พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยังจำกลิ่นได้อยู่หรือเปล่าครับคุณเพชร
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ดอกไม้จากสวรรค์ครั้งเดียวก็จำได้ไม่รู้ลืม มีโอกาสเรียนด้านสมุนไพร หากได้พบที่ไหนที่เขาอนุญาตให้ตอน ให้ขยายพันธุ์ได้ จะต้องขอนำมาปลูกให้ได้ครับ...
     
  3. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    ไม่น่าแปลกใจเลยครับที่ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์จะมาจากวัดไลย์
     
  4. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ขอบคุณพี่น้องเพื่อนๆทุกท่านค่ะสำหรับคำอวยพรวันเกิด
    ขอนำบุญที่บรรจุปิดพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งเมื่อวันที่ 1 /11/09
    มากราบอาจารย์ปู่ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด
    มาให้ทุกท่านและคุณหนุ่มได้โมทนาร่วมกันนะคะ
    และให้ส่งผลถึงทุกท่านเสมอกันค่ะ
    สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณหนุ่ม
    ขอให้เย็นกาย เย็นใจ สุขภาพแข็งแรง รวยๆนะคะ

    คุณหนุ่ม พรุ่งนี้จะโทรหานะคะ แบตเสื่อมไม่มีที่ชาร์ตค่ะ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รู้สึกว่า เงียบๆครับ

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>


    พระกริ่งปวเรศ เนื้อ สเตอร์ริง ซิลเวอร์

    [​IMG]

    ไว้วันงานใหญ่ จะนำไปให้ชมกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pavarasss.JPG
      pavarasss.JPG
      ขนาดไฟล์:
      35.1 KB
      เปิดดู:
      89
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลิ่นดอกมณฑาทิพย์ ที่ผมและคุณเพชรได้กลิ่น มา 2 ครั้ง

    ครั้งแรก ได้จากพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ท่านโบกจีวรของท่าน แล้วกลิ่นดอกมณฑาทิพย์ก็โชยมาก หอมจนฉุน แต่ผมเองก็ลองดมที่จีวรของท่าน ปรากฎว่า กลิ่นที่จีวรไม่มีเลย

    ครั้งที่สอง จากน้ำมนต์ของพระอาจารย์อีกรูปหนึ่งครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอบคุณครับคุณแด๋น

    โมทนาบุญทุกประการครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    พระกริ่งปวเรศ เนื้อ สเตอร์ริง ซิลเวอร์

    สร้างขึ้นที่ทวีปยุโรป (ประเทศฝรั่งเศษ) นำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงในปี พ.ศ.2434 หลวงปู่กรมพระยาปวเรศท่านเมตตาอธิษฐานจิต (ในช่วงที่หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ท่านขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราช องค์ที่ 8 ในราชวงศ์จักรี)

    พลังอิทธิคุณ โดดเด่นมากเรื่องของ บารมี , อำนาจ และเมตตามหานิยม

    ส่วนบางท่านบอกผมมาเพิ่มเติมว่า เป็นโภคทรัพย์

    .
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    รู้สึกเงียบบ้างจะเป็นไรไป ให้เขาได้พักกันก่อนจิ..จะคึกคักอะไรทุกวัน เดี๋ยวแบตฯเสื่อมเร็วนาใช้งานหักโหมอย่างนี้..

    อาจารย์ปู่ประถมได้พูดถึงหลวงปู่(พ่อ)ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งหลายครั้ง ผมก็เลยนำประวัติของท่านมาให้อ่านกัน ในฉบับเดิมใช้คำว่าหลวงพ่อทาบ ผมก็ไม่อยากไปแก้ไขตาม ด้วยความที่เราเป็นรุ่นหลาน อาจารย์ปู่ประถมท่านเรียกหลวงพ่อทาย ดังนั้นเราที่เป็นลูกหลานจึงควรเรียกหลวงปู่ด้วยประการฉะนี้...

    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#4b9339><TD hight="30">[SIZE=+2]<CENTER>ประวัติหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ระยอง</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2>รูปลพ.ทาบถ่ายที่วัดป่าประดู่พิธีพุทธาภิเษกพระลพ.แอ่วปี๒๕๐๗
    [​IMG]








    </TD></TR><TR width="100%"><TD width="90%">โดย: เจ้าบ้าน [​IMG] [16 ม.ค. 50 23:50] ( IP A:202.44.210.36 X: )</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    “อิทธิฤทธิ์...หลวงพ่อเพ่ง, เมตตามหานิยม...หลวงพ่อทาบ, อาคม...หลวงพ่อทิม”
    วลีสามประโยคนี้เป็นคำกล่าวของชาวระยองเมื่อเอ่ยถึงหลวงพ่อเพ่ง หลวงพ่อทาบ และหลวงพ่อทิม ภายหลังจากที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก และหลวงพ่อกาจ วัดหนองสนมได้มรณภาพแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นเอกลักษณ์อันเด่นชัดของพระเกจิอาจารย์แต่ละรูปว่าโดดเด่นไปคนละทาง หลวงพ่อเพ่งนั้น โดดเด่นทางอิทธิฤทธิ์ หลวงพ่อทาบนั้นโดดเด่นทางเมตตามหานิยม ส่วนหลวงพ่อทิมนั้นโดดเด่นเรื่องคาถาอาคม ทั้งสามท่านมีอายุไล่เลี่ยกัน โดยหลวงพ่อทาบแก่กว่าหลวงพ่อทิม ๒ ปี ส่วนหลวงพ่อทิมและหลวงพ่อเพ่งมีอายุเท่ากันเพราะไล่ทหารปีเดียวกัน

    อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง
    หลวงพ่อเพ่ง ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์รูปนี้อดีตเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดระยอง อยู่คนละฟากแม่น้ำบ้านค่ายกับวัดละหารไร่ หลวงพ่อทิมได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าหลวงพ่อเพ่งสมัยเป็นทหารเรือ ท่านเคยเป็นบ๋อย (มาจาก Boy ใช้เป็นศัพท์สแลงแปลว่า คนรับใช้) ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาของทหารเรือไทย พระอาจารย์สิน เจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเพ่งและหลวงพ่อทิมได้เล่าว่า หลวงพ่อนั้นท่านเป็นคนหัวดี สมองไว เก่งทางเลขผานาที การคำนวณ และเก่งทางหนังสือหนังหา เมื่อถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือจึงได้รับคัดเลือกให้ไปรับใช้ใกล้ชิดเสด็จเตี่ยหรือกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือในยุดนั้น หลวงพ่อเพ่งเป็นผู้ที่ใฝ่ใจทางวิทยาอาคม เมื่อมีโอกาสจึงติดตามเสด็จในกรมไปเล่าเรียนวิทยาอาคมต่างๆ ด้วย

    เมื่อครบกำหนดการเป็นทหารซึ่งในสมัยนั้นใช้เวลา ๓ - ๔ ปี ท่านก็กลับมาบ้านเกิดของท่านโดยบวชเป็นพระภิกษุมาแล้ว และมาจำพรรษาอยู่วัดละหารใหญ่ เจ้าอาวาสองค์ก่อนจึงขอให้หลวงพ่อเพ่งสอนหนังสือแก่กุลบุตรกุลธิดาแถววัดละหารใหญ่และวัดละหารไร่ นั่นเอง

    หลวงพ่อสินยังเล่าต่ออีกว่าหลังจากนั้นก็มีพวกเจ้าขุนมูลนายจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อเพ่งเป็นประจำ และมาอยู่ค้างที่วัดละหารใหญ่ครั้งละหลายๆ วัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปรู้ว่าหลวงพ่อเพ่งมีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันเป็นเอกนั้น ก็เพราะวันหนึ่งขณะที่พวกชาวบ้านกำลังเอามีดผ่าไม้รวกอยู่ หลวงพ่อเพ่งมาเห็นเข้าบอกว่า “ผ่าด้วยมีดมันช้า” ว่าแล้วท่านก็เอามือผ่าลำไม้รวกซึ่งผิวของมันคมกริบปานคมมีดโกน แต่ท่านใช้มือผ่าไม้รวกให้ชาวบ้านดูอย่างหน้าตาเฉย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนก็ไปขอของดีจากท่านมิได้ขาด บางครั้งขณะที่ท่านกำลังสอนหนังสือเด็กก็มีคนไปรอเพื่อขอให้ลงตะกรุดให้ ผู้เฒ่าผู้แก่แถวๆ วัดละหารไร่เล่าว่า เมื่อชาวบ้านหยิบเอาวัสดุที่เตรียมมาซึ่งมีทั้งแผ่นทองเหลือง แผ่นหม้ออลูมิเนียมตัดเป็นแผ่นๆ มาให้ท่าน หลวงพ่อเพ่งท่านจะหยิบแผ่นโลหะนั้นมาจารอักขระลงไปในแผ่นเพียงตัวเดียว คือ ตัวเฑาะว์มหาพรหม หรือที่เรียกอีกชื่อว่า “ตัวเฑาะว์ใหญ่” จารเสร็จแล้วท่านก็ม้วนเป็นตะกรุด ยกขึ้นจบเหนือศีรษะ แล้วส่งให้ผู้ขอเลย โดยไม่เห็นท่านปลุกเสกอะไร แรกๆ ชาวบ้านไม่แน่ใจก็ลองเอาตะกรุดนั้นวางบนตอไม้ แล้วใช้ปืนยิงลองดู ปรากฏว่า นัดแรกดัง แชะ ด้านทุกราย! ส่วนนัดที่สองด้านบ้าง ยิงออกแต่ไม่ถูกบ้าง บางครั้งมีคนมาขอตะกรุดแต่ไม่มีโลหะมาให้ท่านลง ท่านก็บอกว่า*********เอาซองห่อยากาแรตนั้นแหละมาลง ปรากฏว่ากระดาษอลูมิเนียมชนิดบางที่ใช้ห่อบุหรี่ตราฆ้องสมัยนั้นก็กลายเป็นตะกรุดไปอย่างวิเศษก็มี หลวงพ่อเพ่งท่านไม่ได้สร้างพระเครื่องอะไรทั้งสิ้นนอกจากตะกรุดอย่างเดียว ปัจจุบันชาวบ้านแถบนั้นจึงหวงตะกรุดหลวงพ่อเพ่งมากกว่าตะกรุดของหลวงพ่อทิมเสียอีก!

    อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่งให้เป็นที่ประจักษ์ คือ เมื่อวัดละหารใหญ่มีงาน ชาวบ้านก็ล้างจานชามกันที่สระน้ำหน้าวัดทีละใบๆ หลวงเพ่งท่านมาเห็นเข้าท่านจึงบอกว่า “ล้างแบบนี้ช้าไป เอาใส่แข่งเขย่าเลย” ชาวบ้านก็ทำตามท่าน ถ้วยชามที่เป็นแก้วเป็นกระเบื้องก็ไม่แตก! เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ

    อาคมหลวงพ่อทิม
    ในยุคที่หลวงพ่อเพ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่อยู่นั้น หลวงพ่อทิมยังเป็นเพียงพระหมอยาเท่านั้น ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็พากันไปหาหลวงพ่อทิม แต่ถ้าจะเอาเรื่อง คงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า ก็ต้องไปหาหลวงพ่อเพ่ง แต่ทั้งหลวงพ่อเพ่งและหลวงพ่อทาบนั้น ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ว่าด้านคงกระพันหรือเมตตามหานิยมนั้น หลวงพ่อทิมก็ไม่เป็นสองรองทั้งสองรูป แต่หลวงพ่อทิมท่านเป็นพระสำรวมนอบน้อมถ่อมตนจึงเก็บงำไม่ยอมสำแดงออก ก่อนที่หลวงพ่อเพ่งจะมรณภาพ ท่านสั่งลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า เมื่อท่านตายแล้วและศพท่านเผาไม่ไหม้ก็ให้คนไปตามท่านทิมมาช่วยเผา และก็เป็นไปตามคำที่หลวงพ่อเพ่งสั่งไว้

    สำหรับหลวงพ่อทาบ เทพเจ้าแห่งเมตตามหานิยมนั้น คราวท่านจะปลุกเสกพระเครื่องรุ่นแรกของท่าน ท่านถึงกับซ้อนมอเตอร์ไซด์ไปนิมนต์หลวงพ่อทิมแห่งวัดละหารไร่ไปเป็นประธานในพิธีปลุกเสก และหลังจากหลวงพ่อเพ่งและหลวงพ่อทาบมรณภาพแล้วไม่นาน หลวงพ่อทิมก็ดังระเบิดมาจนทุกวันนี้

    เมตตาหลวงพ่อทาบ
    พระเกจิอาจารย์ของบ้านค่ายนั้น จะกล่าวกันแล้วก็โด่งดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเกจิอาจารย์ของเมืองไหน ๆ ดังจะเห็นได้จากคราวปลุกเสกครั้งยิ่งใหญ่ที่วัดราชบพิตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่บ้านค่ายมีพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับนิมนต์เข้าปลุกเสกถึง ๓ รูป มากกว่าอำเภออื่นๆ แต่พระเกจิอาจารย์ของอำเภอบ้านค่ายมักเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ค่อนข้างจะอาภัพ จะดังก็ดังแต่เฉพาะในท้องถิ่นแคบๆ จวบจนเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านจึงจะดังอีกครั้งหนึ่ง และก็ดังยิ่งกว่าสมัยมีชีวิตอยู่เสียอีก

    หลวงพ่อทาบท่านก็เป็นพระเกจิอาจารย์ของชาวระยองอีกรูปหนึ่งดังเงียบๆอยู่แต่ในท้องถิ่นแคบๆ ของบ้านค่าย จวบจนท่านมรณภาพไปแล้วผู้คนจึงโจษจันกันถึงความมีเมตตามหานิยม แสวงหาสีผึ้งเขียวอันเลื่องชื่อของท่านอยู่พักหนึ่งแล้วก็ค่อยเงียบหายไป

    หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง หรือพระครูอรรถโกศล เป็นคนระยองโดยกำเนิด เกิดที่บ้านนาตาขวัญ ต. นาตาขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันศุกร์ เดือนหก ปีฉลู ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๐ โยมบิดา ชื่อ อุ่น เพชรนคร โยมมารดา ชื่อ ฉิม พื้นเพเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ท่านมีพี่น้องถึง ๘ คน หลวงพ่อทาบเป็นน้องคนสุดท้อง สมัยท่านเป็นเด็กมีคนเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน เมื่อโยมของท่านจับปลามาขังไว้เพื่อประกอบอาหาร ท่านมักจะปล่อยลงน้ำไปหมดด้วยความสงสาร จนถูกโยมบิดามารดาดุเอาหลายครั้งหลายหน แต่เมื่อมีโอกาสท่านมักจะปล่อยปลาลงน้ำไปเสมอๆ จนโยมท่านต้องงดนำปลาเป็นๆ มากักขังไว้ หลวงพ่อทาบท่านได้เริ่มต้นเล่าเรียนเมื่ออายุได้เพียง ๔ - ๕ ขวบ พออายุได้ ๒๐ ปี เข้าสู่วัยฉกรรจ์ ท่านก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือรับใช้ชาติตามหน้าที่ของลูกผู้ชายอยู่ถึง ๔ ปี จึงได้ปลดประจำการ หลังจากนั้นท่านก็บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่โยมบิดามารดาทั้งสองคนโดยมีพระครูสมุทรสมานคุณ (แหยว) เจ้าอาวาสวัดป่าประดู่เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์มาก เจ้าอาวาสวัดนาตาขวัญเป็นพระกรรมวาจารย์ และพระอาจารย์รวม วัดบ้านแลง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อทาบเป็นพระหนุ่มที่เคร่างครัดสำรวมขยันขันแข็งมาก ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและสามารถแปลมูลกัจจายน์มงคลทีปนี้ได้ในพรรษาแรก นอกจากนี้หลวงพ่อทาบก็ยังได้ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อมาก พระกรรมวาจารย์ของท่านอีก จากนั้นท่านก็ไปอยู่รับใช้พระอุปัชฌาย์อีกประมาณ ๒ ปี ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอุปัชฌาย์จนหมดสิ้น พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อทาบ คือ พระครูสมุทรสมานคุณ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดระยอง ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแหยว เป็นผู้มีวิชาอาคมขลังยิ่งรูปหนึ่งในจังหวัดระยองยุคนั้น โดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม เล่ากันว่าผ้ายันต์พัดโบกของท่านนั้น ใช้โบกไปทางไหนผู้หญิงก็จะต้องตามไปทางนั้นทันที เรียกว่าหลวงพ่อมีชื่อเสียงทางผ้ายันต์หรือผ้าพัดโบกมาก เมื่อหลวงพ่อทาบบวชได้พรรษาที่ ๕ พ้นจากการเป็นพระนวกะแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และแสวงหาพระอาจารย์ดี ๆ ไปตามที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น หลวงพ่อทาบชอบพอกันหลวงพ่อทิมมาก เคยไปธุดงค์และแสวงหาพระอาจารย์ด้วยกันหลายครั้งหลายหน

    หลวงปู่ทิมเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าสมัยท่านเป็นทหารเรือลูกหมู่อยู่นั้น มีทหารเรือรุ่นเดียวกับท่านอยู่คนหนึ่ง หน้าตาอัปลักษณ์ แอบไปหลงรักหญิงสาวหน้าตาดีอยู่คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับกองทหาร ผู้หญิงคนนี้มีทหารหลายคนไปเกี้ยวพาราสีกันอยู่ โดยเหตุที่เพื่อนของท่านหน้าตาไม่ดี จึงถูกตราหน้าว่า “แม้ชายผ้าถุงก็อย่าหมายได้เห็น” เพื่อนของท่านเกิดความอับอายเพื่อนฝูงจึงกล่าวกับท่าน (หลวงปู่ทิม) ว่า “พวก*********คอยดู กูออกทหารเมื่อไร กูจะพาอีนี่กลับไปบ้านด้วย มันจะต้องร้องตามกู แล้วพวก*********คอยดู...”

    เมื่อเพื่อทหารผู้นั้นถูกปลดประจำการพร้อมกับท่าน หญิงสาวขวัญใจทหารในกองร้อยที่ทุกคนหมายปองก็หอบผ้าหอบผ่อนตามพลทหารเพื่อนของท่านกลับไปบ้านค่ายด้วยท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนทหารโดยทั่วไป และได้อยู่กินกับเพื่อนทหารผู้อัปลักษณ์ของท่านคนนั้นอย่างมีความสุข มีลูกหลานอยู่ในบ้านค่ายมาจนทุกวันนี้ หลวงปู่ทิมท่านถามเพื่อนของท่านว่าใช้อะไรจึงทำให้ผู้หญิงตามมาทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรักเราเลย เพื่อนของท่านตอบว่า ใช้ผ้าพัดโบกของหลวงพ่อกาจ ซึ่งท่านทำให้ไว้คราวลงมาเป็นทหาร ดังนั้นในยุคที่หลวงปู่ทิมเป็นพระหนุ่มที่ใฝ่หาวิชาอาคมใส่ตัว จึงจดจำเรื่องอานุภาพของผ้าพัดโบกหลวงพ่อกาจได้อย่างฝังใจ และชวนหลวงพ่อทาบเพื่อนเกลอไปขอร่ำเรียนวิชาพัดโบกจากหลวงพ่อกาจด้วยกัน แต่หลวงพ่อกาจให้ท่านเรียนวิชาได้เพียงคนเดียว ส่วนหลวงพ่อทาบไม่ได้เรียน ผมถามว่าเป็นเพราะเหตุใด หลวงปู่ทิมท่านตอบว่า “ก็นี่ (หลวงปู่ทิมท่านมักเรียกสรรพนามแทนตัวท่านว่า “นี่”) รู้ว่าหลวงพ่อกาจท่านชอบสูบกัญชา นี่จึงเอากัญชาติดมือไปถวายท่านด้วยหนึ่งห่อ หลวงพ่อกาจเลยสอนวิชาให้ ส่วนท่านพี่ทาบไม่เอากัญชาติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมสอนให้”

    หลังจากที่ได้ยินได้ฟังเรื่องอิทธิฤทธิ์ของผ้าพัดโบกของหลวงพ่อกาจแล้ว ผู้เขียนก็แสวงหาผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อกาจมาศึกษาก็ได้พบของจริงเข้าจนได้ พัดโบกหลวงพ่อกาจที่ผู้เขียนพบเป็นของครูตุ๋ย ครูโรงเรียนวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งได้มาจากผู้เฒ่าผู้แก่แถววัดกระบกขึ้นผึ้ง ผ้ายันต์ผืนนี้เป็นสีแดงเขียนด้วยหมึกจีนสีดำ ในหมึกจีนสีดำนั้นเมื่อส่องด้วยแว่นขยายแรงสูงดูแล้วเข้าใจว่าหมึกดำคงจะผสมด้วยว่านยาต่างๆ อันเป็นเคล็ดลับ ซึ่งน่าจะได้แก่ ว่านสาวหลง ไม้ไก่กุก ไม้กาฝากรัก ว่านช้างผสมโขลง ว่านดอกทอง เป็นต้น ลายมืออักขระขอม คงเป็นลายมือของหลวงพ่อกาจ เพราะท่านผู้เฒ่าเจ้าของผ้าพัดโบกผืนนั้น ยืนยันว่าพัดโบกผืนนั้นหลวงพ่อกาจลงเอง กลางอักขระเลขยันต์เป็นรูปเทวดาหญิงชายสององค์ยืนกอดกัน ต่อมาวิชาพัดโบกนี้หลวงปู่ทิมได้นำมาประยุกต์ดัดแปลงเสียใหม่ โดยไม่ใช้รูปเทวดาแต่งชุดทั้งองค์มาปรากฏให้เห็น แต่ก็ใช้ผ้าสีแดงทำเช่นกัน ส่วนผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อทาบนั้นท่านก็ได้สร้างขึ้นไว้ครั้งหนึ่งจำนวนมากพอสมควร แต่เป็นยันต์พิมพ์เพื่อแจกแก่ผู้ทำบุญในงานผูกพัทธสีมาของวัดกระบกขึ้นผึ้ง โดยใช้ผ้าสีขาว ปัจจุบันผ้ายันต์ชุดนี้ของหลวงพ่อทาบก็หายากแล้ว ใครมีใครก็หวง เพราะอานุภาพใช้ดีทางเมตตาค้าขายไม่เสียทีที่หลวงพ่อทาบได้สมญาว่า เทพเจ้าแห่งเมตตานิยมสีผึ้งเขียวอันลือลั่น เหตุที่จะทำให้หลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นเอกในด้านเมตตามหานิยมและเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ก็มาจากสีผึ้งเขียว เมื่อหลวงพ่อทาบมีอายุล่วงเข้า ๘๐ พรรษาเศษแล้ว ท่านใช้เวลารวบรวมมงคลวัตถุต่าง ๆ เป็นเวลานานถึง ๔ ปีเศษ หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในแถวละแวกวัดกระบกขึ้นผึ้ง และคนในถิ่นใกล้เคียง จนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในย่านนั้น เมื่อเจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งมรณภาพลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดกระบกขึ้นผึ้ง ท่านไม่สามารถขัดศรัทธาของชาวบ้านได้ จึงจำใจต้องรับตำแหน่งนั้น การพัฒนาวัดกระบกขึ้นผึ้งในสมัยท่านไปด้วยดี เพราะได้รับแรงศรัทธาจากประชาชน จนหลวงพ่อทาบสามารถสร้างกุฏิ วิหาร โบสถ์ ได้อย่างรวดเร็วในยุคของท่าน

    นอกจากงานพัฒนาทางวัดแล้วหลวงพ่อทาบยังได้สงเคราะห์ญาติโยมที่เดือดร้อนทางใจและตกทุกข์ได้ยาก โดยการทำน้ำมนต์อาบขจัดทุกข์ขจัดโศก จนบุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อทาบจึงเลื่องลือระบือออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ จนจัดเป็นเกจิอาจารย์ที่มีเกียรติคุณอย่างยิ่งรูปหนึ่งในบ้านค่าย ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพ่อทาบ เพชรนคร ได้รับแต่งตั้งได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบล อันเป็นการแสดงออกถึงความสามารถในการปกครองของท่าน และในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ได้รับสมณะศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่พระครูอรรถโกศล ท่ามกลางความยินดีปรีดาของชาวบ้านและศิษยานุศิษย์น้อยใหญ่ ถึงกับมีการแห่แหนสัญญาบัตรพัดยศจากวัดป่าประดู่เข้ามายังวัดกระบกขึ้นผึ้ง สำหรับผู้ที่จะมาขอสีผึ้งเขียวของท่านนั้น กว่าจะได้ก็แสนจะลำบากยากเย็น เล่ากันว่าผู้ต้องการจะได้สีผึ้งเขียวของท่านจะต้องมานอนค้างคืนกันที่วัดหลาย ๆ คืน และหลาย ๆ ครั้ง จนหลวงพ่อทาบเห็นความมานะอดทนว่า ต้องการได้จริง ๆ ท่านจึงจะให้ แต่ท่านจะหยิบให้เพียงเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบเมื่อใครได้มาแล้วเหมือนกับได้ของวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยส่วนผสมแห่งเมตตามหานิยม คนเล่นของในสมัยนั้นจึงนำสีผึ้งหลวงพ่อทาบที่ได้มาเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟมาเลี่ยมทองหุ้มใส่สายสร้อยหรือแขวนติดตัว แต่ก่อนจะมอบสีผึ้งเขียวให้แก่ผู้ใด หลวงพ่อทาบจะสั่งสอนวิธีใช้ให้ สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ถ้าจะใช้สีผึ้งนี่ก็ขอให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ ได้เขาสมใจแล้วก็อย่าไปทิ้งไปขว้าง มิเช่นนั้น จะเกิดวิบัติ นักเลงรุ่นเก่าชาวระยองยอมรับว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งใน ต. ตาสิทธิ์ ติดกับวัดหลวงปู่ทิมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ข้าก็ได้อาศัยสีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบนี่แหละ จึงได้แม่อ้ายยอด มาจนทุกวันนี้ แม่อ้ายยอดเมื่อสาวๆ มันสวยอย่าบอกใครเชียว หนุ่ม ๆ มาจีบกันหัวกระไดแทบไม่แห้ง แต่ลุง (ตัวคนเล่า) มันพูดจาไม่เก่ง รูปก็ไม่หล่อ แรกๆแม่อ้ายยอดไม่เคยมองลุงเลย ความที่อยากเอาชนะไอ้พวกหนุ่มรุ่นเดียวกัน ลุงจึงดั้นต้นไปขอสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ไปก็หลายครั้งหลายหนอยู่จนท่านจำได้และเห็นมาบ่อย ๆ หลวงพ่อทาบท่านเลยสงสารควักให้มาหัวไม้ขีดหนึ่งสั่งว่าเพียงเอาห่อติดตัว เวลาจะใช้กับผู้หญิงคนใดก็เพียงแต่ทำใจให้นึกเห็นใบหน้าเขาและเข้าไปหาเถอะไม่ช้าก็สำเร็จ และก็ได้ผลจริงๆไม่นานแม่อ้ายยอดเกิดสงสารเห็นใจลุง ทั้งที่ก่อนนั้นเขาไม่เคยชายตามองลุงเลย พวกหนุ่มบ้านอื่นงงเป็นไก่ตาแตก ท่านผู้เฒ่าเล่าเสริมต่อไปว่า หลังจากได้แม่อ้ายยอดมาเป็นเมียและอยู่กับมาจนบัดนี้แล้ว ลุงเคยถามเขาว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดมารักลุง ทั้งๆ ที่แต่แรกไม่เคยสนใจลุงเลย แม่อ้ายยอดบอกกับลุงว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันไหนถ้าไม่เห็นหน้าลุงใจคอมันหงุดหงิด ร้อนรุ่ม พอได้เห็นหน้าลุงแล้วสบายใจ และไม่ช้าลุงก็ชวนมันมาอยู่กับลุงเสียเลย ผมได้ถามลุงผู้เฒ่าว่า แล้วสีผึ้งนั้นอยู่ไหน? ขอผมดูหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อลุงได้เมียแล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าใช้กับผู้หญิงแล้วต้องเลี้ยงเขาเป็นลูกเมีย ห้ามทิ้งขว้าง ลุงได้แม่อ้ายยอดมาครองคนเดียวก็นับว่าพอใจแล้ว เลยหุ้มทองเก็บไว้ จนอ้ายยอดลูกหัวปีของลุงมันเป็นหนุ่มแล้ว ลุงจึงมอบให้มัน ก็ดูซิอ้ายยอดลูกชายลุงมีเมียตั้ง ๓ คน และอยู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลานลุงมีเป็นพรวน มีเมียมากมันก็ไม่ดีหรอกหลาน หาเท่าไรไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ดีไปอย่าง อ้ายยอดมันได้เขาแล้วมันก็ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียทุกคน อ้ายยอดลูกลุงน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเพียงแค่ ๓ คน เท่านั้น แต่ลูกศิษย์หลวงพ่อทาบที่เคยบวชอยู่กับท่านคนหนึ่งซิ เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่จันทบุรี มีเมียอยู่บ้านเดียวกันถึง ๖ คน ทุกคนปรองดองกันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย แต่ลูกเป็นกระบุง แต่เขาก็มีฐานะดีนะ เรื่องสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ ถ้าใช้เรื่องผู้หญิงรับรองได้เยี่ยมจริงๆ

