สวรรค์ ๔ ชั้น

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 11 มิถุนายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    สวรรค์ ๔ ชั้น

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้จะพาท่านพุทธบริษัท ลัด เรียกว่าไปลักกันเลยไปจนจบแดนสวรรค์ทั้งหลาย


    นี่เราพากันออกจากชั้นดาวดึงส์ไปชั้นยามา ชั้นยามานี่อยู่ทางทิศเหนือของชั้นดาวดึงส์เป็นเนินขึ้น ความจริงสวรรค์ไม่ใช่เป็นชั้น เป็นภาคพื้นอันเดียวกัน แต่รู้สึกว่าเป็นเนินสูงกว่ากัน เดินไปสักครู่หนึ่ง เป็นทางที่สวยสะอาดมากเป็นทางสีขาวโพลน สวรรค์ชั้นชั้นยามานี่มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๒๐๐ ปีของมนุษย์จึงเป็น ๑ วันของสวรรค์ชั้นยามา อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททราบไว้ด้วย

    เทวดาชั้นยามานี่มีวิมานใหญ่กว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม มีสวนเหมือนกัน มีสระโบกขรณีเหมือนกัน เป็นที่น่ารื่นรมย์มาก มีความสุขมาก เป็นเทวดาที่มาบำเพ็ญบารมีต่อโดยตรง ความจริงสำหรับดาวดึงส์ก็เหมือนกัน ดาวดึงส์ทุกวันพระ พระอินทร์จะต้องเทศน์ถ้าไม่มีใครมาเทศน์สอนเทวดา หรือมิฉะนั้นท่านก็เชิญพรหมมาเทศน์บ้าง ถ้ามีพระขึ้นไปก็นิมนต์พระเทศน์บ้าง


    สำหรับเทวดาชั้นยามานี่ทำบุญอะไร โดยมากเทวดาชั้นยามาประดับกายด้วยเครื่องขาว คือ เป็นเพชรแลดูสีขาวสะอาด วิมานก็ใหญ่กว่า มีความสงบสงัดคล้ายๆ กับเมืองพรหมมีความสุข เป็นเทวดาที่พระอินทร์ไม่เรียกใช้ เพราะว่าเป็นเทวดาที่มีความตั้งใจบำเพ็ญบารมีต่อ

    เรื่องการให้ทานการรักษาศีลเป็นเรื่องธรรมดาของเทวดาทุกชั้นจะต้องทำ การให้ทานการรักษาศีลของเทวดาแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นมาหรือจาตุมหาราชขึ้นมา ท่านไม่ได้ทำตามประเพณี ทราบไว้ด้วย

    ตั้งใจทำกันจริงๆ ไม่เหมือนฝ่ายรุกขเทวดาหรือภุมเทวดา คือเรียกว่าบุญไม่ค่อยจะครบถ้วน ทำเหมือนกันแต่ว่าใจไม่ครบ สำหรับอากาศเทวดาทั้งหมดไม่ถือประเพณีเป็นสำคัญ ทำด้วยจิตเป็นกุศลแท้อันนี้ต้องจำไว้



    ตานี้ จะว่าต่อไปสำหรับบุญพิเศษ เทวดาชั้นยามานี่มีส่วนสำคัญอยู่ ๒ อย่างเป็นบุญพิเศษ คือ ๑ สวดมนต์ด้วยความเคารพ หมายความว่าชีวิตจิตใจของท่าน สวดมนต์เป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้สวดมนต์วันนั้นนอนไม่หลับ ไม่สบายใจ คือสวดด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยความเลื่อมใสจริงๆ จะเป็นการสวดมนต์บทไหนก็ช่างเถอะ เรียกว่าเป็นการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน หรือมิฉะนั้น ก็เป็นนักเจริญพระกรรมฐาน เจริญกรรมฐานจนกระทั่งจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตเป็นทิพย์บ้างเล็กๆ น้อยๆ สามารถจะเห็นภาพที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้บ้างพอสมควร ครั้นเมื่อตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเทวดาชั้นยามาได้ นี่จำไว้เพียงเท่านี้นะ ว่าเทวดาชั้นนี้มีความสุข จะนำชมวิมานทุกวิมานน่ะไม่ไหว ในชั้นยามานี่ก็มีท้าวยามา คือเทวดาที่เป็นหัวหน้าหนึ่งคนคล้ายๆ พระอินทร์เหมือนเป็นเทวราชาปกครองทั้ง ๖ ชั้น


