ธรรมหลังกึ่งพุทธกาลเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ชาไม่รู้, 21 กันยายน 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    ธรรมหลังกึ่งพุทธกาลเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร












    ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้แก่พระอานนท์ว่าพระศาสนาของพระองค์จะมีอายุยาวไปถึง ๕,๐๐๐ ปี พระอานนท์ได้ทูลขอพระศาสนานั้นไว้ได้ครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทคือ บริวารสาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง ทว่า หลังกึ่งพุทธกาลต่อไปจนสิ้นห้าพันปีนั้น มียักษ์, มาร, เทพ, พรหม มาทูลขอไว้เช่นกัน ทำให้พระพุทธเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่บริวารสาวกของพระองค์ ไม่ใช่พุทธบริษัทของพระองค์ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เข้าสู่กึ่งกลางยุคพุทธกาลแล้ว อายุขัยมนุษย์ต่ำกว่าร้อยปี ซึ่งไม่เหมาะที่พระพุทธเจ้าจะประกาศศาสนาพุทธอีกต่อไป และพระสาวกบริวารของท่านก็ไม่อาจบรรลุอรหันตสาวกได้ในยุคที่มีคนไม่ดีและสิ่งยั่วยุมากอย่างนี้ ดังนั้น ธรรมในยุคนี้จึงได้เกื้อกูลแก่สัตว์สี่เหล่าที่ไม่ใช่สาวกบริวารของพระพุทธเจ้าแทน เขาเหล่านี้เพราะเหตุว่าไม่ใช่บริวารของพระพุทธเจ้ามาแต่เก่าก่อน จึงไม่ได้เชื่อฟังและอยู่ในธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดเหมือนเก่าก่อน แต่ได้ผ่อนปรนศีลเอง เช่น รับเงินทองมากมาย แต่ก็ไม่ได้เอาเงินทองไปใช้แต่ในทางเลวร้าย ได้นำไปใช้พัฒนาทางโลกนั่นเอง ทำให้แนวทางการปฏิบัตินั้น ไม่อาจครองธรรมวินัยได้ เกิดกรรมก่อชาติภพใหม่ จึงไม่อาจได้นิพพาน และเปลี่ยนวิถีเข้าสู่การบำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณไปโดยไม่มีใครต้านทานการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ บทความฉบับนี้ จะขอกล่าวถึงธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และเหมาะสมกับยุคสมัยกึ่งพุทธกาล ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้












    ธรรมที่ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตเป็นสาวกอีกต่อไป




    ธรรมหลังกึ่งพุทธกาลนี้ยังได้อาศัยพระศาสนาที่พระพุทธเจ้าสร้างไว้เป็นแนวทางไม่ได้เคร่งครัดตามเก่าก่อน และอาศัยพระธรรมเป็นเครื่องปฏิบัติบำเพ็ญ แบ่งเป็นสองสายดังนี้












    ๑) ธรรมสายขาว




    ได้แก่ธรรมสำหรับเหล่าเทพ, พรหม ที่จะลงมาบำเพ็ญบารมีโดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยชี้ทาง และอาศัยโครงสร้างพระพุทธศาสนาเดิมในการอาศัยต่อไป สำหรับธรรมภาคขาวนี้ มุ่งเน้นการบรรลุธรรมตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป แต่ไม่มุ่งถึงนิพพาน เพราะไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง ส่วนบุญบารมีนั้น มุ่งหวังผลถึงขั้นโพธิสัตว์เป็นสำคัญ ดังนั้น การโปรดเทพ, พรหม เป้าหมายก็คือ การได้บำเพ็ญบารมีสูงขึ้นไปถึงชั้นโพธิสัตว์ และบรรลุธรรมอย่างต่ำถึงโสดาบันนั่นเอง การบำเพ็ญธรรมแนวนี้ก็คือการบำเพ็ญในแบบมหายานนั่นเอง ซึ่งจะมีผู้ลงมาโปรดเหล่าเทพ, พรหม ดังต่อไปนี้












    § พระปัจเจกพุทธะ คือ ผู้บำเพ็ญธรรมบรรลุได้ด้วยตนเอง (เซียน) จนสามารถรับธรรมจากพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ซึ่งจะโปรดผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวเป็นสาวกพระยูไลองค์ใดเลย ได้แก่ ผู้ที่ปรารถนาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า นั่นเอง ท่านเหล่านี้ ไม่อาจปรากฏกายได้ ต้องอยู่อย่างเร้นลับ และไม่ค่อยรับศิษย์มากนัก คัดเลือกแต่ศิษย์ที่มีบารมีมากจริงๆ คือ พวกนิกายลับนั่นเอง




