เรื่องเล่าจากเชียงคาน

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย titawan, 31 พฤษภาคม 2009.

  1. titawan

    titawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,290
    ค่าพลัง:
    +5,139
    [​IMG]

    นิทาน ตำนานพระพุทธบาทภูควายเงิน กล่าวไว้ว่า สมัยพุทธกาลนานมาแล้ว มีนิทานพื้นบ้านเล่าสืบต่อกันมา บนไหล่เขาภูควายเงิน ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ มีรอยพระพุทธบาท ของสมเด็จพระพุทธเจ้าเหยียบอยู่บนก้อนศิลาใหญ่ก้อนหนึ่ง ประชาชนเชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของจริงไม่ใช่ของจำลอง ดังมีตำนานกล่าวกันมาว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จเหยียบโลกและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มายังแถบนี้เพื่อโปรดสัตว์ พระพุทธองคฺมีเมตตาจิตต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงไหล่เขาพระองค์ได้นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่เพื่อสำราญพระทัย นายพรานป่าชอบอาศัยอยู่ในป่า เอาใบไม้และกิ่งไม้เป็นมุ้งม่าน เอาเดือนดาวเป็นแสงประทีบแทนโคมไฟ ส่วนอาหารประทังชีวิตนั้นมีเนื้อสัตว์ป่าต่างๆ ที่หามาได้ นานๆ จึงจะพบหมู่บ้านสักครั้งหนึ่ง จึงจะได้กินข้าวจากชาวบ้าน ในระหว่างที่กำลังออกล่าสัตว์อยู่นั้น ก็มองเห็นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต่ต้นไทร พรานป่าไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะไม่เคยเห็นว่าพระพุทธเจ้าว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบุรุษผู้นี้มีรัศมีเปล่งปลั่งงดงามมาก พรานป่าก็เลยคิดว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นผู้วิเศษเป็นแน่ ขณะที่นายพรานเดินเข้าไป พระพุทธเจ้ารู้แล้วว่า ชายคนนี้เป็นพรานป่า เมื่อเข้ามาใกล้พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงร้องทักว่า “ดูก่อน พรานป่าผุ้มีใจอันโหดเหี้ยมเอย โยมมาจากไหนกัน” พรานป่าตอบไปว่า “ข้าจะเล่าให้ฟัง มนุษย์ที่มีหลายสีเอย คือเดิมทีบ้านข้าอยู่ที่บ้านอุมุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ และมีพี่น้องร่วมกันสองคนเป็นชายทั้งสองคน ส่วนบิด มารดาของข้าได้ตายจากไปตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ อยู่ พี่ชายของข้าเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู พอข้าเติบใหญ่ ยองธนูเป็น ก็ลาพี่ชายเข้าป่าเป็นพรานป่าล่าสัตว์ไปไม่รู้จุดหมายปลายทาง โดยยึดเอาป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่พัก”

    [​IMG]

    ท่านผู้มีหลายสีเอย แล้วท่านเป็นใครมาจากไหนกันเล่า พระองค์จึงตอบว่า เรามาจากกรุงสาวัตถี พรานป่าถามว่า อยู่ไกลจากนี้เท่าใด พระพุทธเจ้าตอบว่า ไกลประมาณพันโยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 400 เส้น) ท่านผู้มีหลายสีเดินทางมากี่วัน จึงได้มาถึงยอดเขานี้ พระพุทธเจ้าตอบว่า เราเสด็จมาจากกรุงสาวัตถีก็ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึง ถ้าอย่างนั้น ข้าขอให้ท่านเดินทางไปล่าสัตว์กับข้าด้วย เวลาข้ายิงสัตว์บางตัวไม่ตายกับที่ ท่านจะได้ช่วยไล่จับได้ทัน เพราะท่านวิ่งเร็ว และถ้าจับได้มากๆ เอาเนื้อไปขายคงจะร่ำรวบเป็นแน่ เพราะฝูงสัตว์ป่าบนไหล่เขานี้มีมากนัก พอได้ยินนายพรานเชิญชวนเช่นนั้น พระพุทธองค์ก็ยิ้ม แล้วตอบนายพรานไปว่า เราจะไปเป็นนายพรานเหมือนท่านไม่ได้ คือเราผู้มีหลายสีนี้เป็นผู้โปรดสัตว์ คือไม่ฆ่าสัตว์ และเราก็เป็นครูของมนุษย์ เทวดา และหมู่สัตว์ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เราเป็นศาสดาเอกของโลก หมู่สัตว์ในโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัย ใครๆ ก็รักชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น นายพรานอยากฟังพระธรรมเทศนาไหม เราจะแสดงให้ฟัง นายพรานตอบว่า อยากฟัง พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ก่อนจะฟังพระธรรมเทศนา ขอให้นายพรานนั่งลงประนมมือทั้งสองไว้ระหว่าอก นายพรานก็ทำตามที่บอกไว้ทุกประการ นายพรานนั่งรับศิล ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา พรานป่าก็ตั้งใจฟังกรัแสธรรมเทศนาของพระองค์ ในที่สุดดวงตาของนายพรานก็มองเห็นธรรม ได้บรรลุโสดาปฏิผล นายพรานจึงเกิดความเชื่อ และความเลื่อมใสศรัทธา นายพรานจึงขออุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ พระองค์ทรงอนุญาตและบวชให้ โดยกล่าวคำปฏิญาณว่า ท่านจงเป็นเอหิภิกษุมาเถิด เมื่อนายพรานได้เป็นพระภิกษุแล้ว ไดด้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย รักษาศิล บำเพ็ญตน จนได้บรรลุพระอรหันต์ พอเมื่อตนได้รู้ธรรมแล้วว่า ความโกรธ ความโลภ ความหลง เป็นมลทินอย่างแรงกล้า จึงคิดถึงพี่น้องของตนที่ยังหมกมุ่นอยู่ในมลทิน อันได้แก่ พี่ชาย และหมู่ชาวบ้านเหล่านั้น พระชีวพินพรานป่า จึงขอนิมนต์พระองค์ไปเศนาโปรดญาติโยมพี่น้องข้าที่บ้านอุมุงด้วย

    [​IMG]

