ประสบการณ์ วัตถุมงคล ของพระครูพิศิษฎ์รัตโนภาส ปภากโร หลวงพ่อเสียน วัดมะนาวหวาน

ช่วงนี้ผมนังนับถอยหลัง นับวันรอวันที่จะไปรับเบี้ยแก้ชุดพิเศษของหลวงพ่อเสียน แล้วล่ะครับ

เหลืออีก 10 วันนับจากนี้ก็จะได้ไปรับเบี้ยแล้วครับ ... ใครมีความประสงค์ที่จะร่วมไปทำบุญ ก็แจ้งมาทาง PM กันได้เลยครับ(มี 2 ที่นั่งครับ 555+) :VO

ท่านใดที่ต้องการเบี้ยแก้หลวงพ่อเสียน ก็เรียนเชิญทำบุญกับทางวัดมะนาวหวานได้ที่วัดครับ ...

 

ไว้กลับชลบุรี จะลองถามๆ ดูเผื่อมีขายยกกระสอบ
วันนี้ไปงานวิทยาศาสตรืทางจิตมา เขาขายตัวละตั้ง 30 แถมฟันยังไม่ครบอีก
ราคาโหดมาก

 

โห๊...โหดร้ายครับราคานี้ ลองถามๆดูหน่อยนะครับ ยกกระสอบราคาเท่าไรเผื่อจะซื้อมานับให้ตาแหล่ดูซะที555...

 

กราบหลวงปู่เสียนด้วยคนครับ

แวะมาติดตามอ่านด้วยครับ

 

ตัวละ 30 บาท ราคานี้ถือว่าโหดสุดๆๆ เลยครับ ... ขนาดผมไปคัดที่ร้านอาแป๊ะขายยาจีนมาไม่เกินตัวล่ะ 15 บาทครับ (ตัวใหญ่ 15 บาท ตัวเล็ก 12 บาท) อาแป๊ะบอกว่าปกติเขาไม่คัดกัน(พวกทำของเหมือนของแท้) แต่เห็นผมจะเอาไปให้หลวงพ่อเสียนเขาจึงยอมให้คัดครับ อิอิ ... อาแป๊ะคนนี้ก็เคารพหลวงพ่อเสียนเช่นกันครับ

 

ดีนะครับยังยอมให้นั้งคัด ที่กทม.ผมจะลองขอเค้าคัดบ้างครับ อิอิอิ

 

เข้ามาติดตามด้วยคนครับ
ครึกครื้นเรื่องเบี้ย เปิดมุมมองใหม่ได้ความรู้ดี
ขอบคุณที่นำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

 

ไว้จะลองถามดู แล้วยกมานั่งคัดกันเลย คงสนุกน่าดู ฝึกสมาธิจิตได้อย่างดี ฮ่าๆๆๆ

 

ดีครับ...นั้งนับนอนนับ...คงสนุกอย่างว่าแหละครับ อิอิอิ

 

การนับฟันเปลือกเบี้ยนะครับเพื่อไม่ให้เสียเวลานับนาน และตาลาย 555+...นับแถบใดแถบหนึ่งนะครับถ้าแถบนั้นมีฟันถึง 16 ซี่ค่อยนับต่อครับมีโอกาสสูงที่จะเป็นเบี้ยที่มีฟัน 32 ซี่ครับ ... บางครั้งด้านหนึ่งมี 16 ซี่ อีกด้านหนึ่งมี 15 ก็มีนะครับอย่าเหมารวมว่าด้านหนึ่ง 16 ซี่แล้วอีกด้านหนึ่งจะ 16 ซื่เป็นอันขาด ต้องตังใจนับนะครับ(ตั้งใจมากตาลายมาก 555+) ... โอกาสที่จะได้พบเบี้ยฟัน 32 ซี่มีโอกาสประมาณ 3% ครับทุกๆท่าน ต้องทำใจไว้นิดหนึ่งแต่ถ้าเราตัดต้วที่ไม่เข้าเค้าออกได้เราก็ไม่จำเป็นต้องนับทุกซี่ครับ

ขอให้โชคดีพบเปลือกเบี้ยที่มีฟัน 32 ซี่ นะครับ (deejai)

 

วันหลังมาคุยกันเรื่องปรอทดีกว่าครับ จะได้ครบถ้วนเรื่องเบี้ยไปเลยครับ...

