อ.อุ.ม = โอม

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 6 มีนาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    คําว่า โอม ว่ากันว่าเป็นคำย่ออันหมายถึงเทพเจ้าสามองค์ อันเรียกว่า ตรีมูรติ (รูปสาม) คือ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม อ หมายถึง พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ อุ หมายถึง พระศิวะหรือพระอิศวร ม หมายถึง พระพรหม ใช้กล่าวนำบทสวดมนต์ต่างๆ เพื่อความศักดิ์สิทธิ์

    เทพของชาวชมพูทวีปนั้นผสมผสานกับเทพของชาวอารยัน (ฝรั่ง) ที่อพยพมาครองชมพูทวีป เดิมนับถือเทพหลายองค์ ต่อมาในบรรดาเทพเจ้าหลายองค์นั้นก็ยกเทพองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นเป็นใหญ่ เป็นประธานเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีไป เช่น ยกให้พระพฤหัสบดีเป็นใหญ่ในทางวิชาการ ต่อมาก็ยกความเป็นใหญ่ให้เทพองค์เดียวเลย เช่น ยุคแรกยกตำแหน่งหัวหน้าเทพทั้งปวงให้พระอินทร์ พระอินทร์จึงถือว่าเป็นเทวราชา หรือเทวานมินทะ ต่อมาพระอินทร์ที่เป็นหัวหน้าเทพทั้งหลาย มัวเมาในกาม ผิดศีลผิดธรรมบ่อย แถมยังดื่มน้ำโสมเมามายเป็นนิตย์ ก็เกิดมีความเบื่อหน่ายขึ้นในหมู่มนุษย์ (ที่สร้างเทพขึ้นมา) จึงยกความเป็นใหญ่ให้เทพองค์ใหม่นามว่า พรหม

    เทพองค์ใหม่นี้มีบุคลิกและคุณสมบัติแตกต่างจากพระอินทร์แบบหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

    พระอินทร์ยุ่งเกี่ยวกับกามารมณ์ พระพรหมไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามารมณ์

    พระอินทร์ชอบสนุกสนาน ดื่มน้ำโสมเมามาย พระพรหมไม่ชอบสนุกสนาน อยู่องค์เดียวเงียบๆ ถือความบริสุทธิ์ อันเรียกว่า "พรหมจรรย์"

    พระอินทร์เป็นเทพไม่อมตะ ตายได้ พระพรหมมีภาวะเป็น "อมตะ" ไม่รู้จักตาย เป็นนิรันดร

    แถมพระพรหมยังมีหน้าที่ในการสร้างโลกสร้างมนุษย์อีกด้วย ซึ่งแต่เดิมไม่มีหน้าที่นี้

    เปิดหน้าประวัติศาสตร์ดูยุคที่พระอินทร์ "โดนปลด" ยกพระพรหมขึ้นแทนนั้น พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองพอดี เพราะฉะนั้นในคัมภีร์พระไตรปิฎกจึงมักพูดถึงพระพรหม และวิธีเข้าถึงพระพรหม พระพุทธเจ้าทรงถกเถียงเรื่องการเข้าถึงพระพรหม หรือเรื่องการเป็นพระพรหมกับพวกพราหมณ์บ่อย บางครั้งพระองค์ชี้ว่า พรหมที่คิดเอาว่ามีนั้นอยู่ไกลตัวเรา มีจริงหรือไม่ไม่รู้ ได้แต่คาดเดาเอา แต่พรหมที่สัมผัสได้เห็นๆ อยู่ในโลกนี้มี คือ คนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขานั้นเอง ใครมีคุณธรรมทั้ง 4 นี้ เรียกว่า "เข้าถึงพรหม" หรือเป็นพรหมด้วยตัวเอง

    ต่อมาเทพทั้งสององค์ที่เคยมีชื่อมาก่อนหน้านั้น แต่ภายหลังตกอันดับไปได้โผล่ขึ้นมาใหม่ คราวนี้ได้รับความนิยมจากชาวชมพูทวีปมากขึ้นๆ จนเทียบรัศมีพระพรหมได้ เทพสององค์นั้นคือ พระวิษณุหรือพระนารายณ์กับพระศิวะหรือพระอิศวร โดยองค์แรกเป็นเทพของคนใต้ องค์ที่สองเป็นเทพของคนเหนือ

    จึงเกิดคติเทพสามองค์ (ตรีมูรติ = รูปสาม) ขึ้น แล้วก็แบ่งอำนาจหน้าที่กัน (มนุษย์อีกนั่นแหละเป็นคนแบ่งให้) คือ

    พระพรหม มีหน้าที่ในการสร้างโลก

    พระศิวะหรือพระอิศวร มีหน้าที่ในการทำลาย

    พระวิษณุหรือพระนารายณ์ มีหน้าที่ในการรักษา

    ถ้าไปอินเดียตอนนี้จะเห็นว่าพระนารายณ์กับพระศิวะมีผู้นับถือมากมีโบสถ์หรือเทวาลัยสำหรับพระนารายณ์ และพระศิวะมากมาย แต่พระพรหมดูจะเงียบๆ มีผู้นับถือน้อยลง

    คำว่า โอม เป็นคำย่อหมายถึงเทพเจ้าทั้งสามพระองค์ดังว่ามา

    สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ทรงดัดแปลงคติเรื่องโอม จากของฮินดูมาเป็นพุทธ โดยทรงอธิบายว่า โอม มาจาก อ. อุ. ม. โดย อ. มาจาก อรหํ ( พระอรหันต์) หมายถึงพระพุทธเจ้า อุ. มาจาก อุตฺตมธมฺม (ธรรมสูงสุด) หมายถึง พระธรรม ม. มาจาก มหาสงฺฆ (สงฆ์หมู่ใหญ่) หมายถึงพระสงฆ์

    สรุป โอม ก็คือพระรัตนตรัยนั้นแล เพราะฉะนั้นถ้าชาวพุทธจะเปล่งคำว่า โอม ก็ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่าเปล่งสรรเสริญเทพของศาสนาอื่น เพราะแท้ที่จริงแล้วกำลังกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัย

    ข้อมูลจาก : ข่าวสด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ปานเทพ

    ปานเทพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...