ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.

  1. ~อมริศา~

    ~อมริศา~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +2,335
    อ่านแล้วแอบเศร้ามากๆอยู่พักนึง
    ขอเอาใจช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ด้วยดี
    ขอให้เรียกสติกลับคึนมาให้เร็วที่สุด
    บุญรักษานะคะ
     
  2. เจ๋วะรัฐถะ

    เจ๋วะรัฐถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    847
    ค่าพลัง:
    +15,386
    ก่อนอื่นต้องขอกราบขมาต่อพระรัตนตรัย
    และกราบขอขมาต่อท่านกัลยาณมิตรทุกท่าน
    กับความเขลาทางปัญญาของข้าเจ้า

    และต้องกราบขอบพระคุณพี่me,myselfที่เตือนสติค่ะ
    พี่เพิ่งสอนอ้อยไปไม่กี่วันเกี่ยวกับสิ่งที่อย่าเพิ่งเชื่อ 10 ประการ
    มีบางอย่างได้รู้มา แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ ก็ทึกทักเอาว่า ถูกแล้ว เป็นจริงแล้ว
    ถึงแม้จะเคยเห็นตัวอย่างมากับตาก่อนก็ตาม แต่เรายังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
    อันนี้แสดงถึงความ โง่ ของอ้อยอย่างเต็มพิกัดเลยทีเดียวค่ะ
    ก็ขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวค่ะ

    เมื่อวาน ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการ หลวงปู่สังข์ สํกิจฺโจ ที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พระหลานชายของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ซึ่งหลวงปู่ตื้อท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ภฺริทตฺโต

    จากนั้นไปกราบนมัสการหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    หลวงปู่สังข์ ได้เมตตาสอนธรรมะ
    หลวงปู่บอกว่า การทำสมาธินั้น กาย กับ จิต ต้องอยู่ด้วยกัน
    ให้เอาจิตอยู่ในกาย รับรู้ลมหายใจเข้าออก อย่าให้จิตส่าย
    เมื่อจิตเป็นอย่างนี้แล้ว จึงจะพบความสุข

    หลวงปู่เปลี่ยน ได้เมตตาสอนธรรมะเกี่ยวกับหนทางแห่งการดับทุกข์ เพื่อให้จิตเป็นสุข ให้รู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ ต้องทำจิตให้เป็นนายกาย อย่าให้จิตเศร้าหมอง ต้องหาทางให้ดวงจิตสว่างใสเพื่อความสุขแห่งจิต โดยใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

    การทำสมาธิ เมื่อเรานั่งดีแล้ว ให้กำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูก กำหนดไว้ในใจ บริกรรมว่า หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ และให้เราตั้งสติปัญญาประคับประคองจิตใจของตนเอง ให้มาคิดหรือให้มากำหนดรู้อยู่ที่ลมที่ถูกต้องสัมผัสที่ปลายจมูกของตนเองอยู่ก็ให้รู้ นี้เรียกว่าการเจริญอานาปานุสติกัมมัฏฐานเป็นข้อบริกรรมภาวนา

    เมื่อเรารู้จักว่าจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกพร้อมกับข้อบริกรรมพุทโธ สัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ก็ให้รู้(แต่ห้ามไม่ให้ส่งจิตของตนเองเดินตามลมหายลมลงไปที่หัวใจหรือตามลมลงไปที่ท้องน้อยเป็นอันขาด) เพราะการทำสมาธิชนิดนี้หรือแบบนี้เป็นการทำทางลัด เป็นทางที่ทำให้จิตใจสงบเป็นสมาธิได้ง่ายที่สุด จึงให้กำหนดเอาแต่ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกกับพุทโธอย่างเดียวเท่านั้น เป็นข้อเจริญ เมื่อจิตใจของเราไม่อยู่กับลมที่ปลายจมูกก็ให้รู้จักว่าไม่อยู่ เราก็พยายามใช้สติปัญญาติดตามดึงจิตใจของตนเองที่ฟุ้งซ่านไปติดอยู่กับสิ่งอื่นนั้น ตามสัญญาอารมณ์ภายนอกที่เป็นกิเลสมารนั้น ให้จิตใจของตนเองมาคิดอยู่กับข้อธรรมกัมมัฏฐานคือ ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกของตนอย่างเดิม เมือเรารู้ว่าจิตของเราอยู่กับลมที่ปลายจมูกและข้อธรรมกัมมัฏฐาน สัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ต่อไปให้เราหายใจให้สบายให้ปลอดโปร่ง แล้วอย่าไปสะกดจิตของตนเองมาก ถ้าบุคคลใดบังคับและสะกดจิตของตนเองมาก เมื่อบุคคลกำลังภาวนาอยู่จะมีอาการปวดศีรษะบ้าง บางรายจะปวดประสาทมาก บางรายจะมีอาการตัวร้อนเหงื่อแตกอึดอัดแล้วก็ออกจากนั่งสมาธิทันทีทนไม่ไหว เป็นอย่างนี้แล บุคคลบางคนนั่งทำสมาธิจึงไม่สงบ

