พลังรังษีธรรม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 431240, 12 เมษายน 2006.

  1. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเกี่ยวกับพลังไว้อย่างสมบูรณ์ คือ เรื่อง นิสัย 4 และ พละ 5หากปฏิบัติธรรมตามหลักดังกล่าว มิใช่จะช่วยให้มีพลังรักษาโรคเท่านั้น ยังช่วยให้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยะบุคคลอีกด้วย ทั้งหลักคำสอนอื่นๆ ทีมีมาจากมหาสติปัฎฐานสูตร หลักโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หลักพรหมวิหารธรรม อัปปมัญญาธรรม ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญ ในการเปิดให้มีพลังทั้งเพิ่มพลังก็มีอยู่พร้อมในกรณียเมตตาสูตร ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักดังกล่าว จะมีพลังคุ้มครองตนเอง และสามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งอาจเรียกว่า "พลังรังษีธรรม" แม้แต่พระพุทธองค์ก็เป็นที่รู้กันว่า พระองค์ทรงไว้ซึ่ง "ฉัพพรรณรังษี"

    พลังรังษีธรรม(bb-flower
    ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นส่วนมาก มีความสงสัยเกี่ยวกับรังษี หรือแสงที่เกิดขึ้นขณะที่ทำการเจริญภาวนาว่ามันคืออะไรกันแน่ บางท่านพอเห็นแสงก็เกิดความตกใจเลิกการปฏิบัติไปเลยเกรงว่ามีวิญญานร้ายมารบกวน บางทานก็เข้าใจว่าตัวเองสำเร็จแล้ว
    จริงแล้วทุกคนมีพลังในตัว จะมากหรือน้อยแล้วแต่การปฏิบัติตน พลังนั้นหากมีความสมบูรณ์ก็จะปรากฏออกมา เป็นรังษีที่สดใส หากกล่าวโดยสรุปแล้ว พลังตั้งแต่หัวใจขึ้นไปข้างบนเรียกว่าพลังที่ให้ความสงบ เย็นสบาย หรือที่เรียกว่า พลังหยิน พลังตั้งแต่หัวใจลงมาด้านล่างเรียกว่า พลังหยาง อาจจะรวมเรียกว่า "พลังรังษีธรรม" เพราะพลังรังษีดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
    หากท่านกำหนดภาวนา กำหนดยุบพองของท้อง ถ้าได้ผลจะรู้สึกร้อนแทบทนไม่ไหว หรือจะกำหนดจุดใดก็ตาม ต่ำลงมาจากหัวใจจะรู้สึกร้อน หากเข้าใจหลักการดังกล่าวมาจะไม่มีปัญหาในการภาวนา หากรู้สึกร้อนก็เลื่อนกำหนดตั้งแต่หัวใจขึ้นไป ถ้ารู้สึกหนาวก็เลื่อนตั้งแต่หัวใจลงมา
    รังษีที่ปรากฏแสดงถึงพลังที่มีอยู่มิใช่เกิดจากวิญญานร้ายมารบกวน แต่อาจมีข้อยกเว้นที่มีเทพ ซึ่งมีรังษีมาปรากฏก็ได้ จึงมิใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัว ที่ทำให้บางท่านสำคัญผิดว่าตนเองบรรลุความเป็นอริยะแล้วนั้น อาจเป็นวิปัสสนูกิเลส หากบรรลุจริงก็น่าจะสำรวจตัวเองได้ว่าละสังโยชน์ได้เท่าไรแล้ว