    ออกจากชั้นยามาไป เราเดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกนิดหน่อย ความจริงบนนี้ไม่มีตะวันนะ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ใดๆ แต่เราเทียบกับทิศของเมืองมนุษย์ เดินไปสักหน่อยหนึ่ง แต่ความจริงไกลมาก แต่ว่าเดินอย่างเทวดา เดินอย่างสภาพที่เป็นทิพย์ มันก็ไม่ไกล เป็นอันว่ามาถึงชั้นดุสิตซีคราวนี้ ชั้นสำคัญ


    ชั้นดุสิตนี่มีอายุอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ แล้วก็ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ก็ ๔๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วันของเทวดาชั้นนี้ แต่ว่าเทวดาชั้นนี้มีบุญญาธิการพิเศษ ที่คนจะเข้ามาได้ท่านจำกัดจริงๆ เรื่องทานเรื่องศีลไม่ต้องพูดกัน ดีแน่ เรียกว่าท่านทำกันแน่แล้วก็ทำอย่างเครียด เครียดมาก เอาจริงเอาจังมาก เทวดาที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้มีอยู่ ๓ เหล่า คือ ๑ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีขั้นปรมัตถบารมี จึงจะเข้ามาเป็นเทวดาในชั้นนี้ได้ หรือว่าคนที่เป็นพระพุทธบิดา พุทธมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อตายจากมนุษย์แล้ว จึงมาเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ หรือว่าคนธรรมดาแต่ว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระอริยเจ้า

    ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมีโอกาสเข้ามาอยู่เป็นเทวดาชั้นนี้ได้ แต่ความจริงพระอริยเจ้านี่ ท่านอยู่เกือบทุกชั้น อย่างภุมเทวดา รุกขเทวดา จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัสดี และพรหม มีพระอริยเจ้าเยอะ แต่นี่เรากล่าวกันเฉพาะว่า ถ้าจะเข้ามาอยู่ขั้นนี้ ตั้งใจจะมาอยู่ชั้นนี้ ต้องเป็นตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรียกว่า เทวดาธรรมดาๆ ที่ทำบุญให้ทานรักษาศีลธรรมดาหรือได้ฌานสมาบัติ นอกจากพระโพธิสัตว์ และ พระพุทธบิดา พุทธมารดาแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาได้ นี่เป็นเทวดามีชั้นจำกัดจริงๆ แล้วก็ชั้นนี้มีเทวดาสำคัญอยู่องค์หนึ่งที่พวกเราสนใจ พวกเราสนใจกันมากก็คือพระศรีอาริยเมตตรัยความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่

    สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมีต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย


    เมื่อเรามาถึงชั้นดุสิตแล้ว เราจะเห็นว่าวิมานใหญ่มาก ใหญ่กว่าชั้นยามา วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสดงดงาม เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่าง เทวดาทุกองค์ ทุกชั้นมีรัศมีกายสว่างจากกาย มีรัศมีแสงสว่างออกจากวิมาน แต่ว่าชั้นนี้มีแสงสว่างมาก สวยมาก วิมานก็ใหญ่มาก มีสถานที่รื่นรมย์มากมาแล้วนี่ พุทธบริษัทย่องๆ ไปดูพระศรีอาริย์สักนิดดีไหม? เดินตามอาตมามานี่เราตั้งต้นกันทางด้านทิศเหนือ เดินไปทางด้านทิศใต้ เฉียงๆ ไปทางด้านตะวันตกนิดๆ มีวิมานระเกะระกะ บริเวณวิมานแต่ละวิมานกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีรั้วรอบขอบชิดเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ทางที่เราเดินก็เป็นทางแก้ว เดินไป วิมานแต่ละหลังก็สวย เทวดาแต่ละองค์ก็หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดุสิตแปลว่ายิ้ม ดุสิตไม่ใช่หน้าบึ้ง มีพระอริยเจ้าทั้งหมด มีพระพุทธบิดา พุทธมารดา และพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี นั่งอยู่ประจำวิมานเป็นแถวมีบริวารมากมาย เดินไป เดินไปสักครู่หนึ่ง จากต้นแถวเกือบจะสุดปลายแถว เรายืนอยู่มาพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก องค์เจ้าของมีรัศมีกายสว่างมาก ผ่องใสหน้าตายิ้มระรื่นน่าชื่นใจ มองดูไปทางขวามือของเรา เลี้ยวขวา ไม่ใช่หน้าเดินเอาเท้าเดินไป อย่าเอาหน้าลงไปเดินมันจะยุ่ง เข้าไปใกล้วิมาน วิมานนี้ เป็นวิมานของพระศรีอาริยเมตตรัยเทพบุตร


    พระศรีอาริยเมตตรัยนี่ เคยมีท่านที่ได้ฌานสมาบัติพิเศษท่านเคยถามว่า เมื่อใดจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวโดยประเมินว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้านับในเมืองมนุษย์ก็ประมาณล้านปีเศษๆ ท่านจะมีโอกาสได้มาตรัสในเมืองมนุษย์ ถามว่าถ้าจะเทียบเวลานี้เป็นพื้นที่สมัยนี้ จะตรัสในประเทศไหน ท่านก็บอกว่า ทางทิศเหนือของพม่า ในเขตนั้น นี่สำหรับท่านที่ได้ฌานท่านเคยบอกให้ฟัง ท่านบอกว่ายังงี้นะ แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้


    นี่เรามาชมบารมีของพระโพธิสัตว์กันตามสมควร ต่อจากนี้ไปก็เดินต่อไปดีกว่าอย่ารอช้าเลย เพราะเวลามันกระชั้น เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า เรื่องนี้จะว่ากัน ๒๔ ตอนก็เลิก ถ้าขืนพูดละเอียดไม่เป็นเรื่องแน่ เป็นอันว่าเดินต่อไป คราวนี้เราเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้นิดๆ จากชั้นดุสิต ขึ้นไปชั้นนิมมานรดี นี่เป็นเทวดาชั้นที่ ๕


    ชั้นนิมมานรดี นี้มีอายุอยู่เป็นเทวดาได้ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ ๘๐๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของท่าน ยุ่งเหมือนกันนะ รู้สึกว่ายุ่งๆ เหมือนกัน อายุท่านมากเหลือเกิน แต่มากแบบธรรมดาๆ มากแบบสบายๆ มันจะเป็นไรไป งานการไม่ต้องทำแต่เรามาดูเทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าวิมานของท่าน แพรวพราวสวยสดงดงามมีของกระจุ๋มกระจิ๋มกระจุดกระจิกมาก เทวดาแต่ละองค์ก็มีความสวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นอย่างดีน่าเที่ยว เทวดาชั้นนี้ รู้สึกว่าจะเป็นเทวดาซุกซนมากสักหน่อย เรียกว่า รู้สึกว่าแต่ละองค์มีงานไม่ว่าง ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไรเล่นโก้ๆ บางทีเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ชั้นที่ ๖ มีความต้องการอะไร ท่านเทวดานี้ ท่านก็เนรมิตให้ หมายความว่า ทำงานให้ จึงเรียกว่านิมมานรดี คือว่าเป็นเทวดาพวกเนรมิตของต่างๆ ตานี้ มาดูถึงบุญบารมีของเทวดาชั้นนี้ว่าเดิมที่นี่เขาทำยังไงกันไว้ จึงได้มาเป็นเทวดาชั้นนี้ เรื่องการให้ทาน การรักษาศีล บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม ถ้าไม่ได้พูดถึงละจงคิดไว้ว่า ท่านทำกันไว้ครบถ้วน แต่ว่ามีกรณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเทวดาชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เคยเจริญฌานสมาบัติ ได้ฌาน ฌานของท่านต้องไม่น้อยกว่าฌาน ๔ อย่าลืมนะว่าฌานของท่านนี้ ไม่น้อยกว่าฌาน ๔ เมื่อได้ฌาน ๔ แล้วก็เจริญกสิณ ๑๐ ได้กสิณทั้ง ๑๐ อย่าง เป็นอภิญญา เมื่อได้อภิญญาแล้วท่านก็ชอบเนรมิตอะไรต่ออะไร เพราะพวกอภิญญานี่เป็นพวกมีฤทธิ์