    อีกอย่างหนึ่ง การนั่งสมาธินี้ เราอย่าไปอยากเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือบังคับจิตใจของตนเองให้สงบเร็วที่สุด อย่างนี้ บุคคลที่อยากเห็นก็ยิ่งจะไม่ได้เห็นอะไรเลย บุคคลอยากสงบเกินไป ก็ยิ่งไม่สงบ นี้เป็นเหตุให้จำเอาไว้ ทางที่ถูกนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราชี้ทางให้พวกเราเดินสายกลาง ไม่ให้ตึงนัก ไม่ให้หย่อนนัก ให้พวกเราทำความเพียรไปตามสายกลางเป็นหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อเราดำเนินสายกลางแล้วจิตใจของเราจึงจะสงบเป็นสมาธิ

    การที่จะนั่งสมาธินั้น ต้องรู้ก่อนว่า จริตของเราเข้ากับข้อกัมมัฏฐานข้อไหน
    1. ราคจริต เป็นผู้รักสวยรักงามเป็นเจ้าเรือน
    2. โทสจริตเป็นผู้มักโกรธง่ายผูกโกรธไว้เป็นเจ้าเรือน
    3. โมหจริตเป็นผู้หลงงมงายมืดมนอนธการ
    4. วิตกจริตเป็นผู้ไม่แน่นอนตกลงใจไม่ได้
    5. สัทธาจริตเป็นผู้มักเชื่อง่ายถือมงคลตื่นข่าว
    6. พุทธิจริต เป็นผู้ใช้ปัญญาตรึกตรองมาก แต่ยังหาหลักพิจารณาไม่ลงได้

    เมื่อรู้จริตแล้วว่า จริตของตนเองตกอยู่ในจริตข้อใด จะได้แก้ไขให้หลุดไป เพื่อให้การนั่งสมาธิสงบลงได้

    ถ้าเปรีบบจริตแต่ละข้อเป็นของร้อน ก็ต้องมีธรรมอันเป็นเย็นเข้าแก้ไข
    1 ราคจริต แก้ไขโดยใช้ธรรม อสุภกัมมัฏฐาน
    2 โทสจริต แก้ไขโดยใช้ธรรม เมตตาพรหมวิหาร
    3 โมหจริต แก้ไขโดยให้ไปอยู่กับอาจารย์ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคมเป็นผู้มีหลักปฏิบัติพอเชื่อถือได้ และมีจิตหนักแน่นมั่นคงดี เป็นที่เคารพศรัทธา
    4 วิตกจริต แก้ไขโดยให้เลือกข้อใดข้อหนึ่งระหว่าง พุทธานุสสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสสติ สีลานุสติ จาคานุสติ มรณัสสติ หรือจะเอาลมหายใจเข้าออกกับความตายเป็นคู่กันก็ได้
    5 สัทธาจริต แก้ไขโดยให้ยึดพระรัตนตรัยไว้ให้มั่น
    6 พุทธิจริต แก้ไขโดยให้พิจารณาไตรลักษณ์


    เมื่อวานได้ฟังธรรมะเมตตาจากหลวงปู่ทั้งสององค์
    ทำให้ความโง่เขลากร่อนลงไปเยอะทีเดียวค่ะ
    อีกทั้งได้รับความเมตตาจากพี่me,myselfอีก ไม่รู้จะกราบขอบพระคุณยังไงดีค่ะ ขอน้อมกราบพระอริยเจ้าด้วยดวงจิตที่นอบน้อมเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2009
  3. เจ๋วะรัฐถะ

    เจ๋วะรัฐถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    847
    ค่าพลัง:
    +15,386
    ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับคุณอ้อยที่นำธรรมะดีๆ จากครูบาอาจารย์มาฝาก
    การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นบุญที่มีความสำคัญ สาธุครับ
     
  5. assume

    assume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +1,931
    เอาบุญมาฝากทุกๆ ท่านครับ

    เมื่อวันอาทิตย์ได้นำเงินไปถวายพระอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติธรรมครับ
    เมื่อวานได้โอนเงินเข้าบัญชีพระธีรพันธ์ สมพรจินตนาเพื่อร่วมสร้างพระมหาเจดีย์ปฐมพุทธสิกขี ทศพลญาณนิพพานอมตะครับ ตะกี้เข้าไปดูกระทู้เพิ่งเห็นครับว่าวันที่ 8 ส.ค. 52 นี้จะมีทอดผ้าป่าด้วยครับ ขออนุญาตแปะ link ไว้นะครับ พระมหาเจดีย์ปฐมพุทธสิกขีทศพลญาณนิพพานอมตะ
     
