ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.

  1. ขาโจ๋ข้าเอง

    ขาโจ๋ข้าเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +4,856
    ไปเจอมาเลยคัดมาให้อ่านกันเล่นๆครับ เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านครับ



    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรสแท้องค์หนึ่ง หากท่านไม่ลาพุทธภูมิ จะต้องเกิดไปอีก 7 ชาติ บารมีก็จะเต็ม แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต่อจากพระศรีอารย์ องค์ที่ 20 (เอกสารอ้างอิง บันทึกไว้เมื่อ 8 ก.พ. 2512)


    มีคำจารึกใน "แผ่นทอง" ซึ่งบรรจุใต้แท่นพระประธาน ณ พระอุโบสถ เมื่อ วันที่ 25 เมษายน ปี พ.ศ. 2520 หลังจาก "ในหลวง" ทรงตัดลูกนิมิตแล้ว ในแผ่นทองได้จารึกไว้ดังนี้


    "เรา..พระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมถ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว 2700 ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว"


    คำสัตยาธิษฐาน


    สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้

    "..ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปัชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน


    เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว.."



    ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๑๕ หนังสือประวัติ หลวงพ่อปาน ก็ปรากฏออกมาพร้อมกับอาการ ป่วยหนักของท่าน เมื่อจะขอลาเข้าสู่แดนพระนิพพาน ท่านปู่พระอินทร์ ก็มายับยั้งว่า

    “ก่อนลงมาเกิด คุณตั้งใจจะมาช่วยบรรดาลูกหลาน อย่างน้อยก็ไปสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เวลานี้คนของคุณก็ยังมาไม่หมด คนของโยมก็ยังไม่ครบ แล้วยังมีคนของสมเด็จ องค์ปัจจุบัน และของหลวงพ่อปานอีก...”

    หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ก็รอมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงยังไม่มาอีกล่ะ นับตั้งแต่นั้นมา การหลั่งไหลมาตาม “ใบสั่ง” ก็เกิดขึ้นอย่าง มากมายดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ (แต่ก่อนมรณภาพ พระศรีอาริย์ มาแถมฝากไว้อีกไม่มาก ประมาณ ๓ แสนคน เวลานี้มีคนมาเล่าให้ฟังหลายรายว่า หลวงพ่อไปเข้าฝันให้มาวัด ทั้งที่ไม่เคยรู้จักวัด และไม่รู้จักหลวงพ่อมาก่อน)


    ครั้งนั้นจึงมีการต่อสัญญาอีก ๑๐ ปี เพื่อใช้หนี้ลูกหลานที่ติดตามกันมา จนถึงเวลา ครบ ๑๐ ปีตามสัญญา ท่านก็ต้องมาตายชั่ว คราวในปี พ.ศ.๒๕๒๓ เพื่อตัดตอนก่อนที่จะ ครบในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งมีการยืดเวลาไปอีก ๑๐ ปี ถึงปี พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำกิจพระศาสนาครบถ้วนตามมโนปณิธาน จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร
     
  2. ขาโจ๋ข้าเอง

    ขาโจ๋ข้าเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +4,856
    "พูดให้น้อย ปฏิบัติให้มาก เอาจิตจับจิตตัวเอง และอย่าประมาท"


    พี่ลีครับ ผมแปลความหมายของ น้องอ้อยเป็นแบบนี้ครับ ไม่รู้จะตรงกับน้องอ้อยหรือเปล่านะครับ

    พูดให้น้อย ก็เข้าข่ายกรรมบท10 เกี่ยวกับวาจา หรือ ไม่งั้นก็ มรรค8 ข้อที่ว่า สัมมาวาจา คาดว่าน้องอ้อยปฎิบัติเข้มข้นขึ้นแล้วครับ^^

    ปฏิบัติให้มาก ก็มรรค8 สัมมาวายามะ คือ ความเพียร ครับ ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติให้มากขึ้น ผลที่ได้จะมีสัมมาสติ ตามมาด้วยครับ

