ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    โอนเงินร่วมบุญ 522.00 บาท เมื่อเวลาประมาณ 9.12 น.ค่ะ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่ะ



    .
     
  2. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือนเมษายน 2552 ครับ
    ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 8 เมย. 2552 เวลา 12:13 น. จำนวน 200 บาท ครับ
    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    สมเด็จฯโต ปางอุ้มบาตรพรมน้ำพระพุทธมนต์
    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->


    ที่วัดอัมพวัน มีวิหารอยู่ทางทิศใต้ของโรงอุโบสถ ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐาน สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ปางอุ้มบาตรพรมน้ำพระพุทธมนต์


    ผู้สร้างถวายคือ คุณเส็ง คุณผ่องศรี ใจบุญ ได้นำมาถวายวัดอัมพวันเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ พร้อมกับ หลวงปู่แสง

    เมื่อนำมาถวายยังไม่วิหาร ได้อัญเชิญท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ไว้ในโรงอุโบสถ และหลวงปู่แสงประดิษฐานอยู่ที่ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน

    อยู่ต่อมาประมาณ ๑ เดือน มีคนข้างวัดมาบอกว่า สมเด็จฯโต ท่านอยากมาอยู่ข้างนอก อาตมาก็รับทราบไว้

    ต่อมามีคนจากนครราชสีมาถามหาสมภารวัดอัมพวัน มาถึงก็มากราบ ถามว่า

    “ท่านเป็นสมภารใช่ไหม? สมเด็จฯโตให้มาบอกว่าท่านไม่อยากอยู่ในโบสถ์ ข้ามหัวไปข้ามหัวมา จุ้นจ้านกันมากเหลือเกิน ช่วยสร้างวิหารให้ที”

    อาตมาก็ยังไม่ยอมเชื่อ ต่อมาอาจารย์วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ฝันมาบอกว่า “ท่านสมเด็จฯ โตให้มาบอกสมภารว่าช่วยสร้างวิหารให้ที”
    ในฝันอาจารย์คนนั้นก็ถามว่า

    “ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ทำไมไม่ไปบอกท่านเอง”


    ท่านบอก”ไม่ขลัง ต้องให้คนอื่นบอกถึงจะขลัง เพราะสมภารองค์นี้ทิฐิสูง”

    อาตมาก็มานึก มาบอกเราสามปากแล้ว อาตมาก็ไปยกมือไหว้ จุดธูปเทียนบอก เหมือนท่านจะยิ้มบอกเรา

    ปรากฏว่าสร้างเดือนเดียวกันเสร็จ พอท่านยกไปเก็บไว้ เงินไหลนองทองไหนมาใหญ่เลย

    อีกประการหนึ่ง ที่ท่านอยู่ในโบสถ์ ใครมาก็ยกมือไหว้แต่สมเด็จโต ไม่ไหว้พระประธานกันเลย โยมผ่องศรีปิดทองซะสวย ก็ยิ่งข่มพระประธานในโบสถ์อีก

    อาตมาก็ต้องปิดทองพระประธานทั้งสององค์ พอดี ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร มาบอกอีกว่า หลวงพ่อไม่มีบริวาร ต้องมีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรนะ อาตมาก็อัญเชิญประดิษฐานกับพระประธานองค์เก่า และปิดทองสวยงาม

    ประวัติการสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
    และหลวงปู่แสง


    โยมเส็งได้เล่าประวัติการสร้างท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ และ หลวงปู่แสงว่า

    ตอนแรกผมศรัทธาแต่หลวงปู่แสง ก่อนที่จะหล่อหลวงปู่แสง มีลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณวัดมณีชลขัณฑ์ มาปรารภว่า

    “พระอื่นเขาทำกันได้ แต่ทำไมหลวงปู่แสงไม่มีใครคิดจะทำ” พอได้รับฟัง ผมก็รับปากทันทีว่าจะหล่อ แต่คนลพบุรีไม่เคยเห็นหลวงปู่แสง เห็นพระพุทธรูปตามยอดเจดีย์ว่าเป็นหลวงพ่อแสง เพราะรูปท่านไม่ค่อยปรากฏ

    ท่านเจ้าคุณวัดมณีฯ บอกว่าที่นั่นมีที่โน่นมี ผมก็นำกล้องจะไปขอถ่ายก็ไม่มี

    อยู่มาวันหนึ่ง ป้าตึ๋งแม่ค้าส้มฟักสมพร ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลพบุรีได้มาถามผมว่า “จะไปเวียนเทียนที่พุทธมณฑลหรือเปล่า จะได้ฝากเงินไปทำบุญด้วย”

    ผมบอก “ไม่ไป ตั้งใจจะไปหารูปหลวงพ่อแสง”

    ป้าตึ๋งบอกว่า “รูปหลวงพ่อแสงนี้เห็นมีอยู่ที่บ้าน พ.ท.สมบัติ คุณวิไล ศิริวัฒน์ อยู่ใกล้กับวัดศรีสุทธาวาส น่าจะลองไปถามดู”