    § พระยูไล (พุทธะ) จะทรงโปรดเหล่าเทพ, พรหม ให้ได้ถึงโพธิสัตว์ และได้อยู่ในวิมานของท่าน โดยจะจุติมาเป็นมนุษย์ แรกเกิดยังไม่ได้ยูไลในทันที เมื่อบำเพ็ญธรรมขึ้นไปเรื่อยๆ ก็บรรลุยูไล ท่านเหล่านี้จะดูคล้ายพระศาสดาในลัทธิใหม่มาก และจะมีสาวกจำนวนมาก ในจำนวนนั้น จะได้บรรลุโพธิสัตว์มากมาย




    § พระอนุตราจารย์ คือ ผู้บำเพ็ญธรรมจนบรรลุอรหันตโพธิสัตว์ มีความสามารถสื่อกับเบื้องบนได้ และมีพระยูไลเบื้องบนเป็นศาสดา แต่มีธรรมในแบบเดียวกับศาสนาบนโลก ไม่ใช่ศาสนาใหม่ ที่เรียกว่าอนุตราจารย์เพราะเป็นอาจารย์น้อย ส่วนอาจารย์ใหญ่คือ พระยูไลเบื้องบนนั่นเอง ท่านเหล่านี้จะโปรดผู้มีกายทิพย์เป็นกุมารให้บรรลุต่างกันไป บ้างได้เทพ, เซียน บ้างเติบโตแล้วเป็นมารก็มี




    § มหาเทพ, พรหม คือ ผู้มีบารมีเป็นมหาเทพ, พรหม คอยโปรดสัตว์ให้ได้เป็นเทพและพรหม แต่จะไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้ เช่น ครูสอนสมาธิที่ไม่เน้นปัญญา












    ๒) ธรรมสายดำ




    ได้แก่ธรรมสำหรับอสูร-ยักษ์, มาร ที่จะลงมาบำเพ็ญธรรมบารมีโดยอาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยให้พ้นทุกข์ และอาศัยโครงสร้างพระพุทธศาสนาเดิมในการอาศัยต่อไป สำหรับธรรมภาคดำนี้ มุ่งเน้นการเอาตัวรอดพ้นความทุกข์ทางโลกและทางธรรม แต่ไม่มุ่งถึงนิพพาน เพราะไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง ส่วนบุญบารมีนั้น มุ่งหวังผลถึงขั้นเซียนเป็นสำคัญ ดังนั้น การโปรดอสูร-ยักษ์, มาร เป้าหมายก็คือ การได้บำเพ็ญบารมีสูงขึ้นไปถึงชั้นเซียน เพื่อให้หลุดพ้นทุกข์จากการเป็นอสูร-ยักษ์, มาร การบำเพ็ญธรรมแนวนี้ก็คือการบำเพ็ญในแบบเต๋านั่นเอง ซึ่งผู้ลงมาโปรดเหล่าอสูร-ยักษ์, มาร ดังต่อไปนี้












    § พระปัจเจกพุทธะ คือ ผู้บำเพ็ญธรรมบรรลุได้ด้วยตนเอง (เซียน) จนสามารถรับธรรมจากพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ซึ่งจะโปรดผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวเป็นสาวกใครเลย ได้แก่ ในที่นี้ได้แก่อสูร-ยักษ์, มาร ท่านเหล่านี้ ไม่อาจปรากฏกายได้ ต้องอยู่อย่างเร้นลับ หากต้องการเผยแพร่ธรรมให้อสูร-ยักษ์, มาร ที่มีจำนวนมาก ก็อาจใช้สื่อที่มีในปัจจุบันได้ แล้วปล่อยให้อสูร-ยักษ์, มารปฏิบัติด้วยตนเอง