    เอาจิตจับจิตตัวเอง ไม่แน่ใจว่าน้องอ้อยจะหมายถึง มรรค8 สัมมาสติด้วยหรือเปล่า หรือ จะหมายถึงการที่เรารู้เท่าทันจิตตัวเอง ว่าทำอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร เหมือนกับว่าทำให้เรารู้ สติตัวเอง รู้เท่าทันจิต รู้ทั้งเวทนา รู้ทั้งทุกข์ พูดง่ายๆรู้เท่าทัน อริยสัจ 4 อะครับ

    และอย่าประมาท หุหุหุ ข้อนี้ถ้าเป็นผมก็ให้พิจารณาระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ว่างัยคนเราก็หนีไม่พ้นจากความตาย ลมหายใจเข้าไม่หายใจก็ตาย ลมหายใจออกไม่หายเข้าก็ตาย

    สังขารนั้นไม่เที่ยง ธาตุ5 นั้นขาดอย่างใดอย่างนึงไปไม่ได้ รวมความก็เป็น มรณาณุสติกรรมฐาน พิจารณาให้ดีแยกออกไปเป็น อสุภกรรมฐานได้อีกกอง ละเอียดขึ้นอีก พิจารณาอาหาเรปฏิกูลเพื่มเข้าไปอีก หูย! ตะนี้งานเข้าละครับ มีปลงแน่ๆ อิอิ


    ผิดพลาดประการใด ตีความหมายผิดก็ขออภัยด้วยละกันครับ
     
  3. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    สวัสดีค่ะ คุณGa_t
    ถ้าสามารถเปิดเผยได้โดยไม่ขัดกับประสงค์ของพระอาจารย์ รบกวนลงข้อมูลในกระทู้เถอะนะคะ เชื่อว่ามีท่านอื่นที่อยากทราบอีกหลายท่าน แต่ถ้าไม่สามารถเปิดเผยเป็นสาธารณะได้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ, ถ้าเป็นเช่นนั้นเมย์ขอพ่วง pm ด้วยคนนะคะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    จริงด้วยค่ะ ระยะนี้ทั้งพี่Me, myself ทั้งน้องอ้อย น้องฝน ต่างก็เร่งความเพียรกัน ไม่ค่อยมีเวลาเข้าเรือน คิดถึงมาก ๆ (แต่ยังพอมีคุณตู่อยู่ให้อุ่นใจ)

    คิดถึง.. แต่ก็เข้าใจค่ะ และขอกราบอนุโมทนากับทุกท่านเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ
     
  5. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +1,326
    หวัดดีจ๊ะ หนูเจี๊ยบ
    pm email address ให้พี่เมย์หน่อยซิค่ะ(ขอกันดื้อ ๆ งี้ล่ะ อิ อิ)
     
  6. Ga_t

    Ga_t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +867
    ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือผมเองไม่รู้จริงๆครับเพราะพระอาจารย์ท่านพาไปรู้สึกเส้นทางจะเป็นทางหลวงชนบทแล้วก็แยกเข้าอำเภอและแยกเข้าหมู่บ้านและแยกเข้าไปวัดอีกทีถนนที่เข้าไปวัดบางที่ยังเป็นดินอยู่เลยครับ
     
  7. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160

    ขออนุโมทนากับคุณอ้อยด้วยครับ
     
  8. titaporn

    titaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +418

    5555คิดถึงหนูใช่มั้ยละค่ะ หนูจัดให้ค่ะ Kajiab_01@hotmail.comเจ้าค่ะ

    คิดถึงจังเลย
     
  9. titaporn

    titaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +418
    สวัสดีค่ะ พี่ Me,myself

    ได้ข่าวจากพี่ๆๆว่าพี่สาวของเรากำลังเพียรกันทุกท่านหนูเจี๊ยบเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
     
  10. Lixalot's mummy

    Lixalot's mummy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,104
    แวะเอาบุญมาฝากค่ะ วันนี้ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพ

    สร้างพระศรีอริยเมตไตรยขนาดหน้าตักฐาน 12 นิ้ว สูง 22 นิ้ว 1 องค์ 4000 บาท
    สร้างพระศรีอริยเมตไตรยขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว 200 บาท
    สร้างพระศรีอริยเมตไตรยทุกองค์จำนวน 300 บาท