  6. assume

    assume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ผิดพลาดครับขออภัยด้วย วันที่ 8 ส.ค. 52 นี้เป็นงาน ยกยอดฉัตรพระเจดีย์ราย 8 องค์ พร้อมทั้งถวายพระเจดีย์เป็นพุทธบุชาเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา เวลา 11.11น. ณ วัดตะโกราย บุรีรัมย์
     
  7. วิณวิญ

    วิณวิญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +2,089
    สวัสดีค่ะพี่ๆและเพื่อนๆกัลยาณมิตรทุกๆท่าน วันนี้เอมีเรื่องจะมาสอบถามนิดนึงนะคะ พอดีว่าน้าสาวเค้าไปดูหมอมา แล้วหมอดูเค้าก็บอกน้าสาวว่าน้าเขยเนี่ย ชาติก่อนชอบทำบุญคนเดียวไม่เคยแบ่งปันให้ใครเลย ไม่อุทิศไม่อนุโมทนาให้ใครด้วย แล้วน้าสาวก็เลยถามว่าเอพอจะรู้หรือเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างมั้ย เอก็ถามกลับไปว่าแล้วทำไมไม่ถามหมอดูเค้าหล่ะ แกบอกว่าแกมัวแต่อึ้งอยู่คิดคำถามไม่ทัน แต่กลับมาบ้านแล้วยังข้องใจอยู่คิดไม่ตกซักที

    เอก็อ้าว...เอาหล่ะซิ เท่าที่อ่านเรื่องของหลวงพ่อมา เห็นหลวงพ่อเล่าแต่เรื่องนางฟ้าขี้เหนียวที่ไม่ทำบุญเองได้แต่ร่วมอนุโมทนาไปกับคนอื่นๆ แต่เหมือนอย่างของน้าเขยนี่ เอยังไม่เคยได้อ่านเจอเลยนะคะ เลยจะรบกวนพี่ๆเพื่อนๆที่พอจะทราบหรือเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ตอบคำถามให้หน่อยค่ะ ว่าการที่ทำไปแบบนั้นจะส่งผลอย่างไรกับตัวเค้าคะ

    ปล. ก็ตัดสินอยู่คืนนึงว่าจะถามออกอากาศดีมั้ย เพราะมันเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว แต่อีกใจนึงก็คิดว่า เอ๊ะ..มันก็ไม่แน่นะ คนสมัยนี้ก็อาจจะยังมีเข้าใจผิดกันอยู่บ้างก็เป็นได้ ถ้าจะถือซะว่าเป็นวิทยาทานทางธรรมก็น่าจะดี เผื่อท่านที่ยังไม่รู้หรืออาจจะนำไปบอกต่อๆกันได้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
  8. konkangwad

    konkangwad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +5,910
    เอาบุญมาฝากครับวันนี้โอนเงินเข้าบัญชีน้องอุลิตที่ช่วยหาเงินรักษาแม่ที่ จ ตากครับ
     
  9. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    มีค่ะ น้องเอ ผลจากการที่ทำบุญคนเดียวไม่ชวนใคร ไม่อนุโมทนาไม่แบ่งบุญให้ใครนี่ ต่อไปภายหน้าเกิดมาจะเป็นคนที่ไม่มีบริวารหรือเพื่อนพ้องที่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลค่ะ หากประสบปัญหาอะไรก็จะไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือเลยต้องดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวค่ะ จะทำกิจการอะไรที่มีบริวารไม่ได้เลย ถึงมีบริวารก็ไม่เชื่อฟังค่ะ

    พระท่านถึงว่าจะทำบุญทำกุศลอย่าเอาแต่ตัวคนเดียว ถึงแม้นว่าเราจะมีเงินเยอะแบบว่าทำคนเดียวก็ได้ไม่ต้องมีใครมาร่วมบุญก็เถอะ หากเกิดมารวยมีเงิน แต่ไม่มีบริวารเลยสักคนก็ไม่ดีหรอกค่ะ ดังนั้นถึงต้องทำบุญร่วมกับผู้อื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการไปชักชวนคนให้ร่วมทำบุญ หรือเราไปทำบุญร่วมกับเขา ไปอนุโมทนากับบุญที่พวกเขาทำ เกิดมาชาติหน้าจะได้มีบริวารให้ความเกื้อกูลนะคะ
     
