พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกท่านที่ได้ทำสมาธิ (ล็อคอิน) บูชาพระรัตนตรัยอันหาประมาณมิได้นะครับ
    ขอทุกท่านพยายามรักษาความดีต่อไปนะครับ
     
  2. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    Login

    [​IMG]


    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทุกพระองค์ฯ



    <O:p</O:p
    :cool: ด้วยพระพุทธบารมีแห่งองค์พระประทีปแก้วทุกพระองค์ อันบุญทั้งหลายที่เราได้บูชาอยู่ซึ่งคุณพระรัตนตรัยอันหาประมาณมิได้ พระพุทธองค์ทั้งหลาย นับแต่สมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พระโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสีบๆ กันมา มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฯ เป็นที่สุด พระองค์ทั้งหลายได้โมทนา แลเป็นสักขีแจ้งประจักบนเมืองแก้วพระนิพาน ยังแสงแก้วมณีโชติมาสู่กายและจิตของเราทั้งหลายเป็นรัตนแก้วมณีโชติ รู้แจ้งในพระนิพพานขึ้นมาว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง



    " ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงท่านที่ได้นิพพาน"


    จงยังกิจของเราทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อการไม่เกิดอีก ขอให้มีความมั่นคงในจุดมุ่งหมายของตนคือ เพื่อการไม่เกิดอีก มั่นคงในคุณของพระรัตนตรัย ใน ทาน ศีลภาวนา เชื่อมั่นในบุญในความดี ที่บูชาพระฯ ตั้งตรงต่อ พระนิพพาน



    [​IMG]


    :cool: ในที่สุดอาตมภาพ ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยมีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลและจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณหากทุกท่านพึงปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาจงทุกประการ




    :cool: O^HO! ขออ้างคุณพระรัตนตรัย เป็นหนึ่งในดวงใจ เป็นสรณะที่พึ่งอันหาประมาณมิได้ ทั้งบุญที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาทั้งหมด และได้โมทนาบุญทั้งหมดในทุกพระศาสนา ขอเป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลายสามารถปฏิบัติธรรมได้ทั้ง สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัพปัตโต ได้มีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุธรรมวิเศษทั้งปวง แลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานในขณะจิตเดี่ยวนี้เถิด ได้ทำตามคำอธิษฐาน เป็นกำลังใหญ่แก่พระศาสนา สุข สมหวังทุกประการ นับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาตปัจจุบันนี้เทอญ... <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2006
  3. leklek

    leklek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +1,014
    [​IMG]บุญหรือความดีใดที่ทุกท่านได้บำเพ็ญมานานนับอสงไขย กำไลแสนกัปร์ จนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอโมทนาเป็นอย่างสูง ขอบารมีพระฯได้โปรดสงเคราะห์แก่พวกเราผู้ทุกข์ยาก ให้ข้ามพ้นการเวียนว่ายในวัฏฏอันไม่มีความทรงตัวนี้ ในชาติปัจจุบันนี้โดยสะดวกด้วยเทอญ สำหรับผู้ใดที่ปรารถนาช่วยกิจพระศาสนาก็ขอให้สมหวังๆๆ พุธธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  4. nisau

    nisau เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +2,878
    ขออนุโมทนากับทุกท่าน

    [b-wai] [​IMG]
    ขอน้อมถวายบุญทั้งหมดที่ทำมาและที่ร่วมโมทนาทั้งหมดในพระศาสนา ถวายเป็นดอกบัวแก้วฯ บูชาคุณพระรัตนตรัยและคุณงามความดีของทุกๆท่าน ขอบารมีพระฯทุกพระองค์จงดลบันดาลให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่น พุทธศาสนิกชนมีดวงตาเห็นธรรม พระโพธิสัตว์มีบารมีเต็มฯ และอะไรดีๆที่ทุกคนหวังหรือคาดไม่ถึงจงบังเกิดปรากฏให้ทุกๆท่านโดยฉับพลัน ชาตินี้คงไม่หวังอะไรมากนอกจากพระนิพพาน หากมีบุญวาสนาคงได้ค้ำจุนพระศาสนาสืบไป
    [b-wai] (bb-flower :cool:
     
  5. จิตว่าง

    จิตว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +3,098
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ถวายพุทธบูชาฯ

    [b-wai] [b-wai] [b-wai] :cool:
    ขอร่วมโมทนาบุญกับทุกๆท่านเป็นอย่างสูง ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะฝึกสมาธิได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงเวลาจะทำทีไรมันมีเรื่องให้ต้องทำอย่างอื่นทุกที หรือไม่ก็ง่วงนอนบ้างละ เพลียบ้างละฯ สารพัดข้ออ้าง แต่ก็ยังมีกำลังใจอยู่ตลอด พยายามเกาะพระฯไว้เสมอเวลาทำงานหรือว่าง รู้สึกตัวทีก็เบื่อตัวเองทีทำไงได้ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จคงอยู่ที่นั่น ตอนนี้ขอโมทนาเกาะบุญคนอื่นก่อนแล้วกันนะค่ะ หวังว่าคงไม่รังเกียจ ส่วนบุญทั้งหมดที่มีขอถวายพระฯให้ทุกๆท่านมีส่วนด้วยเช่นเดียวกันค่ะ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] :cool:
     
  6. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ตอน พระเจ้าสุทโธทนะทูลลาไปนิพพาน

    [​IMG]

    :cool: ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า:cool:
    (ธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๒๒)
    ตอน พระเจ้าสุทโธทนะทูลลาไปนิพพาน
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    :cool: เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเป็นปีที่ ๙ ในปีนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงพิจารณาว่าพระพุทธบิดา คือ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระบาทท้าวเธอเป็นผู้มีพระคุณใหญ่ในหลายอสงไขยกัป คือเป็นบิดา เวลานี้ตถาคตก็ได้แสดงพระธรรมเทศนา เป็นเหตุให้พระองค์ทรงบรรลุพระโสดาบัน

    แล้วก็ในขั้นสุดท้ายที่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชจะสวรรคต ทรงพระประชวรหนัก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย จึงได้เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร เข้าไปในห้องของจอมบพิตรอดิศร

    สมเด็จพระบรมโลกนาถความจริงก็ทรงรู้อยู่ว่าเป็นวิสัยขององค์สมเด็จพระบรมครูและบรรดา
    พระอรหันต์ทั้งหลาย สิ่งใดที่รู้อยู่แล้วแก่ใจของตัวเองก็ต้องทำเหมือนคนไม่รู้ ฉะนั้นสมเด็จพระบรมครูจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามพระพุทธบิดาว่า

    ขอถวายพระพรพระมหาบพิตรพระราชสมภาร เวลานี้ทุกขเวทนาทางกายของพระองค์เป็นประการใดบ้าง มันบีบคั้นมากไหม...?

    พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็ได้กราบทูลกับองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า

    ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้าทุกขเวทนามันบีบคั้นเกือบ
    จะทนไม่ไหว

    สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสถามว่า

    พระมหาบพิตร พระองค์ทรงมีพระสติเป็นประการใด ความดีที่พระองค์ทรงไว้ คือทรงศีล ๕ เป็นปกติ และก็เข้าถึงไตรสรณาคมน์ เคารพพระทุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตที่ปักลงโดยเฉพาะ พระนิพพาน กำลังใจคลายไปแล้วหรือยัง...?

    พระเจ้าทุทโธทนมหาราชก็กราบทูลว่า

    ความเคารพในพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี ศีล ๕ ของข้าพระพุทธเจ้าก็ดี และการที่จิตมุ่งหวังพระนิพพานก็ดี สิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ยังไม่คลายไปจากจิตพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า

    พระมหาบพิตร อาตมาอยากจะถามว่าเวลานี้พระองค์ทรงเห็นแล้วหรือยังว่า ร่างกายมันเป็นเราเป็นของเรา หรือเรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา

    เวลานั้นปรากฏว่าทุกขเวทนาครอบงำพระองค์หนัก จึงได้กราบทูลสมเด็จพระบรมโลกนาถว่า

    ภันเต ภควา เวลานี้ทุกขเวทนามันบีบคั้นหนัก ร่างกายทั้งหมดมันเจ็บไปหมด พระพุทธเจ้าข้า

    นี่จงอย่าลืมนะว่าพระเจ้าสุทโธทนมหาราชท่านเป็นพ่อ สิทธัตถราชกุมาร แต่ว่าท่านไม่ใช่พ่อของพระพุทธเจ้า สิทธัตถราชกุมารเดิมเป็นลูกของท่าน แต่เวลานี้สิทธัตถะบรรลุธรรมวิเศษเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็วางตัวตามความเหมาะสมว่า คนนี้ร่างกายนี้เป็นร่างกายของลูก แต่ว่าความดีที่ลูกทรงอยู่นี่ไม่ใช่เรื่องของลูกเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นท่านจึงได้วางใจถวายนมัสการด้วยความเคารพในฐานะที่ลูกเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฐานะพ่อกับลูก ท่านจึงได้กราบทูลต่อไปว่า

    ที่พระองค์ตรัสถามว่า เห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา หรือเรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นแล้วว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายมันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นที่อาศัยของจิต ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ร่างกายไม่มีการทรงตัว มีการเกิดขึ้นแล้วมันก็เสื่อม มีโรคร้ายเบียดเบียนเป็นทุกขเวทนาอย่างสาหัส

    ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าร่างกายนี้มันเป็นสภาพนอกเหนือจากจิตใจ ไม่ใช่ร่างกายของข้าพระพุทธเจ้า และเป็นร่างกายที่ประกอบไปด้วยโทษหาประโยชน์มิได้ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ต้องปรนเปรอทุกอย่างไม่ต้องการให้มันแก่มันก็แก่ ไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็ป่วย ไม่ต้องการให้มันพลัดพรากจากของรักของชอบใน มันก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เวลานี้ความตายมันจะเข้ามาถึงร่างกาย ก็ห้ามมันไม่ได้

    แต่ว่าจิตใจของข้าพระพุทธเจ้านี้มิได้มีความรู้สึกต้องการร่างกายนี้ต่อไปเห็นว่าร่า
    งกายนี้เป็นพิษเป็นภัย ข้าพระพุทธเจ้าต้องการพระนิพพานเป็นที่ไปพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระบรมศาสดาเมื่อทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์

    ความจริงพระพุทธเจ้าปกติไม่ยิ้มไม่ใช่พระองค์ไม่อยากจะยิ้ม เพราะว่าเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า ถ้ายิ้มก็ต้องมีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุพระพุทธเจ้าทุกองค์ไม่ยิ้ม ไม่ใช่หน้าบึ้ง ทรงวายพระทัยสบาย ๆ

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์แล้ว พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก ขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะต้องถามเหตุทันที เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์พรมศาสดาทรงแย้มพระโอษฐ์ จึงได้ทูลถามว่า

    พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด พระพุทธเจ้าข้า...?

    เวลานั้นพระทั้งหมดที่ไปล้อมพระเจ้าสุทโธทนมหาราชอยู่ ไปกับพระพุทธเจ้ามีประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์เศษ ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด มีไม่เป็นพระอรหันต์อยู่องค์เดียวคือ พระอานนท์ เป็นพระโสดาบัน

    สมเด็จพระทศพลจังตรัสว่า

    ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวลานี้พระเจ้าสุทโธทนมหาราชซึ่งเป็นพระบิดาของเราในกาลก่อน เวลานี้จอมบพิตรอดิศรจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว เป็นอันว่าการที่จะแคล้วจากการสิ้นอายุขัยย่อมไม่มี ต้องนิพพานในวันนี้

    แต่ทว่าเวลานี้ทุกขเวทนาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชซึ่งเป็นพระบิดาของเราเดิม มีความทุกข์อย่างหนัก ร่างกายทุกส่วนถูกบีบคั้นไปด้วยทุกขเวทนา แต่ทว่าที่พระองค์ทรงพูดกับเราได้เหมือนกับคนปกติ เพราะว่าใช้ ขันติธรรม ข่มกำลังใจ แล้วก็มีกำลังใจสูง เวลานี้จิตใจของพระองค์มีความแจ่มใสเป็นกรณีพิเศษ

    ตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสอย่างนี้ พระอรหันต์ทุกองค์ท่านเป็นอรหันต์ท่านก็ทราบ ทุกองค์ก็ยกมือขึ้นสาธุการว่า

