ดับไม่เหลือ : หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 12 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    สวัสดีพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เรามาเรียนในพุทธศาสนานี้คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลัก เราเจริญพุทธคุณ ๕๖ ตามพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้ามิเกิดขึ้นไม่ใช่มีพระพุทธเจ้าก่อน

    กรรมฐาน ๔๐ เป็นคุณของพระพุทธเจ้า อภิญญา ๖ เป็นคุณของพระพุทธเจ้า วิปัสสนา ๑๐ เป็น ๕๖
    นี่คุณของพระพุทธเจ้ายังอยู่ แต่ตัวหลักฐานของพระพุทธเจ้าก็มี ๕๖ นั่นเอง คุณพระธรรมมี ๓๘ คุณสงฆ์มี ๑๔

    คุณพระพุทธนี่แทนพระพุทธเจ้าได้ คุณพระธรรมแทนพระธรรมได้ แทนพระไตรปิฎกได้ คุณพระสงฆ์แทนพระอรหันต์ได้ นี่คุณ ๑๐๘ เราสวดกันอยู่ทั้งเช้าทั้งเย็น

    ทุกๆ ประเทศก็ว่าเรานั่นถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กัน เราจะเอาตัวของพระพุทธเจ้า จะเอาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อากาศภายนอก อากาศภายในมาแสดงก็ยิ่งไปกันใหญ่

    ถ้าแสดงโดยพุทธคุณ ๕๖ คุณพระธรรม ๓๘ คุณพระสงฆ์ ๑๔ นี้เป็นองค์ตรัสรู้ได้ตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดภายในแล้วมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พร้อมกันหมดพระพุทธเจ้าซึ่งไปประเทศภายนอกคือ แสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรนะ แสดง ๕ วันได้โสดา ๕ องค์ แยกไปคนละที่กัน

    เมื่อได้อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ สมบูรณ์แล้วให้ไปประกาศพรหมจรรย์กันคนละที่กัน หกองค์ไปคนละที่กัน ไม่ไปซ้ำกัน ต่อไปก็มีประชุมครั้งที่ ๒ มี ๖๑ องค์ก็แยกไปคนละที่กัน ต่อเมื่อไรได้พระสงฆ์ตั้งมากๆ ขึ้นมา ได้กรุงราชคฤห์นั้นอีก ๑,๓๐๐ ได้โมคคัลลาน์ สารีบุตรมาพร้อมกัน ได้ไปพักอยู่กรุงราชคฤห์นั้นสองหมื่นองค์

    พอพระเจ้าพิมพิสารได้ฟังธรรมพร้อมบริวารทั้งหลาย พระราชาได้บรรลุพระโสดา บริวารได้โสดาบ้าง สกิทาคาบ้าง อนาคาบ้าง อย่างมหานามอยู่ในวังได้อนาคา พี่ชายพระอนุรุธนั่นเมื่อมีขึ้นมาครั้งแรก ต้องแจกกันไปอย่างนั้น

    ต่อเมื่อพระราชาผู้เฒ่าอยากฟังธรรม ก็ใช้บริวารไปอาราธนาพระพุทธเจ้ากรุงราชคฤห์ ทางกรุงกบิลพัสดุ์ไปกรุงราชคฤห์ ไปเท่าไรไปบวชหมด ทีหลังให้กาฬอุทายีไป ต้องให้บวชไปพร้อมเลย ไปถึงก็ไปบวชให้อาราธนาไปแสดงธรรม ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระไป ๑,๐๐๐ องค์ เดินตามทางไป เดินไปก็เทศน์ไป แต่กาฬอุทายีนั้นไปบิณฑบาตกรุงราชคฤห์บ้าง ไปบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์บ้าง มาถวายพระพุทธเจ้า ส่งข่าวสารตามรายทางไป

    พระพุทธเจ้าเดินไปเทศน์ไป พอไปถึงกรุงกบิลพัสดุ์ก็ไม่มีที่พัก ก็พักอยู่ในสวนของมหากษัตริย์ เมื่อพักในสวน พวกประยูรญาติจัดที่พระพุทธเจ้าคราวลูกคราวหลาน ยังไม่ค่อยจะเชื่อฟังเท่าไร

    เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงเรื่องชาดก เรื่องพระเวชสันดร มหานาม พระสารีบุตรก็มาทางอากาศมาจากเขาคันธมาทนฟังธรรมอยู่บนอากาศโน่น พระพุทธเจ้าแสดงโบกขรพรรษตกลงมา พวกประยูรญาติเห็นอย่างนั้นแล้ว เมื่อใครประสงค์จะให้ฝนถูกก็ถูกได้ ใครไม่ประสงค์ให้ถูกก็ไม่ถูก

    พระสุทโธทนะก็กราบไหว้ตั้งแต่ครั้งเป็นกุมารทีหนึ่งแล้ว มากราบไหว้อยู่ ครั้งแรกนาขวัญทีหนึ่งแล้ว มาครั้งที่สาม ก็มาแสดงธรรมเรื่องเวสสันดรชาดกนั่นเอง พระสารีบุตรมาเป็นผู้รับฟัง พระประยูรญาติอย่างนั้นมีจริง มหาทานเรื่องเวสสันดรชาดกบริจาค ๕ มีจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง จึงได้ยอมฟังธรรม แต่อย่างนั้นก็ไม่ได้บรรลุธรรมกันหมดทุกคน ได้เพียงโสดา สกิทาคา อนาคากันมั่ง

    ทีนี้พระสุทโธทนะก็ได้มาฟังธรรมครั้งสุดท้าย มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ไปด้วย พระราหุลไปด้วย อย่างนี้บ่อย ได้ฟังธรรมบรรลุอรหันต์ แล้วกำหนดดูว่า อายุอยู่เพียง ๗ วัน ถึงบวชไปก็อยู่ได้ ๗ วัน ถึงไม่บวชอยู่นั่น ก็ได้นิพพานอยู่นั่น จึงได้นิพพานในวังนั่นเอง พระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปทำศพ

    นี่อรหันต์ไม่ใช่ว่าบวชทั้งหมด ไม่ใช่เป็นฆราวาสทั้งหมด สันติอำมาตย์ก็เพียงแต่ว่าฟังธรรมวันนั้น บรรลุวันนั้น ลานิพพานวันนั้นก็มี

    พระภาคิยะก็เหมือนกัน ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว ยังไม่มีกาสาวพัสตร์มาสวม ต้องไปหาผ้ากาสาวพัสตร์มาทีหลัง พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตกลับมา เห็นว่านั่นภาคิยะตายเสียก่อนบวช ไม่ได้บวชคือหมดอาสวะอยู่แล้ว ก็บวชอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จไปทำศพให้

    พระสงฆ์ถามพระพุทธเจ้าว่า พระภาคิยะที่โคขวิดตายนี้วิญญาณไปเกิดที่ไหน วิญญาณไม่ไปเกิดในโลก วิญญาณหมดอาสวะแล้ว ก็เป็นอันว่ากิเลสนิพพาน ขันธ์นิพพาน มีแต่ธาตุที่ ๘ นั่นเอง เป็นธาตุบริสุทธิ์ อัฎฐธาตุโย คือจักษุก็เป็นธาตุ รูปก็เป็นธาตุ ธาตุเกิดอายตนะ ภะเวทานัง อายตนะภายในมี ๖ เกิดอย่างละสาม อย่างละสาม หกสามเป็นสิบแปด

