประทักษิณ(แสดงความเคารพ)พี่ในทิศทั้ง 4 ด้วยเถิด"

    โจรหนุ่ม เห็นว่า นางช่างภักดีต่อตนเหลือเกิน ประกอบกับชะล่าใจไม่คิดว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่นี้จะทำอะไรตนได้ ก็เลยยอมตามใจนาง
    เขาหันหลังเข้ากับภูเขา แล้วบอกว่า "เอ้าจะทำอะไรก็ลงมือทำเถิด อย่าเสียเวลาก็แล้วกัน"

    นาง ชัมพุกา จึงตรงเข้าไปทำประทักษิณโจรหนุ่มทางทิศตะวันออกก่อน ต่อจากนั้นก็เวียนไปทางทิศเหนือ เวียนต่อไปทางทิศตะวันตก และสุดท้ายก็มาถึงทางทิศใต้ ซึ่งมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมพอดี ตามแผนการที่นางได้วางไว้ คือ อยู่ทางด้านหลังของโจร นางไม่รอให้โอกาสนี้ผ่านไป ได้ใช้กำลังทั้งหมด ผลักโจรหนุ่มลงสู่เหวลึก (กลายเป็นห้วงรักเหวลึก พอดี) ทันที

    เมื่อผลักโจรลงไปแล้ว นางเองก็ไม่ีมีหน้าไปสู้หน้าพ่อแม่ได้ จึงหนีจากไป เดินทางร่อนเรไปพบกับสำนักนักบวชแห่งหนึ่ง เรียกกันว่า สำนึกปริพาชก นางจึงได้เข้าไปสมัครเป็นศิษย์ ร่ำเรียนความรู้จากสำนักปริพาชก เรียนอยู่ไม่นานก็สำเร็จปริญญาตรี เอ้ย มีความรู้ของสำนักปริพาชกแบบไม่ธรรมดาคนหนึ่งทีเดียว

    ครูบาอาจารย์ จึงบอกให้นางไปท้าประลองวาทะกับผู้คนทั้งหลาย ใครที่สามารถทำให้นางพ่ายแ้พ้ได้ ถ้าเขาอยู่ครองเรือน ก็ให้นางอุทิศตนเป็นภรรยาเขา แต่ถ้าเขาเป็นนักบวช ก็ให้นางฝากตนเป็นศิษย์เขา

    นางจึงไ้ด้กระทำตามคำสั่งของอาจารย์เรื่อยๆไป แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างกับวาทะของนางได้เลย จนนางได้ฉายาว่า ชัมพุปริพาชิกา
    วัน หนึ่ง พระสารีบุตรเถระ ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ เดินทางผ่านมา ครั้นพระเถระทราบข่าว จึงได้ให้เด็กๆ แถวนั้น เด็ดกิ่งหว้าที่นางปักไว้ ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการท้าประลองวาทะ

    นางเห็นเด็กๆ ไปเด็ดกิ่งไม้ของนางเล่น ก็ตรงเข้าไปต่อว่าเด็กๆ ครั้นเด็กชี้มือไปทางพระเถระ นางจึงทราบทันทีว่า ท่านต้องการประลองวาทะกับนาง นางเห็นเป็นโอกาสอันดี ที่จะส่งเสริมชื่อเสียงของสำนักอาจารย์นาง จึงได้ป่าวประกาศให้ฝูงชนทราบ ว่าในวันนั้นๆ จะมีการประลองวาทะ ระหว่าง ชัมพุปริพาชิกา กับ ศิษย์ของพระสมณโคดม

    ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ครั้นถึงวันประลอง อินเดียมุงก็มามุงกันอย่างมากมายทีเดียว เพื่อชมการประลองนี้ นางเริ่มต้นด้วยการถามคำถามของสำนักปริพาชก แต่ไม่ว่า นางจะถามคำถามใด พระสารีบุตรก็สามารถตอบได้อย่างลึกซึ้ง เกินกว่าที่นางเคยเรียนมาเสียอีก นางหารู้ไม่ว่า ก่อนพระสารีบุตรจะมาบวชเป็นพระ ท่านเคยเป็นศิษย์ของสำนักปริพาชกชั้นเยี่ยมยอดมาก่อน