    เชิญทุกท่านอนุโมทนาร่วมกันค่ะ ลูกกราบขออาราธนาบารมีพระศรีรัตนตรัย ขอให้บุญกุศลที่เกิดขึ้นนี้ ช่วยหนุนนำให้พวกเราทุกคนในที่นี้และครอบครัวรวมทั้งบุคคลอันเป็นที่รัก ผ่านพ้นวิบากกรรมที่กำลังประสบอยุ่และที่กำลังจะประสบในอนาคตได้ด้วยดีทุกครั้งไป และขอให้เป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ สาธุ
     
  11. เจ๋วะรัฐถะ

    เจ๋วะรัฐถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    847
    ค่าพลัง:
    +15,386
    สวัสดีค่ะพี่ลี
    ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะพี่ลี ร่ายคาถาอะไรใส่ไว้ในคำถามด้วยหรือเปล่าคะเนี่ย (ล้อเล่นค่ะ ^_^)
    และต้องขออนุโมทนากับพี่ขาโจ๋ฯด้วยนะคะ

    สำหรับประโยค เอาจิตจับจิตตัวเอง ณ ที่นี้เป็นธรรมของพระพุทธองค์หมายถึง จิตในจิต ซึ่งการปฏิบัติทั้งหมดนั้นสำคัญที่จิตตัวเดียวค่ะ เราจึงพากันมาปฏิบัติที่จิต ตามให้รู้จิตของเราทุกขณะ

    ให้จิตรู้เท่าทันกิเลสที่มากระทบอายตนะทั้ง6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อจิตรู้สิ่งที่มากระทบให้พิจารณาว่า สิ่งนั้นมาจากไหน ตั้งอยู่อย่างไร และดับไปยังไง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป)

    เมื่อรู้แล้วให้ยึดเอาธรรมะของพระพุทธองค์เข้าตัดกิเลส ยกตัวอย่างสักนิดหนึ่งเช่น เมื่อหูได้ยินคำนินทา จิตเริ่มเกิดความไม่พอใจ แต่ถ้าหากเราตามจิตอยู่ พอรู้ว่าเริ่มไม่พอใจ ก็ให้คิดว่า คำนินทาเปรียบเสมือนสายลมพัดผ่าน พัดมาแล้ว เดี๋ยวก็วูบดับไป หายไป คำนินทาไม่ใช่เกิดขึ้นแล้วก่อตัวเป็นมีดมากรีดเนื้อหนังของเราได้ อันที่จริงไม่มีใครทำร้ายจิตของเราได้ เท่ากับจิตของเราเอง หากเราวางเฉยกับคำนินทา รับรู้แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป จิตของเราก็ไม่หนักไม่ยึดกับคำนินทา จับลมหายใจพร้อมคำภาวนาไปเรื่อยเป็นต้นทุนบุญกุศลได้อีก แล้วเราจะขาดทุนให้กิเลสไปทำไม ^_^

    <O:pในการดำเนินชีวิตเราย่อมหนีไม่พ้นสิ่งที่มากระทบ จะกระทบมากกระทบน้อยล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอ เป็นเรื่องของโลก นั่นก็คือโลกธรรม8
    มีลาภ
    เสื่อมลาภ
    มียศ
    เสื่อมยศ
    สรรเสริญ
    นินทา
    สุข
    ทุกข์

    ทุกอย่าง มีเกิด มีดับ ไม่มีอะไรคงทนยั่งยืน หากพิจารณาแล้วจะเห็นว่า ขันธ์ห้าก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งก็ต้องคืนธรรมชาติไป เหลือแต่จิต ดังนั้นทุกลมหายใจเข้า-ออกเราจะประมาทไม่ได้พระศาสดาทรงแนะนำว่าให้เอาจิตเกาะพระนิพพานไว้เป็นอารมณ์และให้คิดเสมอว่าเราจะไม่เกิดมาอีกแล้ว

    <O:pขอน้อมกราบพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าและครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ด้วยดวงจิตเคารพอย่างสุดประมาณมิได้ค่ะ