    อัฎฐธาตุโยธาตุนี้ ธาตุพระพุทธ ธาตุพระธรรม ธาตุพระสงฆ์ ไม่มีการเกิด การตาย ธาตุบริสุทธิ์ไม่มีอาสวะ ไม่มีโลภะมูล โทสะมูล โมหะมูลไปอาศัยได้ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ไปอาศัยได้ กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘ เข้าไปไม่ได้เลย อวิชชาปัจจัยการไม่มี อวิชชาสวะไม่มี อวิชชาโอฆะไม่มี อวิชชาสังโยชน์ไม่มี อวิชชานุสัยไม่มี หมดไปแห่งอาสวะทั้งหมด มีแต่ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติญาณขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนะขันธ์ ขันธ์นี้เข้าขันธ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ขันธ์พระธรรมนี้ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่คน สัตว์โลกทั้งหลายมีเกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด เกิดไม่แล้วสักที
    อดีตของเราทุกคนนะ บางคนจะจำได้หรือไม่ก็ตามใจ พระพุทธเจ้าอดีตแสดงธรรมอยู่แปดพันปี องค์ปัจจุบันแสดงอยู่สี่สิบห้าปี ได้ศาสนาอยู่ห้าพันปี องค์ข้างหน้าจะแสดงอยู่อีกแปดหมื่นปี นี่เราไม่ทันพระพุทธเจ้าอดีตก็ดี ไม่ทันพระพุทธเจ้าปัจจุบันก็ดี ถ้าเราทำพุทธคุณ ๕๖ ธรรมคุณ ๓๘ สังฆคุณ ๑๔ คุณ ๑๐๘ นี่แหละเรียกว่าหมดเกิดหมดตาย ก็เป็นธาตุบริสุทธิเหมือนกัน

    พุทธคุณเป็นธาตุบริสุทธิ์ ธรรมคุณเป็นธาตุบริสุทธิ์ สังฆคุณเป็นธาตุบริสุทธิ์นี่เอง แทนพระพุทธ แทนพระธรรม แทนพระสงฆ์

    เมื่อผู้ใดถึงศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตขันธ์ ญาณทัสสนขันธ์ แทนพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธัมมปิฎก มีอยู่ภายใน ปิฎกภายนอกมีอยู่ในกระดาษและใบลานอย่างนี้

    พระพุทธภายนอกมี พระพุทธภายในก็คือพระพุทธคุณ พระธรรมภายใน ธรรมคุณ พระสงฆ์ภายใน คือสังฆคุณนี่เอง เมื่อไรได้ตรัสรู้แล้ว ดับอวิชชาปัจจยการ ดับอวิชชาโอฆะ ดับอวิชชาสวะ ดับอวิชชาสังโยชน์ ดับอวิชชานุสัย มีแต่วิชชา

    วิชชานี้นำไปแต่ฝ่ายความเจริญ สู่วิชชามนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม เจริญในอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศีลนั่นแหละนำความสุขมาให้

    พูดถึงสมาธิแล้ว สมาธินำความมั่นใจมาให้ ปัญญานำความตรัสรู้มาให้ มีสุขก็เพราะศีล มีโภคะสมบัติก็เพราะศีล มีนิพพานสมบัติก็เพราะศีล เป็นต้น

    ตั้งแต่ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ถึงปรมัตถ์เหมือนกัน ศีลพระเจ้าแม่น้ำสามร้อยสิบเอ็ด ศีลภิกขุวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ออกบวชเป็นอย่างนั้น

    ถ้าหากในสมัยนี้เข้าไปบวชในศาสนาแล้ว ต้องมีพระสงฆ์ ๒๕ รูป มีอุปัชฌาย์เป็นประธาน ถ้าหากเข้าไปบวชแล้วต้องถามว่า “มนุสโสสิ” ถามเอาจิตใจนั่นเองไม่ใช่ถามรูปกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เราก็เห็นอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นมนุษย์โดยสมมติ มนุษย์โดยจิตนั่น มนุษยสัมมาทิฎฐิ สัมมาอาชีวะ สัมมาความเห็นถูกต้องในคลองธรรมนั่นเอง

    กายกรรม ๓ บริสุทธิ์ วจีกรรม ๔ บริสุทธิ์ มโนกรรม ๓ บริสุทธิ์นี่เอง การเป็นอยู่ของมนุสสธรรม คือพ้นจากมิจฉาทิฎฐิ ๖๒ มีสัมมาทิฎฐิเป็นที่รับรอง สัมมาทิฎฐิ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมามนุสสธรรม มีธัมมจักกะในชีวิตจิตใจ ไม่ให้ตกไปในที่ชั่วไม่ให้ตกไปในอบายมุข ๔ อบายภูมิ ๔ สัมมาทิฎฐิเทวธรรม สัมมาทิฎฐิพรหมธรรม สัมมาทิฎฐิโลกุตตรธรรม สัมมาทิฎฐิอริยมรรค ๔ สัมมาทิฎฐิอริยผล ๔

