พระอมตมหานิพพาน

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 18 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สมเด็จพระพุทธเจ้าของเราผู้เป็นพระสัพพัญญูตรัสรู้แจ้งในธรรมทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรมที่จริง 4 ประการไว้ให้สัตว์ทั้งหลายรู้แจ้งคือ

    1. ความทุกข์มีจริง
    2. สิ่งให้เกิดทุกข์มีจริง
    3. ธรรมเป็นที่ดับทุกข์มีจริง
    4. ข้อให้ปฏิบัติถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์มีจริง

    นี่แหละเรียกว่าอริยสัจสี่ คือ เป็นความจริงสี่ประการซึ่งเพิ่มอริยเข้าอีกคำหนึ่งนั้น คือ อริย แปลว่าพระผู้รู้อย่างหนึ่ง พระผู้ไกลจากกิเลสอย่างหนึ่ง รวมอริยสัจจะสองคำเป็นนามเดียวกัน เรียกว่า อริยสัจ

    พระอมตมหานิพพาน ไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย เป็นที่ดับทุกข์จริงแลสุขจริง พระอริยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมเห็นจริงแจ้งประจักษ์ในธรรม 4 อย่างดังนี้ แลสั่งสอนสัตว์ให้รู้ความจริง เพื่อจะให้ละทุกข์ เข้าหาความสุขที่จริง แต่ฝ่ายปุถุชนนั้นเห็นจริงบ้างแต่เล็กน้อย ไม่เห็นความจริงแจ้งประจักษ์ เหมือนอย่างพระอริยเจ้าทั้งปวง พวกปุถุชนเลยเห็นกลับไปว่า เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ดี ไม่เป็นทุกข์อะไรนัก บ้างก็ว่าเจ็บก็เจ็บ สนุกก็สนุก ทุกข์ก็ทุกข์ จะกลัวทุกข์ทำไม

    บ้างก็ว่าถ้าตายแล้วเกิดใหม่ ได้เกิดที่ดีๆ เป็นท้าวพระยาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว ก็หากลัวทุกข์อะไรไม่ ขอแต่อย่าให้ยากจนเท่านั้น

    บ้างก็ว่าถ้าตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ได้เสวยทิพยสมบัติ มีนางฟ้านับพันแวดล้อมเป็นบริวารเป็นสุขสำราญชื่นอกชื่นใจดังนั้นแล้ว ถึงจะตายบ่อยๆ เกิดบ่อยๆ ก็ไม่กลัวทุกข์กลัวร้อนอะไร

    บ้างก็ว่า ถ้าไปอมตมหานิพพาน ไปนอนเป็นสุขอยู่นมนานแต่ผู้เดียว ไม่มีคู่เคียงเรียงหมอนจะนอนด้วยแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไป เขาเห็นว่าอยู่เพียงเมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์เท่านั้นดีกว่า เขาหาอยากไปหาสุขในนิพพานไม่ พวกปุถุชนที่เป็นโลกีย์ชนย่อมเห็นไปดังนี้

    อมตธรรม ธรรมที่ทำให้ไม่ตาย คือ พระนิพพานนี้ ใครได้ดื่มแล้วจะไม่ต้องมาเวียนว่ายเกิดในโลกสงสารอีก

    ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นิพพานมีอยู่ แต่ในนิพพานไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุขอย่างเดียว

    ครั้งหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้พระนครราชคฤห์ ท่านพระสารีบุตร กล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า

    “ดูกรอาวุธโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข ดูกรอาวุธโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข”

    ท่านพระอุทายี ขณะนั้นยังเป็นเสขบุคคล บุคคลที่ยังต้องศึกษาต่อไป กล่าวถามท่านพระสารีบุตรว่า

    “ดูกรอาวุธโสสารีบุตร นิพพานไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร”
    เวทนา คือ อารมณ์สุข ทุกข์หรือเฉยๆ เมื่อในนิพพานไม่มีอารมณ์ เช่นนั้นแล้ว พระอุทายีจึงเกิดความสงสัยดังกล่าว

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวตอบ
    “ดูกรอาวุธโส นิพพานนี้ไม่มีเวทนา นั้นแหละเป็นสุข”
    “สุข” ในที่นี้ ตามพระสารีบุตรกล่าวถึงในพระนิพพาน จึงมิใช่ความสุขแบบโลกียสุขซึ่งเป็นของคู่กับทุกข์อีก ในภาษาธรรมมักเรียกว่า “เกษม” นั่นเอง

    ในนิพพานมีความ “เกษม” นิพพานจึงมิใช่สูญเปล่า มิใช่เฉยไม่รู้ไม่ชี้เหมือนพรหมลูกฟัก มิใช่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเหมือนชาด้าน เพราะในนิพพานยังมี “อายตนะ” คือความรู้เชื่อมต่อดังที่พระพุทธองค์ตรัส