    สามารถเนรมิตร่างกายของคนก็ได้ เนรมิตอะไรต่ออะไรก็ได้ ให้เป็นอะไรได้ตามความปรารถนาทุกขณะจิตที่ต้องการ ไม่ใช่ไปนั่งเสกปากหมุบหมิบๆๆ ไม่ใช่ยั้งงั้น พวกอภิญญา พอนึกปั๊บมันก็เป็นปั๊บทันที อยากจะเล่นบ้างไหมล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะเป็นนักอภิญญา เล่นอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ หายตัวก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ตามใจนึก สมัยที่เป็นมนุษย์ท่านคล่องแบบนี้ เมื่อเวลาเป็นเทวดาก็เลยมีใจคล้ายมนุษย์ เพราะว่าการว่ามาด้วยใจ ร่างกายทิ้งไว้ ความประสงค์ก็เป็นเช่นเดียวกับความเป็นมนุษย์ เพราะว่าการไปเกิดเรานำใจไปเกิด เราไม่ได้นำกายไปเกิด ตานี้ เมื่อเป็นมนุษย์มีความต้องการยังไงมีอุปนิสัยเป็นยังไง เป็นเทวดาก็เป็นแบบนั้น เป็นพรหมก็เป็นแบบนั้น ทีนี้เมื่อท่านอยู่สมัยเป็นมนุษย์ท่านได้อภิญญาสมาบัติ ความจริงเทวดาพวกนี้ ถ้าตายแล้วควรจะไปเป็นพรหม เพราะได้ฌาน ๔ ด้วย แล้วได้อภิญญาสมาบัติด้วย

    แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาที่ท่านจะตายท่านไปตายนอกฌาน เอ๊ะ ไอ้คำว่านอกฌานนี่อย่าเข้าใจผิดนา ไม่ใช่ชานบ้าน ประเดี๋ยวจะหาว่าในบ้านมีเยอะแยะไปทำไมไม่นอน ทำไมไม่ตาย ดันมาตายที่นอกชาน ภายนอกของบ้าน เป็นชานเรือนออกไปไม่ใช่ยังงั้น คำว่าฌานังในที่นี้ หรือคำว่าฌานแปลว่าเพ่ง พูดว่า เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็ดี ฟังง่ายดี เวลาตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยอารมณ์เป็นปกติ แต่ว่าเป็นกุศล จิตที่ไม่น้อมนำเอาอกุศลเข้ามาไว้ในใจ ตายจิตเป็นกุศล แต่ไม่ได้เข้าฌานตายก็เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ คนที่เข้าฌานตาย ถ้าต้องการไปเป็นพรหมก็มีคุณสมบัติเป็นพรหมได้ เขาก็ไปเกิดเป็นพรหม เว้นไว้แต่ถ้าไม่ต้องการเป็นพรหมจะไปแวะพักเป็นเทวดาชั้นในชั้นหนึ่งได้ ไม่ห้าม แต่ว่าท่านผู้นี้ไม่ใช่อย่างนั้นมีสิทธิจะไปเป็นพรหมได้ แต่เวลาจะตายไม่ได้ใช้ฌานให้เป็นประโยชน์ เลยไปเป็นพรหมไม่ได้ มาเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ ที่เรียกว่านิมมานรดี แล้วมีหน้าที่เนรมิตของต่างๆ ที่เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีจะต้องใช้ จะต้องการทำให้ด้วยความเต็มใจ แต่ว่าท่านทั้งหลายพวกนี้เมื่อเป็นเทวดาแล้วบำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าที่ตามเดิม ถ้าพ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้เมื่อใด ถ้าหากว่าต้องการเป็นพรหมจะไปเป็นพรหมได้ทันที เรียกว่าเป็นเทวดาที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นชั้นสูงต่อไป