    สาธุ เป็นความจริงตามนั้นพระพุทธเจ้าข้า

    เพราะว่าคนที่เป็นอรหันต์ย่อมรู้วาระของคนที่เป็นอรหันต์ คือรู้จิต และรู้ทั้งคนที่เป็นอนาคามี สกิทาคามี พระโสดาบันด้วย และก็ยังรู้ถึงทุกขเวทนาของร่างกายที่มันจะพัง ว่ามันมีการบีบคั้นอย่างหนัก ฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า

    ต่อแต่นี้ไปตถาคตจะลดทุกขเวทนาทางร่างกายของพระพุทธบิดา

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ทรงตั้งสัตยาธิษฐานเปล่งเป็นพระพุทธฎีกาว่า

    บุญบารมีใดที่ตถาคตบำเพ็ญมาแล้วสิ้นเวลา ๔ อสงไขยกับแสนกัป เพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า รื้อความทุกข์ของบุคคลทั้งหลายให้มีความสุข รื้อจากวัฏฏะคือเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสารมีพระนิพพานเป็นแดนอันเกษมศานต์เป็นที่
    ไป

    ฉะนั้นบุญบารมีใดที่อาตมาสั่งสมไว้ในกาลก่อน จนกระทั่งถึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอบุญบารมีอันนี้นั้นจงช่วยให้พระพุทธบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนมหาราช หายจากทุกขเวทนาที่บีบคั้นพระวรกายอยู่เวลานี้

    แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงยกพระหัตถ์ลูบตั้งแต่พระเศียรถึงพระบาท ๓ วาระ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามว่า

    เวลานี้ทุกขเวทนาบรรเทาแล้วหรือยัง...?

    พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็กราบทูลว่า

    เวลานี้ทุกขเวทนาทั้งหมด ปรากฏว่าหายไปพร้อมกับพระหัตถ์ของพระองค์ที่ลูบตั้งแต่ศีรษะ คือมือแตะศีรษะความปวดศีรษะมันก็หาย ลูบไปถึงคอในก็หายเรื่อยตามลำดับ คล้าย ๆ กับปาดโรคให้หมดไป

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาทำตามนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ให้พระที่อยู่ใกล้ ใครอยากจะสงเคราะห์พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็ทำได้

    ต่อนั้นไปก็เป็นหน้าที่ของ พระนันทะซึ่งเป็นพระราชโอรสเหมือนกัน แล้วก็พระอานนท์ พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร และ พระอนุรุทธ เป็นต้น ต่างท่านต่างก็ทำเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เป็นอันว่าพระเจ้าสุทโธทนมหาราชเวลานั้นทุกขเวทนาทางกายไม่มีเลย พระองค์ทรงชื่นจิตหน้าตาสบายผ่องใส มีสภาวะเป็นปกติ แต่ว่าโรคที่มันเบียดเบียนร่างกายก็เป็นเรื่องของโรค ร่างกายที่มันไม่มีแรงลุกไม่ไหว มันก็คงลุกไม่ไหวตามเดิม เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบันดาลให้ลุกขึ้น ทรงบันดาลเพียงแค่ให้ระงับทุกขเวทนา

    ต่อนั้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงถามว่า

    เวลานี้พระวรกายเป็นอย่างไรบ้าง...?

    พระองค์ก็ตรัสว่า

    หมดแล้วพระพุทธเจ้าข้า ทุกขเวทนาใด ๆ ไม่มีเวลานี้ ความรู้สึกเหมือนว่านอนกำลังสบาย ๆ เป็นการพักผ่อนหายจากความเหนื่อย

    ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    ความดีเดิมของพระองค์ไม่ทรงหมด เวลานี้ตถาคตก็ทราบว่า กำลังใจของพระองค์ไม่ติดอยู่ในร่างกายเดิมแล้วใช่ไหม...?

    พระองค์ก็ทรงยอมรับว่า

    เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า

    ร่างกายของบุคคลอื่น พระองค์ทรงห่วงใยอะไรบ้าง...?

    พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็ทูลว่า

    ข้าพระพุทธเจ้าไม่ห่วงพระพุทธเจ้าข้า เพราะทราบว่าร่างกายนี้ประเดี๋ยวมันก็พัง

    ต่อไปท่านก็ถามว่า

    ทรัพย์สินในความเป็นพระราชา ขณะการครองราชย์ ความยิ่งใหญ่ในฐานะที่มียศเป็นพระราชาห่วงไหม...?

    ท่านก็บอกว่า ไม่ห่วง พระพุทธเจ้าข้า

    ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ประชากรทั้งหมดที่ปรากฏว่าเป็นข้าราชบริพารพระองค์ทรงห่วงไหม...?

    พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็ทรงประกาศว่า

    ไม่ห่วงพระพุทธเจ้าข้า

    สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็ถามต่อไปว่า

    พระองค์แย้มพระโอษฐ์เพราะอะไรพระพุทธเจ้าข้า...?

    ต้องถาม ถ้าไม่ถามแล้วไม่ได้เป็นหน้าที่ของอุปัฏฐาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาว่า

    อานันทะ ดูกร อานนท์ ในเวลาอีกชั่วไม่กี่ขณะจิตในเวลานี้ พระพุทธบิดาคือพ่อของเราจะไปนิพพาน

    หลังจากองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสเพียงครู่เดียว พระเจ้าสุทโธทนมหาราชนอนเจ็บอยู่อย่างนั้น แต่ร่างกายมันไม่มีทุกขเวทนา ทุกข์มันมีแต่ถูกระงับด้วยอำนาจของพระพุทธานุภาพและสังฆานุภาพ จึงได้ทรงยกพระหัตถ์ทั้ง ๒ ขึ้นพนมมือ กล่าวคำขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยว่า

    กรรมใดที่ข้าพระพุทธเจ้าเคยประมาทพลาดพลั้ง ในพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ดี ในพระธรรมก็ดี ในสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี ตั้งแต่อดีตกาลมาถึงปัจจุบันด้วยเจตนาก็ดี ไม่มีเจตนาก็ดี เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอบรรดาคณะพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน

    บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายพร้อมด้วยองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงยกมือขึ้นสาธุพร้อมกัน

    เป็นอันว่าการขมาโทษก็หมดไปแล้วพระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็นมัสการองค์สมเด็จพระจอมไตรบร
    มศาสดา (ทั้ง ๆ ที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น) อีกครั้งหนึ่งว่า

    เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในที่นี้และก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ ตลอดจนกระทั่งบรรดาทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถึงวาระแล้วที่ต้องลาไป