    สัมมาทิฎฐิโลกุตตรธรรมส่งให้ถึงนิพพาน ไม่มีอวิชชาจะไปปนเลย มีวิชชา ถ้าเรารู้ว่าธรรมภายในไม่เกิดไม่ตาย ธรรมภายนอกก็ไม่เกิดไม่ตาย ปริยัติเป็นธรรม ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิเวธเป็นธรรม มีศีลเป็นธรรม สมาธิเป็นธรรม ปัญญาตรัสรู้แล้วเป็นธรรมหมด นี่เรียกว่าทางตรัสรู้สิ้นไปแห่งอาสวะสิ้นไปแห่งอวิชชาทั้งหมด อวิชชาสังโยชน์ไม่มี อวิชชานุสัยไม่มี เรียกว่าเจริญในพุทธศาสนา เจริญตัวเองนี่เอง

    เจริญตัวเองนี่เป็นสัพพัญญูพุทธะก็ได้ ลิ้นมีศีล อายตนะภายในมีศีล อายตนะภายในมีศีล อายตนะภายนอก ๖ มีศีล สีลจเวทนาตะนัง ศีลเกิดอยู่ที่จิตใจ สมาธิเกิดที่จิตใจ ปัญญาเกิดตรัสรู้อยู่ที่จิตใจ ตรัสรู้รอบคอบไปหมด รู้ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฎิจจสมุปบาท อายุของพระพุทธเจ้าที่ต่างกัน องค์อดีตมีแปดพันปี องค์ปัจจุบันมีสี่สิบห้าปีจบ ได้ศาสนาห้าพันปี ได้ศาสนาเกินกว่าอายุไว้มาก ๕,๐๐๐

    องค์ข้างหน้ามาอีก ๘๐,๐๐๐ ปี เทศน์อยู่อีก ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วองค์ต่อๆ ไปมีพุทธวงศ์ตรัสรู้ต่อๆ กัน ธรรมวงศ์ก็ทรงไว้ซึ่งธรรมตรัสรู้ สังฆวงศ์ก็มีต่อๆ กันไปไม่รู้จักหมดสิ้น ส่วนพุทธศาสนามีคงที่

    เหมือนอย่างภายนอกนี้ก็มี สกุลเศรษฐีเจ็ดชั่วคนก็มี สกุลกษัตริย์เจ็ดชั่วกษัตริย์ก็มี มาถึงที่ก็มีพระพุทธเจ้าสืบๆ ต่อกันมามีองค์อดีต มีองค์อนาคต มีองค์ปัจจุบันต่อๆ กันมา มีเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวกันรู้กันได้

    พระพุทธเจ้าต่อพระพุทธเจ้ารู้กันได้ พระพุทธเจัาองค์นั้นเทศน์มาอย่างนั้นๆ เท่านี้มีพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรมเหมือนกัน แต่ว่าไม่เทศน์ ให้ทิ้งอริยสัจ คือว่าให้รู้จักทุกข์ ทุกข์นั้นเกิดขึ้นให้รู้จักทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์เกิด ทุกข์แก่ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ คงไว้ซึ่งศาสนา ทรงไว้ซึ่งบุคคล ยืนทรงพระพุทธเจ้าไว้ ทรงพระธรรมไว้ ทรงพระอรหันต์ไว้ ภิกษุ ภิกษุณี

    มรรคผลนิพพานมีบริบูรณ์ได้ มีนิโรธธรรม มีนิพพานธรรม คือมีดับทุกข์ ผัสสะมา มาทางตานิโรธหมด มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางอายตนะภายใน ๖ เป็นนิโรธหมด ภายใน ๖ มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นนิโรธหมด