    พระองค์ตอบว่า ดูก่อน พระชีวพินพรานป่าเอย เราพระองค์แพระสงฆ์สาวกจะได้ทำพิธีสังคายนาอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พระองค์จะต้องรีบกลับไปทำสังคายนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราตถาตคจะขัดนิมนต์ของท่านพระชีวพินพรานป่าก็หาไม่ พูดจบพระองค์ก็เสด็จลงจากยอดเขา เพื่อโปรดสัตว์ได้บิณฑบาตมาถึงบ้านอุมุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนชิงเขาภูควายเงิน ราษฎรในหมู่บ้านสมัยนั้นไม่รู่รู้จักพระพุทธเจ้า พระองค์ออกเดินบิณฑบาตไปไม่มีใครใส่บาตร ครั้นบิณฑบาตออกพ้นหมู่บ้านถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง จึงพบชาวนาสองผัวเมีย กำลังไถนาอยู่ ชาวนามองเห็นพระพุทธเจ้าเดินเข้ามาหา ชาวนาทั้งสองยังไม่เคยพบเห็นพระพุทธเจ้า สองผัวเมียจึงปรึกษากันว่า คนๆนี้มีรูปร่างแปลกประหลาดดี คงมาจากถิ่นอื่น ขณะนี้ก็สายแล้ว คนผู้นี้คงหิวโหยเป็นแน่ เราสองผัวเมียควรจะเอื้อเฟื้อให้อาหารสักเมื้อหนึ่ง สองผัวเมียจึงเรียกให้พระพุทธเจ้าว่า ท่านผู้ห่มผ้าดำคล้ำเอย จงมาพักกระท่อมนาหลังน้อยก่อน ฝ่ายเมียก็เข้าครัวทำกับข้าวเสร็จ ก็จัดมาให้กิน พอพระพุทธเจ้าฉันอาหารเสร็จ พระองค์จึงถามสองผัวเมียว่า ชีวพินพรานป่านั้นมาญาติของโยมหรือ ชาวนาผู้เป็นชาวนาจึงตอบว่า เป็นน้องชายของข้าเอง พูดแล้วชาวนาน้ำตาไหลรินคิดถึงน้องชาย ชาวนาจึงยกมือประนมไหว้ ท่านผ้ห่มผ้าดำคล้ำเอย น้องชายชีวพินเติบใหญ่ยิงธนูเป็น ก็หนีเข้าป่าไม่รู้ว่าไปแห่งหนตำบลใด ทำอย่างไรข้าจึงจะได้พบน้องชายของข้า หรือว่าท่านผู้ห่มผ่ดำคล้ำเคยพบเห็น และข้าจอสั่งให้ไว้ ถ้าท่านพบเห็นน้องชีวพินที่ไหนก็ตาม ให้นำตัวมาพบข้าด้วย พอชาวนาพูดจบ พระพุทธองค์จึงตอบชาวนาว่า น้องชายของโยมที่ชื่อว่าชีวพินพรานป่าเราพระองค์ได้พบที่บนไหล่เขาดอยจารี ซึ่งในขณะนั้นชีวพรานป่าเป็นพรานป่า เราพรองค์ได้แสดงธรรมเทศนาให้ฟังแล้ว น้องชายของท่านได้บรรลุโสดาปฏิผล และได้นำตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แล้วจึงขอร้องให่ราคาคตให้ไปโปรดโยมพี่ชายด้วย พระชีวพินคงจะกลับลงมาไม่ได้ พระชีวพินได้หลุดพ้นจากบ่วงมารแล้ว ถึงแม้พระองค์จะสักกี่ครั้งก็ตาม ชาวนาสองผัวเมียก็หาเชื่อไม่ สองผัวเมียไม่เข้าใจเลยว่าพระองค์แสดงธรรมเทศนาอะไรก็ไม่รู้ เพราะเราไม่เคยได้ยินได้ฟังคำพูดอย่างนี้ และก็ไม่เคยเหนใครนุ่งผ้าดำคล้ำอย่างนี้ โดยชาวนาคิดว่าน้องชายของตนได้สิ้นชีวิตไปแล้ว โดยตกเป็นอาหารของนางยักษ์ เพราะยักษ์ตนนี้ ถึงวัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ หรือ 14 ค่ำ 15 ค่ำ มันจะแปลงตัวมาเป็นสาวสวยๆ มาหลอกเอาชายหนุ่มไปกินเสมอ ถ้าไม่เอาชายหนุ่มที่บ้านอุมุง ก็ไปเอาชายหนุ่มที่บ้านท่านาสีดา บ้านผาแบ่น หรือบ้านบุฮม เหล่านี้เป็นต้น สองผัวเมียก็คิดไปหลายแง่หลายมุม โดยคิดร้ายต่อพระองค์ด้วย โดยคิดว่าท่านผู้ห่มผ้าดำคล้ำนี้ คงเป็นนางยักษ์แปลงมาแน่ๆ ซ้ำยังรู้จักชีวพินพรานน้องชายของเราด้วย มันคงเอาไปกินป็นอาหารแล้ว พอกินน้องชายเราแล้วมันก็กลับมาแปลงกลายมาหลอกกินพวกราอีก ยิ่งคิดยิ่งสะเทือนใจยิ่ง และก็กลังมากจนตัวสั่น จึงพากันกัดฟฟันแข็งใจพูดกับพระองค์อย่างเลื่อนลอย พอพระองค์เบือนหน้าไปทางอื่น สองผัวเมียก็ค่อยกระซิบกันเป็นความลับ เพื่อจะวิ่งหนีจากพระองค์ เพราะสองผัวเมียเข้าใจว่าพระองค์เป็นยักขินี ที่อาศัยอยู่ในถ้ำผาแบ่น จึงหาทางหลบหนี พอได้ช่องทาง ชาวนาผู้สามีก็ออกอุบายว่าควายกินกล้าที่ปลายนาจะไปไล่ก่อน แล้วก็วิ่งออกไปยังปลายนา ครั้นชาวนาผู้สามีวิ่งไปนานไม่กลับมา ฝ่ายเมียก็ออกอุบายว่า สามีนานมาเช่นนี้น่ากลัวจะถูกควายขวิดตาย จึงขอออกไปติดตามดู แล้วสองผัวเมียก็เข้าป่าหายไป ปล่อยให้พระพุทธเจ้านั่งอยู่ในกระท่อมนาคนเดียว

    [​IMG]

    สองผัวเมียเมื่อพบกันแล้ว ก็ออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มที่เพื่อพ้นจากพระพุทธเจ้า ที่เข้าใจว่าเป็นยักษ์
    แปลง แต่ด้วยเดชบารมีของพระองค์ตั้งใจจะมาโรดชาวนาสองผัวเมียตามคำนิมนต์ของพระชีวพินอยู่แล้ว เมื่อเวลา
    โปรดจึงย่นแผ่นดิน เดินเข้ามาหาพระองค์ให้ใกล้ที่สุด แต่สองผัวเมียวิ่งไปได้เวลาแสดงธรรมของเราอยู่แล้ว เขา
    คงจะไม่เลื่อมใสต่อเรา ผู้เป็นตถาคตเป็นแน่ เพราะสองผัวเมียมีจิตใจเข้มแข็งไม่เชื่อง่าย และไม่เคยเห็น พระองค์
    มาก่อน พระองค์จึงเปล่งรัศมีออกมาเป็นสีหลายสี เช่น สีแง สีเขียว สีขาว สีน้ำเงิน ขึ้นสลับซับซ้อนตระการตาน่าดู
    ยิ่งนัก ต่อจากนั้นพระองค์ยังได้เปิดหู เปิดตา ได้ยินเสียงที่ไพเราะและเสียงที่น่ากลัวจากทั้งสี่ทิศและให้ให้เห็น
    เมืองนรก สวรรค์ สองผัวเมียเมื่อได้ดูด้วยตา ได้ฟังด้วยหูของตัวเองแล้ว ก็พากันพูดว่า ท่านผู้นี้คงไม่ใช่นางยักษ์
    ขินีแน่ ชาวนาทั้งสองจึงกราบเรียนกับพรองค์ขอให้พรองค์ท่านแสดงธรรมเทศนา พระองค์ทรงแสดงธรรม สองผัว
    เมียเมื่อได้ฟังการแสดงธรรมก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมเทศนา ในที่สุดสองผัวเมียก็บรรลุโสดาปฏิผล
    รู้จักต้นสายปลายเหตุ มีดวงตาเห็นธรรม สองผัวเมียจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าและได้ขอปฏิญาณตนเข้าเป็นพุทธมา
    มะกะตลอดไป จนกว่าจะดับขันธ์ พระพุทธองค์จึงถามว่า แล้วที่โยมมทั้งสองวิ่งหนีเราไปนั้นเพราะเหตุใด ชาวนาสองผัวเมียตอบว่า ท้องถิ่นหมู่บ้านนี้มีนางยักษ์ขินี (แม่หม้าย) แปลงตัวมาลักจับคนในหมู่บ้านไปกินอยู่เสมอ
    ดังนั้นข้าและเมียเข้าใจว่านางยักษ์ยีนีแปลงตัวมาหลอกพวกข้าจึงวิ่งหนีพระองค์ไป พระพุทธเจ้าถามว่านางยักษ์ขีนี
    นั้นอยู่ที่ไหน ชาวนาสองผัวเมียตอบว่ามันอยู่ในถ่ำผาแบ่น เมื่อถึงวันแปดค่ำ สิบห้าค่ำ มันก็แปลงตัวเหมือนกับสาว
    สวย เพื่อมาหลอกเอาชายหนุ่ม พวกชายหนุ่มก็หลงรักมัน มันเลยล่อลวงไปไปครั้งละ เจ็ด แปด คน พอไปถึงถ้ำ
    ที่อยู่อาศัย จึงให้พวกชายหนุ่มเหล่านั้นบำเรอกามสวาทให้มัน แล้วมันก็จับฉีกเนื้อกินป็นอาหาร บางคนก็หนีรอด
    มาได้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องแล้ว พระองค์คิดว่ายักษ์ตนนี้ร้ายกาจมาก ถ้าเราไม่อบรมสั่งสอนแล้ว
    มนุษย์ในแถบนี้คงจะถูกนางยักขีนีกินหมด กล่าวถึงเทวดา นางไม้ซึ่งอาศัยอยู่ตามต้นไม้และภูเขา ครั้นได้ฟังพระ
    ธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้ชาวนาสองฟัง ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา พอใกล้ถึงวันเจ็ดค่ำ แปด
    ค่ำ แล้วนางยักษ์จะออกมาจับมนุษย์ไปกิน พระพุทธจ้าจึงให้เทวดา นางไม้ได้พากันกวาดต้อนเอาชาวบ้านใน
    หมู่บ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม บ้านท่าสีดา มารวมกันไว้ของสองผัวเมียเชิงภูควายเงิน และให้ทุกคนจัด
    ดอกไม้ธูปเทียนบูชา เราผุ้เป็นเทวดาจะนำพวกท่านไปคารวะครูของเราคือพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เสด็จมาโปรด
    พวกเราแล้ว พระองค์จึงเทศนาให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี

    [​IMG]

    ฝ่ายนางขีนี พอถึงวันแปดค่ำมันก็ออกอาหารไปที่หมู่บ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม บ้านท่าสีดา นาง
    ยักษ์ขีนีไม่พบชาวบ้านแม้แต่คนเดียว เห็นแต่บ้านร้าง นางยักษ์ขีนีรู้สึกแปลกใจ วันนี้อาหารยังไม่ตกท้องลย มัน
    โมโหโกธรมาก มันร้องประกาศว่า วันนี้จะพบผู้ใดก็ตาม หนุ่มหรือแก่ เราจะจับกินหมด พระพุทธเจ้าท่านรู้ด้วย
    ญาณวิเศษว่า นางยักษ์ขีนีจะมาที่นี้ พระองค์จึงเตือนพวกชาวบ้านว่า ถ้าหากนางยักษ์ขีนีมาหาพวกเรา ก็ขอให้
    พวกเราอยู่อย่างสงบอย่าได้ตื่นตกใจ เราจะทรมานนางยักษ์ขีนีให้ยอมจำนนเสียก่อน ขณะนางยักษ์ขีนีเดินเข้ามาหาพระพุทธองค์ แต่นางยักษ์ก็ข้าใกล้พระพุทธองค์ไม่ได้ พราะแพ้แสงรัศมีของพระองค์ เกิดอาการอ่อนเพลีย กระดุกกระดิตัวไม่ได้เลยนั่งทรุดลงอยู่กับที่ ส่งเสียงร้องดิ้นรนอยู่กับพื้นดิน นางยักษ์ได้สติรีบอ่านคาถาเวทย์มนต์ก็แก้ไม่ได้ เมื่อพระองค์ได้ทรมานนางยักษ์ขีนีอันที่เธอต้องดิ้นรนอยู่บนพื้นดินพอสมควรแล้ว พระองค์ก็พูดกับนางยักษ์ขีนีว่า ดูก่อนนางยักษ์อันที่เธอต้องดิ่นรนอยู่บนพื้นดิน นั้นเธอเป็นอะไรหรือ นางยักษ์ตอบว่า ข้าพแต่พระพุทธองคู้เจริญ ข้าเป็นนางยักษ์แม่หม้าย จะมาจับมนุษย์ที่นั่งอยู่อยู่เป็นกลุ่มนี้ไปกินเป็นอาหาร แต่ตัวข้าไปถูกแสงรัศมีของพระองค์ท่าน จึงทำให้หมดกำลังอ่อนเพลียไปหมดทั้งตัวแทบเอาชีวิตไม่รอด ขอให้พระองค์ช่วยเมตตากรุณาฉันบ้างเถิด พระองค์จึงบอกว่า เจ้าจงลุกขึ้นเถิด เราจะแสดงธรรมเทศนาให้ฟัง นางยักษ์ก็หายอ่อนพลียลุกขึ้นนั่งได้ อาการเจ็บปวดต่างๆก็หายไป นางยักษ์จึงหมอบคลานเข้าหาพระองค์ พระองค์จึงให้นางยักษ์ประนมมือรับศิลห้า และฟังการแสดงพระธรรมเทศนาให้นางยักษ์ฟัง นางยักษ์เกิดดวงตาสว่างเห็นพระธรรมเกิดความเลื่อมใสศรัทธา มีความปิติยินดีเป็นล้นพ้น จึงขอปฏิญาณตนยอมเป็นทายิกาอีกคนหนึ่ง พระองค์จึงถามนางยักษ์อีกว่า เจ้ารู้แล้วหรือ นางยักษ์ตอบว่า ข้ารู้แล้วข้าขอบวชเป็นนางชี พระองค์อนุญาตและให้บัญญัติ รักษาศิลแปด ตั้งแต่นั้นมานางยักษ์ขีนีก็ได้บวชเป็นนางชี พระองค์เห็นว่านางยักษ์คนนี้ชอบเครื่องเขียวและผิวพรรณวรรณะก็เขียว พระองค์จึงตั้งชื่อให่ใหม่ว่า นางเขียวค้อม พระองค์ได้โปรดนางยักษ์เสร็จแล้ว พวกชาวบ้านก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะต่อไปนี้หมู่บ้านในแถบนี้จะได้มีความสุข ไม่หวาดระแวงเหมือนดังก่อน พระองค์ได้โปรดสัตว์และมนุษย์หมดแล้ว พระองค์ก็บอกว่า บัดนี้ ถึงเวลาที่เราจะกลับไปกรุงสาวัตถีแล้ว ชาวนาสองผัวเมีย และชาวบ้าน นางยักษ์ขีนี ได้พากันขอร้องพระองค์ท่านว่าขอให้พระองค์ท่านทำรูปสัญลักษณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ เพื่อเป็นที่สักการบูชาไว้ให้ข้าด้วยเถิด พอพระองค์ทราบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทายกทายิกานั้นก็คือ เราตถาคตประทับรอยพระพุทธบาทไว้ให้ เพื่อแทนตัวเรา เมื่อเราได้ประทับรอยพระพุทธบาทแล้ว ขอให้ท่านพุทธสาธุชนทั้งหลาย ได้บอกกล่าวกันไปต่อว่า ผู้ใดมีศรัทธาได้สร้างพระธาตุเจดีย์ ก่อครอบรอย(กวมรอย)เราได้บุญ คนผู้นั้นตายไปจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานทองเป็นที่อยู่และมีนางฟ้าเป็นบริวาร หรือบุคคลใดมีศรัทธาเอาแผ่นทองไปปิดประทับรอยองค์พระตถาคตให้สวยงามบุคคลผู้นั้น ตายไปก็จะได้เกิดบนสวรรค์ บุคคลนั้นก็จะมีผิวพรรณณเปล่งปลั่งเหมือนดวงจันทร์ และเป็นผู้สง่าราศี ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็ชอบ บุคคลใดชักชวนญาติพี่น้อง มานมัสการกราบไหว้รอยพระพุทธบาท จะได้มีความสุขกาย สุขใจ จะไปไหนมาไหน พอนึกก็ถึงจุดมุ่งหมาย และนึกอยากได้อะไรก็ตามความมุ่งมาดปราถนา และบุคคลผู้ใดได้นำข้าว โภชนาการมาถวายทาน (ตั้งโรงทาน) ในงานบุญพระพุทธบาทนี้ ก็ขอให้เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า สามารถต้านทานศรัตรูหมู่มารไปทั่วสารทิศ เมื่อพระองค์ได้กล่าวเสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นไปยังเชิงเขาภูควายเงิน หาพื้นที่อันสมควร แล้วพระองค์ก็ประทับรอยพระบาทไว้บนหินก้อนใหญ่ เสร็จแล้วพระองค์ก็สด็จลงมา

    [​IMG]

    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะจากพวกญาติโยมไปเมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าจึงได้สาปนางชียักษ์ขีนี เป็นหินอยู่ในถ้ำผาแบ่น เป็นหินอยู่ในถ้ำผาแบ่น ไปจนกว่าจะสิ้นอายุพระศาสดามีกำหนดห้าพันปี เพราะองค์ไม่เชื่อใจนางยักษ์ขีนี แล้วพระองค์ก็อำลาญาติโยมและเหล่าเทวดาที่มาเฝ้ากลับกรุงสาวัตถี ส่วนชาวนาสองผัวเมีย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปแล้ว รุ่งขึ้นตอนเช้ามองออกไปยังทุ่งนา เห็นก้อนขี้ไถเหลืองอร่ามเต็มท้องนา จึงเดินไปจับดูปรากฏว่าก้อนขี้ไถเป็นทองคำ ขาวนาทั้งสองผัวเมียดีใจ ปลูกยุ้งฉางขนทองมาเก็บไว้สามยุ้งฉาง ประมาณน้ำหนักหลายหมื่นกิโลกรัม เหตุที่เป็นดังนี้ เนื่องมาจากชาวนาสองผัวเมียชาวนาทำบุญถวายทานในวันที่พระพุทธเจ้ามาโปรด คืดจัดอาหารถวายพระองค์ ต่อมาชาวนาสองผัวเมียได้นำทองคำที่ได้ทำบุญทำทานอแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านอุมุง บ้านผาแบ่น บ้านบุฮม ทุกหลังคาเรือน คนละเล็กคนละน้อย ชาวบ้านทั้งสามหมู่บ้านดีใจให้ศิลให้พร แต่ละปีพอถึงวันเพ็ญ เดือนสาม ชาวนาสองผัวเมีย ก็เชิญชวนชาวบ้านทำบุญไหว้พระพุทธบาทสืบมาจนทุกวันนี้ ส่วนชาวนาสองผัวเมียชาวบ้านตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ท่านเศรษฐีพ่อนาอุ่ม เรื่องราวที่เล่านมานี้ คุณตาสุวรรณ คงปิ่นได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง บันทึกเอาไว้ ให้สู่ลูกหลานได้อ่านต่อๆกันไปและมัคคุเทศก์ก็เล่าให้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบ้านเราให้ฟังด้วย