    องค์สมเด็จพระจอมไตรกับบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกพระหัตถ์ขึ้น สาธุ สร้างความชื่นใจให้ปรากฏ

    เป็นอันว่าเวลานั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็นิพพาน พูดกันง่าย ๆ นะ กาลัง กัตวา ตามบาลีกล่าวว่า ถึงเวลาที่จะต้องไป พระองค์ก็ไปสู่พระนิพพานตามความประสงค์ของพระองค์

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดูเวลาก็เลยไปหน่อยแล้ว อาตมาก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

    ในที่สุด อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล

    ในขณะที่ร่างกายของตนยังทรงอยู่ขณะสุดท้ายปลายชีวิตนี้ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระบรมครูสอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้ปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ ประการ คือ ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย ขอบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ไซร้ จงเป็นปัจจัยให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้เถิด
    <!--IBF.ATTACHMENT_94-->
    <!-- THE POST -->
     
  7. จ๊ะโอ๋

    จ๊ะโอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้นำประสบการณ์การ loggin ภาพมาเล่าสู่กันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขอให้ท่านทั้งหลายมีบารมีเต็มมีดวงตาเห็นธรรม เป็นกำลังของพระพุทธศาสนาสืบและเข้าถึงพระนิพพานกันทุกท่านค่ะ[b-wai] (bb-flower [b-wai]
     
  8. จ๊ะโอ๋

    จ๊ะโอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอโมทนาบุญกับคุณ o^ho เป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเรื่องความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ตอนปลงอายุสังขาร กับตอนพระเจ้าสุทโธทนะทูลลาไปนิพพานอ่านแล้วรู้สึกปลงสังขารเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง แม้พระพุทธองค์จะทรงเสด็จปรินิพานนานแล้วก็ยังทรงช่วยพวกเราอยู่ ขอบารมีพระทุกพระองค์จงยังจิตของเราและท่านทั้งหลายให้รู้ให้ตื่นให้เบิกบานตลอดไปจนถึงซึ่งพระนิพพานเทอญ...สาธุ...สาธุ...สาธุ[b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  9. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    เมื่อคืนวันจันทร์ผมฝันว่าผมได้เรียนอยู่ปวช.ปี 1 แต่ภาพนั้นไปปรากฎอยู่ที่ศาลเจ้าแม่กวนอิมผมและเพื่อนๆประมาณ4คนเห็นจะได้กำลังสวดมนต์อยู่หน้าศาลเจ้าแม่ช่วงนั้นเป็นช่วงตอนกลางคืนพอผมและเพื่อนสวดจบ ผมก็ไปถามเพื่อนปวช.ปี 2ว่า ถ้าพอขึ้นปี 2 เนี้ยะ จะเรียนหนักหรือเปล่า เพื่อนคนนี้เค้าบอกว่าไม่หนักหรอก เรียนแค่อาทิตย์ละ 3วันแค่นั้นแหล่ะ(เพื่อนคนนี้มีอยู่จริงนะครับเค้าเป็นร่างทรงโป้ยเซียน) หลังจากนั้นภาพก็ตัดไป ปรากฎผมเห็นตัวเองอยู่หน้าองค์พระแม่ในศาลกำลังจุดธูปไหว้อยู่ แต่ขอบอก ธูปนี้ใหญ่ยาวมากประมาณ 2 เมตรกว่าๆได้ แต่ผมเห็นมีธูปอยู่ในกระถางธูปยาวประมาณ50ซม. มีอยู่ในกระถางธูป 3ดอก ส่วนของผมนั้นมีดอกเดียวแล้วผมก็อธิฐานปักธูปหลังจากนั้นผมก็ตื่น
    ไม่รู้ว่าความฝันนี้หมายความว่าอย่างไรเหมือนกัน
    หรือว่าจะเป็น 13-31 กันแน่ อิอิ .....
    สุดท้ายขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์พระธรรมพระอริยะสงฆ์ทั้งหมดและพระแม่กวนอินพระทานพรประทานพระบารมีของพระองค์ช่วยให้ทุกท่านพ้นทุกข์มีความสุขความเจริญทุกท่านและมีพระนิพพานเป็นอารมณ์นะครับ
     
  10. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้าตอน บุพกรรมของพระยสกับสหาย ๕๕ คน

    [​IMG]