    ท่านพระอาจารย์เสี้ยน มนูญโญ เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงทาบ ตลอดจนคุณประถม อาจสาคร อดีตสหกรณ์อำเภอบ้านค่าย และคุณประชา ตรีพาสัย เพื่อนผู้เขียนซึ่งจูงใจให้ผู้เขียนไปรู้จักกับหลวงปู่ทิมจนได้สร้างพระชุดชินบัญชรอันเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ เคยเล่าเรื่องอานุภาพของสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายทั่วจังหวัดระยองให้ฟังว่า

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จ.ระยอง ได้จัดให้มีการประกวดนางสาวระยองขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อคัดคนส่งไปประกวดนางสาวไทยที่กรุงเทพฯ ในงานรัฐธรรมนูญที่วังสราญรมย์ อ. บ้านค่าย ก็สรรหาสาวงามส่งเข้าชิงชัยตำแหน่งนางสาวระยอง เหมือนกับอำเภออื่น ๆ เช่นกัน เมื่อได้สาวงามชาวอำเภอบ้านค่ายแล้ว ทางอำเภอก็นำสาวงามผู้นั้นมาขัดสีฉวีวรรณแล้วสอนกิริยามารยาทจนเป็นที่เรียบร้อย พอใกล้วันประกวดนางงามระยอง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น สาวงามซึ่งจะเป็นตัวแทนสาวบ้านค่ายขึ้นเวทีประกวด เกิดสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า เป็นที่ตกอกตกใจของคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายไปตามๆ กัน จะหาคนใหม่ก็ไม่ทัน ทุกคนต่างก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องส่งสาวผู้นี้เข้าประกวดอยู่ดี เพราะเตรียมการไว้แล้ว แต่โอกาสที่สาวบ้านค่ายจะเป็นนางงามระยองคงหมดหวังแน่ ก่อนถึงวันประกวดคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายทนเสียงอ้อนวอนของผู้ปกครองเด็กไม่ได้ จึงยอมให้ผู้ปกครองเด็กสาวคนนั้นนำไปหาหลวงพ่อทาบ หลวงพ่อทาบท่านทำน้ำมนต์ให้อาบ แล้วให้สีผึ้งเขียวมาหนึ่งหัวไม้ขีดไฟ และยังปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้อีกหนึ่งห่อ ทั้งกำชับให้เอาสีผึ้งติดตัวขึ้นไปบนเวทีประกวด และเวลาประกวดก็ให้ใช้แป้งที่ท่านปลุกเสกผัดหน้าขึ้นไปเดินบนเวทีทุกครั้ง ผลการตัดสินสาวงามระยองปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น ปรากฏว่าสาวน้อย อ. บ้านค่าย ได้ตำแหน่งนางสาวระยอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าสิวขึ้นเยอะ ท่ามกลางความดีอกดีใจของชาวบ้านค่าย และความงุนงงของชาวอำเภออื่น ๆ และในปีต่อ ๆ มาอีก ๒ - ๓ ปี ชาวอำเภอบ้านค่ายก็ได้นางสาวระยองติดต่อกัน และนางงามบ้านค่ายทุกคนต่างไปขอให้หลวงพ่อทาบรดน้ำมนต์ปิดนะหน้าทอง ได้สีผึ้งเขียวติดตัวและปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้เช่นกัน

    อาจารย์ประถม อาจสาคร เล่าว่า แป้งผัดหน้านั้น หลวงพ่อทาบท่านลงนะนวลจันทร์ และตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยมของหลวงพ่อทาบ ก็ยิ่งโด่งดังขึ้น จนคนระยองถึงกับผูกวลียกย่องไว้ว่า “อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง เมตตามหานิยมหลวงพ่อทาบ อาคมหลวงพ่อทิม” แม้หลวงพ่อทาบหรือท่านพระครูอรรถโกศล จะสงเคราะห์ผู้เกิดทุกข์เกิดร้อนด้วยการลงนะหน้าทอง อาบน้ำมนต์ ตลอดจนแจกสีผึ้งเขียว ให้ผู้เดือดร้อนจนสัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนาแล้ว วิชาของท่านกลับมาย้อนทำลายใจของท่านเองเข้าจนได้ กล่าวคือพระลูกวัดท่านรูปหนึ่ง ซึ่งบวชอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่านมาหลายปีเกิดอยากสึกไปครองเรือน จึงมาอ้อนวอนขอสีผึ้งเขียวท่านโดยบอกกับท่านตรง ๆ ว่า ชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง หลวงพ่อทาบใจอ่อนเห็นใจในความรักของหนุ่มสาวซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติหลวงพ่อทาบจึงให้สีผึ้งเขียวแก่ทิดสึกใหม่ผู้นั้นไปเพียงหนึ่งหัวไม้ขีด ทิดสึกใหม่คนนั้นก็เอาไปป้ายหญิงที่ตนรัก หญิงสาวก็หนีพ่อแม่ตามหนุ่มทิดสึกใหม่ผู้นั้นไปอย่างที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง แต่ทว่าหญิงสาวคนนั้นก็คือ หลานสาวแท้ ๆ ของท่านเอง!!! คุณลุงเจริญ เพชรนคร หลานแท้ ๆ ของหลวงพ่อทาบเล่าให้ผู้เขียนทราบถึงความเสียใจของท่าน โดยท่านพูดว่า “นิ้วเราเองมาทิ่มตาเราเอง ต่อไปนี้จะไม่แจกสีผึ้งแก่คนในบ้านค่ายอีก” แต่สำหรับคนที่มาจากแดนไกล หรือคนต่างถิ่น หลวงพ่อทาบท่านจะดูลักษณะความจำเป็น แล้วท่านจึงจะให้สีผึ้งเขียวไป แต่ก็ให้เพียงคนละนิดปริมาณเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น ผู้ได้สีผึ้งจากหลวงพ่อทาบจึงมักจะนำสีผึ้งนั้นไปหุ้มทองห้อยคอ เพราะถือเป็นของหายาก และกว่าจะได้มาจากหลวงพ่อทาบก็แสนจะยาก สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงและนับเป็นเครื่องรางที่อยู่ในยุทธจักรมักนิยมพระเครื่องอย่างหนึ่งทีเดียว เมื่อหลวงพ่อทาบไม่ให้สีผึ้งแก่ใคร และแม้จะให้ก็มอบให้ปริมาณน้อยมากเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟ ก็เลยเป็นสาเหตุให้ผู้คนมาแสวงหาสีผึ้งเขียวมากยิ่งขึ้น เพราะของใดๆ ก็ตาม ถ้าได้ยากผู้คนมักจะอยากได้ แต่สำหรับคนบ้านค่ายและคนระยองแล้วหมดโอกาส เพราะหลวงพ่อทาบจะไม่แจกคนในบ้านเดียวกันอีกแล้ว แต่ท่านบอกว่า ท่านจะทิ้งสีผึ้งให้เป็นสมบัติโลก ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันถ้าอยากได้ และยังไม่ลืมของๆ ท่าน กว่าจะเป็น “สีผึ้งเขียว”

    ลุงเจริญ เพชรนคร เล่าว่าตัวท่านเองนั้น หลวงพ่อทาบได้เมตตาเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุได้ ๖ขวบ มีนิวาสสถานอยู่ ซากกอไผ่ ซึ่งไม่ห่างไกลจากวัดกระบกขึ้นผึ้งมากนัก ลุงเจริญได้เรียนรู้วิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อทาบไว้มากมาย ตำราสำคัญบางเล่มของหลวงพ่อทาบก็ตกอยู่กับลุงเจริญ นอกจากจะเป็นศิษย์ผู้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อทาบแล้ว ตัวท่านเป็นนักเขียนภาพและช่างแกะสลักที่มีฝีมืออีกด้วย ท่านเป็นผู้แกะแพะหลวงพ่ออ่ำวัดหนองกระบอกมาตั้งแต่ครั้งแรกๆ และเมื่อหลวงพ่ออ่ำมรณภาพลง หลวงพ่อลัดวัดหนองกระบอกได้รับสืบทอดวิชาต่อ ท่านได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อลัดให้เป็นผู้แกะแพะเขา*********ถูกฟ้าผ่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นผู้แกะพระปิดตาไม้รัก ของ หลวงพ่อทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ซึ่งเรียกว่า “พระปิดตารุ่นอธิบดี” ด้วย จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสพบ ลุงเจริญ เพชรนคร โดยการแนะนำของพระครูนูญสาธุกิจ หรือพระอาจารย์เสียน เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้พาไปพบลุงเจริญถึงบ้าน ลุงเจริญมีศักดิ์เป็นลุงของพระอาจารย์เสียน ลุงเจริญได้เล่าเรื่องราวของหลวงพ่อทาบให้ผู้เขียนทราบดังเรื่องราวที่ได้เขียนไว้ตั้งแต่ตอนต้น ๆ

    สำหรับเรื่องราวของสีผึ้งเขียวนั้นลุงเจริญเล่าว่า เมื่อหลวงพ่อทาบบวชได้ ๙ พรรษา ทราบว่า ครูภู่ คนอุบล ซึ่งมาได้เมียชื่อ นางเก๋า เป็นสาวงามชาวบ้านกอไผ่ เป็นผู้มีวิชาดี โดยเฉพาะเรื่องสีผึ้งนั้น นับว่าเป็นเอก มีผู้คนรู้กิตติศัพท์แล้วไปขอมาใช้ก็ได้ผลสมความปรารถนาทุกราย หลวงพ่อทาบหลังจากผิดหวังไม่ได้เรียนวิชาพัดโบกจากหลวงพ่อกาจ วัดหนองสนม จึงสนใจวิชาทำสีผึ้งของครูภู่ คนอุบล ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นพระหนุ่มเพิ่งย่างเข้าพรรษาที่ ๙ อายุประมาณ ๓๐ ปี ไปมาหาสู่บ้านครูภู่อยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอวิชาสีผึ้ง ครูภู่เห็นความเพียรและหน่วยก้านของหลวงพ่อทาบแล้ว ก็ยินดีจะมอบวิชาทำสีผึ้งนี้ให้ ซึ่งต่อมาก็มอบวิชานี้ให้อย่างหมดเปลือก ลุงเจริญเล่าว่า การทำสีผึ้งที่ครูภู่ คนอุบล มอบให้หลวงพ่อทาบนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือ วิชาลบผงปถมัง ผงอิทธิเจ และผงตรีนิสิงเห นั้นเอง แต่วัสดุที่จะนำมาผสมผงปั้นเป็นแท่งดินสอนั้น ค่อนข้างจะหายาก ซึ่งต้องใช้ความมานะ อดทน และมีความเพียรในการการแสวงหา ได้แก่ ว่านต่างๆ หลายสิบชนิดไม้มงคลอีกหลายชนิด ประการสำคัญต้องหา ไม้แยงแย้ และไม้ไก่กุกมากวนสีผึ้ง ไม้แยงแย้นั้นพอหากันได้ เพราะหลังจากแสวงหามาถึง ๔ ปี หลวงพ่อทาบก็ได้ไม้แยงแย้มาสมใจนึก ส่วนไม้หายากที่สุดคือ “ไม้ไก่กุก” ซึ่งต้องใช้ความสังเกตและมีมานะอดทน เพราะจะต้องเป็นไม้ไก่กุกที่ผู้ทำสีผึ้งต้องเห็นไม้ไก่กุกด้วยตาตนเอง ไม้ไก่กุกจะเป็นไม้อะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นไม้ที่ไก่ตัวผู้ใช้จะงอยปากจิก หรือเคาะดังกุ๊ก ๆ เพื่อหลอกให้ตัวเมียวิ่งมาหา โดยคิดว่าไก่ตัวผู้กำลังเรียกมาจิกอาหาร เมื่อไก่ตัวเมียวิ่งมาหาไม้ที่ไก่ตัวผู้เคาะกุ๊กๆ แล้วมองหาอาหารอยู่ ไก่ตัวผู้ได้โอกาสก็จะจิกคอและขึ้นทับทันที ไม้ชิ้นที่ไก่ตัวผู้ใช้จะงอยปากเคาะกุ๊ก ๆ นั้นแหละ คือ “ไม้ไก่กุก” ถือว่าเป็นไม้อาถรรพณ์ที่เป็นต้นเหตุให้ไก่ตัวเมียวิ่งตามมาให้ตัวผู้ทับเพื่อสืบพันธุ์ ท่านเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ถือเป็นเคล็ดว่าไม้ชิ้นนี้เป็นไม้ที่มีเสน่ห์อย่างสูง ที่ใช้ลวงให้ไก่ตัวเมียวิ่งมาหาได้ ต่างก็แสวงหาไว้เพื่อเอาไว้สร้างวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังเป็นเสน่ห์มหานิยม เมื่อได้ไม้ไก่กุกมาแล้ว หลวงพ่อทาบก็จะนำมาเอาว่านต่าง ๆ และไม้มงคล รวมทั้งไม้ไก่กุกด้วยมาบดป่นทำเป็นผงปั้นเป็นแท่งดินสอ หลังจากนั้นหลวงพ่อทาบจะเอาถาดทองเหลืองขนาดกลางมารอง มีกระดานชนวนวางอยู่บนถาดทองเหลือง หลวงพ่อทาบจะครองสีจีวรเรียบร้อย รำลึกถึงครูบาอาจารย์แล้วท่านก็จะลงผงอิทธิเจ ผงปถมัง และผงตรีนิสิงเห จากที่ได้เรียนมา ด้วยการใช้แท่งดินสอซึ่งสร้างจากว่าน และไม้มงคลต่าง ๆ ปั้นเป็นชอล์ก เมื่อเขียนบนกระดานชนวน ก็จะหลุดลอดแผ่นกระดานชนวนลงไปในถาดทองเหลือง