    นิโรธธรรมนี่แหละติดอยู่ (ที่อยู่ของบุคคลผู้ใดเราก็เรียกว่าเป็นสาวกก็ได้ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นสาวกพุทธะได้ เป็นธรรมศาสนาได้ เป็นพระพุทธศาสนา ธรรมศาสนา สังฆศาสนาไม่มีสากล ไม่มีใครจะเอาศาสนาอื่นมาเทียบได้

    มีแต่พระพุทธเจ้าไปก่อน ผู้บุกร้างถางพงไปก่อน พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูพุทธะตรัสรู้ก่อนเพื่อนปัจเจกพุทธะตรัสรู้ สาวกพุทธะตรัสรู้ ตรัสรู้อริยสัจเหมือนกัน ทุกข์เกิดกับจิตนั่นเอง สมุทัยเกิดกับจิตนั่นเอง นิโรธสัจเกิดจากจิตนเอง

    นิพพานสมบัติเหนือนามเหนือรูป นิโรธสัจรู้แจ้งแล้วไม่เกิดไม่ตายนั่นเอง

    ฉะนั้นขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้เจริญในปริยัติธรรมก็ดี ปฏิบัติธรรมก็ดี ปฏิเวธธรรมก็ดี เป็นผู้หมดทุกข์ หมดเกิด หมดแก่ หมดตาย ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตายนั่นแหละเป็นแก่นศาสนา เป็นแก่นไม้สัก ไม้ยาง เป็นแก่นไม้ประดู่ลาย เราจะไปเอากระพี้หรือเปลือก ใบ เป็นศาสนา เอาใบลานเป็นศาสนา เอากระดาษเป็นศาสนา ถูกเหมือนกัน แต่มันถูกแต่ชื่อ

    ถ้าถูกโดยว่าหมดอาสวะได้ ต้องถึงจิตถึงใจนั่นเอง จิตเป็นผู้ถึงธรรมถึงมนุสสธรรม ถึงเทวธรรม ถึงพรหมธรรม ถึงโลกุตตรธรรม ถึงอริยมรรค ๔ถึงอริยผล ๔ ถึงด้วยจิต

    จิตถึงแล้วหมดอาสวะมีแต่จิตเปล่าๆ มีแต่ขันธ์เปล่าๆ มีแต่นิโรธธรรม นิพพานธรรมนั่นเอง ธรรมขันไม่ตาย ธรรมขันไม่เกิด ไม่มีทุกข์มีโศก อุปายาส นั่นแหละเรียกว่าศาสนา เกิดอยู่กับจิตใจนั่นเอง

    จิตใจภายนอกนี้มีอีกองค์หนึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นที่ ๒ มีสาวกพุทธะเป็นที่ ๓ ภิกษุ สามเณร อุบาลก อุบาสิกาให้เจริญในอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ให้ไปถึงมรรค ๔ ให้ไปถึงมรรค ๔ ผล ๔ ถึงนิโรธธรรม นิพพานธรรมทั่วหน้ากัน

    ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความทุกข์กายทุกข์ใจเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นอย่าให้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ให้มีแต่ธรรมะ พ้นเกิด ตาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ อยู่เต็มตา หู จมูก ลิ้นกายใจ ตามีศีล หูมีศีล จมูกมีศีล คือค้นหาพระพุทธเจ้า สร้างบารมีมา ๔ อสงไขย กำไรแสนมหากัปป์ แปดอสงไขยกำไรแสนมหากัปป์ สิบหกอสงไขยกำไรแสนมหากัปป์ แต่ก็ตรัสรู้อย่างเดียวกัน

    ยกพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธัมมปิฎก มีจิตเจตสิก รูปนิพพาน เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ นิพพานปรมัตถ์ พ้นสัตว์ พ้นคนไปเสีย พ้นสัตว์โลก สัตว์โลกยังข้องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นตัวตน ตายก็ว่าเป็นตัวตน อย่างนั้นจึงได้เป็นทุกข์