  10. konkangwad

    konkangwad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +5,910
    ถามผู้รู้ครับเรื่องถังสังฆทานเวลาเราไปทำบุญที่วัดแต่เราไม่ได้ซื้อถังสังฆทานไปแต่บางวัดเขาเตรียมไว้ให้เลยเราก็บูชาเอาที่นั่นมีบางคนบอกไม่ถูกต้องเพราะถังที่คนถวายไปแล้วเอามาใช้อีกไม่ถูกก็เลยงงๆ
     
  11. วิณวิญ

    วิณวิญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +2,089

    ขอบคุณมากค่ะพี่สาว เห็นชัดตามที่อธิบายเลยค่ะ กรรมลิขิตจริงๆด้วยคนเราหนอ หนูจะรีบนำความไปบอกคุณน้าทั้งสองคนตามนี้เลยค่ะ ^+++^
     
  12. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    เมื่อก่อนก็เคยสงสัยเหมือนกันนะคะเพราะก็มีคนชอบบอกมาอย่างเดียวกับที่คุณ konkangwad กล่าวมานั่นแหละ ที่เขาเรียกว่าสังฆทานวนเวียนอ่ะค่ะ

    ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับจิตใจค่ะ ดิฉันได้คำตอบมาว่าวัดบางวัดก็ได้รับถังสังฆทานเยอะมาก ซึ่งบางทีของมันก็เหลือเกินที่จะใช้ได้ทันหรือไม่ก็เป็นของที่ไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าเป็นวัดใหญ่ๆก็มักจะนำถังสังฆทานเหล่านี้ไปถวายตามวัดเล็กๆอีกที ส่วนวัดบางวัด (อาจจะเกือบทุกวัดหรือเปล่า) ก็นำถังสังฆทานเหล่านั้นมาวนใช้เพื่อความสะดวกกับประชาชนที่อยากจะถวายสังฆทานแต่ไม่ได้เตรียมของไป อีกอย่างเนื่องจากถังสังฆทานที่ทางวัดมีมันมากเกินไป แต่ว่าทางวัดอาจจะมีรายจ่ายต่างๆของวัดมากเกินกว่ารายรับ ดังนั้นการที่เอาถังสังฆทานมาวนใช้ เงินที่ได้ก็ได้เอาไปบูรณะวัดแทนที่จะได้แต่ถังสังฆทานเพิ่มมากขึ้น

    มันก็เหมือนกับที่คนเขาเอาพวกธูปเทียนไปถวายวัดแล้วทำไมคุณสามารถเอาของคนอื่นมาใช้ได้ละ ไม่เห็นมองว่าเขาถวายวัดแล้วไม่สามารถเอามาใช้ใหม่ได้ เราก็ใช้ใช่ไหมละคะแล้วเราก็หยอดเงินใส่ตู้รับบริจาคไป ถ้าไปคิดว่าใช้ไม่ได้ละก็มีอีกหลายรายการเลยนะคะในวัดน่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมากเลยค่ะ

    แต่ถ้าคนทำไม่สบายใจก็หาซื้อไปใหม่ก็หมดปัญหาคาใจไปค่ะ แต่อยากแนะนำว่าให้ไปหาซื้อของที่จำเป็นสำหรับพระที่ต้องใช้จริงๆแล้วก็ต้องใช้ประจำดีกว่าไปซื้อถังจากร้านซึ่งของที่จัดก็จะคล้ายๆกัน แล้วของบางอย่างวัดก็ไม่ได้ใช้ทำให้มันไปกองเต็มวัดเปล่าๆค่ะ

    ทำบุญก็ต้องให้มีจิตใจผ่องใส ทำแล้วจิตเศร้าหมองบุญก็ไม่เกิดนะคะท่านทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2009
  13. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนากับคุณ Me, myself ด้วยครับ
    ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลอีกนิดนะครับ
    การที่เราไปซื้อเครื่องสังฆทาน เราได้ของถวายแต่เงินเป็นของร้าน
    ถ้าเราไปผาติกรรมที่วัด เราได้อานิสงส์ ๒ ต่อครับคือ
    ๑. เราได้เครื่องสังฆทานถวายและมีอานิสงส์สมบูรณ์เพราะเราผาติกรรมแล้ว
    ๒. ปัจจัยที่ผาติกรรมเราก็ได้อานิสงส์ดูง่ายๆ อย่างวัดท่าซุง ปัจจัยหลักที่ใช้ในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ก็มาจากการผาติกรรมสังฆทาน ถ้าวัดใดนำเงินที่เราผาติกรรมไปสร้างอุโบสถหรือศาลาเราก็ได้อานิสงส์ของวิหารทานด้วยเอาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟเราก็ได้อานิสงส์ในส่วนนั้นด้วย อย่าไปมองแค่การหมุนเวียนแล้วกลัวจะไม่ได้บุญถ้าจิตคิดไม่ถูกต้องก็ได้บุญน้อยหรืออาจจะเป็นบาปไปด้วย จึงชี้แจงมาเพื่อทราบจะได้ไม่กังวลว่าจะไม่ได้บุญทั้งๆ ที่ได้บุญมากกว่าไปซื้อจากตลาดมาถวาย
     