    ลุงเจริญเล่าว่า ท่านได้นั่งสังเกตเห็นหลวงพ่อทาบลงผงเต็มกระดาน แล้วเคาะให้ลอดกระดานลงไปอยู่ในถาดทองเหลือง เสร็จแล้วหลวงพ่อทาบก็จะรวบรวมผงนั้นใส่ขวด มีอยู่วันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อทาบกำลังนั่งสมาธิลบผงอยู่นั้น ชอล์กที่ท่านเขียนเกิดหักดังเปาะขึ้น หลวงพ่อทาบสะดุ้งขึ้นตัว และเพ้อเสียสติทันที เป็นอยู่หลายวัน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ลุงเจริญ เพชรนคร จึงไปตามครูภู่ที่บ้านซากกอไผ่มาดูอาการ และรักษา ครูภู่ ชาวอุบล เมื่อเห็นอาการหลวงพ่อทาบแล้วทำน้ำมนต์ให้หลวงพ่อทาบอาบ หลวงพ่อทาบอาบกินน้ำมนต์ของครูภู่อยู่ ๒ - ๓ ครั้ง อาการก็กลับปกติ สีผึ้งหลวงพ่อทาบสร้างขึ้นตามตำราของครูภู่ ชาวอุบล นั้นแรก ๆ ก็เป็นสีผึ้งธรรมดา ไม่มีสีเขียว ต่อเมื่อหลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงทางด้านสีผึ้งมากขึ้น ท่านจึงได้นำใบของว่านชนิดหนึ่งผสมลงไปด้วย สีผึ้งก็เลยมีสีเขียวจนภายหลังเรียกกันว่า “สีผึ้งเขียว”

    คุณลุงเจริญเล่าว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้น ท่านทำเสร็จแล้วจะใส่ไว้ในโถโบราณซึ่งมีฝาครอบ ปรากฏว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นจะงอกหรือเพิ่มปริมาณได้ตามความแรงของกำลังวัน บางครั้งสีผึ้งจะฟูขึ้นจนติดฝาครอบโถเกาะกันเป็นวงคล้ายๆ กับดอกของใบพลู ซึ่งเป็นรูปคล้ายดอกใบพลูนี้แหละขลังนัก ศิษย์วัดกระบกขึ้นผึ้งเมื่อเปิดฝาโถเห็นเข้าก็จะเอาใบจาก ซึ่งใช้สำหรับมวนบุหรี่สูบมามาม้วนเป็นกรวยตักไป ใช้ได้ผลชะงัดนัก รายไหนรายนั้น มักหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามคนป้ายไปและไม่เคยมีพลาดเลยสักรายเดียว ผมถามว่าต้องใช้ป้ายกี่ครั้งจึงจะสำเร็จ คุณลุงเจริญบอกว่าโดยมากมักครั้งเดียวก็สำเร็จ แต่ถ้าผู้หญิงบางคนดวงแข็งมีของดีคุ้ม หรืออำนาจดวงคุ้มครอง ก็ต้องใช้หลายหนหน่อย แต่สำเร็จทุกราย สีผึ้งของหลวงพ่อทาบนั้น มีเคล็ดวิธีการใช้ดุจเดียวกับหลวงปู่ทิม คือใช้ตามคำสั่งความสำคัญของนิ้วมือทั้ง ๕ นิ้ว นับแต่หัวแม่โป้งเรื่อยมาจนถึงนิ้วก้อยซึ่งเล็กที่สุด และวิธีจะใช้ป้ายผู้หญิงซึ่งหมายปองก็อย่าป้ายให้ต่ำกว่าบั้นเอวลงไป เวลาป้ายก็ให้ป้ายให้ถูกต้องเนื้อ อย่าให้ถูกผ้า เพราะจะได้ผลช้า

    ครั้งที่ผมไปวัดกระบกขึ้นผึ้งเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็ปรารถนาจะไปกราบนมัสการรูปเหมือนหลวงพ่อทาบ แต่ก็ได้ทราบจากท่านพระครูมนูญสาธุกิจหรือพระอาจารย์เสียน หลานแท้ๆ ของหลวงพ่อทาบว่าที่วัดไม่มีรูปเหมือนหลวงพ่อทาบ ผมจึงเรียนถามว่าทำไมท่านอาจารย์จึงไม่สร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทาบขึ้นเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปที่นับถือท่านได้มากราบไหว้บูชา พระอาจารย์เสียนตอบว่า หลวงพ่อทาบท่านสั่งกำชับไว้ไม่ให้สร้างรูปหล่อของท่านขึ้นเด็ดขาด ท่านบอกว่าสร้างไว้ต่อไปก็ไม่มีคนรู้จัก เมื่อหมดยุคนี้ (คงหมายถึงยุคคนที่ทันท่าน) แล้วคนยุคต่อไปเขาก็ไม่รู้จัก อย่างไปสร้างไว้เลย แม้รูปหล่อเท่าองค์จริงก็ไม่ได้สร้างไว้ตามคำสั่งของหลวงพ่อทาบ แต่พระอาจารย์เสียนก็ได้สร้างรูปหล่อหลวงพ่อทาบ ขนาด ๕ นิ้ว จำนวนหนึ่งประมาณ ๔๐๐ องค์ โดยขอให้หลวงปู่ทิมเป็นผู้ปลุกเสก ซึ่งหลวงปู่ทิมก็ทำให้ด้วยความเต็มใจเพราะหลวงพ่อทาบ และหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นเพื่อนรักกัน

    ทาบ - ทิม, ทาบ - ทิม
    ทุกครั้งที่หลวงพ่อทาบสร้างพระเครื่องหรือเหรียญรูปท่าน หลวงพ่อทาบก็จะนิมนต์หลวงปู่ทิมมาช่วยเพิ่มพลังจิตปลุกเสกทุกครั้ง จนอาจารย์ปถม อดีตสหกรณ์ จ.ระยอง ถึงกับพูดว่า ถ้าพระเครื่องหลวงพ่อทาบแล้ว ต้องถือว่าเป็นพระเครื่องหลวงปู่ทิม เพราะหลวงปู่ทิมมาปลุกเสกให้ ท่านอาจารย์ปถมได้พูดถึงสองพระอาจารย์ว่า ทาบทิม ทาบทิม หมายถึง ของของหลวงพ่อทาบก็คือของหลวงปู่ทิม ของหลวงปู่ทิม คือ ของหลวงพ่อทาบ อาจารย์ประถมคุ้นเคยกับหลวงพ่อทาบและหลวงปู่ทิม ตลอดจนพระเกจิอาจารย์ของบ้านค่ายเป็นอย่างมาก เพราะท่านอาจารย์ประถมสนใจในเรื่องราวเหล่านี้ และได้ไปรับราชาการที่ จ. ระยอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ อาจารย์ประถมเล่าถึงการทำวัตถุมงคลของหลวงพ่อทาบว่า นอกจากหลวงพ่อทาบจะเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงทางสีผึ้งเขียวดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังมีความรู้ทางเครื่องรางอย่างอื่นเหมือนกัน ครั้งหนึ่งหลวงพ่อทาบได้เขี้ยวเสือมา ๙ เขี้ยว ท่านให้คุณลุงเจริญ เพชรนคร แกะเป็นเสือขึ้น ๙ ตัว ท่านให้เขี้ยวเสือตัวใหญ่ที่สุดเป็นจ่าฝูงแล้วภาวนาปลุกเสกเรียกรูปนาม ตั้งอาการ ๓๒ ภาวนา ปลุกเสกจนเสือทั้ง ๙ ตัว นั้น มีชีวิตชีวาขึ้น ท่านจึงปล่อยเข้าป่าหลังวัด มันก็วิ่งหลบเข้าป่าโดยมีจ่าฝูงนำหน้า หลังจากนั้นหลวงพ่อทาบก็ภาวนาเรียก***************ลับ แต่ท่านเรียกว่าเท่าไรเจ้าเสียอาคมทั้ง ๙ ตัวก็ไม่กลับมา และหลังจากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อทาบก็ไม่ดำริสร้างเขี้ยวเสือขึ้นมาอีกเลย ท่านพูดกับอาจารย์ประถมว่า “เราไม่มีวาสนาบารมีทางนี้” คงหมายถึง ท่านไม่ตบะเดชะมหาอำนาจนั่นเอง

    นอกจากสีผึ้งเขียว ซึ่งเป็นวัตถุมงคลอันมีชื่อเสียงของหลวงพ่อทาบจนติดอันดับสีผึ้งของสยามประเทศแล้ว หลวงพ่อทาบท่านยังได้สร้าง เหรียญรูปเหมือนขึ้น 2 รุ่น คือ รุ่นรูปไข่ และรุ่นดอกบัว นอกนั้นท่านก็ยังสร้างผ้ายันต์ไว้จำนวนหนึ่งคราวฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมา และก่อนจะมรณภาพไม่นาน ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้อีกรุ่นหนึ่ง มีด้วยกันหลายพิมพ์ และได้นำเอาสีผึ้งผสมไว้ด้วย ทิ้งไว้เป็นสมบัติโลกให้แก่ผู้คนที่มีวาสนา ดังที่ท่านเคยลั่นวาจาไว้

    “สมบัติโลก พระเครื่อง “มรดกชิ้นสุดท้าย”

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ อาจารย์ประถมได้มาตำแหน่งสหกรณ์ จ. ระยอง ท่านเป็นผู้มีใจใฝ่ทางไสยเวทวิทยาคม สามารถทำผงลบผงพุทธคุณได้ เมื่อย้ายไปรับราชการ ณ ที่ใด ท่านก็มักจะสร้างพระ ณ ที่นั่น เมื่อท่านย้ายมารับราชการที่ จ.ระยอง จากการที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้อาจารย์ประถมได้คุ้นเคยกับเกจิอาจารย์ดังหลายรูป โดยเฉพาะที่ อ.บ้านค่าย เมื่อมาอยู่ก็เที่ยวสอบถามถึงความรู้ความสามารถของบรรดาเกจิอาจารย์ในท้องถิ่น ระยะนั้นพระเกจิชื่อดังก็มีหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง หลวงพ่อหิน วัดหนองสนม หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งรูปนี้เก่งทางสีผึ้งเมตตามหานิยม ส่วนอีกรูปแปลกว่ารูปอื่น ๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร มีบางคนไปหาท่านรูปนี้แล้วไม่พูด ต่างนั่งมองหน้ากันอยู่เป็นเวลานาน สองนานไม่พูดกับท่านก่อนท่านก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่พูดด้วยก็เคยมี ขรัวรูปนี้ถือสันโดษอยู่ วัดละหารไร่ ต.ตาสิทธิ อ.บ้านค่าย ท่านมีของดีคือ ตะกรุดมหานิทรา ถ้าวางบนเสาเอกของบ้าน คนในบ้านนั้นจะหลับเสมือนถูกสะกด พระรูปที่ว่านี้ก็คือ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ สาเหตุที่อาจารย์ประถมได้รับการขอร้องจากหลวงพ่อทาบวัดกระบกขึ้นผึ้งให้ไปช่วยอำนวยการสร้างพระเครื่องครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่านก็มาจากที่อาจารย์ปถมได้เห็นปฏิปทาของหลวงปู่ทิมมาก่อนนั้นเอง อาจารย์ปถมเล่าว่า เมื่อทราบว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระแปลกไม่พูดจากับผู้ใดชอบอยู่เงียบ ๆ อย่างสันโดษ อีกทั้งฉันมังสวิรัติมื้อเดียว ท่านมีปฏิปทาแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ที่อาจารย์ประถมนับถือ ดังนั้นในเวลาไปราชการตามท้องที่ ก็ถือโอกาสไปพักบ้านกำนันเสถียร ซึ่งอยู่หน้าวัดละหารไร่ และอีกทั้งยังเป็นโยมวัดคนหนึ่ง (หมายถึงกรรมการวัด) อาจารย์ประถมเริ่มเฝ้าสังเกตวัตรปฏิบัติ เห็นว่าท่านหลวงปู่ทิมเป็นพระที่มีอารมณ์เยือกเย็น มีจริยาวัตรสมถะน่าเคารพเลื่อมใส มักน้อย สันโดษ ไม่ช่างพูด ไม่คิดในสิ่งเสพติดทั้งหลายทั้งมวล คือไม่ฉันน้ำชา กาแฟ และไม่สูบบุหรี่ เมื่อเห็นปฏิปทา ท่านอาจารย์ประถม ก็เลยเอ่ยปากขอสร้างเหรียญโดยจะเป็นผู้ออกเงินสร้างเอง (ต้นปี พ.ศ. 2503) ท่านก็ส่ายหน้าไม่เอา อาจารย์ประถมจึงมุมานะลงมือสร้างผงลบผงปั้นเป็นองค์พระตามวิธีการที่ร่ำเรียนมาเสร็จแล้วก็ยกพระทั้งหมดซึ่งมีหลายพิมพ์ดังกันไปให้ท่านช่วยปลุกเสกได้

    อาจารย์ประถมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านตอบว่า “นี่ทำให้ไม่เป็น” ผมก็เลยกราบงาม ๆ ๓ ครั้ง แล้วบอกว่า “นั่นแหละครับผมต้องการอาจารย์ที่เสกไม่เป็น” ท่านก็ยิ้มไม่พูดอะไร จากนั้นก็กราบลาท่าน และทิ้งของไว้ ต่อมาทราบจากศิษย์ผู้ใกล้ชิดของท่านว่า ท่านบอกศิษย์นั่งอยู่วันนั้นว่า “คนนี้ฉลาดรู้ไหมในกล่องนั้นของวิเศษทั้งนั้น”