    หากเปรียบเทียบถึงคนในสมัยปัจจุบันปากก็พูดถึงพระนิพพาน พุดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิตใจยังห่วงสมบัติ ห่วงลูกหลาน ห่วงธุรกิจ จะเป็นพระอริยะได้อย่างไร ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นพออธิษฐานอยากบรรลุนิพพาน พอประตูนิพพานเปิด คือจะต้องเห็นทุกข์ จึงเกิดปัญหาต่างๆ เป็นการทดสอบว่าแน่จริงหรือไม่ พอมีความทุกข์มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น แทนที่จะดีใจว่า อ๋อคนเรามีทุกข์อย่างนี้เอง เกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อยากได้อะไรก็ไม่สมหวัง ได้มาแล้วต้องสูญเสียไป ต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รัก สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้น เป็นความจริงแท้หนอ อย่ากระนั้นเลยต้องเร่งรีบบำเพ็ญเพียร ภาวนา เพื่อจะไม่ได้ต้องมาเกิดอีก
    ครั้นแล้วไม่ปฏิบัติตนเป็นไปตามที่ปากว่า พอมีความทุกข์มีปัญหาเกิดขึ้นก็เริ่มท้อใจ ทวงบุญทวงคุณเป็นการใหญ่ ทำบุญแล้วไม่เห็นบุญ มาช่วยเกื้อหนุนให้สุขสบาย กลับมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา ต่อไปนี้เลิกแล้วการทำบุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ กลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้
    อนึ่งคนเรามีเจ้ากรรมนายเวรกันทุกคน เมื่อใครก็ตามประกาศตนว่าจะไปนิพพานแล้ว เจ้ากรรมนายเวรจะต้องติดตามคิดบัญชี แค้นนี้ต้องชำระถ้าปล่อยให้เขาเข้าประตูพระนิพพานไปได้ก็เป็นอันว่าไม่สามารถชำระหนี้แค้นกันได้ อนึ่งเจ้ากรรมนายเวรที่เห็นกันได้ชัดคือมาร 5 เพราะเหตุนี้เอง จึงเป็นเป็นสาเหตุทำ ให้เกิดความทุกข์ เกิดปัญหายิ่งขึ้น หากยังไม่พร้อมยังห่วงนั้น ห่วงนี้ อย่าอุตริพูดเล่นๆ ว่าจะรีบด่วนไปนิพพาน ใครจะไปนิพพานต้องพบกับประตูอริยสัจ ข้อแรก เพื่อเป็นการทดสอบนั่นเอง หากมีความพร้อมก็สามารถผ่านไปยังข้อ 2,3,4 โดยลำดับ หรืออาจเรียกว่าเปิดประตูนิพพานซึ่งมีสลักอยู่ 4 สลัก ได้โดยลำดับ จนกระทั่งผ่านประตูนิพพานเข้าไปได้
    เรื่องเทพกับมารนี้มีจริงมารยุให้คนทำชั่ว เพราะมันได้อาศัยกินด้วย แต่เทพยุให้คนทำดี แต่คนปัจจุบันที่เป็นมิจฉาทิฎฐิเห็นเงินเป็นพระเจ้า เห็นธรรมที่จะทำให้คนเป็นเทพนั้นคร่ำครึ จึงพากันไปเป็นพวกมารเสียส่วนใหญ่
    มีเรื่องเกิดขึ้นในเขมร และ ธิเบต โต้กันว่าหากพลังจิตมีจริงเพราะเหตุไรจึงไม่ใช้ พลังจิตป้องกันประเทศ ต่างได้รับการยืนยันจากผู้มีพลังจิตแบบสัมมาทิฎฐิ ว่าพยายามแล้ว แต่เหมือนไปแย่รังต่อ รังแตน พวกปีศาจ มารร้ายมากันใหญ่ ถามว่าพวกปีศาจมารร้ายมันไม่ถูกคุมขังอยู่ในนรกหรือ ก็ขอได้โปรดดูเมืองมนุษย์ของเราเป็นตัวอย่าง มีทั้งตำรวจและอัยการ มีศาล มีคุกตะรางหลายประเภท แต่คดีอาชญากรรมลดลงหรือไม่
