มีข้อ สงสัย อยาก ถาม ผู้รู้ แบบ ปกติ จะ ฝึก แบบ นั่งเฝ้า ลมหายใจ แต่เมือวันก่อน เปลี่ยน ห้องพระใหม่ ห้องพระ อยู่ใต้หลังคาบ้าน สภาพ มืดจริงๆ จุดเทียน ถวายพระ สองเล่ม และ เทียน หนึ่งเล่ม สำหรับ ให้แสงสว่าง สำหรับ บทสวดมนตร์ ที่นี้ พอสวดมนตร์ เสร็จ ก้อ เริ่ม เฝ้า เปลวไฟ ไปได้ สักระยะ เห็น ภาพ นักบวช พระ นะค่ะ หลัง..จากนั่น ก็เห็น เปรต และ ต่อไป คือ เห็นคน แต่ ความรู้สึก มัน บอกว่า นั่นแหระ เราเอง หลังจากนั่น ก้อ พยายาม ดับจริต ไม่ ปรุงแต่ง หลับตา ..แล้ว เห็น เป็นแสงสว่าง ทั่งที ห้องมืด ... จึง เรียน ถาม ผู้มี ประสบการณ์ ค่ะ
นิมิตในสมาธิ <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->หลวงปู่ตื้อเคยพูดถึงเรื่องพระหมา พระแมว พระควาย ฯลฯ ว่าเป็นเพราะจิตใจตกต่ำเหมือนสัตว์อย่างนั้น จึงแสดงออกมาให้เห็นสัตว์ต่างๆ และได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีก คือ นิมิตเห็นคนธรรมดา นุ่งห่มด้วยสีเหลืองแสดงว่าจิตของผู้นั้นเป็นผู้มีสมาธิ มีใจเป็นพระ คนนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาว แสดงว่าจิตของผู้นั้น เป็นผู้ที่มีศีลห้าเป็นปกติ มีใจเป็นเทพ คนนุ่งห่มด้วยชุดดำ แสดงว่าเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ถ้าชุดดำและเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ขาด แสดงว่าจิตต่ำลงไปกว่าความเป็นคน มีนิมิตที่ของผู้เป็นพระในลักษณะต่างๆ ที่ท่านพบมาดังนี้ นุ่งสบงคลุมจีวร พาดสังฆาฏิ แสดงว่า ท่านมีศีลสมาธิและปัญญาดี เรียกว่าเป็นพระที่สมบูรณ์ คลุมแต่จีวรมา แสดงว่า มีสมาธิดี นุ่งสบงใส่อังสะ แสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์ คลุมด้วยจีวรขาด แสดงว่าสมาธิที่เคยมีเสื่อมถอย ใส่กางเกง แสดงว่า มีศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย (b-oneeye) <!-- / message -->
กสิณไฟ เป็นฐานของตาทิพย์ได้ หลวงพ่อเคยเล่าไว้(ว่ากสิณ 4 อย่างที่เอื้อประโยชน์แก่ ทิพจักขุญาณ) ...กสิณไฟ มีคนเล่าให้ฟังว่า ถ้าฝึกเต็มกำลัง หรือเฉียดๆนั้น ตัวจะร้อนผ่าวแบบไฟไปเลย แต่กสิณที่เอื้อประโยชน์ต่อทิพจักขุโดยตรงคือ กสิณแสงสว่าง ... การป้องกันอันตรายๆต่างในขณะฝึกแบบนี้ คือ พุทธานุสสติครับ บารมีพระพุทธเจ้านับประมาณมิได้ ท่านคุ้มครองตลอด ไม่ใช่เรื่องยากเลย .. บางทีถ้าหากเรากลัวอันตราย ก็ให้นึกถึงท่านแล้วกัน...
ทำสมาธิแล้วได้นิมิต มันก็มีมากมายหลายแบบตามแต่กิเลสและกรรมในใจเรา แต่ไม่ว่าจะนิมิตแบบไหน มันก็แค่นิมิต มีจริงบ้าง ปลอมบ้าง( แต่ของปลอมก็เยอะ ) ให้ถือคติครูบาอาจารย์ ว่านิมิตก็สักว่านิมิต เป็นของเกิด ดับ เอาแน่เอานอนไมได้ ถ้านิมิตเป็นของจริง เราไปเชื่อ ก็ขึ้นชื่อว่าหลง(ของจริง) ถ้านิมิตเป็นของปลอม เราไปเชื่อ ก็ขึ้นชื่อว่าหลง( ของปลอม ) เราไปหลงเชื่อว่ามันจริง มันปลอม มันใช่ มันไม่ใช่ ตรงนี้ทางหลงทั้งหมด ดีที่สุด คือรู้ทันว่านิมิตกำลังเกิดขึ้น นิมิตกำลังปรุงแต่ง นิมิตกำลังย้อมจิตย้อมใจ ให้เราเชือว่ามันจริง มันปลอม