 

เคยลงไว้แต่นานมาแล้วยังงั้นขอเอาของเก่ามาต่อใหม่นะครับ หากท่านใดมีความเชี่ยวชาญ หรือมีสิ่งที่กระผมถ่ายทอดออกมายังไม่ครบสมบูรณ์กรุณาช่วยต่อเติมให้ด้วยนะครับ

ฝอยให้อ่านกันครับ...วันนี้มาฝอยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ได้อ่านกันเล่นๆครับ

เรื่องปรอท : ปรอทคือโลหะธาตุชนิดหนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไปในน้ำ ในดิน หรือแม้แต่ในอากาศ ปรอทเป็นโลหะที่มีคุณลักษณะเหลวแต่จะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิ -40 องศาเซลเซียส (มีอะไรที่จะทำให้ปรอทแข็งได้ ตอบ N2 หรือไนโตรเจนเหลวไงครับ(ขนาดคนเหล็กเจอเจ้านี่ยังแข็งเลย 555+)) ปรอทจะขยายตัวและจะระเหยเป็นไอเมื่อได้รับความร้อน เขาจึงใช้ปรอทในทางการแพทย์คือนำมาทำปรอทวัดไข้ และในเหมืองทองก็ใช้ปรอทเป็นตัวจับทองแล้วใช้ความร้อนไล่ปรอทเพื่อแยกทองออกจากปรอท ปรอทเป็นโลหะธาตุที่มีพิษอันตรายของพิษปรอทถึงขั้นเสียชีวิดเลยนะครับทุกๆท่าน อย่ากินหรือสูดดมไอระเหยของปรอทเข้าไปล่ะครับ


+++ด้วยความรู้อันน้อยนิด(เท่ากบในกะลา)ก็เล่าได้เท่านี้ล่ะครับวิชาการ+++

ตามโบราณที่กล่าวกันมา
โบราณท่านกล่าวว่าปรอทนั้นเป็นโลหะที่มีชีวิตไปไหนมาไหนได้เอง แล้วจะกินของเสียเป็นอาหาร ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าของเสียหรือสิงอัปมงคลใดๆก็แล้วแต่จะถูกปรอทกิน สิ่งไม่ดีเหล่านนั้นจะแพ้ปรอท อันเป็นที่มาของการนำปรอทมาทำเป็นเครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลให้กับผู้ที่ได้ครอบครอง

ตามที่โบราณท่านจดบันทึกไว้ (อ่านมาจากหนังสือชื่ออะไรก็จำไม่ได้นานมากแล้ว)

ปรอทน้ำ : ปรอทที่อยู่ตามแหล่งน้ำทั่วๆไปการดักจับปรอทแบบโบราณนั้นจะเอาไข่ใส่หม้อ (หม้อดิน) ปิดด้วยผ้าแล้วถ่วงลงไปในน้ำเมื่อไข่เน่าปรอทก็จะมากินไข่ที่ถูกถ่วงน้ำ ผู้ที่ดักปรอทก็จะนำหม้อขึ้นมาแล้วทำการแยกปรอทออกมาแล้วทำพิธีล้างพิษปรอทที่ได้มาก่อนจะนำไปทำเบี้ยแก้

ปรอทดิน : ปรอทชนิดนี้จะอยู่ใต้ดินผู้ที่ดักปรอทชนิดนี้ต้องทั้งเก่งและกล้าด้วยเพราะเมื่อก่อนเขาจะจับปรอทชนิดนี้ในหลุมฝังศพเพราะปรอทมากินซากศพ โบราณท่านว่าปรอทชนิดนี้เฮี้ยนดีขลังดี เมื่อดักจับได้ปรอทมาก็จะทำการแยกเอามาแต่ปรอท (อย่างอื่นที่ติดมาก็ซาก...) แล้วทำพิธีล้างพิษปรอทก่อนที่จะมาทำเบี้ยแก้

ปรอทอากาศ : ในอากาศนี่มีปรอทอยู่ด้วยนะครับวิธีดักเคยอ่านเจอว่ามีต้นไม้ชนิดหนึ่งปรอทชอบมากินใบไม้ชนิดนี้ (ต้นอะไรก็ไม่รู้) เวลาดักจับต้องไปแต่เช้ามืดไปขูดปรอทออกจากใบไม้ (กว่าจะได้แต่ละหยดใช้เวลานานมากๆ หลักเป็นปีน่ะครับ) แต่เคยได้อ่านหนังสืออีกเช่นกันว่ามีพระอาจารย์สามารถจับปรอทอากาศได้ (จำได้คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็น หลวงปู่รอด วัดนายโรง กับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว) จัปได้แล้วก็เช่นเคยครับทำพิธีล้างพิษปรอทก่อนที่จะมาทำเบี้ยแก้