    [​IMG]

    “ตาจึ่งคึ่งดังแดง นอนตะแคงค้ำฟ้า เด็กน้อยไปเล่นหมากบ้าอยู่ในฮูดัง”

    …ท่อนหนึ่งของเนื้อร้องเพลงพื้นบ้านที่เล่าถึงตำนานของตาจึ่งคึ่ง ผู้ทอดร่างนอนตายในท่าคุดคู้ จนกลายมาเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ทอดตัวขวางเป็นเขื่อนกั้นลำนำโขง ทำให้เกิดเป็นกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกราดและเป็นอุปสรรคในการสัญจรไปมาในช่วงฤดูแล้ง
    …จินตนาการที่เป็นตำนานความเชื่อ ผสานกันอย่างลงตัวกันความความแปลกประหลาดของธรรมชาติ ความงดงามดังกล่าว ทำให้แก่งคุดคู้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย
    …ที่มาของตาคึ่งคึ่งดังแดง นายพรานรูปร่างสูงใหญ่ ถึงขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกได้ ย่อมไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์”

    ตำนานความเชื่อเรื่องยักษ์ ?
    …ตามความหมายในพจนานุกรม ยักษ์ คืออมนุษย์พวกหนึ่ง มีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว มีเขี้ยวงอก ใจดําอํามหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้จําแลงตัวได้ บางทีใช้ปะปนกับคําว่า อสูร รากษส และมาร บางความหมายแปลว่าเทวดาพวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกและชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่ความเข้าใจของคนส่วนมาก คำว่ายักษ์จะสื่อความหมายไปในทางลบ เช่น คนที่มีจิตใจโหดร้ายก็เรียกคนใจยักษ์ หน้ายักษ์ หรือบางครั้งก็ใช้สื่อความหมายของลักษณะที่ใหญ่โตทางลบ เช่น คลื่นยักษ์อย่างสึนามิ เป็นต้น
    …ท้าวกุเวรหนึ่งในสี่จตุโลกบาล ผู้ที่เป็นหัวหน้าคอยปกป้องดูแลโลกและทิศทั้งสี่ หรือแม้แต่พระพุทธศาสนาที่เรามักเห็นรูปปั้นยักษ์ถือกระบองเฝ้าประตูโบสถ์ นัยว่ายักษ์จะทำหน้าที่ช่วยปกป้องรักษา ขับไล่ภูติผี ความชั่วร้ายต่างๆ แม้ในต่างประเทศเองก็มีตำนานเรื่องยักษ์ อย่างยักษ์จีนี่ของอาหรับที่คอยดูและรับใช้อาลาดิน เรียกได้ว่าแทบทุกชาติ ทุกท้องถิ่นในโลกนี้ ต่างมีเรื่องเล่าในเชิงตำนานเกี่ยวกับยักษ์แทบทั้งนั้น แม้หรือในหนังยอดมนุษย์ที่เราเคยดูกันตอนเด็กๆ ก็ต้องแปลงร่างให้กลายเป็นยักษ์เพื่อต่อกรกับสัตว์ประหลาด (555)
    …ยักษ์จึงไม่ได้แสดงความหมายในทางลบเสมอไป…

    ...ขอน้อมคารวะในจินตนาการ ระดับความยิ่งใหญ่เสมอยักษ์แด่บรรพบุรุษ ผู้ซึ่งรังสรรเรื่องราวของพรานป่าจมูกแดง (จึ่งคึ่ง)
    ต้นกำเนิดแห่งตำนานแก่งคุดคู้ ในฐานะลูกหลานเชียงคาน บางทียักษ์ตนนี้จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้เมืองเชียงคานเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

    ...บรรพบุรุษ สร้างตำนานตาจึ่งคึ่งดังแดงเอาไว้เป็นมรดกแล้ว ลูกหลานเชียงคานล่ะ ! วาดภาพตาจึ่งคึ่งดังแดงในจินตนาการของท่านไว้อย่างไรบ้าง?

    ที่มา นิทาน ตำนาน พระพุทธบาทภูควายเงิน เอาไว้อ่านเล่าให้ลูกหลานฟังต่อ - thai chiangkhan
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2009
  2. titawan

    titawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,290
    ค่าพลัง:
    +5,139
    คิดถึง ณ เชียงคาน โดย : นิภาพร ทับหุ่น

    [​IMG]

    อำเภอเล็กริมโขง กับความสงบเย็นในวันฝนฉ่ำ ลัดเลาะชมบ้านเรือนโบราณในย่านเก่า อวดเค้าความงามแห่งอดีต ก่อนฝ่าลมแรงเยือนแก่งคุดคู้
    ...ปายแห่งลุ่มน้ำโขง.... คู่แฝดหลวงพระบาง... น้องสาววังเวียง... ฯลฯ... สารพัดคำเปรียบที่ "คนอื่น" ใช้นิยามถึง "เชียงคาน" ในขณะที่ "เจ้าของบ้าน" พยายามตะโกนร้องบอกกับทุกคนว่า เชียงคานคือเชียงคาน ไม่ได้เป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตของใคร เพราะฉะนั้น กรุณาอย่าคาดหวัง!!
    ไม่ปฏิเสธว่า ฉันเองก็แอบจินตนาการถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่เหมือนกัน แต่ "จินตนาการ" ไม่ได้แปลว่า "คาดหวัง" ผลลัพธ์ประเภทที่ว่า เจ็บปวด เสียใจ จึงไม่อาจใช้ได้กับภาพที่วาดไว้ในความคิด
    แล้วอย่างนี้ความจริงที่เจอจะส่งผลอย่างไรกับภาพในจินตนาการ
    บอกได้คำเดียวเลยว่า มันช่วย "เติมเต็ม" ให้ภาพนั้นดูสมบูรณ์มากขึ้น


    >
    [​IMG]



    สะบายดี เชียงคาน
    ถ้า แคสเปอร์ เดวิด ฟรีดดริก (Caspar David Friedrich) ไม่ด่วนจากโลกนี้ไปก่อน ฉันคงทึกทักเอาว่า ภาพตรงหน้าเป็นผลงานเสมือนจริง ที่หลุดมาจากการตวัดพู่กันของศิลปินชาวเยอรมันยุคโรแมนติกคนนี้แน่ๆ
    ฟรีดดริก เป็นจิตรกรที่ชอบวาดภาพธรรมชาติ และผลงานที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักดี นั่นก็คือ Wanderer Above the Sea of Fog หรือ นักเดินทางผู้เฝ้ามองทะเลหมอก
    ฉันไม่ใช่นักเดินทางในผลงานชิ้นเอก แต่กำลังยืนดูทะเลหมอกจากไอฝนที่กำลังห่มคลุมเส้นเลือดสายใหญ่ที่ใครๆ ต่างเรียกมันว่า แม่น้ำโขง
    "เชียงคานสวยทุกฤดู" เสียงของพี่ชายชาวเชียงคานทำให้ฉันต้องก้มหัวให้กับคำกล่าวอ้างนั้นจริงๆ เพราะแม้จะต้องเสียเหงื่อไปกับความรุ่มร้อนในตอนบ่าย สายฝนแห่งความฉ่ำเย็นที่เทกระหน่ำลงมาในยามค่ำ กลับทำให้ภาพของเชียงคานเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
    เชียงคาน เป็นอำเภอเล็กๆ อำเภอหนึ่งของจังหวัดเลย ที่ตั้งอยู่อย่างสงบงามริมแม่น้ำโขง จากประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานทำให้เข้าใจว่า "ราก" สำคัญต่อการมีอยู่ของชาวเชียงคานอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเชียงคาน ภาษาเชียงคาน อาหารเชียงคาน การละเล่นเชียงคาน หรืออะไรก็ตามที่เป็นเชียงคาน สะท้อนให้เห็นถึงความเคารพที่คนไทเชียงคานยุคปัจจุบันพึงมีต่อบรรพบุรุษเชียงคานได้ชัดเจน
    [​IMG]

    นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากชาวเชียงคานบางกลุ่มจะลุกขึ้นมาต่อต้านกระแสธารแห่งการท่องเที่ยวอันไร้ขีดจำกัดที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าในช่วงปีที่ผ่านมา
    "ไม่ได้แปลว่า การท่องเที่ยวไม่ดี คนเฒ่าคนแก่ดีใจที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ไม่อยากให้มาเปลี่ยนเชียงคาน" ดวง - ธนภูมิ อโศกตระกูล ลูกหลานชาวเชียงคาน บอก
    ดวง เป็นหนึ่งในสมาชิกชาวเชียงคานรุ่นใหม่ที่พยายามผลักดันให้เกิดการตั้ง "กลุ่มคนเชียงคานรักเมือง" ขึ้น เพื่อดูแลรักษาสภาพเมืองเชียงคานให้คงอยู่อย่างเดิมตลอดไป ซึ่งนอกจากจะดูแลแล้ว ยังเฝ้าระวังไม่ให้ "คนนอก" มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเชียงคานที่แท้จริงด้วย
    ระหว่างสนทนา ดวง พาฉันเดินสำรวจเมืองเชียงคานไปพร้อมกัน ผังเมืองเชียงคานอาจจะไม่แตกต่างจากเมืองริมน้ำอื่นๆ มากนัก คือมีถนนเส้นเลียบชายโขง ที่ชาวเชียงคานเรียกว่า ถนนหลุ่ม (ล่าง) เป็นเส้นที่มีเรือนแถวโบราณอยู่มากที่สุด ซึ่งจุดนี้เองที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศให้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนเชียงคาน ส่วนถนนคมนาคมสายหลัก หรือถนนเทิง (บน) นั้น เป็นชุมชนเมืองที่ความเจริญเข้าถึง บ้านเรือนส่วนใหญ่จึงก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ สีสันฉูดฉาด ไม่ต่างกับเมืองอื่นๆ ของไทย
    [​IMG]

    สังเกตว่าบ้านแต่ละหลังค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมมาก อาจจะด้วยกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานนั่นเอง เจ้าถิ่นบอกว่าคนเชียงคานค่อนข้างมีฐานะ เพราะฉะนั้นจะไม่ยอมขายบ้านให้กับคนต่างถิ่น อย่างมากคือให้เช่า และเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลาน
    แม่กุญแจขนาดใหญ่ที่ปิดตายบ้านหลายหลัง ทำให้ดูคล้ายกับไม่มีคนอยู่ แต่จริงๆ แล้วบ้านเก่าทุกหลังมีเจ้าของ
    ฉันเห็นร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกหลายร้านแทรกตัวอยู่กับบ้านโบราณในย่านนี้ แต่ละร้านตกแต่งให้มีเสน่ห์ต่างกันไป บางร้านคงรูปแบบเดิมไว้อย่างเงียบงาม ในขณะที่บางร้านปรุงโฉมบ้านเก่าจนมองเค้าเดิมแทบไม่ออก ดีหรือไม่ อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน สำหรับฉันประมาณนี้กำลังดี
    วันวาน และพรุ่งนี้
    [​IMG]

    จากเอกสารที่ วัดศรีคุณเมือง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของอำเภอเชียงคาน เล่าถึงการสร้างเมืองเชียงคานที่ปรากฎในพงศาวดารล้านช้าง สรุปความได้ว่า "ขุนคาน" เป็นโอรสของ "ขุนครัว" แห่งอาณาจักรล้านช้าง โดยขุนคานเป็นผู้สร้างบ้านแปงเมืองเชียงคานขึ้นมา ในตอนแรกนั้นเมืองเชียงคานตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (ฝั่งลาว) ต่อมาปี 2436 (รศ.112) ฝรั่งเศสได้เข้ามาทำสงครามและยึดครองดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด ตามสนธิสัญญา ชาวเมืองเชียงคานทั้งหมดจึงได้อพยพหนีภัยมาสร้างเมืองเชียงคานใหม่ หรือเมืองปากเหือง ที่บริเวณปากแม่น้ำเหือง จนเมื่อฝรั่งเศสรุกหนัก จากบ้านปากเหือง แขวงไซยะบุรี ชาวบ้านจึงพากันหนีอีกรอบมาตั้งบ้านอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเชียงคานปัจจุบันราว 2 กิโลเมตร
    ดูเหมือนว่า ชาวเชียงคานจะมีชีวิตอยู่กับการหนีมาตลอด และทุกครั้งที่หนีมาจากการรุกรานของ "คนอื่น"
    "ตอนนี้เริ่มมีนายทุนเข้ามาติดต่อ แต่ชาวบ้านยังรวมพลังที่จะไม่ขาย" ดวง บอกเสียงเรียบ
    "ยายไม่ขายหรอก คนเชียงคานเขาก็ไม่มีใครขาย" ยายเสงี่ยม ตอบคำถามคนต่างถิ่นอย่างฉัน แล้วพอถามว่า ทำไม ยายบอกว่า "ไม่ได้เดือดร้อน ถ้าขายแล้วจะไปอยู่ไหน"
    ฉันสะอึกกับคำตอบ ภาพชาวเชียงคานที่เคยวิ่งหนีฝรั่งบ้าอำนาจวนกลับเข้ามาในความคิด ถ้าวันนี้คนเชียงคานตัดสินใจขายบ้าน ชะตากรรมก็คงไม่ต่างจากบรรพบุรุษที่เร่ร่อนหาที่อยู่เพียงเพื่อให้พ้นเงื้อมมือของต่างชาติ
    อาหารมือเช้าครบรสไปด้วยสาระและความบันเทิง มันไม่ได้หรูหราเหมือนนั่งกินอยู่ในภัตตาคาร หรือล้อมวงคุยกันในบ้านหลังใหญ่ แต่มื้อเช้าแสนพิเศษของฉันอยู่บนศาลากลางวัดศรีคุณเมือง ใช่แล้ว ฉันกำลังกินข้าวก้นบาตรพระ
    "กินข้าวในวัดนี่แหละดี มีอาหารพื้นบ้านให้กินเยอะแยะ มาเชียงคานแล้วต้องกินอาหารเชียงคานนะ" บุรุษหนุ่มสายเลือดเชียงคาน บอก จะปฏิเสธก็กลัวเสียน้ำใจ มื้อนั้นฉันจึงได้นั่งอร่อยไปกับเมนูอาหารเฉพาะถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หยู่ปลาทู (น้ำพริกปลาทูแบบแห้ง), เอาะหลาม หรือซั้ว หรือต้มซั้ว (คล้ายๆ แกงเลียง แต่ไม่ใส่พริกไทย), บ่นปลา(คล้ายๆ แจ่วปลา), หมกปลา, อั่วะเนื้อ, แจ่วหมากเผ็ดใหญ่ (แจ่วพริกเม็ดใหญ่) ฯลฯ ทั้งหมดกินกับข้าวเหนียว
    และอาหารมื้อนั้นก็ไขข้อสงสัยของฉันที่มีมาตั้งแต่เช้าว่า ทำไมคนที่นี่จึงใส่บาตรเฉพาะข้าวเหนียว ดูแล้วไม่ต่างจากใส่บาตรที่หลวงพระบางเลย
    [​IMG]