    ผมก็ดีใจมาก คว้ากล้องไปที่บ้าน พ.ท.สมบัติ คุณวิไล ศิริวัฒน์ ทันที เมื่อเอ่ยปากขอรูป เขาขี้ไปที่ข้างฝา ผมก็บอกขออนุญาตถ่าย จะนำไปหล่อ

    พอเอื้อมมือไปหยิบรูป ปรากฏว่า กรอบรูปร่วงกราวลงมา เหลือแต่รูปกับกระจกติดมือมาเท่านั้น

    ผมก็นึกว่า เอ๊ะ! อยู่ได้อย่างไร สงสัยเป็นปาฏิหาริย์ ท่านคงรอให้เราได้ทำพระรูปท่าน

    แล้วผมก็ไปหาท่านเจ้าคุณวัดมณีฯ บอกว่าจะหล่อ แล้วผมก็สาบานกับท่านเจ้าคุณว่า
    “ถ้าผมหากินกับหลวงพ่อแสง ขอให้ผมมีอันเป็นไป”

    และผมก็มาคิดว่า หลวงพ่อแสงกับหลวงปู่โตนี่เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน ถึงอย่างไรเราก็จะมาหล่ออยู่ด้วยกันเถอะ ศิษย์อาจารย์จะได้อยู่ด้วยกัน

    จึงได้ไปตกลงกับลุงฮั้ว สุภาพักต์ ว่าจะสร้างวิหารและหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อแสงเป็นเนื้อนวโลหะ ๑ องค์ รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ปางถือคัมภีร์ ๑ องค์ ประดิษฐานไว้ที่พระวิหารหลวงพ่อแสงอนุสรณ์

    หลวงพ่อวัดอัมพวันบอกว่าจะปลูกวิหาร ต้องวางศิลาฤกษ์ แล้วหลวงพ่อก็ไปเขียนดวงที่วัดทองพุ่มพวง จ.สระบุรี

    ในดวงนั้นเขียนไว้ว่า “ท่านเจ้าคุณพระศีลวรคุณ (นวน) เป็นประธาน นายเส็ง-นางผ่องศรี ใจบุญ เป็นผู้ดำเนินงานพร้อมทั้งคณะกรรมการทุกคน”

    ปรากฏว่ามีคนไม่พอใจ ประท้วงจะขอร่วมครึ่งหนึ่ง จึงได้ทำหนังสือกันไว้ว่า วันวางศิลาฤกษ์จะมาวางเงิน ๓ แสน ถ้าขาดเหลือก็จะเพิ่มเติม

    เมื่อถึงเวลานั้น วันรุ่งขึ้นจะวางเงิน ตอนเย็นเขาเดินคอตามาบอกว่าไม่สามารถนำเงินมาให้ได้

    แล้วเขาก็เล่าเหตุการณ์ว่า ที่เขาจะนำเงินมาให้ ๓ แสนนี้ เขาจะขายสมเด็จพุฒาจารย์โต สมเด็จวัดระฆังที่เขามีอยู่ ตกลงไว้ ๔ แสน

    ได้วิ่งไปหาคนที่ซื้อ หวังจะไปเอาเงินเขาด้วย วิ่งอยู่ดี ๆ สร้อยคอที่แขวนไว้หลุดหาย เขาเลยใจคอไม่ดี

    ผมก็ปลอบเขา แล้วมาบอกพวกกรรมการว่า อย่าไปทวงเงินเขานะ เขาไม่มีเงินวาง เดี๋ยวเขาจะอาย เป็นอันว่าเขาไม่ได้มาทำเลย

    พอหล่อเสร็จจะอัญเชิญขึ้นวิหารไปเชิญเขา เขาก็ป่วยมาไม่ได้ พองานฉลองครั้งที่สอง เขาก็เข้าโรงพยาบาล นี่คือบารมีหลวงปู่เขาคิดจะจำหน่ายหลวงปู่แล้วมาร่วมกับเรา แต่เราหวังทำให้ท่านด้วยศรัทธา เลยมาไม่ได้

    แล้วผมก็คิดขึ้นมาเองว่า จะต้องอัญเชิญหลวงปู่โตและหลวงปูแสงอย่างละหนึ่งองค์ไปวัดอัมพวัน มันนึกอย่างไรบอกไม่ถูก

    เฮียฮั้ว สุภาพักต์ บอกว่าถ้าจะนำไปหล่อให้วัดอัมพวัน ให้ไปเอารูปที่วัดอุโลม อ.บางกะหัน จ.อยุธยา เป็นรูปหลวงปู่ที่เป็นภาพออกมาจากจอหนัง ปางอุ้มบาตรพรมน้ำพุทธมนต์ มีคนเห็นกันทั้งนั้น

    ใคร ๆ ก็เรียกว่าปู่โตปาฏิหาริย์ ผมก็นำกล้องไปถ่ายภาพ แล้วนำไปให้ช่างหล่อที่กรุงเทพฯ เกิดปาฏิหาริย์อีก