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลาย

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ในอายตนะนั้นไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกอื่น ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีพระอาทิตย์ ทั้งสอง เราย่อมกล่าวอายตนะนั้นว่า มิใช่การมา มิใช่การไป มิใช่การตั้งอยู่ มิใช่การจุติ มิใช่การเกิดขึ้น ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเป็นไป ไม่มีอารมณ์ นั้นแหละ เป็นที่สุดแห่งทุกข์”

    ในนิพพานมีความรู้เชื่อมต่อคือ ความรู้สึกอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์มีความสุขสถานเดียวที่เรียกว่า ความเกษม

    ผู้ปรารถนานิพพาน จะยังไม่ถึงนิพพาน เพราะอะไร……….
    เพราะ “ปรารถนา” เป็นความประสงค์ ความต้องการ ความอยาก เป็นกิเลส จึงไม่นำสู่ความเกษมอันแท้จริง ในอภิธรรมปิฎกมีกล่าวไว้

    “ศรัทธาและโมหะ เป็นปัจจัยแห่งราคะ”
    ตัวศรัทธานั่นแหละคือ ปรารถนาเป็นตัวติดทำให้เกิดตัณหาราคะ จึงทำให้ไปไม่ถึงดวงดาวคือ นิพพาน ผู้จะถึงนิพพานจำต้องหลุดพ้นแม้กระทั่งศรัทธาเป็นที่สุด

    แต่การจะเริ่มต้นไปสู่นิพพานคือ อมตธรรมนั้น จะต้องเริ่มที่ศรัทธา ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว
    “เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด”

    ต้องเริ่มที่ศรัทธาเป็นตัวต้นและปล่อยศรัทธาเป็นตัวสุดท้าย ความที่สุดแห่งทุกข์จะพึงบังเกิดนิพพานจะปรากฏ ใครๆ ก็ไปนิพพานได้ ถ้าศรัทธาปรารถนาเสียแต่เดี๋ยวนี้ แต่เมื่อปรารถนาปุ๊บจะถึงนิพพานปั๊บนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะคำปรารถนามันเริ่มง่ายแต่ตัดยาก การจะตัดตัวอยากตัวเดียวนี่แหละองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้เวลา 4 อสงไขยกับแสนกัป ความจริงมากกว่านั้นนับแต่การปรารถนาเวียนว่ายตายเกิดในโลกสงสารของพระพุทธองค์ พระองค์เกิดตายมาหลายชาติหลายภพ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นสุเมธดาบสในสมัยพระเจ้าทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ในพุทธวงศ์

    พราหมณ์สุเมธ เกิดศรัทธาตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า “พุทโธ” ก่อนที่พระพุทธเจ้าทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จมาให้เห็น เมื่อได้พบเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ได้กระทำการปรนนิบัติเป็นเอกอุปวารณาอธิษฐานอธิการบารมีเพื่อบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้นโอฆสงสารต่อไปภายภาคหน้า

    นับจากพราหมณ์สุเมธอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า จากสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า จนบรรลุเป็นพระสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นพุทธเจ้าองค์ที่ 25 แห่งพุทธวงศ์ ใช้เวลาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารอีก 4 อสงไขยแสนกัป จึงปล่อยตัว “อยาก” หลุดไปได้

    “………การบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว”
    ทรงเปล่งพระพุทธอุทานในวรรคสุดท้ายของประโยคแรกแห่งการตรัสรู้ไว้เช่นนั้น

    ระยะเวลาอันยาวนาน แม้จะมีแต่ผลที่เกิดชั่ววิบเดียวก็สำเร็จแล้ว ปัจจุบันแห่งการบรรลุสั้นนัก ยิ่งกว่าลมหายใจเข้าออกของตัวเอง ถ้ามีจุดเริ่ม ต้องมีจุดจบ ตรงกับธรรมจักษุที่กล่าวรับรอง
    “สิ่งใดมีเกิด สิ่งนั้นมีดับ”

    จงปล่อยศรัทธามาเถิด เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว แน่นอนสักวันหนึ่งมันย่อมดับลง เมื่อเริ่มศรัทธาเป็นตัวต้น วันหนึ่งมันจะดับเป็นตัวสุดท้าย วันนั้นท่านจะหลุดพ้น จะเป็นวันที่บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้วของท่าน นิพพานจะมาถึงท่านเอง เพราะความปรารถนาหมดไป