    "คนเชียงคานจะใส่ข้าวเหนียวอย่างเดียว กับข้าวกับขนมหวานเอามาถวายที่วัด ถวายเสร็จบางวันก็ฟังเทศน์ฟังธรรมต่อไปเลย" คุณยายท่านหนึ่ง บอก
    หลังอิ่มเอมกับอาหารมื้อพิเศษ ฉันจึงมีโอกาสได้ชมวัดเก่าแก่แห่งนี้แบบเต็มตา
    วัดศรีคุณเมือง อยู่บริเวณถนนศรีเชียงคาน ซอย 7 สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2485 วัดนี้เป็นแหล่งรวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างไว้มากมาย ที่น่าสนใจคือ พระพุทธรูปไม้จำหลักลงรักปิดทอง ปางประทานอภัยแบบล้านช้าง ฉันมองขึ้นไปที่ผนังด้านหน้าอุโบสถ เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังปรากฎอยู่เต็มหน้าบัน ภาพทั้งหมดเป็นภาพนิทานชาดก ชุด พระเจ้าสิบชาติ แต่ที่น่าสนใจคือ สังเกตว่ามีรูปรถตุ๊กตุ๊กอยู่ที่ด้านล่างของภาพด้วย แสดงว่าภาพเหล่านี้เป็นภาพวาดสมัยใหม่ หรือไม่ก็อาจจะมีการแต่งเติมลงไป
    จากซอยเย็น ดวงพาเราย้อนกลับไปที่ ซอย 0 แปลกแต่จริงที่เชียงคานมีซอย 0 ด้วย เจ้าถิ่นเองก็ไม่ทราบที่มา แต่เห็นว่าแปลก จึงพามาชม ใกล้ๆ ซอย 0 เป็นร้านขายข้าวหลามยาว อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเชียงคาน ดวงบอกว่า ในอดีตเมื่อชาวเชียงคานจะไปเยี่ยมญาติต่างถิ่น ของฝากที่ติดไม้ติดมือไปนั่นคือ ข้าวหลามยาว และโดนัททำมือ
    แต่ในบรรดาของกินที่ได้ลองลิ้มชิมรส ฉันค่อนข้างชอบ "ข้าวปุ้นฮ้อน" ที่สุด เพราะแปลกและอร่อย สามารถเลือกเส้นได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น แมงด๊องแด๊ง (เส้นเหมือนเกี้ยมอี๋), หัวไก่โอก (เส้นใหญ่ปั้นกลมเหมือนลูกชิ้น) หรือเส้นธรรมดา (คล้านซ่าหริ่ม) กินกับน้ำจิ้มคลุกพริกสด มะนาว น้ำปลา น้ำตาล แค่นี้ก็แซบได้ถึงใจ
    "ถ้ามาเชียงคานแล้วไม่ได้กินข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ถือว่ามาไม่ถึงเชียงคาน" บางคนเคยโฆษณาไว้อย่างนั้น แต่ในฐานะนักเดินทางผู้นิยมมังสวิรัติ (มังเขี่ย-เขี่ยหมู เขี่ยไก่) ขอปรับเนื้อหานิดหน่อยว่า "มาเชียงคานแล้วไม่ได้กินข้าวปุ้นฮ้อน ถือว่ามาไม่ถึงเชียงคาน" แค่นี้ก็ทำให้ฉันมาถึงเชียงคานได้อย่างสมบูรณ์(ว่าไปนั่น)
    รักเชียงคานต้องขี่ (จักรยาน)
    ของฝากเชียงคานนอกจากอาหารแล้วยังมีผ้าห่มนวม ผ้าห่มที่ชาวบ้านยืนยันนักหนาว่า อุ่น นุ่ม กว่าที่ไหนๆ
    "เมื่อก่อนเชียงคานค้าขายฝ้าย ปลูกฝ้ายขาย แต่พอมีนายทุนมาซื้อที่ดินชายโขงที่เคยเป็นไร่ฝ้าย ตอนหลังเราจึงต้องซื้อฝ้ายจากที่อื่น" ชาวเชียงคาน สะท้อน
    แม้วัตถุดิบจะต้องนำเข้า แต่ฝีมือแรงงานยังเป็นของชาวเชียงคานล้วนๆ อย่างที่ร้าน นิยมไทย ก็เป็นหนึ่งในร้านจำหน่ายผ้าห่มนวมคลาสสิคที่สามารถเข้าไปชมกรรมวิธีการทำได้ และเมื่อฉันลองเข้าไปนั่งดูใกล้ๆ ก็พบว่า การถักทอผ้านวมแต่ละผืน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
    "อยากเห็นโรงหนังเก่ามั้ย" พี่ชายคนเดิมชวน ไม่ลังเลเราหันหัวรถถีบไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ทันที
    สุวรรณรามา เป็นโรงหนัง 1 ใน 2 แห่งที่มีในเชียงคาน ดวงบอกว่า สมัยนั้นเชียงคานยังไม่มีแหล่งบันเทิง โทรทัศน์ก็มีน้อย ผู้คนจึงนิยมซื้อตั๋วเข้ามาดูหนัง บางเรื่อง 3 บาท บางเรื่อง 4 บาท ซึ่งบางเรื่องก็ได้รับความนิยมมากขนาดฉายแบบรอบชนรอบเลยทีเดียว
    "ตอนนี้เป็นร้านกาแฟโบราณ แต่ก็เอาข้าวของเครื่องใช้สมัยเป็นโรงหนังมาจัดแสดง มีตั๋วเก่าด้วย มีเครื่องฉาย ตอนนี้โรงหนังปิดไปแล้ว เปลี่ยนมาเป็นสนามแบดมินตัน เพราะความบันเทิงต่างๆ เข้ามา"
    ฉันเดินชมอดีตของสุวรรณรามาอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลาว่าจะต้องขี่จักรยานปีนเขาขึ้นไปนมัสการพระที่วัดท่าแขก
    วัดท่าแขก เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากตัวเมืองเชียงคานไปประมาณ 2 กิโลเมตร สังเกตง่ายๆ คืออยู่ก่อนถึงหมู่บ้านน้อยและแก่งคุดคู้ วัดนี้เป็นวัดธรรมยุติ ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูป 3 องค์ที่สกัดจากหินทรายทั้งก้อน เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีอายุประมาณ 300 กว่าปี เห็นแล้วอดทึ่งในฝีมือของช่างโบราณไม่ได้
    ลงจากเขาเรามุ่งหน้าฝ่าลมแรงไปที่ แก่งคุดคู้ ซึ่งเป็นแก่งหินขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขง มองไปเห็นภูเขาสูงใหญ่วางทับซ้อนกันดูสวยงาม มีสายหมอกลอยระเรี่ยอยู่ลิบๆ ฉันมองลงไปที่แก่งคุดคู้ กระแสน้ำบริเวณนั้นค่อนข้างเชี่ยว กอปรกับฝนที่เริ่มลงเม็ด ทำให้เรามีเวลาเก็บความรู้สึกอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็พอทันได้สังเกตว่า มีรถยนต์หลายคันจอดอยู่กลางหาดริมโขง ซึ่งไม่น่าจะเป็นภาพที่ชวนพิสมัย เพราะทำให้ทัศนียภาพสูญเสียความงามไปอย่างสิ้นเชิง
    ฝนซาฟ้าสว่างเราปั่นจักรยานกลับมาที่ถนนเชียงคานล่างอีกครั้ง ความเมื่อยล้าทำให้ต้องหาที่บีบนวดกันเล็กน้อย ไม่ผิดหวัง "คิดถึง ณ เชียงคาน" เป็นสวรรค์ที่ฉันค้นพบ นอกจากจะเป็นร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกสไตล์คนเมืองเชียงคานแล้ว ด้านในยังมีบริการนวดแบบที่เรียกว่า "ยองเส้นให้แหลว" อีกด้วย
    "ก็เหมือนนวดเส้นให้เหลว คลายกล้ามเนื้อ ป้าเน้นนวดเท้า เพราะเท้าคือศูนย์รวมของประสาททุกส่วน ป้านวดที่นี่แล้วก็มีสอนด้วย ในเชียงคานถามได้เลยป้าก้อยมือหนึ่งเรื่องนวดอยู่แล้ว" ป้าก้อย - อุไรรัตน์ มั่งมีศรี หมอนวดมือทอง ว่าอย่างนั้น ไม่พูดพร่ำป้าก้อยลงมือนวดอย่างขันแข็ง
    จริงๆ เชียงคานยังมีเรื่องราวให้พูดได้ไม่รู้จบ เวลาเพียงแค่ 2-3 วัน คงไม่สามารถเข้าถึงคำว่า "เสน่ห์" ของเชียงคานได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นสิบปี กว่าจะถ่องแท้กับความรู้สึกนี้ เหมือนกับที่ชาวเชียงคานสะท้อนไว้
    “รักเชียงคานจริง ต้องเฝ้าทะนุถนอม ดูการเติบโตอย่างช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เติบโตอย่างแข็งแรง มีคุณภาพ รู้ทิศทาง ควบคุมตัวเองได้ ให้เชียงคานเป็นเชียงคาน อย่าไปเสริมเติมแต่งจริตให้มากเกิน มิฉะนั้น...เสน่ห์เชียงคานจะจางหาย” …thai chiangkhan - มา เชียงคาน ต้อง..ใช้ชีวิต กิน อยู่ ชื่นชมวัฒนธรรม อย่าง..ไทเชียงคาน....
    ……………
    • การเดินทาง
    เชียงคานเป็นเมืองชายโขงที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก สามารถเดินทางไปได้ทั้งทางรถยนต์และรถประจำทาง รถยนต์แนะนำให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านสระบุรี อ.ปากช่อง แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 201 ที่อ.สีคิ้ว ขับตรงไปผ่าน อ.ด่านขุนทด อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ใช้เส้นทางเดิมผ่าน อ.ภูเขียว จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่าน อ.ชุมแพ ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 201 ผ่าน อ.ภูกระดึง อ.วังสะพุง ผ่านตัวเมือง จ.เลย แล้วขับตรงต่อไปเส้นเดิมราว 47 กิโลเมตร ก็จะถึงเชียงคาน
    หากไปรถประจำทาง มีรถปรับอากาศให้บริการมากมาย รถ บขส. 999 โทร. 0-2936-2841-8, 0-2936-0657 ต่อ 605 รถทัวร์แอร์เมืองเลย โทร. 0-2936-0142 หรือสอบถามที่ ททท. สำนักงานเลย(เลย-หนองบัวลำภู)โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405
    • ที่พัก
    เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ แห่งนี้มีที่พักให้บริการหลากหลาย ทั้งแบบรีสอร์ท และโฮมสเตย์ ที่แนะนำคือ โรงแรมสุขสมบูรณ์ โทร.0-4282-1064 , 08-1769-9918, เฮือนคำแว่น โทร.08-7037-6968, เชียงคำ ริเวอร์ วิว เกสเฮ้าส์ โทร. 08-0741-8055, เรือนแรมลูกไม้ โทร. 08-9210-0447, เชียงคาน เกสเฮ้าส์ โทร. 0-4282-1691, เชียงคาน ฮิลล์ รีสอร์ท โทร. 0-4282-1285, 0-4282-1414, 0-2580-6201, 0-2588-3634, แก่งคุดคู้ รีสอร์ท โทร. 0-4282-1248, พูนสวัสดิ์ โทร. 0-4282-1114