    ด้วยเหตุที่หลวงปู่ทิม และหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งท่านเป็นเกลอกัน เมื่อหลวงพ่อทาบจะสร้างพระผงก็มาหารือกับหลวงปู่ทิมถึงการทำผงให้ถูกต้องตามตำรา โดยหลวงพ่อทาบไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งจารผงและลบผงเอง หลวงปู่ทิมจึงแนะนำว่า “โยมประถมนั่นแหละทำผงเก่ง และทำชะงัดนัก ยังเคยทำมาให้นี่เสกเลย” หลวงพ่อทาบจึงให้คนไปเชิญอาจารย์ประถมมาที่วัดกระบกขึ้นผึ้งและเอ่ยปากว่าจ้างให้ช่วยเป็นผู้อำนวยการสร้างพระผงให้ท่าน อาจารย์ประถมเล่าว่า ผมก็รับปากด้วยความยินดี โดยจะขอสร้างเป็นพุทธบูชาไม่ขอรับค่าจ้างแต่อย่างใด แต่มีข้อแม้ว่าการปลุกเสกต้องนิมนต์หลวงปู่ทิมมาร่วมด้วย หลวงพ่อทาบไม่ขัดข้อง หลังจากนั้นไม่นานหลวงพ่อทาบก็อุตส่าห์ซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ (สมัยนั้นถนนยังไปมาไม่สะดวก) ไปหาหลวงปู่ทิมเพื่อปรึกษาหารือในการสร้างพระในครั้งนี้ และนิมนต์หลวงปู่ทิิมไปปลุกเสกด้วย อาจารย์ประถมท่านรู้ตัวดีว่าเป็นเพียงฆราวาสที่ยังข้องแวะอยู่ในโลกีย์ แม้จะทำผลเกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์อย่างไรผู้คนทั่วไปคงจะเชื่อถือยาก ดังนั้นจึงไปขอผงวิเศษจากวัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งหลวงพ่อบุญมีเป็นผู้ทำขึ้น นอกจากนี้ยังได้นำผงซึ่งโยคีฮาเล็บสร้างให้วัดสารนาถ อ. แกลง จ. ระยอง มาร่วมด้วย ผงวิเศษนี้สร้างโดยศิษย์สายพระอาจารย์มั่นภูริทัตเถระ ประกอบพิธีสร้างขึ้นที่วัดสัมพันธ์วงศ์ กทม. เป็นผงซึ่งหลวงพ่อลี วัดอโศการาม นำไปสร้างพระผงของท่าน อาจารย์ประถมเล่าว่า ได้รวบรวมผงทั้งหมดได้ประมาณ ๑ บาตรเต็ม ๆ แล้วจึงนำเอาไปถวายหลวงพ่อทาบที่วัดกระบกขึ้นผึ้งเมื่อหลวงพ่อทาบเห็นผงทั้งหมดแล้ว ท่านหัวเราะชอบใจ และบอกว่า “ผงนี้เฮี้ยวจริง ๆ มีทั้งนุ่ม ลึก และเข้มแข็ง” ผู้เขียนก็เลยเรียนถามว่า คำว่า “เฮี้ยวจริง ๆ และนุ่มลึก หมายถึงอะไร” อาจารย์ประถม อาจสาคร ตอบว่า “เป็นสำนวนที่หลวงพ่อทาบพูดเมื่อครั้งที่ผมเอาผงไปถวายท่าน ส่วนความหมายนั้นหมายความว่าผงนั้นขลังศักดิ์สิทธิ์และแรงจริง ๆ ท่านจึงใช้คำว่าเฮี้ยวจริง ๆ ส่วนนุ่มลึกคงหมายถึง แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลมีเสน่ห์ อันหมายถึงเมตตามหานิยมนั่นเอง” เมื่อได้ผงแล้ว หลวงพ่อทาบนำผงทั้งหมดประมาณ ๑ บาตรเต็ม ๆ ไปผสมเข้ากับผงเก่า ๆ ของท่าน ซึ่งมีทั้งคัมภีร์โบราณเผา ดินมงคลต่าง ๆ ตามที่ท่านได้เสาะแสวงหาได้ เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว หลวงพ่อท่านได้กดพิมพ์พระด้วยตัวท่านเองเป็นปฐมฤกษ์ หลังจากนั้นท่านได้ขอร้องให้ชาวบ้านนุ่งขาวห่มขาวอาราธนาศีลทุกคนช่วยกดพิมพ์ขึ้น โดยอาจารย์ประถมเป็นผู้อำนวยการสร้าง คือแนะนำการตำผงคลุกเคล้าผงและกดพิมพ์

    สำหรับพระชุดนี้เป็นพระผงดำทั้งหมด มีพิมพ์สมเด็จ เป็นพิมพ์เก่าที่ผมได้มาจากวัดเนิน จ.ระยอง เป็นวัดร้างเก่าแก่ติดกับวัดลุ่มมหาชัยชุมพล พิมพ์พระแบบสมเด็จที่ได้มา เข้าใจว่าเป็นพิมพ์สมัยหลวงปู่สังข์เฒ่า ทำด้วยหินมีดโกน อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์แม่นางกวัก พิมพ์นี้ ลุงเจริญ เพชรนคร หลานหลวงพ่อทาบเป็นเป็นผู้แกะพิมพ์จากหินมีดโกนเช่นกัน ส่วนพิมพ์พระปิดตามี 5 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่เป็นพิเศษ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์จิ๋ว นอกจากนี้ยังมีพิมพ์กลีบบัว อีกพิมพ์หนึ่งทั้งหมดสร้างด้วยเนื้อผงดำ ได้พระประมาณ ๘๔,๐๐๐ องค์ เท่ากับพระธรรมขันธ์ ที่สำคัญหลวงพ่อทาบได้นำสีผึ้งเขียวผสมเองลงไปด้วย ดังนั้นพระทุกองค์จึงมีส่วนผสมของสีผึ้งเขียว เมื่อพิมพ์พระเสร็จแล้ว หลวงพ่อทาบท่านปลุกเสกพระชนิดมวยเดี่ยวแต่เพียงองค์เดียวประมาณหนึ่งพรรษาเต็ม ๆ เมื่อใกล้จะถึงงานผูกพันธสีมาอุโบสถ หลวงพ่อทาบจึงทำพิธีปลุกเสกเสริมข้อบกพร่องอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าทำเพิ่มเสริมหรืออุดช่องโหว่ โดยไปนิมนต์หลวงปู่ทิมมาเป็นประธาน นับเป็นงานครั้งแรกของหลวงปู่ทิมที่ท่านได้ออกจากวัดละหารไร่มาร่วมพิธีปลุกเสก ปีนั้น พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่ทิมมีอายุ ๘๓ ปี พอดี อาจารย์ประถมเล่าว่า การปลุกเสกครั้งนั้นนับว่าเป็นครั้งแรกของบ้านค่ายที่ชาวบ้านนำพระเครื่องของตนมาร่วมในพิธีปลุกเสกเพื่อเสริมพลังด้วย และในงานนี้มีอยู่รายหนึ่งนำเอาน้ำมันใส่ผมตรานางสงกรานต์เข้าพิธีด้วยหลาย******บ คิดว่าเพื่อให้เกิดเสน่ห์มหานิยม เอาไว้เพื่อผสมกับน้ำมันใส่ผมอื่นๆ ที่จะใช้ประจำวัน

    สำหรับพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมปลุกเสกก็มี หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก สำหรับหลวงพ่อทาบ อาจารย์ปถมบอกว่าท่านไม่ได้มาร่วมนั่งปลุกเสก ได้แต่นั่งรับแขก เพราะท้องท่านเสีย ทันทีที่พิธีปลุกเสกเริ่มขึ้นก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น เพราะเทียนคู่ที่ตั้งอยู่เกิดหงิกงอ มีรูปคล้ายหงส์ ฝาขาดน้ำมันใส่ผมตรานางสงกรานต์ ก็เกิดระเบิดขึ้นพร้อมกัน ๓ - ๔ ฝา ปลิวกระเด็นออกมาท่ามกลางความตกตะลึงของผู้เข้าร่วมในพิธี ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพหลังจิตของหลวงปู่ทิม เพราะกล่องใส่น้ำมันอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ทิมพอดี แม้ว่าอายุจะย่างเข้า ๘๓ ปี พรรษาที่ ๖๐ หลวงปู่ทิมท่านก็ลุกขึ้นเมื่อเลิกปรก ทั้ง ๆ ที่ในระหว่างนั่งปรก ทางเจ้าพิธีการได้แบ่งการปลุกเสกไว้ถึง ๔ ช่วง โดยปลุกเสกไปเกือบ ๒ ชม. ก็จะตีฆ้องครั้งหนึ่งเพื่อบอกกล่าวให้หลวงพ่อที่ปรกออกจากเข้าสมาธิ พักผ่อนดื่มน้ำชา กาแฟ ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่หลวงปู่ทิมท่านนั่งปรกตลอด ๘ ชม. โดยไม่ลุกขึ้นผักผ่อนเลย และเมื่อท่านเลิกปรกเมื่อประมาณ 2 นาฬิกาเศษของวันใหม่แล้ว ท่านก็ไม่ยอมดื่มน้ำชาที่ทางเจ้าพิธีนำมาถวาย ท่านได้พูดเล่นกับอาจารย์ประถมว่า “ให้เสกแบบนี้เมื่อตาย” จากนั้นก็กลับวัดเลย เมื่อศิษย์ถามว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่ฉันน้ำที่เขาถวาย และไม่รับปัจจัยที่เขาถวาย” หลวงปู่ทิมตอบว่า “ถ้าฉันน้ำของเขา และรับปัจจัยที่เขาถวาย ก็จะไม่ได้บุญ เพราะเท่ากับรับจ้างเขาเสกพระ” ศิษย์ถามต่อไปอีกว่า “ทำไมต้องนั่งพนมมือเสก รูปอื่น ๆ เขานั่งสมาธิมือขวาทับมือซ้ายกันทั้งนั้น” ท่านตอบว่า“พนมมือเสกพระดีกว่า เพราะถ้าเกิดนั่งหลับ เมื่อนั้นคนเขาจะได้รู้ เพราะมือที่พนมไว้มันจะตก”

    พระผงผสมสีผึ้งหลวงพ่อทาบ มีทั้งหมด ๙ พิมพ์ ดังกล่าวแล้ว และเมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จแล้ว ประชาชาแถบนั้นให้ความสนใจมาก ที่วัดกระบกขึ้นผึ้งวันถัดมาก็มีงาน ผู้ที่ทำบุญตั้งแต่ ๑๐ - ๒๐ บาท หลวงพ่อทาบก็จะแจกพระให้องค์หนึ่ง พระส่วนหนึ่งได้นำออกมาแจกในวันงาน และเก็บไว้แจกในวันต่อ ๆไป ส่วนอีกจำนวนหนึ่งหลวงพ่อทาบท่านได้บรรจุใส่ไหหลายใบ บรรจุไว้ในฐานพระประธานในอุโบสถ

    ประสบการณ์พระผง
    ในงานวัดกระบกขึ้นผึ้ง บรรดาหนุ่มในหมู่บ้านหลายแห่งได้มาพบกันในงานวัด และต่างก็ได้รับแจกพระเครื่องผงดำไปคนละองค์สององค์ ก็มีเรื่องเฮี้ยวเกิดขึ้นจนได้มีการเขม่นและเกิดวิวาทตีรันฟันแทงกันขึ้น เพราะบ้านค่ายนั้นเป็นดินแดนของหนุ่มชาวไร่อ้อย ชาวไร่มัน และหนุ่มโรงน้ำตาล ผู้คนมาจากทุกสารทิศ เรื่องตีรันฟันแทงมีขึ้นเป็นประจำทุกงาน ปกติหากวัดที่มีเกจิอาจารย์ดังๆ เป็นเจ้าวัด เวลามีงานท่านมักจะนำตะกรุดมหาระงับไปแอบฝังไว้ตรงลานวัด เพื่อระงับเหตุไม่ให้มีการทะเลาะกัน แต่หลวงพ่อทาบท่านไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครเลือดตกอย่างออกเลย ด้วยเหตุนี้พระเครื่องส่วนที่นำออกไว้แจกจึงหมดไปในเวลาไม่นาน และพระเครื่องชุดนั้นก็ดังระเบิด รายต่อมาสามล้อระยอง กำลังปั่นซาเล้งอยู่กลางถนน เสาไฟฟ้าเกิดหักลงเกือบจะทับรถ ซึ่งแล่นมาพอดี คนขับไม่เป็นอะไรเพราะในตัวมีพระผงซึ่งได้รับแจกมาจากหลวงพ่อทาบเพียงองค์เดียว เรื่องนี้ดังมากในตลาดยุดนั้น

    ส่วนในด้านเมตตามหานิยม มีคนง่อยอยู่ใกล้วัดกระบกขึ้นผึ้งคนหนึ่ง นับถือหลวงพ่อทาบ และได้รับพระผงพิมพ์พระปิดตาไว้องค์หนึ่ง หลวงพ่อทาบสั่งว่าถ้าใช้ด้วยความศรัทธาและมั่นใจก็จะสัมฤทธิ์ผลทุกอย่าง ชายง่อยผู้นี้เป็นคนง่อยประเภทโด่ไม่รู้ล้ม มีภรรยาถึง ๖ คน ทุกคนอยู่กับชายง่อยด้วยความสามัคคี ไม่มีเรื่องทะเลาะกัน จนเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้าน กิตติศัพท์เรื่องนี้เคยมีคนมาขอซื้อพระองค์นี้ แต่เจ้าตัวไม่ยอมขาย

    ในด้านอยู่ยงคงกระพัน ศิษย์ของหลวงพ่อทาบคนหนึ่ง ใช้พระพิมพ์สมเด็จที่หลวงพ่อทาบปลุกเสก ติดตัวอยู่เป็นประจำ เคยถูกลอบยิงด้วยปืนลูกซองเต็มแผ่นหลัง แต่ไม่ระคายผิดหนัง มีเพียงรอยไหม้เป็นจุดเล็ก ๆ เท่านั้น อีกรายหนึ่งเป็นเรื่องราวขึ้นในสมัยหลวงพ่อทาบ มีหญิงคนหนึ่งชื่อ นางไม้ ใจกล้า อยู่บ้านหนองคอกหมู อ.บ้านค่าย ได้ออกไปเก็บผักเก็บหญ้ากลางทุ่ง ขณะนั้นฝนตกกำลังพรำ ๆ ฟ้าได้ผ่าถูกต้องนางไม้สลบที่ เสื้อผ้าที่สวมใส่ไหม้ไฟ สร้อยเงินที่ห้อยคอละลาย แต่พระพิมพ์หลวงพ่อทาบพิมพ์กลีบบัวยังอยู่ปกติ ผู้ที่มาช่วยปฐมพยาบาลร่างอันสลบไสลของนางไม้ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน อิทธิปาฏิหาริย์หลายรูปแบบของพระเครื่องหลวงพ่อทาบมีมากมายหลายเรื่องในยุดนั้น จนเป็นที่กล่าวขวัญและเล่าลือกันทั่วไป

