"วิมุตติคือความหลุดพ้น" หลวงปู่ขาว อนาลโย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 1 ธันวาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    "วิมุตติคือความหลุดพ้น"

    @@@การทำความดี มีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
    เป็นต้น การทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต เป็นต้น
    ครั้นเราทำความดี ความดีจะตามสนองให้เรามีความสุข
    มีสุคติเป็นที่ไป ครั้นเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนอง
    ให้เรามีความทุกข์ มีทุคติเป็นที่ไป พวกเราได้อัตภาพ
    ร่างกายมาสมบูรณ์ ก็เป็นเพราะปุพเพกตปุญญตา
    บุญของเราได้ทำมาแต่ปางก่อน พวกเราจึงไม่ควร
    ประมาท ควรรีบทำคุณความดี ละความชั่ว ความไม่ดีก็ให้
    เห็นว่ามันพาไปในทางไม่ดี ทำแล้วได้รับความเดือดร้อน
    ตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ พวกเรามีการทำบุญให้ทาน มีการ
    สดับรับฟังธรรมะ รักษาศีลภาวนา ก็พาให้เกิดความสบาย
    ใจ นั่นแหละบุญ เห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องลาตายแล้วจึงจะ
    ไปสวรรค์แล้ว ใจดีก็เป็นสวรรค์แล้ว ใจร้ายก็เป็นนรก เดี๋ยว
    นี้แหละ เพราะเหตุนี้ จงทำใจให้ร่าเริง อย่าไปทำให้เศร้า
    หมอง ขุ่นมัว มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข เพราะ
    ฉะนั้นจึงควรทำความดี อย่าประมาท ให้พากันทำสติ
    สัมปชัญญะให้รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ คือความรู้ตัวในการกระทำ
    ก่อนทำอะไรลงไป ให้คิดเสียก่อน ว่ามันได้ผลดีหรืออย่าง
    ไรต่อไปข้างหน้า ถ้ารู้ว่ามันไม่ดี ให้ความทุกข์เราเราก็ไม่
    ทำ ประกอบแต่คุณงามความดี ให้ระลึกรู้ว่าเมื่อมีเหตุก็ต้อง
    มีผล ไม่ให้ทำเสียเปล่าหรอก ทำเหตุลงไปแล้วไม่ได้รับผล
    ไม่มีหรอกในโลกนี้ เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี เหตุชั่วก็ต้องได้
    รับผลชั่ว มันจะสูญหายไปไม่มี


    @@@การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ คือ จิตไม่ขุ่น
    มัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความ
    สุข ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ
    การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้ว จะไม่มีความ
    หวั่นไหว ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงานทั้งทางโลกทั้ง
    ทางธรรม จากนั้นก็เป็นปัญญา ที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อ
    ปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเรียนทาง
    โลกก็สำเร็จ จะทำทางธรรมก็สำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่ง
    สอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมา เบื้องต้นตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้ง
    ของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา ไม่ว่าศีล สมาธิ
    ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติคือความหลุดพ้นด้วยกัน


    @@@ธรรมทั้งหลายตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีทุกขา มี
    อนิจจา มีอนัตตา ทั้งสามนี้ให้สำนึก พึงรู้ทุกขัง ชาติ ความ
    เกิดมาเป็นทุกข์ อนิจจัง มันไม่เที่ยง มันแปรเป็นอื่น
    อนัตตา มันไม่มีตัวตน บอกมันก็ไม่ฟัง บอกไม่ให้มันแก่มัน
    ก็แก่ ฟันบอกฟันไม่ให้มันหลุดมันก็หลุด หัวบอกไม่ให้มัน
    หงอกมันก็หงอก หนังบอกไม่ให้มันเหี่ยวมันก็เหี่ยว ผลที่
    สุดไม่นานก็นอนตายทับแผ่นดิน ส่วนดินก็ไปเป็นดิน ส่วน
    น้ำก็ไปเป็นน้ำ ส่วนลมก็ไปเป็นลม เหลือแต่ดวงวิญญาณนี้
    เท่านั้น นี่ธาตุ ๔ ให้แยกพิจารณาออก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่
    บุคคล ธาตุดินต่างหาก ธาตุน้ำต่างหาก มารวมกันแล้วมัน
    ก็แตกดับไป เป็นของไม่แน่นอน เป็นนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง
    มีแต่ทุกข์ ถ้าใครไปยึดไปถือ


    @@@ส่วนอริยสัจ ๔ ให้พิจารณาให้รู้ให้เห็นตามเป็นจริง
    ทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละเสีย นิโรธ ควรทำให้แจ้ง
    มรรค ควรทำให้เกิดให้มี ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่
    พยาธิ ความเจ็บ มรณะ ความตาย นี่ทุกขสัจ ทุกข์มันเกิด
    มาจากไหน ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ สมุทัยคือ
    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความใคร่ในรูปที่สวยที่
    งามในวัตถุกามต่างๆ มีเงินทองข้างของเป็นต้น เรียกว่า
    กามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น อยากเป็นโน่นเป็นนี่
    อยากเป็นเศรษฐีคหบดี เป็นต้น เรียกว่า ภวตัณหา ความไม่
    พอใจ ของได้มาแล้วหายไปก็เกิดความไม่พอใจร่างกาย
    ของตนก็ดี ของคนอื่นก็ดี เมื่อแก่ลงมามีความชำรุดทรุด
    โทรม ผมหงอก ฟันหัก แก้มตอบเป็นต้น เลยไม่พอใจ
    หรือเสียงเขาด่า เขานินทา ได้ยินเข้าก็เกิดความไม่พอใจ
    นี้เรียกว่า วิภวตัณหา ตัณหาทั้ง ๓ ประการนี้เป็นเหตุให้สัตว์
    ท่องเที่ยว อยู่ในวัฏสงสาร ในภพน้อยภพใหญ่ นับกัปนับ
    กัลป์ไม่ได้ ตัณหามันเกิดขึ้นจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน
    เหตุมันเกิดจากอายตนะภายในและอายตนะภายนอกมา
    สัมผัสกัน ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส
    กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้ธรรมารมณ์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน
    ให้สำรวมอินทรีย์ทั้งหก คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ให้เพียรสำรวมเพียรละไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย ทำจิต
    ให้เป็นกลางวางเฉยต่ออารมณ์ นี่เรียกว่า การดับตัณหา


    @@@การทำความเพียร การสำรวม และการทำความดี
    ทุกอย่างเพื่อละตัณหานี้แหละเป็นทางมรรค เมื่อปัญญา
    เห็นความเกิดขึ้นความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง
    เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง
    ธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้าแล้วก็แตกสลายไปอย่างนี้แต่ไหน
    แต่ไรมาฐิติธรรมมีกานตั้งขึ้น มีอยู่ แล้วดับไป พิจารณารู้
    เท่าทันในสิ่งเหล่านี้ ไม่หวั่นไหว เรียกว่านิโรธ คือผู้วางเฉย
    ต่ออารมณ์ดังนี้แหละ...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...