    § พระอนุตราจารย์ คือ ผู้บำเพ็ญธรรมจนบรรลุอรหันตโพธิสัตว์ มีความสามารถสื่อกับเบื้องบนได้ และมีพระยูไลเบื้องบนเป็นศาสดา แต่มีธรรมในแบบเดียวกับศาสนาบนโลก ไม่ใช่ศาสนาใหม่ โดยอนุตราจารย์มักได้กายทิพย์เป็นอวโลกิเตศวร ท่านเหล่านี้จะโปรดธรรมภาคดำที่มีกายทิพย์เป็นมังกรดำ เป็นสำคัญ




    § พญามาร, พญาอสูร คือ ผู้มีฤทธิ์เดชมาก หรือมีเล่ห์เหลี่ยมมีความฉลาดทางโลกมาก แต่ไม่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ได้ลงมาดักรอพวกเดียวกัน คือ อสูร-ยักษ์, มาร ซึ่งเป็นบริวารเก่าของตนเพื่อถ่ายทอดวิชชาให้เช่น วิชชาไสยเวทย์มนต์ดำ วิชชาทางโลกที่ทำให้หลงโลก เช่น วิชชาเพื่อให้ได้ตาลปัตรพัดยศ ท่านเหล่านี้ ต้องลงมาให้วิชชาแก่อสูร-ยักษ์, มาร เป็นเบื้องต้นก่อน ไม่เช่นนั้น อสูร-ยักษ์, มาร ก็จะไม่มีวิชชาที่จะบำเพ็ญ และเดินธรรมภาคดำต่อไปไม่ได้












    อสูร-ยักษ์, มาร จะเดินหลงทางก่อน จนได้พบกับธรรมภาคขาว และจะถูกปราบก่อนจนสิ้นฤทธิ์แล้วจึงทำการโปรดภายหลัง ถ้าอสูร-ยักษ์, มารไม่เดินหลงทางก็ไม่ใช่อสูร-ยักษ์, มาร เพราะพวกเขามีกรรมเก่าซ้ำรอยเกวียนตามมา หลีกเลี่ยงไม่ได้ ห้ามไม่ได้ หากเขาไม่เดินซ้ำรอยกรรมเก่า ก็เท่ากับธรรมไม่เดินหน้า ก็ไม่มีความก้าวหน้าในธรรม ต่อให้ได้ธรรมภาคขาว แต่เขาก็จะมีเหตุเป็นไปให้ต้องเดินผิดทาง และต้องเข้าทางอสูร-ยักษ์, มารในที่สุด ไม่อาจเลี่ยงกรรมได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมดาของธรรมหลังกึ่งพุทธกาล












    สรุปท้ายบทความ



    พระสาวกไม่มีแล้วหลังกึ่งพุทธกาล ดังนั้น อรหันตสาวกจะไม่มี มีแต่อรหันตโพธิสัตว์ ซึ่งบำเพ็ญมาจากเทพ, พรหม และโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นธรรมภาคขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในพระพุทธศาสนาจะเป็นธรรมภาคดำ คือ อสูร-ยักษ์, มาร ไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้อย่างแท้จริง ทำได้แบบหลอกๆ ปลอมๆ เทียมๆ หรือหลงๆ ไปก่อน สุดท้าย จะบรรลุธรรมได้ ต้องบำเพ็ญแบบ “เซียน” เท่านั้น คือ ปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะเป็นคนไม่ยอมก้มหัวยอมเป็นสาวกหรือเชื่อใครอย่างจริงใจ ซึ่งการจะบรรลุได้นั้น ต้องอาศัยธรรมของผู้บรรลุแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือผู้ที่สื่อรับธรรมจากพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วนำมาเผยแพร่ได้เท่านั้น โดยมีขั้นตอนคือ ขั้นตอนแรก ได้รับวิชชามาจากอสูร-ยักษ์, มาร ทำให้ต้องเป็นอสูร-ยักษ์, มาร ไปด้วยก่อน จากนั้น เมื่อมีวิชชาแก่กล้าก็เริ่มก่อกรรมทำผิด จนถูกพระโพธิสัตว์ เช่น พระอวโลกิเตศวรปราบ จากนั้น จึงยอมจำนน และรับธรรมจากผู้ที่บรรลุแบบเซียนหรือปัจเจกฯ เหล่าปัจเจกฯ ก็จะเข้าใจกันเอง และรู้ว่าควรถ่ายทอดธรรมให้แก่คนเหล่านี้อย่างไร พวกเขาจึงจะเปิดใจรับ ยอมนำไปปฏิบัติจนได้มรรคผลอย่างแท้จริง เมื่อทดลองปฏิบัติอย่างที่สุดแล้วก็จะพบว่าการบรรลุของตนนั้นจะได้เพียงเซียนเท่านั้น มีน้อยมากที่มีบารมีเก่ามาก และบรรลุได้ถึงโพธิสัตว์ อย่างนี้ ก็มีปรากฏบ้างเหมือนกัน
     