    เอาละชมกันตามสบาย รู้กันถึงประวัติความเป็นมาของเทวดาชั้นที่ ๕ แล้ว คราวนี้เราก็ไปชมเทวดาชั้นสูงสุดฝ่ายกามาวจรสวรรค์ เทวดาชั้นที่ ๖ มีนามว่า ปรนิมมิตวสวัสดี แปลว่าเป็นเทวดาที่จะต้องการใช้ของอะไร ผู้ที่ทำให้ก็คือเทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นนี้มีอายุถึง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ แหม ยาวมาก อายุยาว ถ้าจะเทียบกับปีในมนุษย์ ๑๖,๐๐๐ ปีมนุษย์เป็น ๑ วันของท่าน น่าดู ถ้าหากว่ามนุษย์มีอายุเท่านี้ก็น่าดู น่ากลัวว่าเขี้ยวจะยาวจัด แล้วก็สำหรับเทวดาชั้นนี้มีวิมานสวย เป็นที่อยู่ของพระยามาราธิราช เอาละ วันนี้เราจะพบคนสำคัญกัน ว่ากันถึงบุญบารมีหรือว่าที่อยู่ก่อน วิมานใหญ่มีแสงสว่างมาก แสงสว่างจากกาย เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ เรื่องของสวรรค์ไม่ต้องพูดกัน นางฟ้าหรือทุกชั้น เทวดาทุกองค์มีนางฟ้าองค์ละมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นนิมมานรดีและปรนิมมิตวสวัสดีนี่ มีนางฟ้าหน้าตาสวยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มนับเป็นหมื่นๆ คน องค์หนึ่งนะ หนึ่งองค์มีนางฟ้านับเป็นหมื่นๆ องค์เป็นบริวาร น่าดูความจริงเราเป็นมนุษย์นี่จะหานางสำหรับเราไขว่คว้าแต่ละคนก็ยุ่งจัง หายาก กว่าจะตกลงกันได้ก็เต็มกลืน จะไปหานางไขว่คว้าสำหรับไขว่คว้าตามถนนก็ต้องเสียสตางค์ ดีไม่ดีก็เป็นโรคไม่ได้เรื่อง แต่นี้ สำหรับเทวดานี่รวยจริงๆ แหมน่าเป็น ไม่ต้องไปหาที่ไหนพอตายปุ๊บไปเป็นเทวดาปั๊บ แหมนางสำหรับไขว่สำหรับคว้ามีอยู่เป็นหมื่นๆ คอยอยู่แล้วนี่ถ้าไม่มียาบำรุงดีๆ หรือยาระงับประสาทดีๆ ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะพวกผู้หญิงมากๆ นี่ แต่คนเดียวเราก็แย่อยู่แล้วนะ แกพูดไม่ใช้น้อย มากคนถ้าแกพูดกันคนละคำนี่ ฟังคราวหนึ่งก็เป็นหมื่นๆ คำ น่ากลัวเทวดาชั้นนี้จะหูไม่ค่อยดี เรียกว่า ๒, ๓ ชั้นนี่น่ะหูไม่ค่อยดี จึงทนรำคาญพวกสตรีพูดกันได้มากๆ


    เป็นอันว่าบุญบารมีของเทวดาในชั้นนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านทรงฌาน ๔ แต่ว่าไม่ทรงอภิญญา ได้ฌาน ๔ เฉยๆ แล้วก็ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ รักษาอารมณ์เป็นกุศลแต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายเหมือนกับชั้นนิมมานรดี เมื่อตายแล้วเพราะอาศัยทรงฌาน ๔ ยิ่งมาเป็นเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ ครั้นเมื่อมาเป็นเทวดาชั้นนี้แล้ว ต่อไปทรงฌานปกติตามเดิม พ้นภาวะจากเทวดาชั้นนี้ก็ไปเกิดเป็นพรหม นี่ว่ากันอย่างลัดๆ ถ้าไม่ลัดละก็เจ๊งแล้ว ๒๔ ตอนนี่ไม่จบกันแน่