  14. konkangwad

    konkangwad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +5,910
    อนุโมทนาครับขอบคุณพี่สาวกับคุณชนะที่ตอบให้ตัวผมเองมิได้ลังเลสังสัยในการทำบุญเลยแต่เวลามีคนถามแล้วความรู้น้อยตอบไม่ถูกเลยมาถามต่อๆไปจะอธิบายได้ถ้าใครถาม จริงๆมีสาเหตุคือเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่เขาทำบุญกับสำนักหนึ่งไม่ใช่วัดคือเป็นคนธรรมดาเปิดขึ้นมาสอนเขาบอกไม่เปิดตัวรู้กันแค่สมาชิกฟังจากที่เขาเล่าวิธีปฏิบัติก็แปลกๆเขาบอกอาจารย์คนนี้พระยังต้องไหว้เขาเลยครับขอเล่าแค่นี้นะครับไม่อยากไปก้าวล่วงความเชื่อของผู้อื่นขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  15. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ขอบคุณคุณชนะที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ
     
  16. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  17. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +4,160
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    คำแนะนำของคุณMe,myselfดีมาก ๆ ครับ
     
  18. เจ๋วะรัฐถะ

    เจ๋วะรัฐถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    847
    ค่าพลัง:
    +15,386
    วันนี้ได้อ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง อ่านแล้วรู้สึกว่า เป็นหนังสือที่เตือนสติได้ดี
    เลยตั้งใจพิมพ์เพื่อนำมาลงไว้ให้เพื่อนกัลยาณมิตรได้อ่านด้วยกันค่ะ
    พิมพ์ไปก็เตือนสติตัวเองไป บางคราไม่เคยคิดมาก่อน พอมาปฏิบัติแล้ว
    ตัวรู้จึ่งมาบอกกล่าวกะเรา คิดไปคิดมา เตือนอนุสสติได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะมรณานุสสติ ก็เลยอยากเอามาฝากท่านกัลยาณมิตรไว้ เพื่อที่จะได้ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทค่ะ ^_^

    หนังสือ "คิดไม่ถึง" โดย พระมหาปสัณห์ ปิยธัมโม
    หากมีคนตั้งปัญหาให้เราตอบ บางปัญหาก็ตอบได้ บางปัญหาก็จนด้วยปัญญา แต่ มีบางปัญหาพอเฉลยจึงรู้ว่าง่ายเหลือเกิน ทำให้รู้สึกว่า ทำไม เราจึง “คิดไม่ถึง”

    พระพุทธศาสนาเน้นพิเศษเรื่องสอนให้คนคิด ไม่ใช่คิดมาก แต่เป็นการคิดด้วยสติปัญญาค้นหาความจริง เพื่อประโยชน์แห่งจิตใจที่มืดบอด
    <O:p</O:p
    เรื่องบางเรื่องเราอาจไม่เคยคิดและยังคิดไม่ถึงมีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความตายด้วย คนมักไม่กล้าคิด ถือกันว่าเรื่องไม่เป็นมงคล“คิดถึงความตายมันสบายนัก มันหักรักหักหลงในสงสาร”
    <O:p</O:p
    “คิดไม่ถึง” เล่มนี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นอุบายธรรม อานิสงส์มีแค่ไหน ใจคุณผู้อ่านย่อมรู้เอง “ปัจจัตตัง”

    <O:p</O:p
    พระสวด
    “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา...”
    พระสวดไป ใจยังวุ่นวาย รับรู้ไม่ได้ว่าท่านสวดอะไร คงสวดให้ผู้ตายฟัง เรานั่งเฉยๆ ก็พอ ฟังพระสวดเพื่อมารยาท คงพลาดอานิสงส์ ใจคงไม่เข้าใจ ถ้าฟังไป ภาวนาไป ใจคงเห็นความจริง ว่าที่นอนนิ่ง ๆ นั้นมิใช่ใคร คนเคยมีหัวใจเช่นเรา วันนี้เป็นโอกาสเขา “พรุ่งนี้อาจเป็นโอกาสเรา”


    เคาะโลง
    เสียงเคาะโลง มีเสียงพูดเบา ๆ จากผู้เคาะว่า”รับศีลนะ ทานข้าวนะ ฟังพระสวดนะ” ทำไปเพื่ออะไร หรือเพียงแค่เคยทำตามกันมา หรือว่า “เคาะประชดคนเป็น” ในยามมีชีวิตอยู่ เตือนแค่ไหน ก็เตือนเถิด ดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ในยามนี้ เตือนไปก็คงไร้ความหมาย คนตายจะไปรับรู้อะไร
    เคาะเตือนคนเป็น ให้เห็นถึงความจริง ว่า “สิ่งที่ดีเร่งขวนขวาย”
    วัว ควาย ช้าง ม้า ยามมันมรณาประโยชน์ได้ มนุษย์นี่ซิเน่าเปื่อยสูญเปล่าไป ดีชั่วที่ทำไว้ส่องให้โลกเห็น