    อ้างอิงจาก
    http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/2009...

    ที่มา http://www.chiangkhan.com/profiles/blogs/2066709:BlogPost:75785
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2009
  3. titawan

    titawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,290
    ค่าพลัง:
    +5,139
    สกายแลบตกที่เชียงคาน

    [​IMG]
    …เช้ามืดวันของอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2524 เมื่อเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงคานต่างพากันแตกตื่นกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่มีลูกไฟขนาดใหญ่ มีความสว่างกว่าแสงของดวงจันทร์พุ่งผ่านจนเกิดควันพวยพุ่งเป็นทางยาว แล้วระเบิดเหนือท้องฟ้าอำเภอเชียงคาน ส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาท จนได้ยินไปทั่วจังหวัดเลยและพื้นที่ใกล้เคียง...

    …ประชาชนชาวเชียงคานต่างโจทก์จันกันไปต่างๆนาๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนถึงกับพนมมือสวดมนต์ หรือทำพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อ หวังปัดเป่าให้รอดพ้นจากภัยพิบัติที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร แม้แต่คนหนุ่มสาวที่มีกำลังวังชาถึงขนาดไม่ยอมออกไปทำงานนอกบ้านเพราะกลัววัตถุประหลาดจากท้องฟ้าหล่นใส่ เด็กเล็กๆที่กำลังงอแงถึงขนาดหยุดร้องหากขู่ด้วยเรื่องดังกล่าว...

    ลือกันว่า “สกายแลบตกที่เชียงคาน”
    …ในยุคสมัยนั้นประชาชนชาวเชียงคาน ยังมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน (ซึ่งยังคงเป็นเสน่ห์ที่ดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน) ประกอบกับยังมีสื่อในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารน้อย ข่าวลือนี้จึงแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่ฮือฮาและแตกตื่นกันอยู่พักใหญ่ จากหัวบ้านยันท้ายบ้านลามไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงเหมือนไฟลามทุ่ง

    แม้แต่สามล้อก็ยังเรียกสามล้อสกายแลบ
    …ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประเทศต่างๆในโลกนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ ฝ่ายโลกเสรีที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ ซึ่งผู้นำทั้ง 2 ค่าย ต่างก็แข่งขันกันเพื่อก้าวเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก โดยการแผ่ขยายลัทธิของตนรวมถึงเป็นตัวการสนับสนุนให้เกิดสงครามขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เช่น เวียดนาม อัฟกานิสถาน การเผชิญหน้าในเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะต่างก็มีไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสงครามไปถึงระดับใด ทำให้เกิดเป็นการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน เรียกว่า “สงครามเย็น”

    …สงครามเย็นนี้เอง เป็นเหตุให้ต้องมีการส่งเสริมความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในระดับสูง ทำให้ต่างฝ่ายมุ่งวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะด้านอวกาศ มีการศึกษาและปรับปรุงแผนการโคจรของดาวเทียมสื่อสารเพื่อสืบความลับและจารกรรมข้อมูล โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 สหภาพโซเวียตได้ประสบความสำเร็จในการส่งยานอวกาศสปุตนิกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียหน้า จึงริเริ่มจัดตั้งองค์การนาซ่าขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2501 เพื่อพัฒนาและศึกษาวิจัยด้านอวกาศอย่างจริงจัง โครงการอพอลโลเป็นโครงการที่สหรัฐอเมริกามีแผนนำมากู้หน้า โดยมีเป้าหมายในการนำมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ จนกระทั่งในวันที่ 20 กรกฏาคม พ.ศ.2506 ยานอพอลโล 11 ก็สามารถนำ นีล อาร์มสตรองมนุษย์อวกาศคนแรกลงเหยียบพื้นดวงจันทร์ได้เป็นผลสำเร็จ...

    …แม้จะประสพความสำเร็จในการส่งมนุษย์อวกาศเหยียบดวงจันทร์ แต่สหรัฐอเมริกาก็ต้องปิดโครงการอพอลโลลงก่อนกำหนด ในปี พ.ศ. 2515 เพราะสหภาพโซเวียตไม่ยอมแข่งขันในเรื่องนี้ แต่กับมุ่งพัฒนาไปในเรื่องสถานีอวกาศ ทำให้สหรัฐอเมริกาเปิดโครงการใหม่ด้านสถานีอวกาศและส่ง “สกายแลบ 1” ขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานที่ทดลองและสถานีประจำการของมนุษย์ในอวกาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งกับสถานีอวกาศซาลยุตของสหภาพโซเวียต...


    [​IMG]
    …ตามเป้าหมายแล้วสกายแลบจะต้องอยู่ในอวกาศเป็นเวลา 10 ปี แต่เอาเข้าจริงๆ ภายหลังจากปฏิบัติงานได้เพียง 9 เดือน ก็ต้องหยุดการทดลองลง ปล่อยทิ้งให้สถานีอวกาศสกายแลบโคจรไปรอบๆโลกอย่างไม่มีจุดหมาย จนเมื่อเข้าใกล้ชั้นบรรยากาศจึงตกลงสู่พื้นโลกในอีก 6 ปีต่อมา บริเวณมหาสมุทรอินเดียและตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก (แม้แต่ผู้ผลิตรถสามล้อยังนำมาใช้เรียกแบบสามล้อในสมัยนั้นว่าสกายแลบ) และเป็นสาเหตุของข่าวลือเรื่องสกายแลบตกที่เชียงคาน เพราะเข้าใจว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของสถานีอวกาศสกายแลบที่ยังคงหลงเหลืออยู่