การล้างพิษปรอทพระอาจารย์ผู้ที่ทำพิธีนี้ต้องมีคาถาอาคม ถึงจะล้างพิษปรอทได้ เคยได้ยินว่าพระอาจารย์ที่สร้างเบี้ยแก้อันโด่งดังนั้นทุกท่านล้วนกลืนปรอทได้ทุกท่านเพราะท่านมีไสย์เวทย์ที่จะล้างพิษปรอทได้เท่าที่(กบในกะลา)จำได้ก็มี หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ซำ วัดตลาดใหม่ หลวงปู่พักต์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงปู่คำ วัดโพธิ์ปล้ำ จำได้เท่านี้เองครับใครรู้ว่ามีท่านใดอีกก็บอกกันบ้างนะครับ

 

ถามนิดนึงครับ ทำอย่างไรชันโรงที่อุดท้องเบี้ยถึงจะแห้งสนิทครับ เพราะผมเก็บเบี้ยแก้ใส่ถุงพลาสติกไว้จนบางครั้งเหนียวติดถุงเลยครับ นำออกมาผื่งอากาศข้างนอกเป็นเดือนๆ ก็ยังไม่หายโดยเฉพาะเวลาอากาศร้อนเอามือแตะดูจะรู้สึกเหนียวๆครับ แต่เบี้ยแก้บางสำนักก็ไม่มีอาการเช่นนี้ครับแห้งสนิทดี ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร....

 

ขอบคุณครับผม ที่นำมาเล่าให้ฟัง งั้นผมติดเรื่องหอยเบี้ยก็แล้วกันครับ
ว่าเพราะอะไรจึงต้องใช้เปลือกหอยเบี้ยในการบรรจุปรอทด้วย ใช้อย่างอื่น
แทนไม่ได้หรือ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปครับ แต่ต้องถามอาจารย์ก่อน
เพราะเรื่องที่แกเล่าจำหลักใจความสำคัญไม่ได้ เล่าไปกลัวจะผิดเพี้ยนครับ


ขอถามคุณบัวฉัตรนิดนึงครับ พอจะแยกชนิดปรอทธรรมชาติกับปรอทวิทย์ได้ใหมครับ...

 

ความเห็นผมนะครับพี่ น่าจะขึ้นอยู่กับชนิดของชันโรงครับผม
แต่โดยปกติแล้วชันโรงไม่มีทางแห้งแล้วแห้งเลยได้ โดนความร้อนหน่อย
ก็นิ้มตัวแล้วครับ แก้ปัญหาก็คือทำให้มันเย็นครับ พี่ลองเอาใส่ถุงพลาสติก
และแช่ช่องฟรีซดูครับ บางสำนักเค้าก็มีตัวผสมให้แห้งนะครับ
แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรครับ...

 

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ถ้าแช่ช่องฟรีซแล้วนำออกมา เมื่อความเย็นหมด มันจะไม่กลับไปเหนียวเหมือนเก่าหรือครับ น่าจะเป็นสูตรของแต่ละสำนักก็ได้นะครับ

 

เจ๋งเลยครับทั้งคุณปื๊ดและคุณบัวฉัตร ได้ความรู้มากขึ้นเยอะเลย (y)

 

เท่าที่ได้ยินมาจากคนสูงอายุเล่าให้ฟังนะครับจริงไม่จริงอย่างไรผมเองก็ไม่ค่อยจะทราบครับ ชันนะโรงใต้ดินจริงๆแล้วจะไม่แห้งสนิทครับจะแข็งก็เฉพาะส่วนภายนอกที่ถูกอากาศนานๆเท่านั้น(50 ปีขึ้นไป)แต่เมื่อถูกความร้อนก็จะออ่นตัวเช่นเดิมครับ

ส่วนชันโรงที่แห้งแล้วแข็งก็จะเป็นชันโรงในต้นไม้ที่แห้งแล้วแข็งเพราะยางไม้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แข็งตัว

ชันยาเรืออันนี้ก็ถือว่าเป็นชันที่ใช้อุดท้องเบี้ยแก้ได้เช่นกันชันชนิดนี้เมื่อแห้งสนิทก็จะแข็งครับ

ส่วนชันนะโรงที่บางสำนักใช้แล้วแข็งก็จะมีส่วนประกอบอื่นๆครับเช่นวัดโพธิ์ปล้ำจะใช้ทั้งชันยาเรือส่วนชันนะโรงใต้ดินจะผสมผงว่านยา ตรงว่านยานี้อาจจะทำให้เมื่อแห้งแล้วจะมีความแข็งน่ะครับ

แต่ถึงกระนั้นสรรพคุณของชันนะโรงก็จะเป็นเช่นเดิมครับคือเมือถูกความร้อนจะอ่อนตัวถึงจะผ่านระยะเวลามามากเท่าไรก็ตาม(เท่าที่เคยพบนะครับ)

 

ขอบคุณมากครับ

 

ก็ลองดูก่อนครับ...ดีกว่าวางผึ่งลมเป็นเดือนครับผม 555