    อาหารหน้าโลง
    ชีวิตใครบางคน ถ้าไม่ตาย ก็คงไม่มีใครให้ความสนใจมากมายเช่นนี้
    อาหาร ผลไม้นานาชนิดจัดเรียงรายด้านหน้าโลง สิ่งใดที่ผู้ตายชอบใจ แพงแค่ไหนก็แสวงหามา เพื่อเป็นเครื่องเซ่นแด่ดวงวิญญาณ ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ในยามผู้ตายมีชีวิตอยู่ เราคงได้เห็นสีหน้า และได้รับคำขอบใจ อาหารก็ยังคงเป็นประโยชน์ แก่ผู้รับด้วย แต่เวลานี้ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง คงอยู่สภาพเดิม บุคคลที่จะรับวัตถุสิ่งของเรา ขณะนี้เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว หรือว่าทำไป เพียงเพื่อสนองความรู้สึกเราในยามมีชีวิตถ้าเราแสดงออกซึ่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันคงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าเหตุการณ์ “อาหารหน้าโลง” เป็นแน่

    ชุดสีดำ
    ในยามสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือญาติมิตร คงไม่มีใครคิดที่จะดีใจ พกพาความสุขและรอยยิ้มหรอกนะ สีดำ เป็นสีแห่งความทุกข์ โลกให้ความหมายไว้เช่นนั้น ในยามมีงานศพ เรามักพบแต่คนใส่ชุดสีดำส่วนมาก บ่งบอกว่า “กำลังไว้ทุกข์” ความจริงแล้วความทุกข์ของคน ใช่ว่าจะมีเรื่องความตายสิ่งเดียวนั้นหาได้ไม่ “การเกิด การแก่ การเจ็บ ความผิดหวัง” สิ่งเหล่านี้ก็คือความทุกขทั้งสิ้น การใส่ชุดสีดำมางานศพเพื่อบอกว่าเป็นการไว้ทุกข์ เป็นการทำตามประเพณี แต่ถ้าจะให้ดีต้องไว้ทุกข์ด้วยใจ เพ่งถึงสภาวะความพลัดพราก ความไม่แน่นอน และบอกตัวเองว่าเหตุการณ์เช่นนี้ คงต้องเกิดขึ้นกับเรา

    ทอดผ้าบังสุกุล
    เสียงพระบริกรรม ในขณะพิจารณาผ้าบังสุกุลว่า... “อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข” แปลความว่า“ร่างกายนี้หนอ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไป ตั้งอยู่และแตกสลายไป เป็นธรรมดา การพิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธรรมดา นั่นแหล่ะหนา “คือ ความสงบสุข” บทพิจารณาบทนี้ ถ้ามีในใจใคร ถ้าสิ้นลมหายใจไป ดูไม่จำเป็นที่จะให้พระรูปใดต้องมาพิจารณา แต่... ดูเหมือนว่า คนไม่กล้าพิจารณา เพราะกลัวว่า “จะตายไว”

    โปรยทาน
    ภาพคนหมู่มากที่มาร่วมงาน วิ่งกันวุ่นเพื่อเก็บเหรียญบาทที่เจ้าภาพโปรยทาน แต่มีคน ๆ หนึ่งนิ่งเฉย ไม่สนใจว่าใครจะยื้อแย่ง หรือต้องการสิ่งใด ไม่สนใจแม้กระทั่ง เหรียญที่กระเด็นเข้ามาใกล้ตัว คงสงบนิ่งเฉยเสีย ปล่อยให้คนเหล่านั้น เก็บเอาตามอำเภอใจ เขาคนนั้นมิใช่ใคร ก็คือคนที่หมดลมหายใจ นอนในโลงบนเมรุ
    อะไรปิดหัวใจไม่ให้คิดว่า.. ชีวิตเขา กับชีวิตเรา มันต่างกัน หรือเหมือนกัน ภาพนี้ควรคิดยิ่งนัก สำหรับคนเป็น