    หลวงพ่อเสกทองแผ่นไป นำไปใส่ในเบ้า ปรากฏว่าตอนหล่อแผ่นทองเกิดบินขึ้นไปข้างบน สักครู่ก็บินลงมาลงเบ้าอีก ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็น ช่างหล่อบอกตกตะลึงเลย มีแบบนี้ด้วยเหรอนี่

    พอนำท่านไปไว้ที่วัดอัมพวันใหม่ ๆ หลวงพ่อบอกเรื่อยเลยว่า แขกเยอะขึ้นทุกวัน ตอนนี้เยอะสุดขีดเลย

    เมื่อตอนหล่อหลวงปู่โตและหลวงปู่แสงเสร็จใหม่ ๆ หลวงพ่อได้ไปสวดธรรมจักร ได้นำน้ำใส่ในบาตรปู่โต แล้วปักเทียนทำน้ำมนต์

    พอเสร็จพิธี เทียนไขในบาตรเป็นรูปมังกร ๑ ตัว ได้อัญเชิญไว้บนวิหาร

    ต่อมาวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ได้จัดงานมหาพุทธาภิเษก รูปหล่อหลวงปู่โตและหลวงปู่แสง ที่วัดมณีชลขันฑ์

    หลวงพ่อได้นิมนต์สมเด็จพระญาณสังวร มาพุทธาภิเษก ท่านเมตตาอยู่ตั้งแต่สองทุ่มถึงเที่ยงคืน ซึ่งปกติท่านจะแผ่เมตตาแค่ ๕ นาที แต่นี่ท่านแผ่ให้เป็นชั่วโมง

    ขณะพุทธาภิเษก เกิดอภินิหารฟ้าลั่นเปรี้ยงไปที่เจดีย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าฝน ฟ้าร้อง ๓ ครั้ง ไฟในวิหารดับ ๓ ครั้ง ไฟนอกวิหารไม่ดับ ฝนตกลงมาเป็นละอองน้อย ๆ คนอยู่ในเหตุการณ์ตื่นเต้นกันมาก

    พอเสร็จพิธีมหาพุทธาภิเษก เทียนไขที่ปักทำน้ำมนต์ในบาตรหลวงปู่โต เป็นรูปมังกร ๒ ตัว

    มีร่างทรงมาทำน้ำมนต์หลวงปู่โต หยดเทียนเหมือนพระบรมสารีริกธาตุ แบบเมล็ดข้าวสาร

    เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๕ อาตมาได้ไปที่วัดอุโลมกับโยมเส็งเพื่อจะดูว่า ภาพหลวงปู่ออกมาจากจอหนัง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

    ทางวัดอุโลม ได้จัดการต้อนรับอย่างดี จากนั้นโยมฮั้ว สุภาพักต์ ได้เล่าให้ฟังว่า

    ที่วัดอุโลมกำลังสร้างโบสถ์ มีการฉายภาพยนตร์ ๗ วัน ๗ คืน หลวงพ่อ (สมเด็จพุฒาจารย์ โต) บอกว่าจะอยู่เป็นเดือนเพื่อช่วยหาเงินสร้างโบสถ์ มีคนทรงมาอยู่ด้วย

    มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านลงมาทรงแต่เช้า พอหลวงปู่ลงลูกศิษย์หนีหมด ท่านเรียกผมเข้าไปนั่งข้างหน้าท่านเลย พวกลูกศิษย์กลัวท่าน

    ท่านบอกว่า “เย็นนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนังวุ้ย”

    เขาฉายภาพยนตร์กัน ๗ คืน พอตอนสี่โมงเย็น จออยู่เฉย ๆ ไม่มีลมพัด มีคนขายของเขาเห็นเป็นรูปเงาหลวงพ่อ (ปู่โต) นั่งพรมน้ำมนต์อย่างนี้ และเกศตรง

    เขาเห็นแล้วก็วิ่งไปบอกผม ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง หลวงปู่ท่านบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง ผมก็ไปดู คนอื่นเขาเห็นองค์เดียว แต่ผมเห็นสององค์ มีพระมาลัยยืนอยู่องค์หนึ่ง

    รุ่งขึ้นท่านมาทรงแล้วถามท่านว่า “อะไรเกิดขึ้นที่จอหนัง”
    ท่านตอบว่า “ขรัวโต”
    จึงถามท่านว่า “หลวงพ่อมีความประสงค์อะไร จึงเกิดที่จอหนัง”
    ท่านบอกว่าให้หล่อรูปท่านที่นี่
    ท่านว่า “ขรัวโตอยู่ไหน เงินไหลที่นั่น”

    ผมเรียกกรรมการวัดมาปรึกษามรรคทายก กรรมการวัดมาปรึกษามรรคทายก กรรมการวัดและพระทุกองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็เลยจะหล่อเอง ไปติดต่อกรมศิลปากร สร้างพระเขาคิด ๑๗,๐๐๐ บาท พอเขาทราบว่าสร้างสมเด็จพุฒาจารย์โต เขาคิดแค่หมื่นเดียว ขอค่าขึ้นล่อง ๕๐๐ บาท