    ปล. อ้อยเองกำลังพยายามฝึกจิตอยู่ค่ะ จริงๆแล้วยังไม่ดีเลย ยังมีข้อผิดพลาดเยอะ สำรวจข้อผิดพลาดของตัวเองก็ยังเจอะเจออยู่บ่อยๆ แต่ยึดอิทธิบาท4เข้าไว้ เพื่อนกัลยาณมิตรก็เช่นกันนะคะ อย่าท้อนะคะ เรายอมเหนื่อย ยอมหนักกันในวันนี้ดีกว่านะคะ หนทางข้างหน้า ทุกคนมีจุดหมายอยู่ในใจแล้ว ^_^ โชคดีทุกคนนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2009
  12. cookieberry

    cookieberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2009
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +4,607
    พระอาจารย์ไม่เคยที่จะปิดชื่อพระอรหันต์ที่เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านจะบอกกับลูกศิษย์คนสนิทของท่านที่วัดเสมอว่าพระองค์ไหนท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านจะบอกเลยว่าให้ไปกราบไปทำบุญด้วย ท่านจะเลือกพระที่ดีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้ลูกศิษย์ของท่านกราบเสมอ

    การที่เราจะมีบุญได้กราบพระอรหันต์นั้นขึ้นกับบารมีของคนๆนั้นเองว่าเคยร่วมสร้างกันมากับพระอรหันต์ท่านหรือเปล่า ถ้ามีการที่จะได้กราบท่านก็จะไม่ใช่เรื่องยากซะเกินไป

    การที่พี่ลมจำเส้นทางหรือชื่อวัดไม่ได้เหตุเพราะรถของพระอาจารย์ขับเร็วมาก เส้นทางเล็กๆคนขับรถของท่านขับอย่างน้อย 120 -140 ขึ้นไปค่ะ พระอาจารย์สั่งเลยว่ากดให้มิดไม่ต้องกลัว

    เหตุที่ท่านให้คนขับนั้นขับรถเร็วเพราะท่านมักจะพาเดินทางไปหลายวัดในวันเดียว กราบครูบาอาจารย์ให้ทันตามหมายกำหนดการในใจของท่าน ดังนั้นคนขับรถตามคันของท่านของท่านต้องไวเพราะไม่งั้นจะหลุดขบวนได้ เเล้วจะทำให้คันที่วิ่งตามกันมาหลงไปตามๆกันได้

    ฝนเคยได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับท่านครั้งหนึ่ง ในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมงท่านสามารถพาไปกราบครูบาอาจารย์สายของท่านเเละเวียนเทียนรอบเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ อีกทั้งพาเที่ยวถ้ำทุกอย่างครบได้ประมาณ 9-10 วัด ข้ามอำเภอนู้นไปอำเภอนี้ ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ตามหมายกำหนดการโดยไม่ต้องรีบร้อน ท่านพาเดินเที่ยวจนลูกศิษย์ของท่านพอใจ เเต่สิ่งเดียวที่ท่านเร่งคือ ขับรถต้องเร็วเเละไว

    อีกอย่างเส้นทางที่พระอาจารย์ท่านพาไปส่วนใหญ่จะเลยออกนอกเขตเมืองจนถึงเขตหมู่บ้านด้านนอกเเละทางเป็นลูกรังดินเเดงซะส่วนใหญ่ พอเลยเขตบ้านคนไปเเล้วจะขับเร็วกันฝุ่นตลบเเทบจะมองไม่เห็นคันข้างหน้ากัน คนขับรถที่ตามๆกันมาจิตเลยต้องจับนิ่งอยู่ติดกับคันข้างหน้าจนไม่ได้ส่องส่ายมองข้างทาง ฝนว่าพี่ลมเองก็เป็นเเบบนี้เหมือนกันเลยไม่สามารถจดจำชื่อของวัดได้ เพราะเเค่ตามมาได้ไม่หลุดขบวนก็ลุ้นระทึกพอเเล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  13. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขออนุโมทนาสาธุครับ

    ขออนุญาตแจมเรื่องการปฏิบัตินะครับ
    ที่คุณอ้อยพูดถึงการปฏิบัติโดยการพิจารณา "จิตในจิต"
    ก็คือ ๑ ในมหาสติปัฏฐาน
    ซึ่งประกอบด้วย ๑ กาย ๒ เวทนา ๓ จิต และ ๔ ธรรม
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมเนือง ๆ
    ขออนุโมทนาในการปฏิบัติของคุณอ้อยด้วยนะครับ
     