    หลวงพ่อทาบ เจ้าตำรับสีผึ้งเขียวอันโด่งดังได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ รวมอายุได้ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๗ นับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่โด่งดังของภาคตะวันออก อีกรูปหนึ่ง ที่ผ่านมานี้ พระครูมนูญสาธุกิจ (เสียน) เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งรูปปัจจุบันได้ทำพิธีเปิดกรุพระผงดำหลวงพ่อทาบ ได้นำพระออกให้สาธุชนบูชา ได้เงินทั้งหมด ๓ ล้านบาทเศษ โดยมีครูบาอาจารย์ของโรงเรียนหลายแห่งของ อ.บ้านค่าย ร่วมเป็นกรรมการในการปิดกรุครั้งนั้น และพระทั้งหมดประมาณ ๔ - ๕,๐๐๐ องค์หมดไปในช่วงเวลาเพียง ๓ - ๔ วัน ผู้เขียนซึ่งเป็นศิษย์พระเกจิอาจารย์สายหลวงปู่สังข์เฒ่า– หลวงปู่ทิม - หลวงพ่อวงศ์ - หลวงพ่ออ่ำ - หลวงพ่อลัด และหลวงพ่อทาบก็ได้เช่าบูชาพระเครื่องชุดผงดำหลวงพ่อทาบผสมสีผึ้งไว้จำนวนหนึ่ง

    พระสมเด็จสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ประถม อาจสาคร เป็นผู้แนะนำ การตำ คลุกเค้าผงและกดพิมพ์พระ ลักษณะ เป็นพระเนื้อผงผสมสีผึ้งเขียว สีดำเข้ม พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก มีทั้งแบบปิดทองคำเปลวด้านหน้าและไม่ปิด พุทธคุณ อานุภาพสุดยอดด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้วคลาดและโชคลาภค้าขาย

    มวลสารส่วนผสม
    1.ผงวิเศษเก่าของหลวงพ่อทาบ
    2.สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ
    3.ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ของอาจารย์ประถม อาจสาคร
    4.ผงถ่านคัมภีร์ใบลานโบราณเก่าของหลวงพ่อทาบ
    5.ผงวิเศษของหลวงพ่อบุญมี วัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา ชลบุรี
    6.ผงดินมงคลของหลวงพ่อทาบ
    7.ผงโยคีฮาเล็บ วัดสารนาถ อ.แกลง

    ปลุกเสกครั้งที่ 2
    หลวงพ่อทาบปลุกเสกเดี่ยว 1 พรรษาเต็ม เมื่อใกล้งานผูกพัทธสีมาวัดกระบกขึ้นผึ้ง

    ปลุกเสกครั้งที่ 1 รายนามพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก ณ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    1.หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ รับนิมนต์เป็นประธานพิธี
    2.หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
    3.หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง
    4.หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก
    พระเกจิอาจารย์ได้เข้าสมาธินั่งปรกปลุกเสกตั้งแต่ 18.00 น. ถึงประมาณ 02.00 น. ของวันใหม่

    โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ทิม อิสริโก รับนิมนต์มาปลุกเสกนอกวัดละหารไร่ และท่านได้นั่งปรกปลุกเสกรวดเดียว 8 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักฉันน้ำชา (ปกติจะลั่นฆ้องทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้พระคุณเจ้าได้ถอนสมาธิพักผ่อนอิริยาบถและฉันน้ำชาประมาณ 30 นาที)

    ปลุกเสกครั้งที่ 2
    หลวงพ่อทาบปลุกเสก 1 พรรษา ก่อนแจกให้ผู้ร่วมทำบุญงานผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดกระบกขึ้นผึ้ง

    ขอขอบคุณพี่สมพร ที่ส่งประวัติมาแบ่งกันศึกษาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2009
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จับสัญญาณโรคร้าย ภัยเงียบ"ไตวายเรื้อรัง"

    ˹ѧ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TXc9PQ==

    จับสัญญาณโรคร้าย ภัยเงียบ"ไตวายเรื้อรัง"



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"ไตวายเรื้อรัง" เป็นภาวะที่ไตสูญเสียหน้าที่อย่างเรื้อรัง ทำให้เกิดการคั่งของของเสียและน้ำ และเป็นโรคที่พบมากขึ้นตามลำดับในประเทศไทย

    น.พ.มาโนช เตชะโชควิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์โรคไตกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ไตวายเรื้อรังเป็นโรคที่พบบ่อย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรัง เพราะอาการเริ่มแรกของโรคไม่รุนแรง เป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อมีอาการไตวายเรื้อรังรุนแรง หรือเข้าสู่ไตวายระยะสุดท้ายแล้ว จึงต้องสังเกตอาการตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพบความผิดปกติควรพบแพทย์ เพื่อรักษาทันที

    สำหรับสาเหตุของโรคเกิดจากการที่ไตสูญเสียหน้าที่ ขับน้ำและของเสียออกจากร่างกายไม่ได้ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล เกิดภาวะเลือดเป็นพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ซึม คลื่นไส้ และยังมีอาการที่มีผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อกระตุก ปลายมือปลายเท้าชาเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ เป็นตะคริว และชัก จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบในผู้ป่วยทุกราย ถ้าไตวายมากขึ้นบางรายมีเลือดออกจากทางเดินอาหาร <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ถ้าไตวายมากมีการคั่งของเกลือและน้ำ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง มีอาการบวมเนื่องจากหัวใจวาย บางรายมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ รวมไปถึงผิวหนังมีอาการคัน ผิวจะมีสีเหลือง-น้ำตาล

    น.พ.มาโนชอธิบายว่า โรคไตวายเรื้อรังมีหลายระยะ เริ่มตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะพบอาการน้อยมาก แต่เมื่อเป็นจนถึงระยะปานกลาง และระยะรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาการจะเพิ่มขึ้น กระทั่งเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษานั้นนอกจากผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น จึงควรชะลอการดำเนินของโรคไตวายเรื้อรังด้วยการควบคุมอาหาร ซึ่งปรึกษารายละเอียดจากแพทย์ได้

    ทางที่ดีก่อนจะกลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ควรสังเกตว่าตอนนี้คุณมีภาวะของโรคไตหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณเตือน เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดหรืออาจมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ มีโปรตีนหรือไขขาวรั่วออกมาในปัสสาวะจนทำให้ปัสสาวะที่ออกมามีฟองมาก และฟองไม่สลายตัวไปง่ายๆ (การมีฟองในปัสสาวะเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ) อาการบวมรอบๆ ตาและข้อเท้า อาการปวดหลังบริเวณบั้นเอว บางครั้งก็ร้าวไปถึงขาหนีบและลูกอัณฑะ

    ด้านวิธีการรักษา คุณหมอกล่าวว่าทำได้หลายวิธี คือ ควบคุมอาหารสำหรับโรคไต การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางหน้าท้อง การเปลี่ยนไต ซึ่งวิธีที่คนนิยมมากที่สุดคือ ส่วนการล้างไต ปัจจุบันที่ใช้อยู่มี 2 วิธี คือ การล้างไตทางหน้าท้อง และการฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2009
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    กำลังจะแจ้งเลยครับว่าวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์มากครับ....
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่วัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีความงดงามของศิลปกรรมแห่งประติมากรรมไทยที่น่าสนใจ น่าติดตามไปชมความงามด้วยสายตา นั่นคือ งานปูนปั้นเรื่องพุทธประวัติและทศชาติ ตรงผนังตอนหน้า ตอนหลัง และมุขตอนในวิหาร

    และยังมีรูปหล่อพระศรีอาริย์ เป็นของสำคัญยิ่ง ดังในพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง "เที่ยวตามทางรถไฟ" ที่ว่า

    "วัดไลอยู่ริมลำน้ำที่บางขาม พ้นเขาสมอคอนไปทางตะวันตกไม่ห่างนัก เป็นวัดเก่าชั้นแรกตั้งกรุงศรีอยุธยา แล้วปฏิสังขรณ์เมื่อรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ยังมีลายภาพของเก่าปั้นเรื่องทศชาติและเรื่องปฐมสมโพธิงามน่าดูนัก ที่วัดไลนี้มีรูปพระศรีอาริย์เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้คนนับถือกันมามาก แต่โบราณเมื่อรัชกาลที่ 5 ไฟป่าไหม้วิหารรูปพระศรีอาริย์ชำรุดไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เชิญลงมาปฏิสังขรณ์ในกรุงเทพฯ แล้วคืนกลับไปประดิษฐานอย่างเดิม ถึงเทศกาลราษฎรยังเชิญออกแห่เป็นประเพณีเมืองมาทุกปีมิได้ขาด"
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โดยได้จัดงานไหว้พระศรีอาริย์ถึง 3 ครั้งต่อปี กล่าวคือ วันกลางเดือน 3 กลางเดือน 6 และวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11

    กล่าวสำหรับรูปพระศรีอาริย์ เป็นรูปปั้นเนื้อทองผสมมีลักษณะคล้ายพระอัครสาวก มีขนาดสูงกว่าคนธรรมดา นั่งขัดสมาธิคล้ายพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ในวิหารอีกหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของวิหารหลังแรก

    ในหนังสือ "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์" ของ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ให้ความหมายของ "พระศรีอาริย์" อย่างน่าสนใจทีเดียวว่า
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "ศรีอารยเมตไตรย พระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ซึ่งจะอุบัติขึ้นในภายหน้า หลังจากสิ้นศาสนาพระโคดมแล้ว ในคราวที่มนุษย์มีอายุยืน 80,000 ปี นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 แห่งภัทรกัปนี้"

    และในหนังสือ "ลพบุรีที่น่ารู้" ของ หวน พินธุพันธุ์ มีกล่าวถึงตำนานการหล่อพระศรีอาริย์อย่างพิสดารล้ำลึกยิ่งว่า

    "นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อมณฑา อุตส่าห์พยายามรักษาศีลบำเพ็ญทาน เพื่อหวังจะมีอายุยืนนานได้พบพระศรีอาริย์ ครั้นถึงกาลใกล้จะตายได้เกิดสังหรณ์ใจ จึงได้สั่งบุตรว่า ถ้าตนตายอย่าเพิ่งเผาศพจนกว่าจะเลย 7 วันไปแล้ว เมื่อเฒ่ามณฑาตายลงวิญญาณได้ล่องลอยเพื่อจะไปนมัสการพระศรีอาริย์ แต่ไม่พบ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องมารับและแจ้งว่าขณะนี้พระศรีอาริย์ได้จุติลงมาในมนุษย์โลกแล้ว กำลังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดไล พร้อมกับมอบดอกบัวให้ 1 ดอก เพื่อนำไปถวายพระศรีอาริย์ ดอกบัวนี้เป็นของกายสิทธิ์ บุคคลธรรมดามองไม่เห็น แล้วพระอินทร์ได้ส่งวิญญาณของเฒ่ามณฑากลับคืนร่างเดิม ขณะนั้นเฒ่ามณฑาเพิ่งตายไปได้ 4 วัน เฒ่ามณฑาจึงได้ฟื้นคืนชีพ แล้วได้เล่าเรื่องที่ตายไปให้บุตรหลานฟัง จากนั้นก็ลงเรือพายไปวัดไล เพื่อนมัสการพระศรีอาริย์ ขณะที่ไปถึงวัดไลนั้นเป็นวันธรรมสวนะ ซึ่งเป็นวันที่พระภิกษุสามเณรเข้าโบสถ์เพื่อฟังพระโอวาทพระปาฏิโมกข์ เฒ่ามณฑาจึงนั่งรออยู่ที่บันไดหน้าโบสถ์

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>พอพระเริ่มออกจากโบสถ์เฒ่ามณฑาก็นั่งพนมมือชูดอกบัวอยู่ เพื่อรอให้องค์พระศรีอาริย์รับ จนเหลือเณรองค์สุดท้ายก็ไม่มีพระรูปใดเห็น และรับประเคนดอกบัวเฒ่ามณฑาๆ จึงได้ถามสามเณรขึ้นว่า พระวัดนี้หมดแล้วหรือ สามเณรนั้นได้ตอบว่ายังมีอยู่องค์หนึ่งชื่อศรี อยู่บนกุฏิมิได้ลงโบสถ์ เฒ่ามณฑาจึงตรงไปยังกุฏิพระศรีทันที พอถึงกุฎีก็เห็นพระกำลังอาพาธนอนอยู่ แต่พระศรีได้แลเห็นดอกบัว จึงตรงเข้ามารับประเคนทันที และพระศรี (พระศรีอาริย์) ก็รู้ทันทีว่าบุคคลนี้ได้ไปหาตนบนสวรรค์ จึงได้สอบถามเฒ่ามณฑาๆ ก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พระศรีอาริย์จึงกำชับมิให้เฒ่ามณฑาบอกให้ใครรู้ และขอให้เฒ่ามณฑาอยู่ด้วยกันไม่ให้ไปไหน อยู่มาไม่นานพระศรีอาริย์ก็ดับขันธ์ เฒ่ามณฑาจึงได้เล่าเหตุการณ์ณ์ต่างๆ ให้บรรดาพระภิกษุสามเณรแห่งวัดไลได้ทราบทั่วกัน ดังนั้นจึงได้เกิดการหล่อพระศรีอาริย์ทันที หล่อเท่าไรๆ ก็ไม่เป็นองค์พระ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงองค์เป็นตาชีปะขาวลงมาช่วยจัดการ ในวันที่ตาชีปะขาวลงมาช่วยหล่อพระศรีอาริย์นี้ เป็นเวลาใกล้เพล พระเณรขึ้นไปฉันเพลหมด บรรดาช่างหล่อพระก็คงเหนื่อยอ่อนใจ จึงให้ตาชีปะขาวหล่อคนเดียว พอพระฉันเพลเสร็จ รูปพระศรีอาริย์ได้ประดิษฐานเรียบร้อยแล้ว มีผู้พบเห็นตาชีปะขาวเดินออกจากวัดไลหายไป ตามเท่าไรก็ไม่พบ จึงนับว่าพระศรีอาริย์ได้เริ่มมีอภินิหารให้คนรู้ตั้งแต่นั้นมา