    ร่างทรงหลวงปู่บอกว่า พระอินทร์จะเททอง ผมก็มีละคร ๓ วัน ๓ คืน ท่านบอกให้ผมแต่งชุดขาว เพราะพวกเทพจะลงมาเททองกันเยอะ แล้วขึงเชือกห้ามคนเข้าไป

    พอถึงใกล้เวลาหล่อ พระชยันโต ผมก็เกิดลืมว่าพระอินทร์จะลงมา ผมมัวแต่ยุ่งทางพระ ได้ยินเสียงปู่บอกว่า

    “ฟังนะ จะให้พวกเขามาร่วมด้วย หลวงปู่คัดให้เขาออก มันไม่มีเชื้อเทพ อย่าให้มันเข้า ให้มันออกห่าง ๆ”

    พอตอนนี้พวกบ้านผมเขาบอกเห็นดอกบัวขาวลงเต็มหลังคาโรงพิธี ผมก็เหลียวมาดูที่โรงพิธี ก็เห็น

    “พระอินทร์ท่านมาเททอง มากันสององค์ ผมก็นึกว่าใครเอาตัวละครมาอยู่ในโรงพิธี ผู้หญิงนุ่งผ้าจีบแบบตัวละคร ตัวพระอินทร์แต่งตัวเหมือนพระเอกมีชฎา”

    ใครว่าพระอินทร์เขียว แต่ผมเห็นเนื้อเหลือง ผมลืมที่หลวงพ่อบอกว่า พระอินทร์จะเททอง มัวแต่ยุ่งทางพระ พอเห็นหลายรองเท้าแหลมสูงจึงนึกขึ้นได้ พระอินทร์ก็ค่อย ๆ จางหายไป
    หลวงปู่สมเด็จท่านนั่งอยู่ที่ศาลาเพียงตา ท่านสั่งให้ตั้งศาลเพียงตา แล้วปูผ้าวางหมอนขวานไว้ เขาก็เห็นกันหลายคน พอพิธีเสร็จต่างคนต่างก็วิ่งมาบอกว่าเห็นอย่างนี้

    หล่อเสร็จเขาก็นำไปกะเทาะที่กรุงเทพฯ พอกะเทาะออก ไม่มีชำรุดที่ตรงไหนเลย เขาบอกน่าจะกระเทาะที่วัดอุโลม เพราะไม่ต้องปะหรือแต่งที่ไหนเลย

    หล่อแล้วผมจะเชิญไว้ในโบสถ์ ท่านไม่ยอม ท่านว่า พอหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เขาจะมาไหว้แต่หลวงพ่อ เวรกรรมก็มาอยู่กับหลวงพ่อ

    อาตมานึกถึงที่อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ พระพุทธเจ้าหลวงได้ตรัสกับอาตมาว่า
    “พระคุณเจ้า โยมจะบอกให้ พ.ศ. ๒๕๓๐ เจ้าคุณอาจารย์ของเราจะมาอยู่ในโรงอุโบสถของท่าน”

    อาตมาถามว่า “เจ้าคุณอาจารย์ไหนล่ะ”

    ท่านตอบว่า เจ้าคุณอาจารย์ของเราคือ สมเด็จโต พรหมรังสี พระคุณเจ้าไม่น่าจะไม่รู้จัก

    อาตมาก็บอกว่า “โยม จะมาอยู่ได้ยังไง โบสถ์ก็จะพังแล้ว วัดก็โทรมแล้ว”
    ท่านตอบว่า “พระคุณเจ้า คนมีบุญเขาจะมาเอา”

    อาตมาก็จด พ.ศ. ๒๕๐๐ กับ พ.ศ. ๒๕๓๐ ห่างกันตั้ง ๓๐ ปี อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะตอนนั้น ยังไม่ได้รู้จักกับโยมเส็งและโยมผ่องศรี

    ท่านบอกต่อไปว่า “ผู้มีบุญวาสนานั้น จะนำพระอาจารย์ของเจ้าคุณอาจารย์เรามาอยู่ที่วัดนี้ด้วย”

    อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร มาทราบตอนหลังว่าเป็นหลวงปู่แสงนี่เอง แต่ท่านได้บอกไว้หมดว่า

    “อาจารย์ของเจ้าคุณสมเด็จอ่อนกว่า แต่เจ้าประคุณสมเด็จต้องมายอมเป็นศิษย์ของหลวงปู่แสง เพราะท่านได้สำเร็จญาณสมาบัติ”

    ท่านยังบอกอีกว่า “ท่านเจ้าคุณสมเด็จที่จะมาอยู่ในโรงอุโบสถของท่าน จะแปลกกว่าที่อื่น ที่ไม่มีที่ไหน”