    ถ้าไม่ปล่อยศรัทธาออกมา ความรู้แจ้งก็ไม่บังเกิด ไม่มีความรู้จริงที่จะไปดึงศรัทธาออกดับลงได้ เมื่อศรัทธายังเป็นปัจจัยแห่งราคะในกมลสันดาน ตราบนั้นตัณหาเจ้าแห่งกิเลสก็จะเจริญงอกงามขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด โลกสงสารที่ห่อหุ้มด้วยความทุกข์ก็จะยิ้มร่าต้อนรับท่านอยู่ตลอดไป จนกว่าศรัทธาจะเริ่มต้นปล่อยออกมาสู่ประตูอมตะที่พระพุทธองค์ทรงเปิดรับ เมื่อนั้นจุดจบแห่งความทุกข์ในอนาคตจึงจะเริ่มขึ้น

    จงรีบปล่อยศรัทธาออกมาเถิด





    ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี. หลวงปู่โต : อนุสรณ์ 130 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี: ทีมงานพระเครื่องเมืองพระพุทธบาท เรียบเรียง, 2545. หน้า 39-40.

    หลวงพ่อพุทธะ. “หลวงพ่อพุทธะ จุดจบต้องมีจุดเริ่ม” โลกลี้ลับ 141 ปีที่ 13 ประจำเดือนกันยายน 2539: บัญช์ บงกช เรียบเรียง. หน้า 102-109.
     
  2. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    อนุโมทนาค่ะ
     
  3. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ยากนะ เพราะบ่วงกามคุณทั้งห้า ยังผูกรัดอยู่
     
  4. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    โมทนาสาธุบุญค่ะ


    สู่เส้นทาง วิปัสสนา พาพ้นทุกข์

    ประสพสุข เสริมปัญญา ลาสรรเสริญ

    เห่อหลงสุข ว่าแกร่ง แหล่งเพลิดเพลิน

    ละห่างเหิน โลกมายา ว่าแน่นอน<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    บุคคลที่ยังเชื่อมั่น ในสิ่งที่ขัน5แสดงว่าเป็นจริงและยึดมั่นถื่อมั่นในขัน5 ว่าเป็นเรา

    จะคิดประมาณสุขในนิพพานออกได้อย่างไร ในเมื่อ สุขในนิพพานคือสุขที่เกิดจากการเลิกยึดมั่นถือมั่นในขันทั้ง5 ว่าเป็นเรา . . .

    ถึงคิดประมาณนิพพานสุขขึ้นมาได้ ก็เป็นแค่ความรู้สึกสุขที่แสดงโดยขัน5
    สุขทั้งหลายที่แสดงโดยขัน5 ไม่จริงเลย ตั้งแต่รูปทั้งหลายคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    เมื่อรูปทั้งหลายไม่จริง เวทนาคือว่ารู้สึกก็ไม่จริง
    เมื่อเวทนาไม่จริง สัญญา คือความจำก็ผิด
    เมื่อจำมาผิดสังขาร คือการปรุงแต่งก็ผิดอีก
    ไปถึงความรู้สึกที่เกิดที่ใจ คือวิญญาณ ก็ผิดอีกเช่นกัน

    เพราคิดไปว่าขัน5เป็นเรา จึงเชื่อ ในสิ่งที่ขัน5แสดง เพราะเชื่อในรูปที่ไม่จริง > เวทนา>สัญญา >สังขาร> วิญญาณที่ไม่จริง จึงเกิดสุข-ทุกข์ที่ไม่จริงที่แสดงโดยขัน5

    และเกิดตัณหา คือ ความอยากไห้ไขว่คว้าหา สุขที่ไม่จริงนั้นๆ โดยการหาสุขที่ไม่จริงทั้งหลายนั้น ต้องแลกมาด้วยทุกข์ทั้งสิ้น . . สุขที่แลกมาด้วยทุกข์นี้หละที่บุคคลที่ยึดมั่นในขันทั้ง5ไขว่คว้าหากันไป ตลอดชีวิตที่สุดแสนจะสั้น แต่ก็อีกนั่นหละ เพราะเชื่อมั่นในขัน5จึงเกิดความรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ยังอยู่อีกนานหนอ . . น่า... จริงๆ
     
  6. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    ขออนุโมทนาบุญกิศลในกาลครั้งนี้แก่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    อนุโมทนา สาธุ ๆ กับธรรมะดี ๆ อย่างนี้ด้วยนะครับ
     
  8. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,669
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "แต่การจะเริ่มต้นไปสู่นิพพานคือ อมตธรรมนั้น จะต้องเริ่มที่ศรัทธา ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว
    “เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด”


    ต้องเริ่มที่ศรัทธาเป็นตัวต้นและปล่อยศรัทธาเป็นตัวสุดท้าย ความที่สุดแห่งทุกข์จะพึงบังเกิดนิพพานจะปรากฏ ใครๆ ก็ไปนิพพานได้ ถ้าศรัทธาปรารถนาเสียแต่เดี๋ยวนี้ แต่เมื่อปรารถนาปุ๊บจะถึงนิพพานปั๊บนั้นเป็นไปไม่ได้ "

    ขออนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...