    พระพุทธเจ้าวางทุกข์หมดแล้ว ทุกข์เกิด ทุกข์แก่ ทุกข์เจ็บ ทุกข์ตาย วางหมด พระสาวกทั้งหลายวางหมดทุกคน มีภิกษุภิกษุณีละหมด เป็นผู้เสียสละได้ เสียสละได้ เสียสละความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ถือว่าเป็นสัตว์เป็นคน ไม่ถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นบ้านเป็นเมืองของตัว ไม่ถือวัตถุเป็นตัว ถือศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตขันธ์ เอาเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์.ภิกษุ ภิกษุณ พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นจากพิรี้พิไรรำพันไม่มีนี่แหละ

    ขอฝากไว้กับพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย ขอให้เจริญพุทธศาสนานี้ เจริญงอกงามไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย พ้นจากเกิด แก่ เจ็บตาย นั่นแหละเป็นตัวพุทธศาสนา ธรรมศาสนา สังฆศาสนา เป็นอย่างนี้ เป็นความไม่ตาย เป็นความไม่เกิด เราจะถอยหลังดูตัวของตัวเอง เราผ่านมาแล้ว ๕,๐๐๐ ปีไม่รู้จบ อนากุล จ กัมมันตา เกิดแล้วไม่แล้ว ตายแล้วไม่แล้ว ตายแล้วไม่แล้ว หลงๆ ลืมๆ

    ถ้าหากมาปัจจุบันนี้แหละไม่หลง ธรรมะปัจจุบัน พุทธศาสนามีจริงธรรมศาสตร์มีจริง สังฆศาสนามีจริง ความเกิด แก่ เจ็บตาย ของสัตว์โลกมีจริง ความไม่เกิด ไม่ตายของพุทธศาสนามีจริง อริยมรรคมีจริง อริยผลมีจริง นิโรธธรรมมีจริง นิพพานธรรมมีจริง นี้ให้รู้แจ้งเห็นจริง

    รู้ไว้เห็นไว้ ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามเมื่อไหร่ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ให้รู้ให้เห็นเสียก่อน เราอย่าเพิ่งปฏิเสธเสียก่อน เราจะว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่มีประเทศโน้น ประเทศนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้า รู้จักว่า แม่พระธรณีน่ะมีอยู่ทุกเมื่อ มีอยู่ทุกองค์ พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ มาก็เห็นแม่ธรณี แม่โพสพ แม่ธรณีนี้เหมือนแผ่นดิน อากาศ น้ำ ลม ไฟ ใครจะทำอย่างไรไม่ถือทั้งนั้น เป็นผู้ให้อภัยทั้งหมด

    สัตว์โลกทั้งหลายอยู่ด้วยแม่ธรณีบังเกิดเป็นผู้ให้ที่อยู่อาศัยเป็นผู้รักษาไว้แห่งอภัยสัตว์ทั้งหลาย แม่โพสพจึงเป็นข้าวเจ้าข้าวเหนียวเลี้ยงดูอยู่เสมอ

    นี่พระพุทธเจ้าต้องผ่านทางนี้ พระธรรมต้องผ่านทางนี้ พระสงฆ์ต้องผ่านทางนี้ ผ่านแม่ธรณี แม่โพสพ ผ่านทางอุปถัมภกรรม ผ่านทางชนกกรรม ผ่านทางมนุษยโลก สวรรค์ เทวโลก พรหมโลก ผ่านไปแล้วถึงนิโรธธรรม นิพพานธรรม ธรรมะก็ยังไม่ลืมไม่หลง เป็นผู้รู้จักคุณค่าของโลกดี โลกนี้นำมาใช้ ดินก็นำมาใช้ได้ แม่น้ำก็นำมาใช้ได้ ลม ไฟ อากาศ นำมาใช้

    ในสมัยก่อน ไฟยังไม่มากถึงเพียงนี้ มีแต่รถไฟมาเพียงเล็กน้อย มีแต่รถไฟเดินไปเดินมา รถม้า รถราง
    มาเดี๋ยวนี้ไฟก็ใช้ได้ทั้งวันทั้งคืน น้ำไหลไฟสว่างก็เพราะว่าเอามาทำอุปกรณ์ถูกเรื่อง เป็นเครื่องใช้ของมนุษยธรรม เทวธรรมก็ใช้เหมือนกัน พรหมธรรมก็ใช้ได้เหมือนกัน โลกุตตรธรรมก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้อย่างเดียวกัน ใช้อุปกรณ์อย่างเดียวกัน ไม่มีแผ่นดิน แม่น้ำ ไฟ ลม อากาศ