    พระพุทธเจ้าหลวงได้ประทับทรงเด็ก ป.๔ ที่มากับบิดาจากเพชรบูรณ์ มาหาอาตมาเพื่อให้เจิมรถ ที่อาตมายอมจดเพราะพูดสะกิดหัวใจว่า “พระคุณเจ้า เมื่อเช้าอยู่ที่ไหน เมื่อเพลอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน โยมก็เช่นเดียวกัน ใครนึกถึงโยม โยมถึงบ้านนั้น ถ้าไม่นึกถึงโยม มันก็ไม่ถึง”

    อาตมายังได้คำพูดของท่านมาสอน เราอยู่บ้านติดกัน ถ้าไม่ได้เป็นญาติกัน ก็ไม่สนใจกัน อยู่ห่างไกลกัน ถ้ายังสนใจกันก็นึกถึงกัน อย่างนี้เป็นต้น

    เมื่อสมัยที่อาตมามาอยู่วัดอัมพวันใหม่ ๆ พ.ศ. ๒๔๙๙ พวกญวนพวกคริสต์มาตีอวนหน้าวัด พระไปว่า ก็ยิงไก่วัดไปแกงอีก อาตมาใช้กรรมฐานแก้ คือแผ่เมตตา

    อาตมาใช้คาถาของหลวงพ่อโต ท่านเจ้าคุณธรรมกิตติที่สามารถสอนแม่นาคาพระโขนงนั่งกรรมฐานได้ คาถาของท่านคือ “เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา” จำไปเลย เสือก็ยังสยบ ช้างดุอย่างไร ตกน้ำมันอย่างไร สยบหมด

    ถ้าจะขับรถให้ว่า “เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง” คาถาของสมเด็จโต ขับรถผีช่วยเลยนะ วันนี้เอาคาถาของสมเด็จโตมาเผยแผ่




    พระภาวนาวิสุทธิคุณ ๘ เม.ย. ๓๕
    http://www.jarun.org
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096



    ต้องขอขอบคุณทั้ง 3 ท่านข้างบนด้วยครับ คุ้นชื่อกันอยู่แล้วคงไม่ต้องบอกกันมาก ขอให้บุญจากการที่ช่วยสงฆ์อาพาธในแต่ละครั้งจงทบทวีคูณให้ทั้ง 3 ท่าน และครอบครัวปราศจากโรคาพยาธิมาเบียดเบียน อีกทั้งขอให้มีสุขภาพกายและใจแข็งแรงต่อไปด้วยครับ ขอโมทนา และสาธุบุญ


    [​IMG]
     
  5. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    ไม่ได้เข้ามาติดตามอ่านข้อมูลในกระทู้ซะนาน พอดีจะไปโอนเงินทำบุญน่ะ เลยแวะมาดูเลขที่บัญชี เมื่อได้เข้ามาก็เพลิดเพลินกับธรรมะที่พี่พันวฤทธิ์นำมาแบ่งปัน อนุโมทนาสาธุค่ะโอนเงินแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ
     
  6. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันนี้ได้ร่วมบุญเข้าไปที่ทุนนิธิเป็นจำนวน 1400 บาทครับ เวลา 16.46 น.
    ก็มีครอบครัวผมเอง 670 บาท
    เพื่อนๆแผนก Engineering 530 บาท
    ครอบครัวคุณวรพรต แสงสีดา 200 บาท
    ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่
    ข้าพเจ้าและครอบครัว รวมถึงครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    คุณวรพรต แสงสีดา และครอบครัวทั้งหมด
    รวมทั้งเพื่อนๆในแผนกตลอดจนครอบครัวของเขาเหล่านั้นทั้งหมด
    พี่น้องชาวทุนนิธิรวมถึงครอบครัวทุกๆท่าน....โมทนาบุญด้วยครับ
     
  7. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    ขอบคุณมากครับ ยังไงผมก็จะทำให้ได้ทุกเดือนครับ น้อยๆแต่นานๆ อิอิ
     
  8. active

    active เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +278
    วันที่ 8เม.ย.52 เวลา 22.05 น.ผมโอนเงินทำบุญ 300 บาทเข้าบ/ช มูลนิธิ ครับ
     
  9. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    วันที่ 8 เมษายน 52 เวลา 18:07:57 โอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาท ค่ะ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[SIZE=+0][SIZE=+0]ยกทำให้ต่ำ..ลดทำให้สูง



    [/SIZE]เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา..
    ที่ต้องอาศัยการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่..
    ในสภาพของสังคม..
    ที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ..
    การแข่งขัน..ชิงดีชิงเด่นกัน..

    หากเราไม่พยายามที่เรียนรู้และทำความเข้าใจ...
    ทั้งตนเองและผู้อื่น..
    ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรา..
    ไม่สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้..

    สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้สอนถึง..
    ความงดงามภายในจิตใจของมนุษย์เราทุกคน..
    เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข..
    นั่นก็คือ..หลักยกต่ำ..ลดสูง..

    จากหลักการดังกล่าวนั้น..
    ทำให้เราเกิดมุมมองความคิดเห็น..
    ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้..
    คือ..การยกตนข่มผู้อื่นนั้น..
    ไม่เป็นการดีเลย..
    เพราะยิ่งเรายกตนข่มคนอื่น..
    ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นมากเท่าใด..
    เราก็จะไม่เห็นคุณค่าในตัวของเราเช่นกัน..