    สำหรับการดำเนินการสร้างวัตถุมงคลรูปพระศรีอาริย์ วัดไลย์ มีการสร้างขึ้นมาหลากหลายรุ่น นับแต่ปี พ.ศ. 2460 ที่ได้สร้างเหรียญปั๊มพระศรีอาริย์ขึ้นเป็นครั้งแรก ในยุคที่หลวงพ่อสุ่น พุทฺธสโร เป็นเจ้าอาวาสวัด (พ.ศ.2432-2471) ต่อมาในยุคพระครูสุพุทธิสุนทร (เล็ก) เจ้าอาวาสวัดรูปต่อมา (พ.ศ.2472-2483) ก็ได้สร้างเหรียญปั๊มพระศรีอาริย์เช่นกัน ครั้นเมื่อพระครูสุจิตธรรมธัช (สาย สุจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาสวัด (พ.ศ.2483-2521) ก็ดำเนินการสร้างเช่นเดียวกัน

    และเหรียญปั๊มพระศรีอาริย์ปี พ.ศ.2467 อันจะกล่าวถึง ซึ่งเป็นเหรียญที่ค่อนข้างพบเห็นได้บ่อยๆ กล่าวว่าเหรียญปั๊มพระศรีอาริย์ในรุ่นนี้ มีหลายแบบพิมพ์ หลากเนื้อหา ทั้งทองแดงกะไหล่ทอง ทองเหลือง และเนื้ออลูมิเนียม ส่วนเนื้อเงินก็มี ทว่ามีเพียงเล็กน้อย

    สำหรับในพิมพ์ที่นำมาให้ชม เป็นพิมพ์หนึ่ง รูปใบเสมามีหูในตัว ขนาดเหรียญกว้างประมาณ 2.2 เซนติเมตร สูงประมาณ 3 เซนติเมตร

    ด้านหน้า เป็นรูปพระศรีอาริย์ประทับนั่งเหนืออาสนะตั่งสามขา มีอักษรไทยเบื้องล่างเหรียญว่า "ที่ระฤก พระศรีอาริย์ วัดไลย์" ใต้หูเหรียญมีอักขระขอมว่า "พุท ธะ สัง มิ"

    ด้านหลัง เป็นยันต์สี่เหลี่ยมขมวดมุม แบ่งตารางเป็น 25 ช่อง บรรจุอักขระขอมเอาไว้ ใต้ยันต์เป็นปีที่สร้างเหรียญ คือ "พ.ศ. ๒๔๖๗"

    สำหรับอักขระขอมในตารางนี้ เมื่อถอดความแล้วได้ความหมายว่า "ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าซึ่งบรรลุพระอรหันต์โดยชอบ ข้าพเจ้าขอกราบพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น"

    เหรียญดีที่ทรงคุณค่า และความหมาย เพื่อนักสะสมพระเครื่องจะพึ่งน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

    [​IMG]
    ผมขออนุญาต นำมาจากเวปพรพระเครื่องซึ่ง คงนำมาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดครับ
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เจ้าลุงข้างบ้านผมก็มีกะเค้า หนึ่งเหรียญ ครับ หุ หุ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ดึกๆ ต้องย่องไปหัวเตียงตาลุงข้างบ้านหน่อยละ ขอดูใกล้ๆหน่อย ในรูปดูไม่ชัดน่ะ...
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อย.เตือนอย่าเชื่อโฆษณากาแฟลดอ้วน ชี้ยิ่งกินยิ่งเผละ
    Quality of Life - Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 พฤศจิกายน 2552 19:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รูปประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อย.เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป ที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ทำให้เข้าใจว่ามีผลในการลดน้ำหนัก หรือทำให้หุ่นดี เพราะกาแฟเป็นอาหาร ไม่ใช่ยาลดความอ้วน มิหนำซ้ำหากดื่มมากแทนที่จะผอม กลับยิ่งอ้วนจากการเติมน้ำตาล ครีม หรือ นมในกาแฟ

    นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปจำนวนมากอวดอ้างสรรพคุณ ว่า มีผลในการลดน้ำหนัก เช่น โฆษณาแสดงตัวอย่างบุคคลก่อนและหลังใช้ผลิตภัณฑ์ ว่า ทำให้น้ำหนักลดลงภายในระยะเวลาหนึ่ง หรืออ้างว่า เป็นโปรแกรมเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เช่น เดิมน้ำหนัก 80 กิโลกรัม เมื่อบริโภคผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปนี้แล้ว น้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม ภายใน 2 สัปดาห์ หรือการโฆษณาโดยใช้ผู้แสดงแบบเป็นผู้หญิงอ้วน หรือผู้หญิงรูปร่างดี แล้วทำให้เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีผลในการลดน้ำหนัก เป็นต้น ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เพื่อจูงใจให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ ก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กาแฟ ขอให้ผู้บริโภคอ่านฉลากให้ถี่ถ้วน โดยต้องมีฉลากภาษาไทยแจ้งส่วนผสม ระบุชื่อผู้ผลิตอย่างชัดเจน และมีเลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย.ซึ่งแม้ว่าที่ฉลากจะมีการระบุส่วนประกอบว่า มีไฟเบอร์ คอลลาเจน แอลคาร์นีทีน หรือ โครเมียม

    แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางวิชาการ ยืนยันว่า สารดังกล่าวมีผลในการลดน้ำหนัก หรือทำให้ผิวสวย หรือเพิ่มความงาม ส่วนเลขสารบบอาหารที่แสดงบนฉลากอาหารเป็นเพียงการประเมินความปลอดภัยเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต และส่วนประกอบเท่านั้น ไม่ได้รับรองการโฆษณา แต่อย่างใด และ อย.ไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณลดความอ้วน ในขณะที่หากดื่มมาก อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ จากการเติมน้ำตาล ครีม หรือนมในกาแฟ อีกทั้งทำให้หัวใจทำงานหนัก เนื่องจากได้รับกาเฟอีนมากเกินไป โดยเฉพาะในรายที่มีความไวต่อกาเฟอีน และที่ร้ายไปกว่านั้นผู้บริโภคบางรายอาจได้รับอันตรายจากการเจือปนของยาบางชนิดที่ลักลอบใส่ในผลิตภัณฑ์ เช่น ยาไซบูทรามีน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นต้น

    หาก อย.ตรวจพบการกระทำผิดของอาหารประเภทกาแฟ เช่น ลักลอบผสมยาแผนปัจจุบันจะจัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือโฆษณาสรรพคุณอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติอาหารได้ในเว็บไซต์ http://www.fda.moph.go.th โดยเข้าไปที่หัวข้อ ข่าวผลการดำเนินคดี

    อย่างไรก็ตาม อย.มีมาตรการในการเฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายของผลิตภัณฑ์อาหาร พร้อมทั้งมีมาตรการในการแจ้งเตือนผู้ประกอบการและอบรมให้ความรู้ เพื่อให้รับทราบและระมัดระวังเรื่องการโฆษณาให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง หรือหากพบปัญหา อย.จะเชิญผู้ประกอบการมาพบรวมถึงการประชุมชี้แจง และขอความร่วมมือจากเอเจนซี่ สมาคมโฆษณาฯ และสื่อที่ลงโฆษณาด้วย

    รองเลขาธิการ (อย.) กล่าวในตอนท้ายว่า ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์กาแฟที่อ้างผลในการลดน้ำหนักมักจะมีราคาที่สูงมากซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อสิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ การลดน้ำหนักสามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงด้วยการหมั่นออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที รับประทานอาหารให้หลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส นอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ยั่งยืนด้วย หากผู้บริโภคพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์กาแฟที่หลอกลวงและโอ้อวดเกินจริง หรือฉลากผลิตภัณฑ์ไม่ชัดเจน ไม่มีภาษาไทย หรือได้รับผลข้างเคียงจากบริโภคผลิตภัณฑ์กาแฟ ขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย.โทร.1556 หรือเดินทางมาร้องเรียนที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 47 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 45 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ฟ้าใสใส </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 51 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 49 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ปังย่า </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เริ่มมาเยอะแล้วครับ

    ไฟเริ่มแรงแล้ว อิอิ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    หุ..หุ.. เติมเข้าไปให้เต็มถังนะครับ ยังต้องเดินทางกันอีกไกล น้ำบ่อหน้าอย่าไปหวัง กว่าที่เข็มจะกระดิกขึ้นมาแต่ละครั้งใช้หลายpost เหลือเกิน เมื่อก่อนเข็มกระดิกง่าย เดี๋ยวนี้ปรับไปปรับมา เข็มไม่เดินเลย..อะไรกันนักกันหนา...

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ----------------------------------

    คุณผ่อนคลาย<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT> แจ้งกลับมาแล้วครับ


    <CENTER>Re: สงสัยเรื่อง ไม่สามารถAdd Reputation ให้กับเพื่อนๆได้

    </CENTER>

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>อ๋อ ผมก็เป็นครับ

    หากเพื่อนคนไหนเราเคยกดไปแล้ว จะกดได้ครั้งเดียวเท่านั้น จะกดอีกไม่ได้ เข้าใจว่าระบบตั้งไว้แบบนี้ครับ


    ก่อนโน้นมีระบบนี้ใหม่ๆ ระบบตั้งไว้ทำนองว่ากดแล้ว อีก ราว 7 วันกดได้อีก แต่ตอนนี้ คงตั้งไว้กดได้เพื่อน1คน ก็กดให้ได้คนละ 1 ครั้งน่ะครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 19 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, psombat+, คุณกมล, chantasakuldecha+, แหน่ง+, :::เพชร:::+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีทุกท่านตอนเช้าครับ

    .
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันศุกร์นี้ผมมีสัมนาเรื่อง"white ocean strategy" เห็นว่าดี แต่น่าจะเป็นหลักธรรมทางตะวันออกของเรา เลยนำมาฝากกันครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=750 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]หนังสือแนวบริหารเล่มล่าสุด ที่ตอกย้ำสัจธรรม ‘ทำดีย่อมได้ดีเสมอ’ เป็นพลังแสงบริสุทธิ์ ที่จะส่องสว่างกลางใจผู้อ่าน สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต และโลกทั้งใบ ให้ก้าวข้ามพันธนาการเดิม สู่อิสรภาพอันยิ่งใหญ่ และงดงาม พร้อมเปิดเผยเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรที่ยิ่งใหญ่ ยั่งยืน และสั่นสะเทือนสังคม
    คำนิยมโดย นายแพทย์ประเวศ วะสี และ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ยกย่องการจุดประกายแนวคิด “White Ocean Strategy”ที่ควรได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เพื่อไม่ให้เกิดมะเร็งสังคม
    “White Ocean Strategy” กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว เป็นผลงานเล่มล่าสุดของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย นักคิด นักเขียน และผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง จากการเชื่อมโยงหลักธรรมทางตะวันออก เพื่อเป็นพื้นฐานในการบริหารงาน และใช้ชีวิตแบบตะวันตก ได้อย่างผสมผสานกลมกลืนจนกลายเป็นคลื่นสีขาว ที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งสังคม ทรงพลัง และไร้ขอบเขต
    “White Ocean Strategy” เปิดเผยเคล็ดลับของบุคคล และองค์กรชั้นนำทั้งของไทย และต่างประเทศที่ยึดมั่นอยู่ในเส้นทางสีขาว และเป็นแรงขับเคลื่อน และเปลี่ยนแปลงสังคม White Ocean Strategy จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการฝ่าออกจากภาวะวิกฤตทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่
    [​IMG] VDO Full Version : งานเปิดตัวหนังสือ "White Ocean Strategy - กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว"
    ปรากฏการณ์โลก เปลี่ยนสมรภูมิธุรกิจ เป็นสมรภูมิแห่งคุณธรรม
    White Ocean Society : กระดานสนทนา "กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว"
    [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD background=http://www.dmgbooks.com/site/email/images/white_ocean_nameplate_bg.png height=35>เนื้อหาโดยสังเขป</TD></TR><TR><TD>การเกิดขึ้นของ “Red Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีเลือด” ถือเป็นหนทางหนึ่งที่เคยช่วยให้หลายธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ในความสำเร็จนั้นกลับก่อให้เกิดความรุนแรงในแวดวงธุรกิจการตลาด เพราะด้วยวิถีทางแห่งกลยุทธ์น่านน้ำสีเลือดแล้ว การแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ทางธุรกิจถือเป็นจุดประสงค์หลักของกลยุทธ์นี้ แต่การมุ่งเอาชนะคู่แข่ง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่าโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดแล้ว ยังมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บทางธุรกิจด้วยกันทุกฝ่าย
    “Blue Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม” จึงเป็นแนวทางดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นตามมา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางการตลาดแบบเดิม กลยุทธ์น่านน้ำสีครามจะไม่แข่งขัน ผลิตสินค้ารูปแบบเดียวกันป้อนสู่ตลาด ไม่เอาชนะกันด้วยสินค้าลอกเลียนแบบ แต่จะเลือกพัฒนาสินค้าของตนให้แหวกแนวไปจากที่มีอยู่ เน้นความเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน ใช้ “นวัตกรรมใหม่” และ “ความต่าง” เป็นตัวดึงดูดความสนใจของลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้เคยสร้างยอดขายถล่มทลายมาแล้วในสินค้าหลายชนิด
    แต่กลยุทธ์น่านน้ำสีครามก็ทำให้ผู้ดำเนินธุรกิจต้องเหนื่อยกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อวิ่งหนีคู่แข่ง ซึ่งนั่นคือการหนีที่ไม่มีวันสิ้นสุด!
    “White Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว” เป็นฐานที่มั่นในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะอยู่ในน่านน้ำสีเลือดหรือสีครามก็ตาม หากผู้บริหารและองค์กรมีความยึดมั่นอยู่บนคุณงามความดี ศีลธรรม และปรับมุมมองจากที่คอยตักตวงผลประโยชน์จากสังคม มาเป็นการช่วยเหลือ แบ่งปัน และเป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม โดยคำนึงถึงภาพกว้างของ People, Planet, Profit และ Passion เป็นแรงขับเคลื่อนในการบริหารงานทุกภาคส่วน ตั้งแต่พันธกิจ วิสัยทัศน์ นโยบาย การผลิต การบริหาร การตลาด การสื่อสาร การบริหารงานบุคคล ฯลฯ นับจากวันก่อเกิดองค์กร
    หากคุณต้องการให้องค์กรของคุณอยู่อย่างยั่งยืน มั่นคง สง่างาม White Ocean Strategy คือหนังสือที่คุณควรอ่าน และนำไปปฏิบัติใช้!