    …ภายหลังเกิดปรากฎการณ์ ทีมสำรวจจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำโดย ดร.ระวี ภาวิไล ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ แล้วสรุปว่าปรากฎการณ์ลูกไฟอำเภอเชียงคานนั้น แท้จริงเป็นอุกกาบาตไม่ใช่เศษชิ้นส่วนของสถานีอวกาศสกายแลบแต่อย่างไร โดยทีมสำรวจสามารถเก็บรวบรวมชิ้นส่วนอุกกาบาตได้จำนวนถึง 31 ก้อน น้ำหนักรวม 367 กรัม ลูกใหญ่ที่สุดมีน้ำหนักถึง 51.3 กรัม ลักษณะโครงสร้างเป็นอุกกาบาตเนื้อหิน (ชนิดของอุกกาบาต แบ่งได้ 3 ประเภทได้แก่ หิน เหล็ก และ เหล็กปนหิน) สันนิษฐานว่าอุกกาบาตเชียงคานน่าจะเป็นชิ้นส่วนของดาวหางเทมเพล-ทัตเทิล ต้นกำเนิดของฝนดาวตกสิงโตหรือลีโอนิค ที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงวันที่ 16-17 พฤศจิกายนของทุกปี

    [​IMG]

    …แม้จะมีการยืนยันในเรื่องดังกล่าว แต่ก็ยังมีประชาชนบางส่วนที่ยังปักใจเชื่อว่าเป็นสกายแลบจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่นักสำรวจเก็บตัวอย่างเพื่อนำขึ้นรถไปพิสูจน์ เพราะเข้าใจว่านักสำรวจจะหนีเอาตัวรอด ลือถึงขนาดที่ว่าลูกไฟที่เกิดก่อนหน้านี้เป็นเพียงส่วนปีก ส่วนลำตัวกำลังจะตกตามมาในอีกไม่ช้า และจะรุนแรงยิ่งกว่า ร้อนถึงประชาชนชาวเชียงคานที่มีความวิตกกังวลต้องเก็บข้าวของเตรียมอพยพเป็นการใหญ่ ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นสงบลงได้เมื่อไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นตามข่าวลือ...

    [​IMG]

    …นับจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีรายงานการค้นพบก้อนอุกกาบาตที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของจริงจำนวน 3 ครั้งใหญ่ๆ ได้แก่ อุกกาบาตตำบลดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม (พ.ศ. 2466) อุกกาบาตเชียงคาน จังหวัดเลย (พ.ศ.2524) และอุกกาบาตบ้านร่องดู่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (พ.ศ.2536)

    สกายแลบตกที่เชียงคาน จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของความน่ารัก ที่เกิดขึ้นจากวิถีชีวิตของคนเชียงคาน ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเรียบง่าย ความเอื้ออาทร และความห่วงใยซึ่งกันและกัน โดยผ่านทางการบอกเล่า

    ที่มา http://www.chiangkhan.com/profiles/blogs/2066709:BlogPost:74178
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2009
  4. titawan

    titawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,290
    ค่าพลัง:
    +5,139
    “ตาจึ่งคึ่งดังแดง นอนตะแคงค้ำฟ้า เด็กน้อยไปเล่นหมากบ้าอยู่ในฮูดัง”

    …ท่อนหนึ่งของเนื้อร้องเพลงพื้นบ้านที่เล่าถึงตำนานของตาจึ่งคึ่ง ผู้ทอดร่างนอนตายในท่าคุดคู้ จนกลายมาเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ทอดตัวขวางเป็นเขื่อนกั้นลำนำโขง ทำให้เกิดเป็นกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกราดและเป็นอุปสรรคในการสัญจรไปมาในช่วงฤดูแล้ง
    …จินตนาการที่เป็นตำนานความเชื่อ ผสานกันอย่างลงตัวกันความความแปลกประหลาดของธรรมชาติ ความงดงามดังกล่าว ทำให้แก่งคุดคู้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย
    …ที่มาของตาคึ่งคึ่งดังแดง นายพรานรูปร่างสูงใหญ่ ถึงขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปเล่นสะบ้าในรูจมูกได้ ย่อมไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่เรียกได้ว่า “ใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์”

    ตำนานความเชื่อเรื่องยักษ์ ?
    …ตามความหมายในพจนานุกรม ยักษ์ คืออมนุษย์พวกหนึ่ง มีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว มีเขี้ยวงอก ใจดําอํามหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้จําแลงตัวได้ บางทีใช้ปะปนกับคําว่า อสูร รากษส และมาร บางความหมายแปลว่าเทวดาพวกหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกและชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แต่ความเข้าใจของคนส่วนมาก คำว่ายักษ์จะสื่อความหมายไปในทางลบ เช่น คนที่มีจิตใจโหดร้ายก็เรียกคนใจยักษ์ หน้ายักษ์ หรือบางครั้งก็ใช้สื่อความหมายของลักษณะที่ใหญ่โตทางลบ เช่น คลื่นยักษ์อย่างสึนามิ เป็นต้น
    …ท้าวกุเวรหนึ่งในสี่จตุโลกบาล ผู้ที่เป็นหัวหน้าคอยปกป้องดูแลโลกและทิศทั้งสี่ หรือแม้แต่พระพุทธศาสนาที่เรามักเห็นรูปปั้นยักษ์ถือกระบองเฝ้าประตูโบสถ์ นัยว่ายักษ์จะทำหน้าที่ช่วยปกป้องรักษา ขับไล่ภูติผี ความชั่วร้ายต่างๆ แม้ในต่างประเทศเองก็มีตำนานเรื่องยักษ์ อย่างยักษ์จีนี่ของอาหรับที่คอยดูและรับใช้อาลาดิน เรียกได้ว่าแทบทุกชาติ ทุกท้องถิ่นในโลกนี้ ต่างมีเรื่องเล่าในเชิงตำนานเกี่ยวกับยักษ์แทบทั้งนั้น แม้หรือในหนังยอดมนุษย์ที่เราเคยดูกันตอนเด็กๆ ก็ต้องแปลงร่างให้กลายเป็นยักษ์เพื่อต่อกรกับสัตว์ประหลาด (555)
    …ยักษ์จึงไม่ได้แสดงความหมายในทางลบเสมอไป…

    ...ขอน้อมคารวะในจินตนาการ ระดับความยิ่งใหญ่เสมอยักษ์แด่บรรพบุรุษ ผู้ซึ่งรังสรรเรื่องราวของพรานป่าจมูกแดง (จึ่งคึ่ง)
    ต้นกำเนิดแห่งตำนานแก่งคุดคู้ ในฐานะลูกหลานเชียงคาน บางทียักษ์ตนนี้จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้เมืองเชียงคานเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

    ...บรรพบุรุษ สร้างตำนานตาจึ่งคึ่งดังแดงเอาไว้เป็นมรดกแล้ว ลูกหลานเชียงคานล่ะ ! วาดภาพตาจึ่งคึ่งดังแดงในจินตนาการของท่านไว้อย่างไรบ้าง?

    ที่มา http://www.chiangkhan.com/profiles/blogs/2066709:BlogPost:73670
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มิถุนายน 2009
  5. titawan

    titawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,290
    ค่าพลัง:
    +5,139
    [​IMG]

    ค้างไว้ก่อน ข้อมูลหมด ^^"
     
  6. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะจ๊ะ แต่ขาดที่มาของเรื่อง ได้จัดการเพิ่มเติมให้เรียบร้อยแล้ว
     
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    ขอบคุณจ่ะ
     
  8. ฐิติโก

    ฐิติโก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +25
    อยากไปจังสวยดีครับหน้าสนใจมาก
     
  9. chonatad

    chonatad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +372
    สวยงามน่าท่องเที่ยวดีครับ ขอบคุณนะครับ
     
  10. พรรณนา

    พรรณนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +1,178
    ขอบคุณมากครับ....ผมเคยไปเชียงคานเมื่อปีที่แล้วเหมือนกัน...ผมกลัวเชียงคานเปลี่ยนไปเสียจริง...รู้สึกรักที่นี้แล้ว...ไม่อยากให้ไปตามกระแส...เหมือนที่หลายคนไปกัน..ลองไปเสพริมโขง เสพความสงบ แล้วจะพบความสุข ลองปิดโทรศัพท์มือถือสัก 1 วัน แล้วจะรู้ว่าทำไมเราต้องเดินเข้าไปมามันด้วย...ให้ธรรมชาติเดินเข้ามาหาเราซิ...จะไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลง...เหมือนกับที่ใดที่หนึ่ง

    เชียงคาน ความงาม บนพื้นฐานความจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1090258.JPG
      P1090258.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      145
  11. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    แล้วสรุป... เจ้าของกระทู้ ไปมาหรือยังหล่ะจ๊ะเนี่ย...
     

แชร์หน้านี้

Loading...