  14. assume

    assume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +1,931
    สวัสดีครับทุกๆ ท่าน เอาบุญมาฝากครับ เมื่อวาน (23 ก.ย. 52) พลาดโอกาสฟังธรรมหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่โรงแรมทวินโลตัส จ.นครศรีธรรมราช เสียดายมากๆ ครับ วันนี้จึงไปรอที่โรงแรมแต่เช้ามืดเพื่อส่งท่านกลับ (ท่านกลับประมาณ 7 โมงเช้าครับ) และได้ทำบุญร่วมสร้างพระแก้วมรกตที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่ด้วย อนุโมทนาร่วมกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  15. thepong_gtb

    thepong_gtb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +430
    สวัสดีทุกๆ ท่านนะครับ ผมแอบตามอ่านกระทู้นี้มานาน แต่ไม่ค่อยได้โพสเท่าไหร่
    พอดีวันนี้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ คาถาเงินล้าน ครับ

    ที่เจอในเวบพลังจิตมีสองแบบคือขึ้นต้นด้วย สัมปะจิตฉามิ กับเริ่มตรง นาสังสิโม เลย ผมควรเลือกท่องแบบใหนครับ และควรท่องกี่จบครับ
    รบกวนด้วยครับ
    (smile)

    ปล.ที่ผ่านมาผมท่องแบบเริ่มที่
    นาสังสิโม มาตลอด พอค้นเจอแบบขึ้นด้วย สัมปะจิตฉามิ เลยสงสัยว่าที่ผมท่องมาถูกหรือป่าวหว่า(smile)
     
  16. คาเรีย

    คาเรีย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +3,611
    สวัสดีค่ะ แวะเอาบุญมาฝากค่ะ
    วันนี้ทำบุญกฐินเืพื่อสร้างอุโบสถวัดไทรงาม จ.อุบลฯ ไปค่ะ

    ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จงบัลดาลบุญของข้าพระพุทธเจ้าที่ได้ร่วมทำบุญสร้างพระอุโบสถในวันนี้ให้แก่ญาติธรรม ขอบุญนี้เป็นกำลังให้ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินนี้ด้วยเทอญ
     
  17. malee123

    malee123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2008
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +2,843
    ขอขอบพระคุณน้องอ้อยค่ะ ที่ได้กรุณาถ่ายทอดพระธรรมคำสอนของพระศาสดามาให้พวกเรา เหล่ากัลยาณมิตร น้อมนำไปปฏิบัติ...

    พี่ไม่ได้ร่ายคาถาไว้ในคำถามหรอกค่ะ เพียงแค่เสกเมตตามหานิยมเพื่อให้
    น้องอ้อยเข้ามาตอบคำถามเร็ว ๆ 555 ล้อเล่นค่ะ

    และขอขอบพระคุณคุณขาโจ๋ข้าเอง ที่กรุณาให้ธรรมทาน อริยสัจ 4 +
    กรรมฐานอีกหลายกอง

    ขอโมทนากับน้องอ้อยและคุณขาโจ๋ข้าเอง ค่ะ
     
  18. Pikzy

    Pikzy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +619
    นาสังสิโม พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
    พรหมมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
    มิเตพาหุหะติ พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม สัมปะจิตฉามิ เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

    กี่จบก็ได้ครับ แต่ถ้ามากก็ยิ่งดี ท่องทั้งวันก็ดีเข้าไปอีก

    ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตเวลาภาวนาด้วยนะครับ

    อย่าไปสงสัยลังเลว่าจะได้หรือไม่ได้ คิดแค่ว่าทำให้มีสมาธิมากที่สุดในเวลาภาวนา

    มีคนเคยถามหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ว่าท่องแล้วจะได้จริงหรือ ?

    ท่านตอบว่า ผมเคยภาวนา วันละ 300 จบ เป็นเวลา 3 ปี และวันละ 1200 จบ เป็นเวลาเกือบ 3 เดือน

    โดยภาวนาแบบเน้นทุกคำ คุณลองทำแบบผมแล้วหรือยัง ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2009
  19. thepong_gtb

    thepong_gtb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +430
    ขอบคุณ คุณ Pikzy มากๆ ครับ ที่ให้ความกระจ่าง(smile)
     
  20. cookieberry

    cookieberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2009
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +4,607
    สวัสดีค่ะ