    ถามจนกระทั่งความรู้หมดไส้หมดพุงแล้ว นางก็นิ่งไปสักพัก พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ขออาตมาถามบ้างได้ไหม นางก็ยอมให้ถาม
    พระ เถระถามว่า "ทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนมีความเป็นคู่ พระอาทิตย์คู่พระจันทร์ กลางวันคู่กลางคืน อ่อนคู่กับแข็ง สุขคู่กับทุกข์ แต่มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่มีเพียงหนึ่ง ไม่มีคู่เลย สิ่งนั้นคือ อะไร"

    (สิ่ง นั้นก็คือ นิพพาน นั่นเอง แต่นางย่อมไม่มีทางทราบ) ครั้นนางบอกว่า ไม่ทราบ อยากจะขอเรียนรู้จากพระเถระ พระเถระจึงบอกให้นางบวช นางได้ตกลงใจบวชเป็นภิกษุณี ปฏิบัติธรรมอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เถรี

    พบรักแท้ภายในตัว มีแต่ความสุขบริบูรณ์ ไม่มีวันกลายกลับเป็นทุกข์อีกตลอดไป

    ที่มา www.dmc.tv
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  2. วัสสานะ

    วัสสานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +565
    สาธุ อนุโมทนาครับ


    ขอบวชในพระพุทธศาสนา
    นางชัมพุปริพาชิกา ยอมพ่ายแพ้ต่อพระเถระด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น นางหมอบ
    ลงกราบแทบเท้าพระเถระขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนาพร้อมทั้งขอบรรพชา และถึงพระเถระเป็นสรณะ แต่พระเถระบอกว่าขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิด แล้วพานางไปยังพระวิหารเชตวัน นำเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    พระพุทธองค์ทรงราบจริยาอัธยาศัยของนางดีแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาคาถาภาศิตว่า:-
    "ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถาผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์แม้เพียงคาถาเดียวยังผู้ฟังให้สงบ ระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล"

    พอจบพระธรรมเทศนาคาถาภาษิต ทั้งที่นางกำลังยืนอยู่นั้น ยังไม่ทันจะนั่งลงก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในขณะนั้น แล้วกราบทูลขอบรรพชาพระพุทธองคทรงอนุญาตแล้วส่งนางให้ไปบวชในสำนักภิกษุณี สงฆ์เมื่อนางบวชแล้ว ได้ชื่อว่า "กุณฑลเกสาเถรี" ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "พระภัททากุณฑลเกสาเถรีนี้ ยิ่งใหญ่จริงหนอ บรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถาเพียง ๔ บาทเหล่านั้น"พระศาสนาทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงสถาปนาพระภัททากุณฑลเกสาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ตรัสรู้เร็วพลัน"

    วันหนึ่งพวกภิกษุได้สนทนากันว่าทราบว่าเธอเคยต่อสู้กับโจรจนเอาชนะโจรนั้น ได้ด้วยการฆ่า เธอถึงได้มาบวช ผู้ที่ฆ่าคนแล้วยังสำเร็จพระอรหันต์อีกหรือ?พระบรมศาสดาทราบการสนทนานั้นจึง ตรัสว่า“พวกเธออย่านับว่าธรรมที่เราแสดงแล้วมากหรือน้อย ผู้ใดกล่าวคาถามากมายแต่ไร้ประโยชน์ บทแห่งธรรมบทเดียวที่ฟังแล้วสงบได้ ประเสริฐกว่าคาถานับร้อยพัน อนึ่งผู้ใดชนะจำนวนมากมายในสงครามหาได้ว่าเป็นยอดแห่งชัยชนะไม่ ส่วนผู้ใดเอาชนะตนเองได้เพียงคนเดียวจึงจะได้ชื่อว่าเป็นยอดแห่งชัยชนะทั้ง ปวง” (และทั้งกรรมที่ทำก็ไม่ใช่อนันตริยกรรม)
    พระกุณฑลเกสีเถรีได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พุทธศาสนาอยู่นานจนชราภาพแล้วปรินิพพานไปตามอายุขัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...