    :cool: ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า:cool:
    (ธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๒๑)
    ตอน บุพกรรมของพระยสกับสหาย ๕๕ คน
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    /
    :cool: เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ สมเด็จพระประทีปแก้ว ได้ทรงประกาศพระศาสนาอยู่หลายปี
    /
    จนกระทั่งในวันหนึ่ง พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระบาทท้าวเธอซึ่งเป็นพระพุทธบิดา ได้ทราบข่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระโอรสเวลานี้ได้ประกาศพระศาส
    นาอยู่ที่เมืองมคธปรากฏว่าโปรด พระเจ้าพเจ้าพิมพิสาร เป็นเหตุให้พระพุทธบิดาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีความคิดถึง คิดว่าพระสิทธัตถะราชกุมารซึ่งเป็นพระโอรสของเรานี้ควรจะประกาศพระศาสนาใน กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
    /
    ฉะนั้นจอมบพิตรอดิศรจึงได้ส่งบรรดาอำมาตย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่นำคน ๑,๐๐๐ คน ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาแสดงธรรมโปรดชาวกรุงกบิล
    พัสดุ์
    /
    อำมาตย์ผู้ใหญ่เมื่อได้รับอนุมัติจากบรมกษัตริย์แล้วจึงได้พาบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ พระเวฬุวันมหาวิหาร
    /
    ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาโปรด
    /
    พอเทศน์จบก็ปรากฏว่าบริวาร ๑,๐๐๐ คน พร้อมด้วยหัวหน้าได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ต่างคนต่างก็พากันขออนุญาตองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบวช พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้บวช เมื่อบวชแล้วทุกคนก็ลืมคำสั่งของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช
    /
    ในเมื่อพระบาทท้าวเธอทรงคอยมานานแสนนานก็ไม่ปรากฏอำมาตย์ผู้นั้นพร้อมไปด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน อาราธนาองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรด จึงได้ส่งไปอย่างนั้นหลายวาระด้วยกัน คราวละ ๑,๐๐๐ คน ๆ ก็หมดไป พอองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์โปรด จบลงก็เป็นอรหันต์
    /
    ในตอนนี้ก็ขอบอกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านว่า การฟังธรรมของคนสมัยนั้น ทำไมจึงเป็นอรหันต์กันง่ายนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกล่าวว่า
    /
    ถ้าบุคคลผู้ใด มีอิทธิบาท ๔ ประจำใจแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าบุคคลผู้นั้นจะปรารถนาความสุขทั้งทางโลกก็ดี ทางธรรมก็ดี ย่อมเป็นที่สำเร็จผลแก่บุคคลทุกคน
    /
    สำหรับอิทธิบาท ๔ นี้ ได้แก่
    /
    ๑. ฉันทะ เรามีความพอใจในสิ่งนั้นเป็นกรณีพิเศษ
    /
    แล้วองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า เราจะชนะอุปสรรคได้เพราะความเพียร คือ วิริยะ เป็นอันดับที่ ๒ รองลงมา เข้าสนับสนุนกำลังใจของเราว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เราต้องการ ต้องทำให้สำเร็จผลให้จงได้ แม้ว่าจะมีความลำบากยากแค้นสักเพียงใดก็ตามที เราจะฟันฝ่าอุปสรรคนี้ด้วยอำนาจของความเพียรตามพระบาลีมีอยู่ว่า
    /
    วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ
    /
    บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ดังนี้เป็นต้น
    /
    ๓. องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า จิตตะ เราต้องเอาใจสอดใส่ คือจิตใจตั้งไว้นึกไว้ในอารมณ์นั้น สนใจฝักใฝ่อยู่
    /
    ๔. องค์สมเด็จพระบรมครูกล่าวว่า วิมังสา ตัวนี้เป็นปัญญา ต้องใช้ปัญญาพิจารณาคำสอน หรือการแนะนำ หรือการกระทำสิ่งนั้น
    /
    รวมความว่าอิทธิบาททั้ง ๔ ประการโดยย่อก็คือ
    ๑. ฉันทะ มีความพอใจจริง
    ๒. วิริยะ มีความพากเพียรบากบั่นไม่ท้อถอย
    ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่อยู่ในสิ่งนั้นไม่ยอมละ
    ๔. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งนั้น
    /
    เป็นอันว่าคนใดก็ตามที ถ้ามีอิทธิบาททั้ง ๔ ประการนี้ประจำใจ มีทั้งความพอใจด้วย มีทั้งความเพียรด้วย มีทั้งความสนใจด้วย และก็มีทั้งปัญญาพิจารณาด้วยช่วยกันทั้ง ๔ ประการนี้จะสำเร็จผลตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกประก
    าร
    /
    เป็นอันว่าคนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียว ท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ หมายความว่าฟังแล้วก็ตั้งใจจำ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ตัวนี้เป็นสมาธิและก็เมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วยตัวนี้เป็นปัญญา
    /
    ฉะนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีล หมายความว่าในเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และก็มีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบใจท่านก็จบจากกิจพระพุทธศาสนา นั้นก็คือ เป็นพระอรหันต์
    /
    หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้น ก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน
    /
    เป็นอันว่าในกาลครั้งนั้น เมื่อพระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระบาทท้าวเธอส่งคนไปตั้งหลายพวกด้วยกัน ไม่มีใครกลับมา จึงได้เรียกสหชาติขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว (คำว่า สหชาติ แปลว่า เกิดพร้อมกัน ในวันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า) มีนามว่า อุทายี เข้ามาเฝ้า (สมัยนั้นพระอุทายีเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่) จึงบอกว่า
    /
    เราตั้งใจจะให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแสดงพระธรรมเทศนาโปรด ส่งไปหลายพวกแล้วไม่มีผล เจ้าเป็นผู้เกิดวันเดียวกับองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจงพาบุคคล ๑,๐๐๐ คน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แล้วอาราธนามาสู่กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
    /
    เมื่อครั้นอุทายี ฟังจอมบพิตรอดิศรพระเจ้าสุทโธทนมหาราช แสดงความสนใจอย่างนั้นจึงได้รับคำสั่งแล้วจึงพาบุคคล ๑,๐๐๐ คน จรดลจากกรุงกบิลพัสดุ์มหานครไปสู่กรุงราชคฤห์ แล้วจึงได้เข้าไปสู่พระเวฬุวันมหาวิหาร
    /
    ในคราวนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เทศน์เช่นกันเมื่อเทศน์จ
    บ ทุกคนต่างคนต่างก็เป็นพระอรหันต์หมด เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ให้อุปสมบทบรรพชา
    /
    สำหรับท่าน อุทายี นี้เป็นอรหันต์แล้วก็ไม่ลืมคำอาราธนาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช คอยโอกาสที่เหมาะสมไม่ใช่ว่าฟังเทศน์จบเป็นพระอรหันต์ก็นิมนต์กันทันที
    /
    นี่สำหรับเรื่องของคนดีนะ เขาก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วยว่า เป็นการควรหรือไม่ควรเพียงใด ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใจของเราเองโดยเฉพาะเพื่อให้กิจสมประสงค์ อย่างนี้ไม่มีทางสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างงยิ่งองค์สมเด็จพระพุทธองค์ก็ดี พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ย่อมถือระเบียบวินัยเป็นสำคัญการควรไม่ควรเพียงใดนั้น ท่านย่อมรู้ถ้าเข้าไปผิดจังหวะก็ไร้ผล ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลเคยปฏิเสธพราหมณ์มาหลายท่านด้วยกัน
    /
    อย่างพราหมณ์คนหนึ่ง บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว วันหนึ่งอาราธนาให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อเรื่องว่า โมเนยยปฏิบัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์มองแล้วไม่เกิดผลสมเด็จพระทศพลก็ทรงปฏิเสธว่า
    /
    เรื่องนี้เราตถาคตไม่เทศน์
    /
    พระที่มาจากตระกูลของพราหมณ์จึงกล่าวว่า
    /
    ถ้าไม่เทศน์จะสึก
    /
    พระพุทธเจ้าก็กล่าวว่า
    /
    ฉันไม่ได้มีสัญญากับเธอ เธออยากจะสึกก็สึกไป ไม่ได้บอกว่าเธอบวชมาแล้ว จะมาเทศน์เรื่องนี้
    /
    นี่จะเห็นว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระมหามุนี ซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณเพียงใดแต่สิ่งนั้นถ้าไม่เป็นประโยชน์ใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรจะไม่ยอมตามใจบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น