    แต่อย่างไรก็ตามธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข อย่าท้อใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากเราเชื่อพระพุทธเจ้าทำพูดคิดแต่สิ่งดี สิ่งที่เป็นกุศล เป็นบารมี ไม่ต้องไปวิตกหวาดกลัวอะไร หากจะมีอันต้องตายไปก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้โดยไม่ต้องสงสัย
    สิ่งที่จะช่วยให้เรามีความสงบสุขได้ในปัจจุบัน และในอนาคตมี สุขภาพดีทั้งกายและใจ ก็คือ " พลังรังษีธรรม" เท่านั้น ทั้งช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นได้ด้วย พลังรังษีธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม คือ นิสัย 4 อริยสัจ 4 อิทธิบาท 4 สติปัฏฐาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และ มรรคมีองค์ 8 มีจริง ๆ พิสูจน์ได้โดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์
    ข้อจดจำในการกระตุ้นให้เกิดพลัง
    วิธีที่จะเปิดจักระ กระตุ้นให้จักระมีพลัง ให้มีความสมดุล ให้ร่างกายและจิตใจมีบูรณภาพ มีพลังสมบูรณ์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรักตัวเราเอง และรักเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ไม่มีข้อแม้ใดๆ วิธีการดังกล่าวมองดูผิวเผิน อาจดูไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับกันว่า ความรักที่แท้จริง เป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยได้อย่างแท้จริง ทำให้มีชีวิตชีวา บำรุงเลี้ยงรักษาพลังที่มีประโยชน์ต่อชีวิต สามารถช่วยตัวเองและสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ ประเหมือนหนึ่งเราได้ประจุพลังอันเป็นทิพย์เข้าไปในตัว
    ภายในร่างกายในมนุษย์เรา มีศูนย์พลังอยู่มากมาย เพื่อสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ศูนย์พลังจึงลดลงเหลือเพียง 7 ซึ่งแต่เดิมเป็นภาษสันสกฤต ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดวิชานี้ ใช้ชื่อเรียกว่า "จักระ"
    หมายถึงวงล้อที่หมุนไป จะทำให้เกิดพลัง ศูนย์พลังทั้ง 7 สามารถรับพลังจากจักรวาล หรือพลังจากธรรมชาติ ภายนอกตัวเรา และสามารถส่งออกไปได้ด้วย
    แต่ละศูนย์พลังจะช่วยให้เกิดพลังทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ หรือทั้งทางอารมณ์ ทางจิตวิญญานและอื่นๆ แต่ละศูนย์พลังมีองค์ประกอบหลายประการที่ควรจะศึกษาเพื่อที่จะได้รับประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ในด้านโลกียธรรม มนุษย์สามารถช่วยกันได้อันก่อให้เกิด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้ โดยเฉพาะเมื่อเราทราบว่าศูนย์พลังต่างๆ มีคุณภาพ มีพลังอย่างไร
    (คัดลอกบางส่วนมาจากหนังสือพลังรังษีธรรม ของ พระ ดร.สิงห์ทน นราสโภ)