    ตั้งเเต่เมื่อวานเเล้วที่สมเด็จท่านเรียกไปเรียนเรื่องขันธ์ ๕ เเต่ฝนก็เบี้ยวไปเบี้ยวมา จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่าขันธ์ ๕ คืออะไร มีความสำคัญยังไงทำไมเราควรต้องละขันธ์ ๕ ก่อนจึงจะเข้าสู่เขตเเดนพระนิพพานได้

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คืออะไรลูก

    ฝน - คือรูป ๑ นาม ๔

    สมเด็จ - ทำไมถึงเรียกว่าขันธ์ ๕

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ คือกิเลส ๕ ประการที่เราควรละเพื่อการเข้าสู่ดินเเดนที่เราเรียกว่าพระนิพพาน กิเลสเหล่านี้เเหละ คือสิ่งที่ฝังอยู่ในตัวเรา ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การที่เราจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้เราต้องกำจัดกิเลสทั้ง ๕ นี้ให้หมดในวันที่เราหมดลมหายใจ คนหลายคนจะตัดได้หมดก็ตอนใกล้ตาย

    สมเด็จ - ดังนั้นตอนที่เรายังมีสติครบสมบูรณ์เราควรที่จะเรียนรู้ไว้เพื่อฝึกปฏิบัติในการละ อย่าคิดว่ามันยาก อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้นที่ควรปฏิบัติ เพราะการฝึกละกิเลสเป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    สมเด็จ - ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูป ๑ นาม ๔ อย่างที่ลูกตอบมานั้นถูกต้องเเล้ว รูปคือ ธาตุทั้ง ๔ ที่รวมประกอบเข้ากันเป็นร่างกาย อันได้เเก่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเข้าด้วยกัน ที่วัดพระอาจารย์จะเน้นสอนกันมากเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    สมเด็จ - พระอาจารย์ท่านจะเน้นสอนให้เห็นว่าการมีเรายังดำรงขันธ์อยู่นั้นเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยง มันปรวนเเปร เเละเมื่อถึงเวลาธาตุทั้งสี่ก็ดับไปในที่สุด

    สมเด็จ - ร่างกายมันเป็นของไม่เที่ยง ถ้ามันเที่ยงมันจะไม่มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริงผิวหนังต้องไม่เหี่ยวย่นต้องตึงเหมือนผิววัยเเรกเกิด เส้นผมก็ไม่ต้องหลุดเวลาเราหวีหรือสระผม ถึงเเม้เราจะทะนุถนอมผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางราคาเเพง หรือยาสระผมราคาเเพง มันก็ไม่สามารถดึงรั้งร่างกายเราให้ขาวๆผิวพรรณเปล่งปลั่งไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นเราควรที่จะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมาพิจารณาในทุกๆวัน เช่น เมื่อเราหวีผมๆร่วงตามหวีลงมา ให้พิจารณาว่า โอ้ร่างกายเรานี้หนอ เส้นผมที่เราทะนุถนอมสระมันทุกวัน หวีมันทุกวันให้สวยงาม เเต่มันไม่เห็นคงสภาพอยู่ติดหัวเราเลย

    สมเด็จ - สุดท้ายคืออนัตตาความไม่มีตัวไม่มีตน เพราะถ้ามันเป็นของเราจริงผมมันก็ต้องอยู่กับเราสิ มันจะหลุดจากเราไปทำไม พิจารณาไปเรื่อยๆทุกๆวัน ซักวันจะเข้าใจความไม่มีตัวไม่มีตนของร่างกาย

    สมเด็จ - นาม ๔ ได้เเก่ เวทนา สัญญา สังขารเเละวิญญาน

    สมเด็จ - เวทนาคือการสัมผัสรู้ อันได้เเก่ ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กายซึ่งก็คือผิวหนัง เเละใจ ซึ่งจากการสัมผัสได้ทางจิต ทำไมเราถึงเรียกว่าเวทนาเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ลูกรู้ไหม