    /
    ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัทเพื่อหวังประโยชน์ของตนให้หมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน การจะทำอะไรก็ดีใช้วิมังสาคือปัญญาเข้าพิจารณาเสียก่อนเพราะว่าพระธรรมคำสั่งสอนของอ
    งค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ต้องใช้ปัญญาเป็นสำคัญ สิ่งทั้ง ๓ ประการ ต้องเสมอกัน คือ
    ๑. มีศีลบริสุทธิ์
    ๒. มีสมาธิตั้งมั่น
    ๓.มีปัญญาพิจารณาในเหตุนั้นให้เหมาะสม
    /
    เรื่องของปัญญานี้เป็นเรื่องใหญ่จะดีหรือไม่ดี จะมีศีลหรือไม่มี จะมีสมาธิหรือไม่มี ก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นสำคัญก่อนขอเล่ากันต่อไป
    /
    ครั้นเมื่อเวลาพอสมควรแล้ว เวลาที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทะเจ้า แสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธบริษัทจบแล้ว เมื่อว่างจากภารกิจอื่นพระอุทายีท่านเห็นเป็นโอกาส จึงได้เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ถวายบังคมแล้วกราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า
    /
    ในหนทางที่เดินมาจากกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ถึงกรุงราชคฤห์มหานครระยะทางทั้ง ๒ ประเทศ นี้ไกลกันประมาณ ๖๐ โยชน์ สถานที่เดินไปเดินมานี้เป็นที่รื่นรมย์ น่าทัศนาจร
    /
    เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับ ก็ทราบว่าพระอุทายีตั้งใจจะอาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์ให้ไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร
    /
    สมเด็จพระชินวรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    /
    อุทายยิ ดูกร อุทายี เธอพูดอย่างนี้ตถาคตเข้าใจว่าเธอต้องการให้ตถาคตนี้ไซร้ไปโปรดพระพุทธบิดาและบรรดาหม
    ู่พระประยูรญาติ ตถาคตเห็นดีด้วยแต่ทว่าก่อนที่ตถาคตจะไปถึง เธอจงนำบริษัทของเธอ ๑,๐๐๐ องค์ ไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์มหานครก่อน ไปกราบทูลให้จอมบพิตรอดิศรพระราชบิดาทรงทราบ
    /
    พระอุทายีจึงได้นำบริษัท คือบริวารของท่านเป็นอรหันต์ล้วนทั้งหมดเป็น ๑,๐๐๐ กับ ๑ องค์พร้อมทั้งท่านไปกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ไปแสดงพระธรรมเทศนาให้จอมบพิตรอดิศร และหมู่พระประยูรญาติ และบรรดาประชาชนทั้งหลายให้มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา
    /
    เมื่อพระอุทายีไปแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พาหมู่ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๒๐,๐๐๐รูปตามไป
    /
    แต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเสด็จไปวันละหนึ่งโยชน์ ใช้เวลา ๖๐ วัน จึงถึงกรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินวรทรงทราบว่าหมู่พระประยูรญาติมี ทิฐิมานะมาก ต้องการจะทรมานจิตใจให้ลด ทิฐิมานะ ลงมา
    /
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกรุงกบิลพัสดุ์มหานครแล้วจึงได้แสดงพระธ
    รรมเทศนาโปรดจอมบพิตรอดิศรพระพุทธบิดาให้เป็นพระโสดาบันพร้อมไปด้วยหมู่พระประยูรญาต
    ิทั้งหลายเป็นอันมาก ในกาลนั้นก็ปรากฏว่าคนเป็นส่วนมากบวชในพระพุทธศาสนา
    /
    ในวันหนึ่ง จะมีการแต่งงานของพระนันทะ (ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์เป็นลูกของพระน้านาง) กับนางชนบทกัลยาณี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาเสด็จมาในงานนั้น เมื่อเสร็จพระพุทธกิจแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ส่งบาตรให้แก่พระนันทะ
    /
    พระนันทะรับบาตรตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา จนกระทั่งถึงกุฏิมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ถามว่า
    /
    นันทะ เธอจะบวชหรือ...?
    /
    เขาแต่งงานในวันนั้น ไม่ตั้งใจจะบวชด้วยความเกรงใจพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า
    /
    บวชพระเจ้าข้า
    /
    องค์สมเด็จพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้บวช
    /
    ตอนนี้ปรากฏว่า พระเจ้าสุทโธทนมหาราชผิดหวังมาก คิดว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็จะให้พระนันทะซึ่งเป็นพระอนุชา
    นี้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป แต่เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้บวชจึงได้ส่ง พระราหุล ซึ่งเป็นพระราชโอรส ออกไปอีกครั้งหนึ่ง
    /
    พระราหุลเป็นเด็กน้อย เข้าไปหาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตามที่พระเจ้าปู่ พระเจ้าแม่สอนไปว่า
    /
    เวลานี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุปสมบทเป็นพระพุทธเจ้า สมบัติในกรุงกบิลพัสดุ์มหานครยังไม่มีใครครอง ข้าพระพุทธเจ้ามาขอรับมอบสมบัติพระเจ้าข้า
    /
    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาเห็นแล้วว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นอนิจจั
    ง ไม่มีความยั่งยืน ไม่มีอะไรเป็นความสุข จึงเห็นว่าโลกียทรัพย์ไม่สำคัญเท่ากับโลกุตรทรัพย์ จึงได้ถามพระราหุลว่า
    /
    ราหุล ต้องการสมบัติจากบิดาหรือ...?
    /
    พระราหุลก็กราบทูลตามที่พระมารดากับพระเจ้าปู่
    บอกมาว่า
    /
    ต้องการพระเจ้าข้า
    /
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า
    /
    ราหุล โลกียทรัพย์ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ เป็นทุกขัง เป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นอนัตตา ในที่สุดต่างคนต่างตายทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ ตายแล้วเราก็หมดสิทธิ์ ร่างกายของเราที่ทรงชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมาย มันไม่ใช่ร่างกายของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายอย่างนี้จัดว่าเป็นสมบัติที่เรารักมากที่สุด แต่ในที่สุดเราก็ต้องจากร่างกายไป ฉะนั้นขอราหุลลูกชายพึงต้องการโลกุตรทรัพย์เถิด
    /
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ให้พระราหุลบรรพชาเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา
    /
    ในที่สุดพระราหุลได้สดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่เพียงว
    ันเดียวก็บรรลุอรหัตผลเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
    /
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ที่นำเรื่องราวเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อฟังแล้วดูเหมือนว่าจะจับใจความไม่ถูก เนื้อแท้จริง ๆ ก็ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา มีความเข้าใจในความต้องการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    /
    ชาติปิ ทุกขา ความเกิดมันเป็นทุกข์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท่านเห็นไหมว่าความเกิดเป็นทุกข์
    /
    ชราปิ ทุกขา ความแก่มาถึงเรา เราก็เป็นทุกข์
    /
    มรณัมปิ ทุกขัง ความตายมาถึงเรา เราก็เป็นทุกข์
    /
    หรือจะว่าโดย อภิณหาปัจจเวกขณะ บอกว่า
    /
    - เกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามาiถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้
    /
    - เรามีความป่วยไข้ไม่สบายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไม่สบายไปได้
    /
    - เราก็ต้องมีความตายเป็นธรรมดาไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้
    /
    - เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา เราไม่สามารถจะหลีกไปได้
    /
    - เรายังมีกรรมเป็นของตน ถ้าทำดีจะมีผลแห่งความสุข ทำชั่วมีผลแห่งความทุกข์ ดีถึงที่สุดเราจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    /
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เคยเอาปัญญาเข้าไปพิจารณาหรือเปล่า ถ้าปัญญามันคิดไม่เห็นก็นึกถึงอิทธิบาท ๔ ที่กล่าวมาแล้ว
    /
    ในที่สุดนี้อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยมีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ จงอภิบาลบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพระชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้วขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประ
    ทีปแก้วจงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เถิด
    <!--IBF.ATTACHMENT_83--><!-- THE POST -->​
     