    <!-- / message -->
     
  2. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,589
    นิสัย 4 คืออะไร การฝึกวิชาธรรมธาตุ ก็ต้องรับนิสัยก่อน ไม่รู้ว่าเหมือนกันไหม
     
  3. NAGA

    NAGA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +221
    โอ้ววววว จากหนังสือพลังรังษีธรรม ของ พระ ด๊อกเตอร์
     
  4. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ขออนุโมทนาผมเคยไปกราบนมัสการท่านเหมือนกันครับ _/\_
     
  5. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    <TABLE class=contentpaneopen cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ฝึกพลังรังษีธรรม เพื่อรักษาโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ กับพระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ

    นิสัย 4 คือ
    1. เป็นพระต้องออกบิณฑบาต
    2. อยู่ใต้โคนไม้
    3. เป็นพระต้องใช้ผ้าบังสกุล
    4. เป็นพระต้องฉันยาดองน้ำมูตรเน่า
    ข้อที่หนึ่ง เรื่องเป็นพระต้องออกบิณฑบาตร ถ้าเราไม่ได้ศึกษาหลักต่างๆ ก็อาจจะไม่เห็นคุณค่าของนิสัย 4
    ถ้าเราไม่ศึกษาในระบบการฝึกพลังหรือที่มาของพลังเราก็ไม่ทราบ
    พอเราไปศึกษาแล้วก็เกิดความสว่างว่าข้อนี้แค่ข้อเดียวก็เท่ากับที่ลัทธิต่างๆ เขาสอนไว้แล้ว เขาบอกว่าที่มาของพลังน่ะมาจาก
    1. หญ้า หรือดินที่มาจากธรรมชาติ
    2. อากาศบริสุทธิ์
    3. แสงอาทิตย์อ่อนๆ
    นี่คือที่มาหรือแหล่งที่มาของพลัง
    บิณฑบาตรอย่างเดียวได้ทั้งสามอย่าง เท้าเหยียบหญ้าเหยียบดินได้รับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ได้รับแสงอาทิตย์อ่อนๆ พอญาติโยมมาตักบาตร ญาติโยมก็ได้รับพลังนี้เช่นเดียวกัน
    ข้อที่สอง อยู่ใต้โคนไม้ ต้นไม้ยิ่งสูงยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังมาก ถ้าได้ศึกษาในระบบของจีนจะพบว่า ดินนี้ให้พลังเย็น หรือ
    พลังหยิน เหนือดินขึ้นมาเป็น พลังหยาง หญ้านี่จะเก็บ พลังหยินหยาง ไว้ ตอนเช้าถ้าได้เหยียบยอดหญ้าที่ชุ่มน้ำค้างเกาะ
    อันนั้นแหละที่เราได้รับ พลังหยินหยาง หรือคนจีนเขาเรียกว่า เป็น ยาเทวดา แล้วต้นไม้ยิ่งสูงยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังหยินหยางมาก
    ถ้าเราจะศึกษาโดยธรรมชาติของต้นไม้ใบหญ้ามันชอบของสกปรก เอาปุ๋ยไปใส่ ปุ๋ยเป็นของสกปรก ขี้หมู ขี้เป็ด อุจจาระคนไปใส่มันงาม แม้จะเอายาพิษมาฉีดมันก็งาม

    ข้อที่สาม ข้ามไป
    ข้อที่ชวนสงสัยคือ ข้อที่ดื่มยาดองน้ำมูตรเน่า คนเป็นหมอคงสงสัยว่าไปดื่มของเสียทำไม น้ำยาดองน้ำมูตรเน่า ก็คือ ปัสสาวะ นั่นเอง ท่านต้องพิจารณาดูให้ดี เวลางูกัด เอาอะไรไปแก้ ก็คือ เอาเซรุ่มพิษงูไปแก้ ฝีดาษ ก็ใช้เชื้อฝีดาษ วิธีนี้เรียกว่าเกลือจิ้มเกลือ ผักในทุกวันนี้ที่นึกว่าจะปลอดภัยนั้น ก่อนปลูกก็ใช้ยาฆ่าหญ้า พอปลูกแล้วก็ใช้ยาฆ่าแมลงอีก มีสารตกค้างมากมาย ไก่หมูก็ใช้สารเร่งอาหารที่ว่าอร่อยนั้นล้วนแต่ใช้สารเคมี ทำให้กรอบสดน่ารับประทาน ใช้ผงชูรสล้วนแต่มีพิษตกค้างทั้งนั้น น้ำปัสสาวะก้เหมือนกับเซรุ่ม