    ตานี้ เทวดาชั้นนี้มีที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง คือพระยามาราธิราช ความตามที่บางแห่งท่านกล่าวว่า มารโลกมีอยู่ แล้วก็อยู่ที่ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแบ่งกันคนละตอน คือว่ามารอยู่ตอนหนึ่ง อันนี้ พระอรรถกถาจารย์เฝือไป เฝือไปแก้พลาดไป ความจริงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงมารโลกเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ได้แยกบุคคลออก หมายความว่ามารในที่นี้หมายความถึงว่าจิตเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วคำว่าโลก ท่านหมายถึงว่าคนๆ หนึ่งหรือเทวดาองค์หนึ่งจัดเป็นโลกๆ หนึ่ง ถ้าเป็นเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตาม เป็นมิจฉาทิฐิ ท่านเรียกกันว่ามาร เพราะตัวมิจฉาทิฐิเป็นตัวฆ่าความดี มาระหรือมาร แปลว่าผู้ฆ่าความดีของบุคคลคนนั้น


    ทีนี้มาว่ากันถึงพระยามาราธิราช พระยามาราธิราชนี่ ชาวสวรรค์เรียกกันว่าท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว เคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส ท่านบอกว่าเวลานี้ไม่ใช่มาร พระอุปคุตเล่นงานท่านเข้าให้ เป็นคู่ปรับกัน ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า จะขอนำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังย่อๆ เพราะเหลือเวลาอีก ๓ นาที คือว่าในสมัยหนึ่ง ตอนต้นโน้น ตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เมื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน พระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวคนละทาง วันนั้น บังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าของเราเกี่ยว พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง ท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใส จะด่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้า ก็บอกกับเพื่อน ว่าวันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไป แต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไป เพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่เลื่อมใส เท่านั้นแหละ พระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนเจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ ถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้ เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน


    ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่คอยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่าน ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้านี่น่ะ จะเทศน์สอนคนไปนิพพานเสียหมด แล้วเวลาที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับการฟังเทศน์ ท่านบอกว่าผมมันโง่มากคุณ ความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น (น่าจะโง่ ไม่ใช่โง่) ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกัน ว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อพระอุปคุตทรมานเสียจนหมดฤทธิ์ จึงมาได้คิดว่าเราโง่เกินไป เป็นอันว่าท่านมาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจ ถ้าท่านมาหาเมื่อไร มีความสุขเมื่อนั้น แล้วก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่าท้าวมาลัยก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท พามาชมถึงสวรรค์ ๖ ชั้นพอดี และก็พอดีแก่เวลามันจะหมด ก็จะต้องกำหนดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ พักอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก่อน แล้วก็เที่ยวไปเที่ยวมาตามอัธยาศัยได้ทุกชั้น จะได้สบายใจ วันพุธหน้าจะได้มาพาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปเที่ยวพรหมโลก พอถึงพรหมโลกแล้วก็ถือว่าเอวังกันเอาละสำหรับเวลานี้หมดเวลาแล้วต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนนักทัศนาจรที่ติดตามมาและท่านผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี จากหนังสือไตรภูมิ

    ที่มา
     
  2. สังสารวัฏ

    สังสารวัฏ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +5,382
  3. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนาค่ะ
    อ่านแล้วทำให้คิดได้ค่ะว่าควรมีความเพียรมากกว่านี้
     
  4. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    อนุโทนาบุญด้วยครับ
     
  5. ทางสวรรค์

    ทางสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +347
    สนุกเหมือนอ่านนิทานเลยขอรับ ขอขอบคุณและขออนุโมทนานะขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...