  2. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    ไม่มีสาวก ไม่มีโพธิสัตย์ ไม่มีมาร ไม่มีอสูญ มีแต่ความปรุงแต่งที่เราเรียกกันไปเอง ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น
     
  3. bn_tee

    bn_tee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +57
    เจ้าของะทู้นี้จะทำให้พระธรรมวิบัติ ผิดเพี้ยน เพราะไปรวมคำสอนของศาสนาอื่นแล้วคิดเองมั่วกับศาสนาพุทธมหายานของจีน คุณจะทำให้ธรรมมะของพระพุทธเจ้ากลายเป็นของที่เข้าถึงยาก ก่อนจะโพสอะไรที่มีผลกระทบกับความเชื่อความศรัทธา ไปศึกษาให้ถ่องแท้ซะก่อน
     
  4. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ใน บล็อค ที่แนะนำนั้น คนสอนเขาบอกว่าไม่นับถือศาสนาใด แต่ข้อความของเขาก็คล้ายพุทธศาสนา เขาก็มีข้อความดี ๆ เขียนออกมาให้ได้อ่านอย่างผู้มีความรู้ ระดับอาจารย์ มหาเปรียญทีเดียว ผู้เขียนเก่งมาก ๆ แต่เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร นอกจากที่ว่า ความรู้นั้น เขาได้มาจากที่ใด?......
     
  5. มดขาว

    มดขาว สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่เห็นมีในพระไตรปิฎกเลย ไปเอามาจากที่ไหน?
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
  7. Thepkanya

    Thepkanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2008
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +10,071
    "วงล้อธรรมจักร ได้ขับเคลื่อนแล้ว ณ ช่วงกึ่งพุทธกาลนี้ " หลังจากนี้ไป พระนาม ของ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดม ผู้เป็นเลิศด้วยพระปัญญาบารมี จะกลับมาเรืองรอง และเปิด "ปัญญาญาณ" แก่ มนุษย์ ที่เจริญด้วยศีลบริสุทธิ์ "พระธรรมอันถูกต้องจะกลับคืนมา" ด้วย คณะพระธรรมฑูต ที่ได้อธิษฐานจิต อาสามาดูแล พระพุทธศาสนา มากันแล้วตั้งรอยต่อพุทธกาล และต่างได้บ่มเพาะรุ่นลูกรุ่นหลาน เพื่อจะได้เป็นกำลัง สืบสาน "พระธรรม อันถูกต้อง" ต่อไป

    พระธรรม ของ พระพุทธโคดม เป็น ของสูง ผู้ที่จะเข้าถึงได้จริง ต้องเป็นผู้มีปัญญา เท่านั้น

    เพราะ ปัญญา คือ เครื่องมือในการกำจัด อวิชชา (ความไม่รู้)
     
  8. s_klongkleaw

    s_klongkleaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +239
    เนื้อหาที่นำมาลง เป็นการนำมาจากหลายตำราหรือเปล่าครับ ตามจริงหลังกึ่งพุทธกาล คือ 2500 ไปแล้ว ก็ยังมีการบรรลุธรรมอยู่ แต่พระอรหันต์ จะน้อยลงกว่าเมื่อเทียบกับช่วง ก่อน
    กึ่งพุทธกาล
     
  9. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ผมเดาจากกิเลสที่ปรุงแต่งให้ผมฝัน บอกมา เขาว่ามีพระอรหันต์เหลืออยู่ ประมาณ 80 องค์ ตรงนี้ไม่แน่ใจ ไม่ได้ระบุว่าช่วงใหน ซึ่ง ยังมีอยู่นะครับ จนกว่าอายุจะครบ 5000ปี
    ผิดถูกอย่างไรนั่นก็ก็เป็นอวิชชา กิเลสปรุงแต่งให้รุ้สึก ซึ่งนั่น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพราะความปรุงแต่งของกิเลส ความสมมุติทั้งนั้นครับ

    สัพพัง อะปะราทัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารตเยนะ กะตัง

    สัพพัง อะปะราทัง
    ขะมะถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิภันเต

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

    พระอรหันต์ คือ ผู้หมดจากกิเลส ปล่อย ละ วาง ว่างจากกิเลส
    ผู้ที่ยังเกี่ยวข้อง ยึดถืออยู่ในทรง ในองค์ ใน รูป อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ใน ฤทธิ์ เดช ในโลกธรรม 8 ประการ ไม่ใช่ผู้วิเศษ ยังเป็นคนหลงอยู่

    ...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..
    .
     