    วิธีดื่มเพื่อเป็นยา คือ ดื่มก่อนเข้านอน ดื่มครั้งแรกเป็นการหมักดอง พอนอนไปแล้วลุกปัสสาวะเมื่อไหร่ก็ดื่มอีกครั้ง ที่กล้าแนะนำก็เพราะได้ทดลองแล้วด้วยตนเอง เมื่อไปสอนทั่วโลกก็ได้ไปแนะนำ มีประจักษ์พยานมากมาย
    ชาร์จพลังให้ครูบา
    จะขอยกตัวอย่างเช่นครูบาวัดพระธาตุดอยตุง เป็นโรคเบาหวาน โรคเกาต์ โรคความดัน โรคหัวใจ ฉันยาค่อนแก้ว ใช้ไม้เท้าสี่ขา เลยถามท่าน ครูบาเป็นอุปัชฌาย์แล้วครูบาก็สอนพระบวชใหม่ให้ปฏิบัติตามนิสัย 4 แล้วครูบาเคยปฏิบัติไหม ครูบาก็สั่นหน้าปฏิเสธ
    "ไม่"
    "นี่แหละที่โดนลงโทษ"
    ครูบาเริ่มทดลอง อาตมาก็แนะนำท่านว่า คนเราก็เหมือนแบตเตอรี่ ใช้ได้ก็ต้องดูแลรักษาหากไม่ดูแลรักษา ใช้ไปสองเดือนสามเดือนก็สารต์ทรถไม่ติด ทำไง เราก็ไปอาศัยแบตเตอรี่ที่เขาดูแลรักษาดีมาจั๊มมาพ่วงไฟ คนเราถ้าไม่รู้จักดูแลรักษาตนเองก็เหมือนแบตเตอรี่ ถ้าไม่มีใครเสริมพลังให้ก็แย่ เราสามารถเสริมพลังช่วยกันให้ได้ อย่างตอนที่ไปทำให้ในงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่เอามือไปทำอย่างนี้ เอามือไปวางเหนือศรีษะ พอเอามือไปอยู่แล้วท่านที่เคยรับพลังเส้นผมจะกระดกขึ้นมาหามือบางท่านถ้าเปิดรับได้ดีเส้นผมจะติดกับมือเลยเหมือนมันดึงผม ตอนนั้นแหละที่เป็นการชาร์จแบตเตอรี่ ถ้าใครมีการเคยฝึกสมาธินั่งภาวนามาหรือใครมีจิต
    อีกท่านหนึ่ง ชื่อ คุณมณฑล อยู่ที่พุทธมณฑล เป็นมะเร็งที่ตับแผลหนึ่งกว้างสิบเซนติเมตร แผลหนึ่งเจ็ดเซนติเมตรครึ่ง หมอบอกว่า "ถ้ารักษาตามกระบวนการของหมออยู่ได้นานที่สุดห้าเดือน แต่ถ้าคุณไม่รักษาก็อยู่ได้ไม่นาน"

    "เขาจึงไปรักษาที่ศูนย์มะเร็ง แล้วบังเอิญได้มาอ่านหนังสือรังษีธรรม ซึ่งตอนนั้นเล่มเล็กนิดเดียว ก็พยายามตามหาอาตมาเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม ก็บอกแนะว่า"เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคุณมีความเชื่อศรัทธา และตั้งใจปฏิบัติไม่ท้อแท้ คิดในทางที่เป็นไปได้ ไม่คิดในทางลบ (อย่างที่หมอเขาบอกว่าจะตาย อยู่ได้ห้าเดือน) ต้องคิดตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกสิ่งเป็นอนิจจังทุกขัง อนัตตา"

    แล้วแกก็ย้อนกลับมาว่า "ผมเป็นคริสต์" อาตมาบอกเขาว่า เดี๋ยวนี้เวลาที่เราเรียนในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สอนมีทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม ทำไมเราเชื่อเราปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ต่างๆ อันนี้เราก็รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ไม่หาทางเลือกบ้างเหรอ
    เขาก็เลยยินดีที่จะปฏิบัติ ก็แนะว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โรคภัยไข้เจ็บก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อย่างโยมนี่ อาตมาลองเดาดูนะ ที่โยมเป็นมะเร็งในตับเพราะโยมชอบดื่มใช่ไหม เมื่อมะเร็งเกิดขึ้นเพราะการดื่ม ฉะนั้นน้ำเมาหรือสิ่งเสพติดนี้ก็เป็นอาหารของมะเร็ง โยมต้องงดอย่างเด็ดขาด
    เมื่อมะเร็งไม่มีอาหารมันก็ทุกข์นะ มะเร็งมันก็เป็นอนัตตา ที่ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร มันเกิดเพราะเหตุปัจจัย เราก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ อย่าไปดื่มอีกเด็ดขาด อย่าไปให้อาหารมะเร็ง แล้วอาตมาก็แนะนำว่าโยมจะต้องสวดมนต์
    พลังกุณฑาลินี คือ พลังสวดมนต์
    เรื่องสวดมนต์นี่อาตมาก็ยกตัวอย่าง อย่างที่เขียนในหนังสือว่า ฝรั่งเขาทำการวิจัยมาแล้วมากมาย บอกว่าการสวดมนต์นั้น
    เป็นไวเบรชั่น ดอกเตอร์ชื่อ ริชาร์เกอร์เบอร์ ที่เป็นหมออเมริกันบอกว่า สวดมนต์นี้เป็นไวเบรชั่นเมดิซีน การสวดมนต์เป็น
    ยารักษาโรค ทำไมถึงเรียกอย่างนั้น