    ฝน - ไม่รู้ค่ะ จำได้เเต่ว่า พระท่านสอนไว้ เวทนาคือสิ่งที่ตามองเห็นเเละจิตสัมผัสได้ เเละเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกเพราะไม่เที่ยง ทำไมถึงไม่เที่ยง ที่ไม่เที่ยงเพราะเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) น้องสอนเจ้าเเบบนี้ใช่ไหม มึนเลยเนาะ จะว่าน้องก็ไม่ได้เพราะพี่น้องเค้าสอนกันมาเเบบนี้ พระอาจารย์ท่านเน้นเรื่อง ความไม่มีตัวตนเป็นสำคัญ เพราะถ้าในเมื่อเราไม่เห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนที่เราจะยึดเกาะได้เเล้ว สัญชาตญานของมนุษย์จะปล่อยวาง ดังนั้นเพื่อการหลุดพ้นเราควรที่จะหาอุบายเพื่อที่จะปล่อยวาง

    สมเด็จ - เวทนาคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ทั้งกายสัมผัสทั้ง 5 อันได้เเก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เเละ จิตสัมผัสหรือที่เราเรียกว่าใจ ทีนี้เรามาวิเคราะห์คำพูดของพระท่านกันว่า ทำไมเวทนาถึงไม่เที่ยง

    สมเด็จ - เมื่อเราดีใจมีความสุขก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเราเอาจิตของเราไปตั้งไว้บนตัวสุข ความสุขที่มันเกิดขึ้นนี้มันไม่เเน่ไม่นอนเพราะความสุขทางโลกมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น เเปรปรวนในท่ามกลางเเละดับไปในที่สุด การสัมผัสร้อน หนาวก็เป็นเรื่องของเวทนาเพราะเมื่อร่างกายหนาวเย็นเกินไปเราก็เป็นทุกข์ อากาศร้อนเราก็เป็นทุกข์ ถ้าร่างกายมันจะหนาวจะร้อนก็ปล่อยมันช่างมัน ที่สำคัญอย่าทำให้จิตเรารุ่มร้อนเป็นพอ

    สมเด็จ - ต่อไปก็เป็น สัญญา คือ ความทรงจำหมายรู้ในเรื่องของอดีตเเละปัจจุบัน น้องสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

    ฝน - ท่านสอนให้พิจารณาว่าทำไมคนเราเมื่อพยายามจำในเรื่องบางเรื่อง พยายามจะจำเเต่ทำไมมันถึงลืม ท่านว่าลืมเพราะว่ามันไม่เที่ยง พอมันไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ เเล้วท่านก็กลับไปกลับมาเหมือนเดิมว่าที่มันเป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) เออ ต้องเข้าใจบารมีมันยังไม่เเก่กล้าพอ น้องเค้าเอาสิ่งที่เรียนมาจากพระอาจารย์เอามาเรียบเรียงใหม่เพื่อสอนเจ้า เเต่ถ่ายทอดตรงๆเหมือนเค้าสอนตัวเอง เจ้าที่ไม่รู้เรื่องอะไร มาเจอคำสอนเเบบนี้ยิ่งงงกว่าเดิม ดูพวกเจ้าสองคนคุยกันเเล้วตลกดี คนรู้กับคนไม่รู้คุยกันไปคุยกันมา ยิ่งงงหนักเลย

    สมเด็จ - สัญญาเป็นเรื่องของความทรงจำหมายรู้ซึ่งที่เราได้รู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน สัญญาเป็นตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์เพราะว่า เรื่องบางเรื่องที่เรารู้มาทั้งในอดีตเเละปัจจุบัน เมื่อเรารู้เเล้วเราไม่วางมันลงไป เรากลับเอาจิตไปติดข้องหมองใจในเรื่องเหล่านี้ เช่น เรื่องการเสียชีวิตของเเม่เจ้า หรือการเลิกรากันของคนที่คบกันเป็นคู่หมายดูใจ

    สมเด็จ - เมื่อมีสาเหตุที่พลัดพรากจากคนที่เรารักไป ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าการพลัดพรากจากของที่เรารัก เราชอบใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้จิตของเราเป็นทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากความจำได้หมายรู้ของเรานั่นเอง

    สมเด็จ - เเละเหตุที่เป็นอนัตตาก็เพราะว่าเรื่องทั้งหมดการมีชีวิตอยู่ของเเม่เจ้านั้นจบไปเเล้ว กลายเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่มีตัวตนบนโลกมนุษย์ เเต่คนเราก็ยังทำใจไม่ได้จากการจากไปของคนที่ตัวเองรัก ดังนั้นจึงเอาสิ่งที่ตัวเองเคยรู้มาเเปะไว้ในความคิด คิดไปคิดมาย้ำๆซ้ำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน

    สมเด็จ - สังขาร หัวข้อนี้น้องสอนเจ้าไว้ดีนะ พ่อขอชม จำได้ไหมว่าพระท่านสอนเจ้าไว้ว่ายังไง

    ฝน - ท่านสอนว่าสังขารคนทั่วไปคิดว่าเป็นเรื่องของร่างกายเเต่ในทางธรรมสังขารเป็นเรื่องการปรุงเเต่งของจิต เเล้วท่านก็สอนต่อว่าสังขารทำให้เกิดทุกข์ ที่ทุกข์เพราะว่าไม่เที่ยง

    สมเด็จ - (หัวเราะ) พ่อก็ได้ยินตอนที่ท่านสอนเจ้า พ่อฟังเเล้วก็ขำ พระอาจารย์ท่านก็ยิ้ม

    สมเด็จ - สังขารที่เป็นทุกข์เหตุเกิดเนื่องจากการปรุงเเต่งของจิต จิตที่ปรุงเเต่งทางอารมณ์เเละทางความคิดจะเกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากอุปาทานเเละความไม่รู้คืออวิชชานั่นเอง ทำให้จิตเกิดความฟุ้งซ่านซึ่งตัวนี้จะไปทำลายความถูกต้องการรับรู้ของจิต เมื่อเราเอาเรื่องเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่เเล้วเราจะพบว่าเรื่องเหล่านั้นไม่มีตัวตนเลย

    สมเด็จ - เช่น เมื่อมีคนมาด่าว่าเราให้เราโกรธข้องหมองใจ เมื่อเรามาพิจารณาว่าเค้าว่าเราจริงหรือ มีตรงไหนของร่างกายที่ว่าเป็นตัวเรา ร่างกายก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้นร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา หรือเค้าว่าจิตเรา จิตเราจับต้องได้หรือ ถ้าได้จิตอยู่ตรงไหน เมื่อเราพิจารณาได้เเล้วเราก็จะรับรู้ว่า จริงๆเเล้วจิตเป็นเพียงสภาวะธาตุที่เรียกว่าตัวรู้ หรือธาตุรู้เท่านั้นเอง เมื่อเราพิจารณาได้อย่างนี้เเล้วเราจะเห็นว่าการปรุงเเต่งของจิตมีเเต่ทำให้จิตตัวเองขุ่นข้องหมองมัวทั้งๆที่จริงๆเเล้วเรื่องราวทั้งหมดไม่มีอะไรเลยหรือที่เรียกว่าอนัตตา

    สมเด็จ - ตัวสุดท้ายเเล้วทนฟังหน่อยลูก ตัวสุดท้ายเรียกว่าวิญญาน วิญญานจะไปเกี่ยวข้องสัมผัสกับเวทนา สัญญา เเละสังขารทั้งหมดเลย เพราะวิญญานคือตัวรับรู้ คือตัวเเรกที่มาสัมผัสกับการรู้ การเห็น ของเรา เเละจำเเนกลงไปในรายละเอียดว่าเป็นเรื่องของเวทนา สัญญา หรือสังขาร

    สมเด็จ - พ่อก็รู้ว่ามันหนักเหมือนกันสำหรับเจ้าเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ พระอาจารย์เองท่านก็เคยสอนรายละเอียดเเล้วเเต่ลูกศิษย์คนนี้ จำไม่ได้ ใช่ไหม

    ฝน - จำไม่ได้เลยค่ะ

    สมเด็จ - เพราะตอนนั้นเจ้ายังไม่ค่อยรู้อะไรมาก ค่อยๆเรียนรู้กันไปนะลูก

    ฝน - ค่ะ
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    หากการเขียนนี้ยังมีความดีอยู่บ้างขออุทิศให้กับ พระสงฆ์ที่มรณภาพจากความไม่สงบที่ภาคใต้ ร.ต.อ ธรณิศ ศรีสุข ร.ต.ต กฤตติกุล บุญลือ ทหาร ตชด. อาสาสมัครเเละชาวบ้านทุกคนที่เสียชีวิตจากความไม่สงบภายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ข้าพเจ้าขอไว้อาลัยเเก่ทุกดวงวิญญานด้วยความเคารพ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...