    ดอกไม้จันทน์
    ดอกไม้จันทน์นับพันดอก ที่เหล่าญาติมิตรวางไว้เพื่อไว้อาลัยกับการจากไปของบุคคลที่ตนรัก
    บางคนวางลงพร้อมน้ำตา ในใจบ่นว่า “ไม่น่าเลย”
    บางคนวางลงพร้อมเสียงร้องไห้ ในใจบ่นว่า “ทำไมต้องตายด้วย”
    บางคนวางลงพร้อมด้วยสลดใจ ในใจบ่นว่า “เราก็จะเป็นเช่นคุณ”
    บางคนวางลงพร้อมใจสงบนิ่งใจใจ “ไม่ได้คิดอะไรเลย”
    ดอกไม้จันทน์ดอกนั้น ไม่คู่กับตัวฉันในวันนี้ แต่ ...จะคู่กับฉันในวันที่ฉนสิ้นลมหายใจ

    เหรียญบาทในปากผี
    การกระทำที่เกิดจากความคิด หวังให้ผู้ตายได้มีเงินใช้ จึงปรากฏเหรียญบาทในปากผี มนุษย์ผู้มีสติปัญญา มองเห็นว่า...นี่หนามนุษย์ในที่สุด...แม้เงินที่ใส่ไว้ในปาก ก็ไม่อาจเอาไปได้ แต่..ทำไมหนอ ชีวิตทั้งชีวิต จึงบ้าแต่กับคำว่า “เงิน” อยู่ตลอดวันตลอดคืน “เงิน” คือ พระเจ้า ที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจดลบันดาลให้มนุษย์พบแสงสว่างแห่งความจริงได้ว่า “ชีวิต คือ ความทุกข์” เพราะว่า...เงิน คือ สิ่งที่โกหกมนุษย์อยู่ตลอดเวลาว่า... “ชีวิต คือ ความสุข”

    ดูหน้า... ครั้งสุดท้าย
    ต่างอยากเห็นหน้าว่า เวลานี้ เจ้าเป็นเช่นไร พอเปิดโลงไป ทุกคนต่างเมินหน้าหนี ถึงจะสวยงดงามดังเทพี ก็คงไม่มีใครที่จะสนใจเจ้า ดูหน้าศพแล้วย้อนดูหน้าเรา คนมีชีวิตเขลาหรือไม่หนอ พยายามเสริมแต่งตามคำยอ เพื่อลวงล่อให้คนชม แท้ที่จริงเห็นความจริงมั้ย ว่าสวยสักปานใด พอเปิดโลงไป ทำไมต้องเมินหน้าหนี “ความสวย คง แพ้ความดี” พึงทำให้มีดีจะสวยตลอดกาล

    กลิ่นศพ
    ในสมัยยังมีชีวิตอยู่ สู้แสวงหาเครื่องสำอางที่มีราคา เพียงเพื่อว่า .. ให้ร่างกายข้าสวยสดงดงาม มาบัดนี้...เพียงสิ้นลมไม่กี่นาที กลิ่นที่ดีก็สูญสิ้นไป คนเคยชมเจ้าว่า..งามสง่า กลิ่นกายาเจ้าแสนหอม คนเคยยื้อแย่งและรุมตอม มาบัดนี้...จ้างก็ไม่ยอมเข้าชิดกายา แถมยังบ่นว่า..เจ้าช่างเหม็นจัง คิดบ้างเถอะว่า... อย่าบ้าไปกับสังขาร อย่าหลอกตัวเองเลยนาคราญ อีกไม่นานก็ทุเรศสิ้นดี เพียรสร้างตัวให้มีแต่ความดี กลิ่นเจ้านี้ก็จะหอมมั่นคง ชั่วนิจนิรันดร์ โดยไม่มีวันจืดจาง

    เมรุ
    “เมรุมาศสวยบาดตา รู้มั้ยว่าเราไว้ทำอะไร...”
    ชีวิตก็แค่นี้ ถ้าไม่ฝังก็เผา เราเคยเดินขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ นับครั้งไม่ถ้วน วางดอกไม้ลง ปลงใจไม่ได้ว่า
    “เราก็จะเป็นเช่นเขา” เดินลงจากเมรุเริ่มคิดโครงการ ถึงเรื่องงาน และเรื่องเงิน คิดจนเพลินจนลืมคิดว่า “คนเราไม่พ้นเมรุ”

    ไฟ
    ไม่กี่นาที ร่างกายนี้ที่ไร้วิญญาณ ก็ถูกไฟเผาผลาญ จนเป็นเถ้าถ่านโดยสิ้นเชิง แต่นั้นไฟมันเผาตอนตายแล้ว ในตอนที่มีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “มนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากกิเลสตัณหา ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟโลภะ ไฟราคะ เผาอยู่ตลอดเวลา” ยอมไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้ รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก จมปลักกับกระแสแห่งโลกีย์ จนใครๆเตือนไม่ได้ ปรารถนาจนนอนไม่หลับ ดูซิ... ถูกเผาแค่ไหน น่าสงสารใจดวงนี้จัง