    หนังสือเล่มนี้ชื่อ กุณฑาลินี ฉบับเดิมเป็นภาษาสันสฤต ที่ได้หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพราะว่า กงศุลที่เชียงหใม่ ท่านเป็นมะเร็ง
    ก็ไปรักษาแผนปัจจุบัน หมอเขาก็บอกว่า หมดทางรักษาแล้วก็หมายความว่าช่วยไม่ได้แล้ว
    ท่านก็ต้องลาออกจากกงศุลอเมริกาที่เชียงใหม่เลยเลือกที่จะไปหาพระ พระท่านก็บอกว่าเมื่อทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เมื่อหมอบอกว่ารักษาไม่ได้คุณก็เตรียมตัวตาย ท่านก็สอนธรรมะแบบพระทั่วๆ ไป ท่านบอกว่าพระน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้
    พระน่าจะให้กำลังใจในการที่จะให้ความหวังในการมีชีวิตอยู่ท่านก็ไปหาหนังสือ
    เจอหนังสือเล่มนี้เพื่อฝึกตนเองให้มีพลังขึ้นมาเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกชนิด อันนี้เรียกว่าการฝึกพลังกุณฑาลินี ซึ่งเป็น
    พลังงู หรือ พลังนาค
    ฝึกอย่างไร
    ที่จริงก็คือ การสวดมนต์ นั่นเอง ถ้าเราเรียนไวยกรณ์ เสียงทุกเสียงที่เราเปล่งจะมีบานเสียง หรือฐานกร หรือ ที่เกิดของเสีย
    กะ ขะ ยะ จะ นะ ตะ ปะ จะ นะ..... มันเกิดมากฐานใน ถ้าเราเปล่งเสียงออกมามันจะไปกระตุ้นอวัยวะทุกส่วนของเรา
    ถ้าเราสวดก็เป็นไวเบรชั่น ก็ตรงกับที่หมอริชาร์เกอร์เบอร์ ที่เขียนหนังสือ ชื่อว่า "ไวเบรชั่น เมดิซีน"