    ใช้ภายนอกก็มี ๔ ภายในก็มี ๔ มีดิน มีไฟ มีน้ำ มีลม ถ้าไม่มีนี่เราจะเอาอุปกรณ์ที่ไหนใช้กัน ภายในก็มี ภายนอกก็มี อย่าหลง อย่าลืม

    ขอให้จำไว้ว่า ภายในของเราก็มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณภายในภายนอก ก็มีเท่ากันหมด จึงได้อาศัยอาสากันได้ ดินภายนอก น้ำภายนอก ไฟภายนอก ลมภายนอก อากาศภายนอก วิญญาณภายนอก อากาศภายใน มีสมทบกัน ต่างคนต่างอาศัยอาสากัน อาศัยเอามาเป็นเครื่องใช้อย่างเดียวกัน ทั้งวันทั้งคืนก็ได้ น้ำก็ใช้ได้ ไฟก็ใช้ได้ อากาศก็ใช้ได้ ลมใช้ได้ อากาศก็ต้องมีลม ไฟไม่มี น้ำไม่ไหล ไฟก็ไม่สว่าง ถ้ามีไฟสว่างน้ำไหลเรื่อย ถ้าลมขาดไฟก็ดับ ถ้าไฟดับ ลมก็ดับด้วย อย่างนี้แหละเครื่องเกิดดับ เอามาประกอบกันได้ ให้มันติดต่อกันได้ ให้มันสามัคคีกัน

    ชีวิตของเราเกิดมาอยู่ในท้อง เราก็เดินได้ นอนอยู่ แก้ผ้านอนอยู่ ๑๐เดือน คลอดออกมาก็นอนอยู่ ๑๐ เดือน มาบัดนี้เราเกิดมาก็คือเอา ดิน น้ำไฟ ลม อากาศ มาสมทบกันให้เป็นอุปกรณ์ของเรา ใช้เป็นมรรคเป็นผลให้ได้ ให้เป็นมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม ใช้เป็นธรรมแล้ว กฎหมายอาญานั้นกันลูกเป็นไม่ได้ กันลูกระเบิดไม่ได้ ทะเลาะกันทุกวัน ทิ้งระเบิดกันทุกวันอย่างนี้

    ถ้าศีลธรรมนี้ถูก ลูกระเบิดก็ไม่มี ลูกกระสุนก็ไม่มี ไม่มีใครทำลายใคร มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมือนพี่น้องชาวพุทธนี้ อยู่ด้วยศีลธรรมต่างหากล่ะ ถ้าไม่มีศีลธรรมก็เกิดความร้อน ไฟราคะมันก็เป็นไฟ ไฟโทสะก็เป็นไฟ ไฟโมหะก็เป็นไฟ ไฟมันก็เผาตัวเองนั่นเอง โลภะมูล ๘โทสะมูล ๒ โมหะมูล ๒ อุปกิเลส ๑๖ กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด นี้มาคุมจิตก็ลำบากลำบน

    ถ้าหากว่าจิตได้ความรู้ ได้บำรุงด้วยมรรค ๓ ผล ๔ นิพพานสมบัติมีแล้วไม่เกิดไม่ตาย ไม่มีความรุ่มร้อน ไม่มีอาสวะทั้งหลายมารบกวน อวิชชาทั้งหลายไม่มา โลหะมูลไม่มา โทสะมูลไม่มี โมหะมูลไม่มา ราคะไม่มา โทสะไม่มา โมหะไม่มา มีแต่ธรรมขันธ์ ๔ มีแต่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม สามัคคีกันอยู่ตลอดถึงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

    ขอให้มีความสามัคคีโดยทั่วหน้ากันโดยฉับพลันเทอญ

    www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_budda/lp-budda-21.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2009
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    กราบอนุโมทนาธรรม พระอรหันต์หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    สาธุๆๆ สัทธา ทานัง อนุโมทนามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...