    แต่หากเราลดมานะทิฎฐิ..ความเห็นส่วนตัวลงบ้าง..
    เพิ่มความอ่อนโยน..มีสัมมาคารวะ..
    ทำตนเองให้ต่ำลง..
    นั่นชื่อว่า..เป็นการเพิ่มคุณธรรมที่สูงในจิตใจของเรา..

    การยกตนเองให้สูงขึ้น..
    คนอื่นก็จะต่ำลง..
    ไม่ใช่ความงดงามทางคุณธรรม..

    แต่การลดตนเองให้ต่ำลง..
    แล้วยกผู้อื่นให้สูงขึ้น..
    เป็นความงดงามในจิตใจ..
    เป็นการเพิ่มระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้น..

    เรายอมลดตนเองย่อเข่าลง..
    ทำให้ตนเองต่ำ..
    ดีกว่าการใช้ความพยายาม..
    ที่จะใช้มือกดศีรษะของผู้อื่นให้ต่ำลง.
    .


    บทความ...โดย..ชายน้อย..


    ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย


    www.teenee.com






    [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    คุณค่าของคน

    [​IMG]
    <!-- Main -->หัดคิดแต่ด้านบวก...แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้
    หัดฝัน...แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่
    หัดพูดแต่ด้านบวก...แล้วะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา
    หัดยิ้ม...แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก
    หัดฟาดฟันกับอุปสรรค...แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง
    ลองทน...แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร
    ลองออกกำลังกายทุกวัน...แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง
    ลองคิดเอาชนะ...แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะตัวเองได้ไม่ยาก
    ลองคิดให้ใหญ่...แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ


    จะว่าไปแล้วคุณค่าของคนเมื่อเปรียบเทียบกับคุณค่าของเงิน จะต่างกันตรงที่คุณค่าของเงินมีคนเป็นผู้กำหนด ซึ่งต่างก็มีคุณค่าแตกต่างกันไปตามตัวเลข ขนาดสีสันของธนบัตร

    แต่เราไม่สามารถที่จะวัดและแยกแยะคุณค่าของคนในแต่ละคนให้เหมือนที่คนเป็นผู้กำหนดคุณค่าของแบงก์ได้ เพราะถ้าจะให้ต่างคนต่างประเมินคุณค่าของตัวเอง ความลำเอียงในการเข้าข้างตัวเองย่อมบังเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนก็จะตามมา เพียงแต่ว่าถ้าคุณเป็นคนที่มีคุณค่ามากพอในตัวเองแล้ว ก็ยังคงมีคนที่มีความจริงใจและยังคงต้องการที่จะคบหาสมาคมกับคุณ

    ไม่ว่าในบางครั้งที่คุณอาจจะต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง เหมือนถูกทิ้ง ถูกทำให้สกปรกและถูกเหยียบย่ำ ก็ตามที แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นหรืออะไรที่จะเกิดขึ้น คุณไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ เพราะยังคงเป็นคนพิเศษของคนที่จริงใจกับคุณเสมอไป โดยมีข้อคิดสุดท้ายที่เป็นตัวย้ำจำคือ
    อย่านำความผิดหวังของเมื่อวาน มาบดบังความฝัน ในวันพรุ่งนี้


    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yenli&month=03-2005&date=17&group=1&gblog=1
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เหรียญมี2ด้าน(บทความดีดี ที่อยากให้ลองอ่าน)

    <!--MsgIDBody=0-->คุณลองหยิบเหรียญบาทขึ้นมา1เหรียญ
    แล้วลองมองเหรียญในมือคุณ
    คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า
    ทำไม? คุณมองเห็นเหรียญได้เพียงแค่ด้านเดียว
    ทำไม? คุณถึงไม่สามารถมองเห็น
    ทั้ง2ด้านของเหรียญได้พร้อมๆกัน

    ด้านของเหรียญก็เปรียบเสมือนกับตัวคุณ
    ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ

    คนเรามักจะมองเห็นแต่ข้อดีของตัวเอง
    และชอบที่จะมองความผิดพลาดของผู้อื่น

    การที่คุณมองเห็นแต่ข้อดีของตัวเอง
    ก็เหมือนกับการที่คุณมองเหรียญ
    แค่เพียงด้านเดียว
    จะมีน้อยคนนักที่จะยอมเสียสละเวลา
    มองเหรียญให้ครบทั้ง2ด้าน

    เพราะธรรมชาติของมนุษย์
    มักจะเข้าข้างตัวเอง
    และคิดเสมอว่า
    สิ่งต่างๆที่ตนทำอยู่นั้น
    ถูกต้องเสมอ
    แต่จะมีน้อยคนนัก
    ที่ชั่งใจได้ ระหว่างถูก กับผิด