    แล้วท่านก็ปฏิบัติตามนี้รู้สึกอุ่นที่ก้นกบ อุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ ตามกระดูกสันหลังแล้วก็รู้สึกเย็นสบาย ความเจ็บความทุกข์ก็หายไป หนังสือนี่เขียนไว้ชัดเจน ซึ่งก็สอดคล้องกับหมออีกท่านหนึ่ ชื่อ หมอจาคอบ ริเบอร์แมน ที่จริงเป็นหมอตา สายตาสั้น ท่านก็เกิดความคิดว่า เราเป็นหมอตายน่าจะช่วยให้คนตาดีขึ้น ไม่ใช่ว่าอีกสอปีมาเปลียนแว่นใหม่ หมายความว่าตาเขาแย่ลง แล้วจึงฝึกตนเองจนกระทั่งไม่ต้องใช้แว่น ซึ่งใช้เวลาฝึกสี่ปี ท่านเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง "เทคออฟ ยัวร์แกลสแอนค์ซี" แปลเป็นไทยได้ว่า ถอดแว่นตาทิ้งเลยดูด้วยตาธรรมดาไม่ต้องใส่แว่น นอกจากท่านจะฝึกตาเนื้อได้แล้ว ท่านยังเกิดตาในคือตาทิพย์ ท่านเห็นคนที่มีสุขภาพพลานามัยดีมันมีแสง มีรังสี ที่เรียกว่าแสงออร่าขึ้นสดใส ใครก็ตามถ้าไม่สบาย ไปสวดมนต์ภาวนาก็มีแสงขึ้นพอมีแสงขึ้นก็หายจากโรคภัย ท่านก็เขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "ไรท์เมดิซีน ออฟเดอะฟิวเจอร์" หมายความว่า แสงสว่างจะเป็นยาในอนาคต ถ้าใครยังสวดมนต์ภาวนา ฉะนั้นหลักการนี้ก็เข้ากับคุณมณฑลที่อาตมาแนะให้สวดมนต์ เดี๋ยวนี้เป็นปีที่สี่แล้ว แผลที่บอกเจ็ดเซ็นติเมตร สิบเซนติเมตรก็หาย สุขภาพแข็งแรง ทำงานได้เหมือนเดิม

    อีกราย คือ คุณยายทองเจือ อยู่ชิคาโก้
    ยายเป็นมะเร็งในระบบอาหารพอรู้ก็เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดครั้งที่สองหมอเปิดแผลพบมะเร็งลามทั่วไปหมดหมอก็ซุบซิบกันว่าปิดแผล ไม่ผ่าตัดแล้ว คุณยายอยู่ได้ไม่นานแล้ว ยายแอบได้ยินที่หมอคุยกัน แทนที่ยายจะตกใจ ยายกลับดีใจที่รู้ว่ายังพอมีเวลา คุณยายคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือสำหรับการทำบุญอันยิ่งใหญ่ ก็คือการสวดมนต์ภาวนาที่ถือว่าเป็นยอดของบุญ ก็เริ่มสวดมนต์ในใจตั้งแต่บัดนั้น พอแผลหายก็สวดออกเสียง

    ตอนนี้อายุ 84 ปี ตอนผ่าตัดอายุ 46 ปี โยมลองคิดดูขนาดหมอยังบอกว่าอยู่ได้ไม่นาน ทำไมาอยู่ได้ถึงขนาดนี้

    ท้าประลองในชิคาโก้
    "เมื่อมาบวชอีกก็ไปอยู่ที่ชิกาโก้ อาตมาไปสอนที่นั่น พวกฝรั่งมาเรียนมากขึ้น พวกเขาก็มาสังเกตุ
    คงจะหวั่นว่าจะเอาศาสนิกชนของเขาไปเป็นพุทธ เขาก็รวบรวมพวกที่ฝึกพลังต่างๆ มาแบบท้าประลอง มาพูดว่าท่านสอนให้คนเห็นแก่ตัว สอนให้คนมาแค่นั่งหลับตาภาวนา แทนที่จะไปช่วยคนช่วยโรงพยาบาล สถานที่พักคนชรา ที่ควรไปช่วยไม่ไปกลับพามานั่งหลับตาอยู่ได้เสียเวลาเป็นการเห็นแก่ตัว สู้พวกเขาไม่ได้ คนนี้เก่ง พลังโยเร คนนี้เก่ง พลังไรกี คนนี้เก่ง พลังปราณ จี้กง เขามาเป็นทีมเป็นคณะ ก็นึกว่าเราก็เคยใช้พลังมา ความคิดที่จะใช้ชื่อว่า พลังรังษีธรรม มันเกิดขึ้นมาตอนนั้น
    "ฉันก็สอนฝึกพลัง อย่างนั้นคุณเลือกคนของคุณมา ถ้าใครลองฝึกก็จะมีพลัง เหมือนกับฉัน"
    เป็นการเสี่ยงบารมีดูเพราะเขามาแบบท้าทาย เขาก็ส่งคนมา อาตมาก็ทำให้ พอทำให้เขาก็ไปซุบซิบๆ ส่งคนที่สองมา ก็ไปซุบซิบกันอีก ส่งคนที่สามมาเขาก็บอกว่า "วิชาของท่านนี้แปลกนะไม่เหมือนพลังของพวกผมจะว่าโยเรก็ไม่ใช่ พลังปราณก็ไม่ใช่ พลังจี้กงก็ไม่ใช่ พลังจักรวาลก็ไม่ใช่" เขาเรียนถามว่า"พลังอะไร"
    ก็เลยบอกไปว่า "อันนี้คือ พลังรังษีธรรม ถ้าใครปฏิบัติอย่างที่พวกคุณมาฝึกกันนี้ก็มาซิ มาปฏิบัติแล้วฉันจะเสริมพลังให้ ให้กับท่านเหล่านี้ที่มา"