  11. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    :cool: เธอพึงศึกษาในศาสนานี้ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2006
  12. puckinee

    puckinee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ขออนุโมทนากับทุกท่าน

    [b-wai] :cool: [b-wai] :cool:
    ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ พรหม เทพเทวาและสิ่งศักดิ์ทั่วสากลภิภพ จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุขสมหวังในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลตราบจนนิพพานเทอญ
    [b-wai] (bb-flower :cool:
     
  13. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    คนแรกที่คิดถึง

    :cool: คนแรกที่คิดถึง
    <TT>เวลาไม่มีเงิน .................. </TT>
    <TT>คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่ </TT>

    <TT>แต่พอมีเงิน ... </TT>
    <TT>คนแรกที่คิดถึงคือแฟนและเพื่อน </TT>

    <TT>อยากได้รถ ... </TT>
    <TT>คนแรกที่คิดถึงคือ พ่อและแม่ </TT>

    <TT>แต่พอมีรถ ... </TT>

    <TT>คนแรกที่จะไปรับคือแฟนและเพื่อน </TT>

    <TT>ร้านอาหารหรู ๆ บรรยากาศคลาสสิค ... </TT>
    <TT>มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน </TT>

    <TT>อาหารบนโต๊ะที่บ้าน </TT>
    <TT>. </TT>
    <TT>มีสำหรับพ่อและแม่ </TT>

    <TT>โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ... </TT>
    <TT>มีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน </TT>
    <TT>ทีวี และสวนหน้าบ้าน ... </TT>
    <TT>มีไว้สำหรับพ่อและแม่ </TT>

    <TT>พ่อและแม่ คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน ... </TT>
    <TT>เพื่อความอยู่รอด </TT>

    <TT>ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเนตก่อนนอน ... </TT>
    <TT>เพื่อให้หลับฝันดี </TT>

    <TT>เวลาเรามีความสุข ................ </TT>
    <TT>มักจะมองหาแฟนและเพื่อน </TT>

    <TT>เวลาเรามีความทุกข์ . </TT>

    <TT>คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจ คือพ่อและแม่ </TT>

    <TT>เวลาประสบความสำเร็จ !.. </TT>
    <TT>เรามักมองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัด?ลองและสังสรร </TT>

    <TT>แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่ ... </TT>

    <TT>แต่พ่อและแม่ </TT>
    <TT>กลับกลายเป็นคนที่เรามองข้ามไป </TT>

    <TT>ลูกไปรื่นเริงตามโรงหนัง </TT>
    <TT>เธค ผับ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ ... </TT>

    <TT>พ่อและแม่กลับทำงาน หรือ </TT>
    <TT>นอนหลับเก็บแรงไว้ทำงานหาเงินในวันรุ่งขึ้น </TT>

    <TT>เพื่อแลกความสุขของลูก </TT>
    <TT>อยากให้ลูกเรียนสูง ๆ </TT>

    <TT>เวลาแต่งงาน ... </TT>
    <TT>คนที่เป็นธุระหาสินสอดทองหมั้นคือพ่อและแม่ </TT>

    <TT>คนที่มีความสุขคือลูก </TT>
    <TT>พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือน บางครั้ง </TT>
    <TT>เต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย </TT>
    <TT>...........เพื่อให้ลูกได้ดี </TT>
    <TT>แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่ พ่อและแม่พูด ... </TT>
    <TT>เป็นแค่เรื่องไร้สาระ </TT>
    <TT>พ่อและแม่ ... </TT>
    <TT>คือผู้ฝ่าฟันปัญหาเป็นร้อยพันประการเพื่อลูก </TT>

    <TT>แต่พอลูกมีปัญหา .................. </TT>
    <TT>มักคิดได้แค่ ท้อถอย หดหู่หรืออยากตาย!!!! </TT>

    <TT>พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้อง </TT>
    <TT>และยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่ </TT>

    <TT>ลูกกำลังคิดถึงสิ่งใด ... ??? </TT>

    <TT>คำว่า
     
  14. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    นิทานกถามหาอุบาสิกาวิสาขาฯ พุทธบูชาฯ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2006
  15. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    :cool: ถวายปัจจัยทองคำร่วมหล่อพระประธานหน้าตัก~ 40 นิ้ว จำนวน 16 พระองค์ ณโรงหล่อพระพนัสฯ น้อมถวายบุญทั้งหมดในพระศาสนานี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    และขอจงเป็นปัจจัยให้ผมและทุกท่านประสบแด่ความสุขสำเร็จสมหวังสมความปรารถนาทุกประการนับแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพานฯ
    [b-wai] (bb-flower (bb-flower [b-wai]
     
  16. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    นิทานกถามหาอุบาสิกาวิสาขา ถวายพุทธบูชาฯ 2