    ถ้าคุณเป็นคนประเภทที่ชอบเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ
    ลองหยิบเหรียญขึ้นมา1เหรียญ
    ยอมสละเวลาสัก2-3นาที
    นั่งพิจารณาเหรียญที่ละด้าน
    แล้วคุณจะเห็นความต่าง
    ว่าเหรียญยังมีทั้งหัวและก้อย
    แล้วนับประสาอะไรกับคน
    ที่มีทั้งด้านบวก และลบในตัว

    ถ้าคุณเข้าใจถึงธรรมชาติของเหรียญได้
    คุณก็จะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
    และเข้าใจตัวคุณเอง

    เมื่อคุณเข้าใจตัวคุณเองแล้ว
    คุณก็จะเข้าใจผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
    และพร้อมที่ยอมรับผู้อื่น
    ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ
    เหมือนกับตัวคุณ

    ถ้าคุณมองเหรียญทั้ง2ด้าน
    แล้วยังหาด้านลบของตัวคุณเองไม่เจอ
    คุณลองให้เพื่อนของคุณนั่งหันหน้าเข้าหาคุณ
    แล้ววางเหรียญตั้งไว้ตรงกลาง
    คุณจะเห็นเหรียญด้าน1
    และเพื่อนของคุณก็จะเห็นเหรียญอีกด้านหนึ่ง
    ที่คุณมองไม่เห็น

    สิ่งที่เพื่อนของคุณเห็นก็คือ
    ด้านอีกด้านหนึ่งในตัวคุณ
    ที่ต้องใช้สายตารอบๆด้านในการมอง
    ที่ผู้อื่นจะเห็นได้ชัดเจนกว่าตัวคุณ
    เพราะคนเรามักจะมองเห็น
    ความผิดพลาดของคนอื่นได้ดีกว่า
    แต่ฉันไม่ได้หมายความว่า
    เพื่อนของคุณเป็นคนไม่ดี
    ที่ชอบมองแต่ความผิดพลาดของผู้อื่น
    แต่ฉันแค่จะบอกว่า
    ในบางครั้ง
    การส่องกระจกก็ทำให้เรา
    เห็นตัวเองแค่ด้านหน้าเท่านั้น
    แต่ถ้าเรามีเพื่อน
    ที่คอยมองข้างหลังให้เรา
    เราก็จะสามารถเห็นตัวเองได้รอบด้าน
    และชัดเจนมากยิ่งขึ้น

    ลองเปิดใจให้กว้าง
    และพร้อมจะยอมรับฟังข้อบกพร่องของตัวเอง
    ที่คนอื่นมองเห็นแต่ตัวคุณมองไม่เห็น
    เพราะคนเราไม่สามารถมองเห็นถึงข้อเสียของตัวเองได้
    ถ้าไม่มีใครคอยบอก
    ก็เหมือนกับการที่คุณไม่สามารถ
    มองเห็นเหรียญได้พร้อมกันทั้ง2ด้านนั่นเอง


    ขอขอบคุณ
    http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2006/11/W4914275/W4914275.html
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ขอขอบคุณทั้ง 3 ท่าน มา ณ โอกาสนี้ พร้อมกับขออวยพรให้มีความสุขมากๆ ในวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทยด้วยครับ


    [​IMG]

     
  14. poh

    poh Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2007
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +59
    วันนี้ โอนเงินเข้าร่วมทำบุญ 1000 บาท ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=700 align=center border=1><TBODY><TR><TD borderColorLight=white borderColorDark=white>
    [​IMG]

    คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking,Positive life


    เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...โอกาสแห่งการเตรียมพร้อมในการเป็นมืออาชีพ
    เวลาเจอปัญหาซ้ำซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...บทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
    เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...แบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
    เวลาเจอนายจอมละเอียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...การฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ
    เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือ...การชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
    เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...การสะท้อนให้เห็นว่าเรายังคงมีความหมาย
    เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...วิธีที่ธรรมชาติสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
    เวลาเจอการป่วยไข้ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือ...การเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดีทีสุด
    เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือ...บทเรียนของการรู้จักยืนหยัดบนขาของตัวเอง
    เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือ...โอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
    เวลาเจอแฟนทิ้งให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...ความอนิจจังเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
    เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้วให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...ประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้อะไรดั่งใจหวัง
    เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...ความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
    เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...อุทธาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
    เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...ตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
    เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...คำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
    เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้งให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...บทดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
    เวลาเจอวิกฤติ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...บทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤติย่อมมีโอกาส"
    เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...วิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสได้ต่อสู้ชีวิต
    เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ...ฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
    สิ่งเตือนใจดีๆจากท่าน ว.วชิรเมธี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เดือนนี้เราจะมีโอกาสไปทำบุญ รพ. สงฆ์ ไหมครับ

    ยามบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ครับ

    ระอาใจจริงๆ ครับ

    สาธุครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ทำทาน ทำบุญ ทำกุศล<HR>
    [​IMG]
    บุญนั้นมีหลายอย่าง คือทำบุญอย่างหนึ่ง ทำทานอย่างหนึ่ง ทำกุศลอย่างหนึ่ง
    ทำทาน คือ การที่เราให้เรียกว่า ทาน ทานํเทติ คือ วัตถุสิ่งของที่เราให้เรียกว่า ทาน ไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นสิ่งอะไร มนุษย์สัตว์ให้ไปได้ทั้งนั้น ข้าวของอะไรก็ให้ได้ เรียกว่า ให้ทาน จะเกิดศรัทธาหรือไม่เกิดศรัทธาก็เอาเถอะ ให้ทั้งนั้น อย่างคำว่า เรี่ยไรอย่างนี้ไม่คิดถึงบุญถึงกุศล ให้ไปเสียแก้รำคาญ อันนั้นละเรียกว่า ทาน

    ทำบุญ ทำบุญนั้นเกิดศรัทธาเลื่อมใส ตั้งเจตนาว่า ทำบุญแล้วจะได้บุญ ได้อานิสงส์ จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า จะได้ความสุขในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ การทำบุญนั้นปรารถนาผลตอบแทนเรียกว่า ทำบุญ

    ทำกุศล คือจิตที่คิดจะทำสิ่งที่ดีที่ชอบ
    ถ้านึกถึงความดีความชอบต่างๆ เป็นกามาวจรกุศล
    ถ้าคิดพิจารณากัมมัฏฐาน สังขารร่างกายของเราเรียกว่า รูปาวจรกุศล
    จิตที่พิจารณาอยู่ในอรูปณาน ๔ เป็นอรูปาวจรกุศล
    โลกุตรกุศล หมายถึงการบำเพ็ญกุศลที่ปราศจากความอยากกังวลทั้งหมด แต่ว่าทำเพื่อประดับใจของตนเท่านั้น

    ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย คือผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานสูงสุดแล้ว ท่านไม่มีบาปมีบุญอะไรหรอก แต่ว่าทำไปเพื่อประดับในเมื่อยังมีชีวิตอยู่เหตุนั้น เราทำทานแล้ว ทำบุญแล้ว แล้วทำกุศลอีก คือนั่งภาวนานี่แหละ เป็นของสูงโดยลำดับ


    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5477
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    วันอาทิตย์ที่ 26 เมษา. ครับ เป็นวันนัดทำกิจกรรม ซึ่งในวันนั้น เหตุการณ์คงสงบแล้ว ผมเคยบอกไว้ว่า ใครแข่งบุญวาสนากับในหลวงจะบรรลัยในที่สุด ทุกวันนี้ก็ยังเชื่ออย่างนั้นครับ ไม่ต้องกลัว รอแต่เพียงเวลาเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะมีวาระของมันเอง แต่เรื่องของการเมืองมันเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง เราคงปฏิเสธที่จะไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ และไม่สามารถวางตัวเป็นกลางนิ่งเฉยได้ เพียงแต่จะแสดงออกหรือไม่เท่านั้นเอง ดังนั้นพระในสายกรรมฐาน ท่านจึงเกลียดการเมืองเป็นที่สุด เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ อำนาจ ตัณหา และความอยากท่านสละทางโลกมาแล้ว ท่านจึงหันหลังให้ เข้าป่าเข้าดง ปลีกวิเวก บำเพ็ญเพียรบารมี แต่เราฆราวาส ก็คงได้แต่สวดมนต์ภาวนา เพื่อขอให้พระสยามเทวาธิราชท่านช่วยให้จบให้โดยเร็วครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ขอขอบคุณ คุณพ่อลูกสองมากครับ สำหรับการบริจาคให้ทุนนิธิฯ ในครั้งนี้


    [​IMG]

     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    จงเตือนตนไว้เสมอ...หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้องมาลงโทษเรา
    ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ
    กรรมที่เราทำความชั่ว
    มันก็ทำความเร่าร้อนให้เกิดขึ้นแก่เรา
    ใครเขาพูดความชั่วคราวใด
    เราก็สะดุ้งเพราะเรามันเลว

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    อัตตนา โจทยัตตานัง
    จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทตน
    กล่าวโทษตนไว้เป็นปกติ
    หาความชั่วของตัว
    อย่าไปหาความชั่วของบุคคลอื่น

    ถ้าเลวมากเมื่อไหร่
    เราก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น
    ถ้าเราดีมากเท่าไหร่
    เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบุคคลอื่น
    เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม

    ที่เรายังไปหาความเลวของบุคคลอื่น
    เสียดสีเขาบ้าง พูดกระทบกระเทียบเขาบ้าง
    ทำลายความสุขใจเขาบ้างนั่น
    แสดงว่า เรามันเลวที่สุดของความเลว
    คือความเลวมันไม่ได้ ขังอยู่ เฉพาะในใจ
    มันไหลออกมาทางกายไหลออกมา
    ทางวาจา เพราะมันล้น เลวจนล้น
    นี่ขอทุกท่านจงจำไว้
    อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น
    มองดูความเลวของตน
    ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น
    ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่สุด

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    คัดลอกจาก...
    http://www.sitluangpor.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...