    ก็เลยมีโอกาสได้พวกลูกศิษย์ที่เก่งๆ ทั้งนั้น เช่น ไดอน่า โวเลีย ที่มาร่วมงานนี้ ทีแรกเขาก็มาทดสอบพลังเหมือนกัน เขาเรียนจนจบมาทุกระบบ เขาเป็นคนเปิดกว้าง ใครสอนที่มีชื่อเสียงก็มาเรียน ถามเขาว่าคุณนับถือศาสนาอะไร เขาก็นับถือทั้งหมดใครเป็นผู้ให้ความรู้เขาก็นับถือ เขาเปิดกว้าง ซึ่งทั้งหมดก็เป็นที่มาของการใช้ พลังรังษีธรรม"
    ใช้หลักนิสัย 4
    หลักมีอยู่ว่าธรรมะของพระพุทเจ้าไม่ว่าหมวดธรรมหมวดไหนก็จะมีอานิสงฆ์ตามที่หมวดธรรมนั้นๆ บอกไว้ไปตามชื่อของหมวดธรรมนั้นๆ บอกไว้ไปตามชื่อหมวดธรรมนั้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมวดธรรมของพลัง ที่อาตมานำมาแนะสอนนี้ ถ้าเราไม่ศึกษาระบบต่างๆ ที่เขามี เราก็ไม่รู้จักคุณค่าของหมวดธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน
    ลองมาย้อนมาทบทวนดูก็เกิดความรู้กระจ่าง อ๋อ อันนี้เป็นเรื่อง นิสัย 4 นี่เอง นิสัย 4 เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นว่าเวลาบวชแล้ว ให้พระอุปชฌาย์จะเป็นผู้บอกนิสัยหรือพระอุปฌาย์ไม่ว่างท่านกรรมวาจาจารย์เป็นผู้บอกนิสัย

    (พลัง) สะสมๆ ไว้ในจิตใต้สำนึกเรานั้น 100 เปอร์เซ็นต์ เราเอามาใช้กันแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าใครมีวิธีการดึงเอาพลังที่เก็บไว้มาใช้มันก็เป็นพลังมหาศาล

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. demonicus

    demonicus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +314
    เสริมนิดนะครับ ปัสสาวะที่ดื่มได้นั้น ใช้ช่วงกลางนะครับ คือทิ้งช่วงแรก(เพราะมีตะกอนพิษ) เก็บช่วงกลาง แล้วปล่อยช่วงปลายทิ้งไปครับ
     
  7. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    ช่วยยืนยันครับสำคัญมาก
     
  8. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    จะหาหนังสือพลังรังษีธรรมได้ที่ไหนครับ
     
  9. Fourthman

    Fourthman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,742
    ค่าพลัง:
    +5,415
    หนังสือพลังรังษีธรรม มีที่โลกทิพย์แน่นอนครับ แต่เล่มที่ผมมี ผมซื้อมาจากร้านดวงกมล สาขาเสรีเซนเตอร์ครับ
     
  10. ligore

    ligore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +5,807
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">-ขอบคุณคุณสรายุทธ</TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...