    </TD></TR><TR><TD background=http://www.dmgbooks.com/site/email/images/white_ocean_nameplate_bg.png height=35>สารบัญ</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="50%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="97%" align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ส่วนที่ 1 น่านน้ำใหม่ </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>1. </CENTER></TD><TD>
    น่านน้ำใหม่ ทะเลสีขาว


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>2 </CENTER></TD><TD>
    โลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>3 </CENTER></TD><TD>
    ธุรกิจสีขาวไม่ใช่สิ่งใหม่


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ส่วนที่ 2 หลุมพราง-ความโลภ-ธุรกิจสีขาว </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>4 </CENTER></TD><TD>
    หลุมพราง


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>5 </CENTER></TD><TD>
    ความโลภ


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>6 </CENTER></TD><TD>
    บทสรุปที่ไม่ได้มีแค่ตัวเลข


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>7 </CENTER></TD><TD>
    บรรษัทภิบาล-เศรษฐกิจพอเพียง-ธุรกิจสีขาว


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>8 </CENTER></TD><TD>
    ความไว้วางใจ ต้นทุน ‘ธุรกิจสีขาว’


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD colSpan=3><HR width="100%" noShade SIZE=1></TD></TR><TR><TD><CENTER>พิเศษ </CENTER></TD><TD>
    โตแบบควายดีกว่า


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="50%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="97%" align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ส่วนที่ 3 กรณีศึกษา ‘ทะเลสีขาว’ </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>9 </CENTER></TD><TD>
    ความซื่อตรงสำคัญยิ่ง


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>10 </CENTER></TD><TD>
    CRS บันไดสู่ 'ธุรกิจสีขาว'


    </TD><TD><CENTER>[​IMG] </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>11 </CENTER></TD><TD>
    ‘จิตอาสา’


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>12 </CENTER></TD><TD>
    Our Loss in Our Gain สุขทางใจที่ยิ่งใหญ่


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>13 </CENTER></TD><TD>
    พลังการให้


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>14 </CENTER></TD><TD>
    คลื่นลูกใหม่


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>15 </CENTER></TD><TD>
    มรดกความดี


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>16 </CENTER></TD><TD>
    ธุรกิจสีขาวเริ่มจากผู้นำองค์กร


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>17 </CENTER></TD><TD>
    ธุรกิจสีขาว…สร้างได้


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ส่วนที่ 4 เติบโตอย่างยั่งยืน </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>18 </CENTER></TD><TD>
    ก้าวพ้นความต้องการเดิม


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>19 </CENTER></TD><TD>
    ธุรกิจสีขาว (ช่วย) ลดความเสี่ยง


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>20 </CENTER></TD><TD>
    ธุรกิจหัวใจสีขาว


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>21 </CENTER></TD><TD>
    น่านน้ำใหม่ น่านน้ำสีขาว


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>22 </CENTER></TD><TD>
    ตัวอย่างธุรกิจสีขาว


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ส่วนที่ 5 โลกธุรกิจในอุดมคติ </CENTER></TD></TR><TR><TD><CENTER>23 </CENTER></TD><TD>
    สังคมสีขาว


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD><CENTER>24 </CENTER></TD><TD>
    บทสรุปน่านน้ำสีขาว


    </TD><TD></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffcc colSpan=3><CENTER>ท้ายเล่ม </CENTER></TD></TR><TR><TD></TD><TD>บทสมาทานศีลห้า</TD><TD></TD></TR><TR><TD></TD><TD>คำอธิษฐานสำหรับการปล่อยชีวิตสัตว์</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=92 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=92 height=20>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=11>[​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD background=http://www.dmgbooks.com/site/email/images/white_ocean_nameplate_bg.png height=35>คำนำผู้เขียน</TD></TR><TR><TD>หลังจากที่ได้เผยแพร่แนวความคิด White Ocean Strategy มาสัก 2-3 ปี ผ่านทางบทความ และการบรรยายในที่ต่างๆ ผมได้เห็นถึงความสนใจในกลยุทธ์น่านน้ำสีขาวของธุรกิจ ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย ให้ทำวิทยานิพนธ์หัวข้อนี้ และประสบปัญหาว่า ไม่มีตำราอ้างอิง เพราะหาไม่เจอว่า ชาวต่างประเทศ ผู้ใดเป็นผู้เขียน ค้นหาทั้งทางอินเตอร์เน็ต และห้องสมุดต่างๆ ก็ไม่พบ ต่างจากกลยุทธ์อื่น ที่สามารถค้นหาอ่านได้โดยง่าย
    จึงเป็นที่มาของการเขียนหนังสือ White Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว ซึ่ง เปิดโอกาสให้ทุกท่านที่สนใจ สามารถอ่าน และดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์แห่งนี้ และส่งต่อได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
    จากประสบการณ์การทำงานที่หลากหลาย ทำให้ผมมีโอกาสเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ จากบุคคลผู้เป็นต้นแบบในชีวิตหลายท่าน โดยท่านเหล่านั้นอาจไม่รู้ตัวว่า กำลังเป็นเบ้าหลอม อย่างดีให้กับตัวผม และองค์กรธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ จนกระทั่งตกผลึกความคิดมาเป็น กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว จากการได้สัมผัส ศึกษา เรียนรู้ มีประสบการณ์ร่วมกับผู้บริหาร และทีมงานในองค์กรต่างๆ จึงทำให้ผมมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
    • กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว มีอยู่จริงและเกิดขึ้นอยู่บนโลกใบนี้มานานพอควร
    • กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว คือทางออกที่สง่างามของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ โลกใบนี้กำลังเผชิญอยู่อย่างยากเข็ญ
    • กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว คือ ความจริงที่พร้อมปรากฏ และพิสูจน์ให้กับผู้บริหารทุกคน และทุกองค์กรตลอดเวลา
    • กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว จะปลดปล่อยพันธนาการเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ที่ถูกปลูกฝัง อย่างผิดๆ โดยความเชื่อกระแสหลัก เพื่อก้าวสู่อิสรภาพยิ่งใหญ่ และศักยภาพเปี่ยมล้น
    • กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว จะก่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงในสังคม สู่การอยู่ร่วมกัน อย่างลงตัว แบ่งปัน เป็นสุข และยั่งยืน
    ในโอกาสนี้ ผมขอกราบขอบพระคุณ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่ได้เมตตาเขียนคำนิยม และเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตให้กับผมตลอดมา รวมทั้ง คุณกฤตวิทย์ ศรีพสุธา ผู้บริหารของวิริยะประกันภัย ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว น่าประทับใจของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ รวมทั้งมอบหนังสือ ‘บันทึกความคิด’ ซึ่งได้นำข้อความบางส่วนมาลงไว้ในหนังสือเล่มนี้
    และอีกหลายท่านที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้หมด
    ท้ายสุด ขอขอบคุณองค์กรน่านน้ำสีขาวทั้งหลาย ทั้งที่ได้อ้างอิงถึงในหนังสือเล่มนี้ และ อีกจำนวนมาก ที่ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ยถึง ซึ่งล้วนเป็นประจักษ์พยานแสดงให้เห็นว่า ‘ทำดี ย่อมได้ดีเสมอ’ และขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน มาร่วมกันสร้างสังคมสีขาวให้เกิดขึ้น โดยเริ่มต้น จากความสว่างไสวกลางใจเรา
    โลกสีขาวจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง



    </TD></TR><TR><TD background=http://www.dmgbooks.com/site/email/images/white_ocean_nameplate_bg.png height=35>คำนิยม</TD></TR><TR><TD>

    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]โลกไม่มีธุรกิจไม่ได้
    แต่ธุรกิจที่ไม่ถูกต้องลงตัวก็ทำให้โลกเป็นไปไม่ได้
    เพราะโลกก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติพยายามปรับไปสู่ความถูกต้องลงตัว เพื่อความ เป็นไปได้ เพราะถ้าไม่ถูกต้องก็จะไม่ลงตัว ติดขัด เจ็บป่วย วิกฤต ล่มสลาย นั่นคือเป็นไปไม่ได้
    ความถูกต้องลงตัวทำให้เกิดความเป็นปรกติ ดุลยภาพและยั่งยืน เช่น ร่างกายของเราถ้าอวัยวะทุกส่วน ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างถูกต้องลงตัว ก็เกิดความเป็นปรกติ สุขภาพดี อายุยืน แต่เมื่อเกิดมะเร็งขึ้นในร่างกาย มะเร็งมันแยกส่วน ถือประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงระบบร่างกายทั้งหมด เกิดความไม่ลงตัว เจ็บป่วย และเมื่อร่างกายตายเซลล์มะเร็งก็ตายด้วย
    อะไรๆ ในสังคมที่แยกส่วน ถือเอาประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงการดำรงอยู่ร่วมกันของทั้งหมด ก็เป็นเหมือนมะเร็งทางสังคม
    ธุรกิจทุนนิยมมีอำนาจมาก ถ้าอำนาจนั้นไม่ถูกต้องก็จะมีผลมาก ทั้งต่อสังคมและต่อตนเอง ธุรกิจทุนนิยมไม่ควรเป็นมะเร็งทางสังคม คุณดนัย จันทร์เจ้าฉายได้แสดงให้เห็นว่าทำอย่างไร ธุรกิจทุนนิยมจะเป็นสีขาว นั่นคือมีความถูกต้องลงตัวเพื่อการดำรงค์อยู่ร่วมกันของทั้งหมด หรือไม่เป็นมะเร็งทางสังคม
    หนังสือ White Ocean Strategy เล่มนี้ได้เปิดโลกทัศน์ทางธุรกิจให้เห็นว่า Red Ocean กับ Blue Ocean และ White Ocean เป็นอย่างไร พร้อมทั้งตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมทั้งในต่างประเทศ และในประเทศของเราเอง คนที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องมีความรู้กว้างขวางทั้งทางโลกธุรกิจและ ทางธรรมะ
    ธรรมะส่วนบุคคลนั้นเราพอเข้าใจ
    แต่ธรรมะขององค์กรนั้นเรายังเข้าใจน้อย แต่สำคัญมาก
    เพราะถ้าองค์กรต่างๆ ขาดธรรมาภิบาลแล้วประเทศเจ๊งลูกเดียว
    จึงขอขอบคุณคุณดนัย จันทร์เจ้าฉายที่พยายามทำให้คนไทยเข้าใจธรรมะขององค์กร ผ่านหนังสือ White Ocean Strategy กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว เล่มนี้ ขอให้หนังสือนี้สร้างความ เข้าใจโดยแพร่หลายว่าองค์กรทุกชนิด จะเอาตัวตนหรืออัตตาเป็นตัวตั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ จะต้องเป็นไปโดยธรรม ธรรมคือธรรมชาติ ธรรมคือกฎของธรรมชาติ ธรรมคือการปฏิบัติตาม กฎของธรรมชาติ นั้นคือความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งอย่างถูกต้องลงตัว จึงจะเกิดผลอันเป็นธรรม คือความเป็นปรกติ ศานติสุข และความยั่งยืนเป็นนิรันดร์

    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>

    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]“White Ocean Strategy” หรือ “กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว” เป็นผลงานของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ซึ่งทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจ คุณดนัยเชื่อมั่นว่า ถ้าทำธุรกิจโดยไม่วัดผลสำเร็จด้วยตัวเลข เช่น ผลกำไร ส่วนแบ่งการตลาดหุ้น เป็นต้น แต่วางกรอบธุรกิจไปที่การแบ่งปัน ส่งคืนความดีงามแก่โลก เอากำไรแต่พอประมาณ การดำเนินธุรกิจย่อมได้รับความสุข และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคเป็นการตอบแทน

    ในหนังสือเล่มนี้ของคุณดนัย ได้ยกตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งระดับประเทศ และระดับนานาประเทศที่เติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน โดยปัจจัยที่ทำให้องค์กรเหล่านี้ ประสบความสำเร็จมาจากกลยุทธ์สีขาว ที่ให้ความสำคัญด้วยการแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทรัพยากร รวมถึงสิ่งแวดล้อม จนทำให้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น

    ผมเห็นด้วยกับข้อเขียนของคุณดนัยว่า การทำธุรกิจถ้าจะให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนมั่นคง ต้องดำเนินอยู่บนหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล จริยธรรม และคุณธรรม ซึ่งจะทำให้ร่ำรวยอย่างยั่งยืน ไม่ใช่รวยแล้วล้ม ดังตัวอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ผมคิดว่า ในการทำธุรกิจควรมีการประเมินตัวเอง คือทำ Self Assessment แล้วใช้เหตุผลกำหนดเส้นทางเดิน อย่าใช้กิเลสตัณหา ให้ใช้ความพอดี จัดการธุรกิจอย่างฉลาด รอบคอบเพื่อไม่ให้กิจการก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือต่อผู้อื่น และต้องมีภูมิคุ้มกันในการบริหารความเสี่ยง
    คิดว่าเพียงเท่านี้ธุรกิจก็จะอยู่รอด นอกจากนั้น คนเก่งที่เป็นคนดี ก็จะเข้ามาร่วมมือด้วย กิจการจะอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน และมีโอกาสรวยอย่างมีความสุข
    ผมขอแสดงความชื่นชม คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ที่ได้จุดประกาย และตอกย้ำความคิดนี้ ให้เกิดขึ้นในวงการธุรกิจ กล่าวได้ว่า เป็นหนังสือที่ดี มีประโยชน์และให้ความรู้ สามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจได ้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผมหวังว่า หนังสือเล่มนี้ ควรได้เผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้อ่าน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดีครับทุกๆคน
     

แชร์หน้านี้

Loading...