    กระดูก
    สัปเหร่อบรรจงเก็บกระดูกใส่ถาด เพื่อนำไปเก็บไว้ มองดูไม่เห็นมีอะไร คงเห็นเพียง “เศษกระดูก”
    ชีวิตคนถ้ากระดูกจะมีค่า ก็ต่อเมื่อชีวิตทั้งชีวิตเป็นคนดี ถ้าไร้ซึ่งความดี กระดูกกองนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดูกของสัตว์ บางครั้งยังสู้กระดูกสัตว์ไม่ได้ เห็นกองกระดูกในถาด อาจเห็นธรรมในใจได้ถ้าคิดเป็น
    ไม่สักแต่ว่าเห็น ว่านั่นคือกระดูกคน

    ที่เก็บกระดูก
    ยามมีชีวิตอยู่ ใครก็รู้ว่าที่อยู่เจ้าใหญ่โต มาบัดนี้ ที่อยู่เจ้าช่างคับแคบเหลือเกิน แสวงหา กอบโกย คดโกง ต่อสู้เพื่อให้ได้มาทุกวิถีทาง ในที่สุดแห่งชีวิต “ก็...แค่นี้” ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม

    ฝากไว้สะกิดใจ
    คนที่ไม่เคยบอกความจริง
    กับชีวิตตัวเองว่า “เดี๋ยวก็ตาย”
    เป็นคนที่น่าเป็นห่วงยิ่งนัก
    คนที่ไม่ยอมรับความจริง
    บนความจริงที่ปรากฏกับชีวิต
    เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก

    ฝากไว้ให้ใจคิด
    ดำรงชีวิตอยู่เพื่อความสงบสุข
    รู้จักพอ รู้จักละ รู้จักทำใจ
    ยิ้มให้ได้ บอกตัวเองเสมอ ๆ ว่า
    “เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี
    สร้างความดี สร้างคุณธรรม
    ไม่ใช่เกิดมาเพื่อสร้างบาปกรรม”
    “ใจดวงนี้วุ่นวายไม่ได้
    คิดมากไม่ได้”
    “ในเมื่ออีกไม่นาน เราก็จะตายแล้ว”

    ละครปิดฉาก
    ละครชีวิตที่มนุษย์รับบทบาทการแสดง
    เมื่อถูกปิดฉากลงด้วย“ความตาย”
    ละครบทนั้นก็กลายเป็นภาพอดีตทันที
    วันนี้ ตัวละครดูไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้
    ไร้ความรู้สึก ไร้แม้คนต้องการ
    นี่แหละละครชีวิตจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2009
  19. squrez

    squrez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +2,987
    เอาบุญมาฝากครับ ผมได้โอนเงิน 2000.12 บาท ทำบุญสร้าง สร้างพระวิหารวัดป่าโนนจ่าหอม บ้านโพนเมือง ตำบลโพนเมือง
    อำเภอเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี
     
  20. jajamicky

    jajamicky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +768
    สวัสดีค่ะ คุณ paitoon01 คุณจำเราได้มั้ยคะ ในกระทู้นี้ของพี่ Me, myself หน้าประมาณ 113-115 (จำไม่ค่อยได้) เราได้เล่าว่า เราฝันถึงท่านยมบาล ท่านเมตตาบอกว่า..ให้เราชวนคนมาทำความดีให้เยอะที่สุด ไม่งั้นวิญญาณเราจะกระเด็นหลุดจากร่าง..

    ในเวลานั้นเรามืดแปดด้านไม่รู้จะไปชวนใครมาทำความดี และด้วยข้อความนี้ของคุณ paitoon01 ประโยคนี้ประโยคเดียว ทำให้เราเริ่มเขียนกระทู้ดีๆ โดยมีเจตนาที่ดีให้คนมีกำลังใจทำความดียิ่งๆขึ้นไป ถึงเราจะตายก็ไม่เป็นไร

    หลังจากนั้นในกระทู้ของเรา มีบางคนบอกว่า กระทู้เราทำให้เค้ามีกำลังใจทำความดี บางคนก็บอกว่า เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเค้า..เราดีใจมาก ไม่ใช่เพราะเรารอดตายหรอก แต่เราดีใจกับเค้าจริงๆ

    ดังนั้นเราเลยมาขอบคุณ คุณ paitoon01 ค่ะ จากจุดเริ่มต้นในคำพูดของคุณ ได้จุดประกายให้เราเห็นหนทางชวนคนมาทำความดี และความดีนั้นก็กระจายต่อๆไป

    ขอบคุณมากๆ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
    ขอบคุณ พี่ Me,myself ด้วยค่ะ ที่ตั้งกระทู้ดีๆแบบนี้ เพราะจุดเริ่มต้นเกิดจากมีกระทู้นี้ค่ะ
    ขอโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...