    [b-wai] (bb-flower [b-wai] :cool:
    เมื่อ16อสงไขยฯที่ผ่านมา เพลานั้นพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก หม่อมฉันเกิดเป็นหญิงชาวบ้าน ทำสวนผักมีฐานะค่อนข้างยากจนไม่ค่อยได้ทำบุญสุนทานอะไร เพราะต้องยุ่งกับการประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ยังโชคดีที่เกิดอยู่ในตะกูลสัมมาทิฐิยังพอมีโอกาสไปวัดฟังธรรมบ้าง จนอายุได้16ปีมีอยู่วันหนึ่งได้ยินข่าวพระพุทธเจ้าจักทรงเสด็จมาเพื่อโปรดพระราชาในเมือง คนทั้งเมืองพากันทำความสะอาดบ้านเมืองตบแต่งประดับประดาด้วยธง,ฉัตรและดอกไม้ฯเป็นอันมาก หม่อมฉันดีใจมากแม้เวลากลางวันจะไม่ว่าง ก็หาเวลาว่างตอนกลางคืนไปช่วยเขาทำความสะอาด เอาผักที่ปลูกไปให้เขาทำภัตตาหารถวายพระฯ เพราะไม่มีปัญญาทำอาหารดีๆไปถวายฯทำได้เต็มที่แค่นี้ก็พอใจ คืนนี้กี่ยามแล้วก็ไม่รู้มันนอนไม่หลับได้ยินคำว่า"พระพุทธเจ้า"แล้วมีปีติมาก วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จะเป็นอย่างไรนะ? นอนคิดอยู่จนเช้าจึงตัดสินใจไม่ไปทำงานในวันนี้จะไปกราบพระพุทธเจ้าที่พระวิหารให้ได้ วันต่อไปจะเป็นอย่างไรไม่มีกินก็ช่างมัน ขอให้ได้กราบได้เห็นพระพุทธเจ้าสักครั้งในชีวิตก็ยังดี แม้ตายชาตินี้ก็ไม่คิดเสียดายอะไร คงไม่เสียชาติเกิดแล้วเรา
    [b-wai] (bb-flower [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2006
  17. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    คำสอนหลวงพ่อฯ

    [​IMG]

    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    [​IMG]


    :cool: การที่จะเป็นพระโสดาบันมีกฎบังคับว่า ถ้าอารมณ์จิตต่ำกว่าปฐมฌาน จะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ หรือว่าจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ อย่างเลวที่สุด จิตต้องทรงอยู่ ในปฐมฌานเป็นปกติ และ อย่างดีที่สุด จิตก็จะทรงอยู่ในฌาน 4 เป็นปกติ แต่ฌาน 4 นี่ปกติ ไม่ได้ปกตินี่ หมายความว่า ถึงเวลาที่เราจะใช้ ในยามปกติ ธรรมดา เราพูด เราคุย เราทำงาน จิตต้องอยู่ในปฐมฌานเป็นปกติ แล้วอารมณ์ปฐมฌานเป็นอย่างไร

    อารมณ์ปฐมฌาน ก็คือว่า เมื่อกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นสำหรับเรา อารมณ์นี้ จะคุมอยู่ในอนุสติทั้งหกตลอดเวลา เราจะไม่ลืมพระพุทธเจ้า เราจะไม่ลืมพระธรรม เราจะไม่ลืมพระสงฆ์ เราจะไม่ลืมศีล เราจะไม่ลืมพระนิพพาน เราจะไม่ลืมนึกถึงความตาย

    ที่มา: ทางสายสู่พระนิพพาน พิมพ์โดย: พิบูลย์ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2006
  18. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    นิทานกถามหาอุบาสิกาวิสาขา ถวายเป็นพุทธบูชาฯ 3

    [b-wai] (bb-flower [b-wai] :cool:
    เช้านี้หม่อมฉันอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบเดินทางเข้าเมือง ผู้คนพากันมาทำบุญเฝ้าชมพระพุทธบารมีกันอย่างเนืองแน่น ด้วยหม่อมฉันแม้เป็นผู้มาก่อนก็ต้องอยู่ข้างหลังของข้างหลัง รู้สึกเสียใจน้อยใจเหมือนกัน แต่เมื่อนึกถึงว่าจะได้เห็นพระพุทธเจ้าก็ยินดีแล้วในบุญวาสนา หลายยามผ่านไปในที่สุดหม่อมฉันก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูและเป็นที่พึ่งของโลกแล้วแม้ไกลเกือบกิโล พระองค์มีพระวรกายงดงามมากมีรุ้งเป็นแสงสว่างอยู่โดยรอบ หม่อมฉันกราบพระองค์ตั้งจิตระลึกถึงและไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ คิดอะไรไม่ออกได้แต่กราบแล้วกราบอีก เป็นบุญตาของหม่อมฉันจริงๆเป็นความสุขมาก และเป็นความโชคดีที่สุดแล้วในชีวิตนี้ หม่อมฉันพนมมือร้องไห้สะอึกสะอื้น เฝ้ามองพระองค์อยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจใครและไม่อายใคร ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแล้วเท่าใด น้ำตาของหม่อมฉันยังไม่หยุดไหลเลย
    [b-wai] (bb-flower [b-wai] :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2006
  19. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    คำสอนหลวงพ่อฯ

    [​IMG]
    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    [​IMG]

    :cool: หากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะ ใช้ปัญญาใคร่ครวญในขันธ์ห้า ที่เรียกกันว่าร่างกาย ว่านี่ร่างกายเราเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จิตมันก็เป็นทุกข์ เราจะปล่อยมันไปเสียเพราะมันเป็นอนัตตา ในที่สุดนั้น ร่างกายคนอื่นหรือว่าทรัพย์สินอื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัด สามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้ ใจจะเป็นสุข ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้

    การพิจารณาปลงใจอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะพิจารณาอยู่อย่างนี้เป็นปกติอารมณ์ของท่าน อย่างเลวท่านก็เป็นพระโสดาบัน ดีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งท่านก็เป็นพระสกิทาคามี ดีขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งท่านก็เป็นพระอนาคามี แต่จิตทรงอย่างนี้ได้จริงๆ ตลอดเวลานั่น ท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นกันตรงนี้เท่านั้น เป็นไม่ยาก

    :cool: ที่มา: ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ๗:cool:
     
  20. eksri

    eksri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +391
    สาธุ...สาธุ...สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...