  10. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,434
    ค่าพลัง:
    +1,770
    หากฉันมีสิบหน้าดังทศกัณท์
     
  11. tony2002

    tony2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2006
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +178
    ก็ว่ากันไป เดากันไป ต่างๆ นานา
    การที่ศาสนาต่างๆจะดำรงอยู่ได้หรือไม่นั้น มันอยู่ที่ว่ายังมีคนนับถือรวมถึงปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาหรือไม่ และองค์ประกอบหลักดั่งเดิมยังมีอยู่ครบไหม
    หากองค์ประกอบหลักของศาสนาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นองศ์ศาสดา หลักคำสอน นักบวชผู้ปฏิบัติตามหลักคำสอน ผู้นับถือซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนา ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วสิ่งที่เปลี่ยนไปนี้เราจะเรียกว่าอะไร ศาสนาใหม่ ลัทธิใหม่ หรืออะไร

    ทุกวันนี้ที่ศาสนาได้เสื่อมลงเพราะมนุยษ์เราไม่รู้จักหน้าที่ที่แท้จริงของตัวเอง อย่างหน้าที่ของนักบวรคืออะไร หน้าที่ของคนที่นับถือคืออะไร ไม่ต้องไปว่าขนาดให้รู้และเข้าถึงหลักคำสอนในศาสนาถึงขั้นบรรลุธรรมขั้นโน้นขั้นนี้เลยครับ แค่หน้าที่เบื้องต้นที่แต่ละบุคคลในศาสนาต้องประพฤติปฏิบัติยังไม่สมบูรณ์พร้อมเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2009
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะธรรม ****

    ทำได้...คือ ธรรม
    ธรรม....เป็นตัวตนที่ไม่ตาย

    พระไตรปิฎก...คือ รวบรวมคำสอนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    พระไตรปิฎกจริง....คือ ตัวอักษรที่ลอยอยู่ในอากาศรอบตัวเรา ผู้ทำได้จะรู้ได้เอง เห็นได้เอง
    พระไตรปิฎกที่เราได้อ่าน...เป็นวัตถุที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาดีให้ได้ศึกษาเรียนรู้
    แต่...อาจจะไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด
    เพราะ....คำสอนพระพุทธเจ้าทำได้ยาก สอนให้ตัดลดนิสัยตนเอง
    แต่เหล่าผู้นำบางยุคไม่อยากทำ ทำไม่ได้ เสียดายวัตถุที่สะสมมานาน
    จึงค่อยๆปรับเปลี่ยนเนื้อหา กลับไปใช้คำสอนที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้า

    น่าสงสารศาสนาพระโคดม
    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ธรรม คือ การกระทำ ****

    ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า...คือ การตัดลดนิสัย ที่พระพุทธเจ้าทำได้จริง
    พระองค์....จึงนำมาสอนต่อ ให้กับผู้ที่เชื่อ
    เพราะ พระพุทธเจ้าเข้าใจแล้ว จึงสอนได้จริง
    ผู้รับสัจจะคำสอน จึงนำไปตัดลดนิสัยตนเองได้จริง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ผลของการกระทำ ****

    ผลจากการเปลี่ยนแปลงคำสอนพระพุทธเจ้า เมื่อสองร้อยกว่าปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
    จะส่งผลต่อจิตวิญญาณสัตว์โลก คือ ขาดตัวตัดลดนิสัยตนเอง
    ผลจะสะสมมาเรื่อยๆ จนหลังกึ่งพุทธกาล ... จะเห็นผลต่อสังคมมนุษย์โลกชัดเจน
    การกระทำจากนิสัยมนุษย์...ที่ส่งผลเบียดเบียนผู้อื่น ตลอดเวลาทั้งหมด
    ก็จะมีผลต่อสภาพดินฟ้าอากาศ....มาชะล้าง เพื่อเริ่มต้นใหม่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...